-= The Buddha's Warrior =-
Group Blog
 
 
มกราคม 2551
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
2 มกราคม 2551
 
All Blogs
 

21-11:ความอยากให้จิตที่เป็นอกุศลดับ มันก็คืออกุศลเช่นกัน

หลังจากที่เคยกล่าวถึงอาการที่เจอระหว่างการดูจิตในคราวก่อน (post 08-11-2007 23:15) ก็พยายามแก้ไข อาการเพ่งรู้ อาการดีใจและภูมิใจ เมื่อตามจิตทัน ได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังพอรู้สึกว่า หัวยังทึบๆ ยังหนักอยู่มาก จึงลองพยายามสังเกต การดูจิตของตัวเอง อยู่เกือบสัปดาห์ (13-11-2007) ก็พบว่า หลายครั้งที่พบจิตผู้ถูกรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โทสะ แม้จะไม่มีอาการดีใจ หรือภูมิใจที่เจอสภาพจิตดังกล่าวแล้ว ด้วยความเข้าใจว่า เมื่อไรก็ตามที่อกุศลถูกรู้ด้วยกุศล อกุศลดังกล่าวจะดับลงทันที จึงรู้สึกว่า โทสะนี่ไม่ดี ถ้ารู้ทันแล้วมันดับลงเร็วๆ ได้ก็คงดี... อันนี้นี่เอง เป็นที่มาของอาการทึบที่ยังคงมีอยู่ คือ ...อยากให้มันดับ...


ความเข้าใจที่เกิดขึ้น อยู่บนพื้นฐานที่ว่า จิตไม่ใช่ของเรา เราควบคุมไม่ได้ โกรธก็รู้ว่าโกรธ มันจะดับหรือไม่ดับ ก็แล้วแต่เหตุปัจจัย ถ้าโทสะนั้นแรงกว่ากำลังของจิต กว่าจะดับได้คงซักพัก จะไปอยากให้มันดับคงไม่ถูก


ด้วยพื้นฐานความคิดนี้เอง จึงนำไปปรับใช้กับการปฏิบัติในรูปแบบ ระหว่างการนั่งภาวนา (14-11-50) ซึ่งยังคงใช้ลมเข้าออกเป็นที่ตั้ง โดยตระหนักว่ามันไม่เที่ยง ไม่ใช่ของเรา เป็นเพียงธาตุที่ไหลเข้าออก เป็นพื้นฐานวิปัสสนาที่เคยทำมา ร่วมกับการดูจิตระหว่างนั้น ว่า แม้จะมีลมหายใจเป็นเครื่องยึด แต่จิตยังคงกวัดแกว่ง มีเรื่องราวอารมณ์ลอยเข้ามาเป็นระลอกๆ ก็ตามรู้โดยพากย์ไปด้วย ประมาณว่า เพราะจิตเป็นอนัตตา ควบคุมไม่ได้ บังคับไม่ได้ ได้แต่คอยตามดูว่า ขณะนี้ มีเรื่องนี้ผุดขึ้นมาในจิต ซึ่งพอตามเจอไม่นาน เรื่องนั้นๆ หรืออารมณ์นั้นๆ ก็จะดับไป... ระหว่างนั่งภาวนา ก็คอยดูซ้ำๆ เรื่อยๆ ว่า กายนี้ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวเรา บังคับไม่ได้ จิตนี้ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวเรา บังคับไม่ได้ ซักพัก ก็เหมือนมีใครมาค่อยๆ เปิดไฟในห้องให้สว่างขึ้นมาช้าๆ ยังไม่ทันสว่างดี ก็หรี่ลง แล้วก็ดับไป บางคืนเป็นรอบๆ อย่างนี้ร่วม 10 เที่ยว พอออกจากสมาธิมาดูอาการของจิต แสงนี่ก็น่าจะเป็นนิมิตรูปแบบหนึ่ง แต่เห็นได้ชัดว่า พอเริ่มเกิด ก็จะค่อยๆ ดับไป เพราะ จิตที่ตามลมอยู่ หันไปตามแสงดังกล่าว สติจึงอ่อนกำลังลงและขาดตอน...


อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น (15-11-50) ก็พบว่า การดูจิตระหว่างวันนั้น สบายกว่าเดิมมาก ที่เคยทึบๆ ก็คล้ายๆ จะหายไปแล้ว ไม่ค่อยอึดอัดกับการตามดู ตามรู้เลย สบายดี... แต่อาการสบายดังกล่าว ก็ทำให้ความพยายามจะตามดูจิตนั้นลดลงอย่างชัดเจน เพราะไม่ทำอะไร ก็สบายดี แต่ก็เป็นความสบายที่ออกจะฟุ้งง่าย เหม่อง่าย เพ่งง่าย พอรู้อีกก็สบายอีก พอสบายก็เลิกตาม...


2 วันต่อมา (17-11-50) เป็นวันที่นอนไม่พอไปทำงาน รวมทั้งไม่ได้ทานกาแฟช่วงเช้า คุณภาพจิตเปลี่ยนไปมาก จากเพ่งบ่อยกลายเป็นเหม่อบ่อย เหม่อทั้งวัน รู้อารมณ์ใดๆ ก็รู้ไม่ชัด มึนๆ งงๆ เหมือนไม่ค่อยรู้เนื้อรู้ตัวเท่าไรเลย ไม่รู้จะทำไงดี ได้แต่ตะบี้ตะบันเจริญสมถะไป เพ่งลม เพ่งเท้า อะไรก็ได้ รวมจิตเข้ามาก่อน คุ้นๆ ว่า ท่านพระอาจารย์ปราโมทย์ก็บอกไว้เช่นกัน ไม่รู้จะทำอะไรก็พุทโธไว้... ได้แค่นี้จริงๆ และก็ได้แต่หวังว่า ตื่นมาจะดีขึ้น...

เช้าวันรุ่งขึ้น (18-11-50) ได้ไปกราบพระอาจารย์ปราโมทย์ ที่ศาลาลุงชิน แม้ขณะนั้น จิตจะกลับมาเข้าที่เข้าทางแล้ว แต่ยังคงไม่ค่อยตามดู ตามรู้เท่าไร พอรู้ พอดู พอสบาย ก็เลิกดู... แต่พอเห็นหน้าพระอาจารย์ ก็นึกถึงใน CD ที่ท่านว่า "อย่าขี้เกียจนะ"....


สรุปสิ่งที่ได้จากอาทิตย์นี้...

1. ระลึกเสมอว่า จิตเป็นอนัตตา ควบคุมไม่ได้ แม้แต่ความอยากให้อกุศลดับ มันก็คืออกุศลเช่นกัน

2. จริงๆ แล้วผมไม่แน่ใจว่า สมถะ กับ วิปัสสนา ควรแยกกันปฏิบัติอย่างชัดเจนมั้ย แต่ก็พบว่า การระลึกรู้ว่า จิตนี้เป็นอนัตตา ขณะปฏิบัติในรูปแบบนั้น ส่งผลให้การดูจิตระหว่างวัน หรือการเจริญวิปัสสนานั้น ก้าวหน้าขึ้นได้เช่นกัน

3. วันที่ภาวนาไม่ได้เอาซะเลย คงต้องใช้สมถะประคองไปพลางๆ รอจนกายพร้อมใจพร้อม จึงเริ่มเดินต่อ

4. ผมเข้าใจว่า ขณะนี้ คงเริ่มติดสุข แม้จะเป็นสุขบางๆ เล็กน้อย ไม่ได้มากเหมือนผู้เจริญสมถะจนสติมีกำลังสูง แต่ก็ควรระวังอย่างยิ่ง สุขที่ยังต้องอาศัยกายใจเป็นที่ตั้ง ย่อมไม่เที่ยง เพราะกายใจนี้ไม่เที่ยง...


เอาประสบการณ์มาแลกเปลี่ยนกันนะครับ ผมวิเคราะห์แล้วสรุปเอาเอง มีใครมีความเห็นเพิ่มเติมอย่างไร ตรงไหนต้องแก้ไข ตรงไหนเข้าใจผิด ก็เชิญชี้แนะได้นะครับ วันนี้อาจจะงงๆ หน่อยนะครับ เพราะเริ่มง่วงแล้ว...




 

Create Date : 02 มกราคม 2551
1 comments
Last Update : 21 กันยายน 2551 21:52:56 น.
Counter : 1004 Pageviews.

 

New years come and new years go,
Pieces of time all in a row.
As we live our life, each second and minute,
We know we’re privileged to have you in it.
Our appreciation never ends
For our greatest blessings: our family and friends.

Happy New Year!

New Year Glitter Graphics

 

โดย: Baby I love you 2 มกราคม 2551 22:35:55 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Pormaid
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




---กราบแทบเท้าอาจารย์ ผู้บอกทางที่พระพุทธองค์ท่านตรัสไว้ดีแล้ว ว่ามีอยู่จริง ไปได้จริง ไม่ยากเกินมนุษย์คนหนึ่งจะทำได้... ท่านหนึ่งเป็นฆราวาส ท่านหนึ่งเป็นพระภิกษุ และมีอีกหลายท่านที่ไม่มีวาสนาบารมีพอจะได้รับคำสอนจากท่านเหล่านั้น... กราบนมัสการด้วยเศียรเกล้าครับ _/l\_---


ใครที่ผ่านเข้ามาอ่านก็คงจะงงๆ หน่อยนะครับ ส่วนหนึ่ง ผมตั้งใจจะเขียน blog นี้เพื่อเป็นบันทึกในการปฏิบัติธรรมตามมหาสติปัฏฐานสูตร เอาไว้อ้างอิงสำหรับตนเองเพื่อปรับปรุงแก้ไข และสำหรับท่านผู้สนใจ เส้นทางการปฏิบัติที่ผมเดินผ่านมาในอดีต...

อีกส่วนหนึ่ง เป็นความคิด และมุมมองทางโลก ซึ่งส่วนใหญ่ค่อนข้างก้าวร้าวซักหน่อย แต่เกือบทั้งหมดเกิดขึ้นก่อนที่จะหันหน้าเข้าทางธรรม อีกนัยหนึ่ง มุมมองทางโลก อาจจะผลักดันให้ผมหันหน้าหาธรรมะก็ได้

เหมือนผมจะมี 2 บุคลิกนะครับ
Friends' blogs
[Add Pormaid's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.