|
|
|
|
|
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
19 มิถุนายน 2553 |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ข้อมูล SUPERFOUR SF400
ข้อมูล SUPERFOUR SF400
ข้อมูล Honda CB400 Superfour VTEC Hyper VTEC : Valve Timing and Lift Electronic Control
: ระบบควบคุมการเปลี่ยนแปลงองศาการเปิด-ปิด วาล์วด้วยอิเล็คทรอนิกส์
- ค่ายปีกนกหรือฮอนด้าได้ริเริ่มนำเอาเทคโนโลยีของระบบ Hyper VTEC มาใช้ครั้งแรกกับรถจักรยานยนต์รุ่น CB 400 Super Four ซึ่งระบบดังกล่าวได้พัฒนาใช้กับ เครื่องยนต์ 4 สูบ ขนาด 399 ซีซี. DOHC 16 วาล์ว ซึ่งเป็นเครื่องยนต์แบบ 4 จังหวะ ใช้น้ำเป็นตัวช่วยระบายความร้อน โดยเครื่องยนต์จะมีระบบควบคุมจังหวะการเปิด-ปิด วาล์วที่เรียกว่า ระบบ Hyper VTEC
- Hyper VTEC นั้นจะเป็นลักษณะการทำงานที่คล้ายกับระบบเดียวกัน ที่ใช้อยู่ในรถยนต์ โดยที่ระบบจะทำหน้าที่ควบคุมจังหวะการ เปิด-ปิดวาล์วให้สัมพันธ์และเหมะสมกับ ความเร็วรอบของเครื่องยนต์ โดยระบบนี้จะแตกต่างจากเครื่องยนต์ทั่วไปก็คือ เครื่องยนต์แบบทั่ว ๆ ไป นั้นในแต่ละสูบของเครื่องยนต์ การทำงานของวาล์วไอดีและไอเสีย จะทำงานพร้อมกันทั้งหมดทุกความเร็วรอบ แต่ในขณะที่เครื่องยนต์ระบบ Hyper VTEC นั้นในจังหวะที่เครื่องยนต์มีความเร็วรอบต่ำจนถึงปานกลาง ความต้องการปริมาณอากาศและน้ำมันเชื้อเพลิงของเครื่องยนต์มีความเร็วรอบ เพิ่มขึ้นจนถึง 6,750 รอบ/นาที ระบบก็จะบังคับให้วาล์วที่เหลือเปิดกว้างขึ้น ซึ่งจะใช้ความเร็วรอบทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของวาล์ว โดยมีอุณหภูมิน้ำมันหล่อลื่นและระบบจุดระเบิดมาเป็นตัวแปรต่อการทำงานของ ระบบ เป็นตัวแปรอย่างไร เราไปทำความเข้าใจกัน
- การทำงาน Hyper VTEC โดยที่มีระบบจุดระเบิดที่ทำหน้าที่เป็นตัวควบคุมนั้น มีเซ็นเซอร์ซึ่งจะติดอยู่ที่บริเวณ คาร์บูเรเตอร์ จากนั้นจะทำหน้าที่คอยตรวจจับตำแหน่งองศาการเปิด-ปิดของลิ้นเร่ง จากนั้นจะถ่ายทอดสัญญาณออกมาเพื่อแปรเป็นจังหวะการจุดระเบิดให้เหมาะสมกับ การทำงานของวาล์ว และในส่วนของการใช้น้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์เป็นตัวควบคุมนั้นเมื่อ อุณหภูมิของน้ำมันหล่อลื่นมีอุณหภูมิต่ำกว่า 30 องศาเซลเซียส จะส่งผลให้วาล์วที่เหลืออยู่ไม่ทำงาน
- การทำงานของระบบ Hyper VTEC เมื่อ เริ่มสตาร์ท เครื่องยนต์ใช้ความเร็วรอบต่ำกว่า 6,750 รอบ/นาที น้ำมันหล่อลื่นจะถูกดูดไปหล่อเลี้ยงชิ้นส่วนต่าง ๆ ตามปกติ ซึ่งน้ำมันหล่อลื่นนี้ไม่สามารถผ่านเข้าไปในวงจรระบบ Hyper VTEC ได้เนื่องจากมีโซลินอยด์วาล์วปิดกั้นเอาไว้ ซึ่งอยู่ภายในตัวกดวาล์วและก้านวาล์ว ก็จะถูกสปริงดันเอาไว้ เมื่อแรงดันน้ำมันเครื่องต่ำจึงไม่สามารถ เอาชนะแรงดันสปริงได้ทำให้แรงกดที่ เกิดจากลูกเบี้ยวไม่สามารถส่งผ่าน ตังกดวาล์วให้ทำงานได้ ทำให้ในจังหวะนี้การทำงานวาล์วไอดีและไอเสีย จะทำงานเพียง 1 คู่เท่านั้น และเมื่อใดที่เครื่องยนต์ต้องทำงานโดยที่ ใช้ความเร็วรอบสูงกว่า 6,750 รอบ เซ็นเซอร์ตรวจจับความเร็วรอบเครื่องยนต์ ที่อยู่ในชุดไปจุดระเบิดจะทำหน้าที่ ส่งสัญญาณไปยังกล่องสมองกล หรือกล่อง ECU จากนั้นกล่อง ECU จะสั่งการ ให้โซลินอยด์วาล์วเปิดวงจรระบบ Hyper VTEC ซึ่งจะปล่อยแรงดันน้ำมันหล่อลื่นให้สามารถผ่านเข้าไปในวงจรน้ำมันของระบบ Hyper VTEC ได้ โดยจะดันให้สลักซึ่งอยู่ภายในระหว่างตัวกดวาล์วและก้านวาล์ว เลื่อนเอาชนะแรงดันของสปริงแรงกดที่เกิดจากลูกเบี้ยวจะสามารถส่งจากตัวกด วาล์วไปยังก้านวาล์วได้ ในจังหวะนี้ ทำงานครบทุกตัวและในขณะเมื่อความเร็วรอบ ของเครื่องยนต์ลดลงต่ำกว่า 6,750 รอบ/นาที กล่อง ECU จะสั่งให้โซลินอยด์ปิดทางเข้าน้ำมันทันที โดยแรงดันน้ำมันหล่อลื่น จะลดต่ำลงไปและไม่สามารถเอาชนะแรงดันสปริงที่ดัน สลักได้ ในจังหวะนี้ระบบ Hyper VTEC จะไม่ทำงาน จนกว่าความเร็วรอบของเครื่องยนต์จะสูงขึ้นถึงที่ระดับ 6,750 รอบ/นาที
ข้อดีของระบบ Hyper VTEC นี้ จะช่วยให้เครื่องยนต์มีสมรรถนะในส่วนของแรงบิดเพิ่มมากขึ้น ทั้งในช่วงความเร็วรอบต่ำและความเร็วรอบสูง โดยในช่วงที่เครื่องยนต์มีความเร็วรอบต่ำอยู่นั้นจะมีแรงบิดเพิ่มขึ้นถึง 60% ส่วนในจังหวะที่ใช้ความเร็วสูงนั้นแรงบิดเพิ่มขึ้นอีก 20% นอกเหนือจากนี้ยังช่วยลดแรงเสียดทานที่เกิดขึ้นจากการทำงานของวาล์ว ช่วงความ เร็วรอบต่ำ เนื่องจากวาล์วจะทำงานแค่เพียงสองตัวเท่านั้น ซึ่งก็จะช่วยให้สามารถประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้มากขึ้นกว่าเครื่องแบบธรรมดาทั่วไป
ใช่ว่าการทำงานของ Hyper VTEC จะหยุดอยู่เพียงแค่นั้น ฮอนด้ายังได้ทำการพัฒนาระบบ Hyper VTEC ขึ้นไปอีก โดยในปี 2002 วิศวกรฮอนด้าได้พัฒนาระบบ Hyper VTEC ให้ดีขึ้น ซึ่งเวอร์ชั่นที่มีชื่อว่า Hyper VTEC Spec II ทางฮอนด้า ได้พัฒนาโดยลดความเร็วรอบในการเปิดวงจรระบบ Hyper VTEC ลงจาก 6,750 รอบ/นาที ให้เริ่มเปิดที่ 6,700 รอบ/นาที ต่อมาในปี 2003 ทีมวิศวกรก็พัฒนาจังหวะควบคุมการเปิด-ปิดวาล์ว ไอดี-ไอเสียให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยกำหนดให้ในช่วงความเร็วรอบ ไม่เกิน 6,300 รอบ/นาที ระบบจะกำหนดให้อยู่ในช่วงความเร็วรอบต่ำ และใช้เกียร์ 1-5 และวาล์วจะเปิดเพียงอย่างละตัวเท่านั้น แต่เมื่อความเร็วรอบเพิ่มขึ้นจนถึง 6,750 รอบ/นาที ระบบจะกำหนดให้เป็นช่วงความเร็วสูงและเกียร์จะอยู่ที่เกียร์ 6 วาล์ว ไอดี-ไอเสีย จะเปิดกว้างสุดทั้งหมด ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นที่ 3 คือ Hyper VTEC Spec III นั่นเอง
[size=4][color=DarkOrange]ข้อมูลจาก หนังสือ ไซเคิลโรด ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ 2550
ขออนุญาต และขอบคุณ กองบรรณาธิการ cycle road team
CB400SFโมเดลแรก ปี92-93 ชื่อโค้ดมันคือ XXXXXเช็คได้ที่ตรงเฟรมใต้เบาะ เลขคอของรุ่นนี้คือ XXXXXX ขึ้นไป เลขเครื่องคงไม่ต้องสนใจมาก เพราะว่า ป่านนี้อายุการใช้งานคงสูงพอที่จะต้องเปลี่ยนเครื่องแล้ว ตอนนี้โมเดลนี้ยังเป็นที่นิยมสำหรับผู้ที่ยังต้องการเอสเอฟในรูปแบบมีทะเบียน ข้อดี ของรถรุ่นนี้คือ ล้มแล้วไมล์ไม่ค่อยแตก เครื่องยนต์ทนทาน ดูแลรักษาง่าย ข้อเสียคือ แผ่นชาร์ทไม่ทนสักเท่าไร เพราะว่าอยู่ในจุดที่อับลม ไม่สามารถระบายความร้อนได้ทันและเฟรมอ่อนถ้าล้มแรงหรือชนแรงๆเปอร์เซ็นต์เฟรมคดจะมีสูงมาก ข้อเสียที่สำคัญ ณ ปัจจุบันอีกเรื่องหนึ่งก็ คือ ความเสื่อมสภาพของอุปกรณ์ติดรถครับ ถ้าเป็นรถที่มีป้ายในบ้านเรา พวกท่อยางหม้อน้ำ ยางปากคาร์บูซีลต่างๆน่าจะหมดสภาพแล้วครับ ปี94 เลขคอคือ XXXXXXXX ขึ้นไป เลขเครื่อง เป็น XXXXXXXX ขึ้นมา โค้ดที่ตัวถังบริเวณใต้เบาะคือ xxxxxxx ได้รับการเพิ่มเกจ์วัดน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปในเรือนไมล์ด้วย หรือคนไทยนิยมเรียกว่าไมล์สามลูก ซึ่งถ้าลมปุ๊บ ปวดกบาลปั๊บทันทีเพราะว่า เกือบทั้งหมดจะเสื้อไมล์แตก(ราคาเสื้อไมล์ตกราวๆสองพันบาท) และเอสเอฟ แบบมีทะเบียนแท้สำหรับปี94นี้ยังพอมีให้เห็นอยู่บ้างแต่ข้อนข้างน้อย ถ้าเลือกจะเล่นรถมีทะเบียน ความเห็นผมคือ มันน่าเล่นกว่าตัวปี92-93 มีทะเบียนครับ เอสเอฟปี94ได้รับการแก้ไขเรื่องระบบจุดระเบิด และเปลี่ยนลูกสูบใหม่ ส่วนภายในท่อไอเสีย ก็ได้รับการขยายไส้ท่อใหม่ ให้ใหญ่กว่าเดิม คาร์บูก็เปลี่ยนรหัสด้วยครับ จากตัว92-93ที่ใช้Keihin VP22a ก็เปลี่ยนเป็น VP22C ตัวปี94จะมีที่แขวนหมวกกันน็อคตรงมือจับท้าบเบาะด้วย มีสวิทช์ไฟฉุกเฉินที่ปะกับคันเร่ง และฝาครอบข้างใช้Emblem แทนที่จะเป็นสติ๊กเกอร์ ในปัจจุบัน คงหาปี94 ที่มีอุปกรณ์เป๊ะ ตามนี้ยากครับ
ปี95 เอสเอฟ ตัวแสตนดาร์ด ปี95 เลขคอคือ XXXXXX ขึ้นไป เลขเครื่อง เป็น XXXXXX ขึ้นมา ส่วนเวอร์ชั่นอาร์ เลขคอคือ XXXXXX ขึ้นไป เลขเครื่อง เป็น XXXXXXX ขึ้นมา สังเกตุนะครับ ว่า เลขตัวที่สามของเวอร์ชั่นอาร์ทั้งเฟรม และเครื่อง จะเป็นเลข 5 ก็เนื่องจากว่า มันเป็นคนละตัวกันกับตัวแสตนดาร์ดนั่นเอง (แรงกว่าจริง ๆ ขอบอก) โค้ดที่ตัวถังบริเวณใต้เบาะสำหรับตัวแสตนดาร์ด คือ CB400SF2S และ สำหรรับเวอร์ชั่นอาร์คือ CB400SF3S เอสเอฟ ได้รับการปรับปรุงใหม่อีกครั้งนึงเพื่อไปสู้กับXJR400Rที่มีการปรับเสปคไปใช้เบรคเบรมโบ้ และช็อคอัพหลังโอลินส์ โดยเครื่องยนต์บล็อคใหม่ สำหรับเวอร์ชั่นอาร์(เวอร์ชั่นอาร์จะมีหน้ากากและไฟเหลี่ยม)ได้รับการขยายวาล์วใหม่ ให้ใหญ่กว่าเดิมคาร์บูชุดใหม่ขนาด 29มิล(ของเดิม26มิล)ทำงานร่วมกับระบบจุดระเบิดแบบ PGM-IG ฮอนด้าได้ออก เวอร์ชั่นอาร์ที่มีการแก้ไขจากตัวสแตนดาร์ดปี94 เกือบทั้งคัน และ เครื่องยนต์ได้รับการปรับปรุงฝาสูบ-เสื้อสูบใหม่ท่อไอเสียแบบ4-2-1 ถอดเปลี่ยนปลายท่อได้ ที่เฮดเดอร์เพิ่มช่อง Sub Tube พอเปลี่ยนท่อไอเสียเป็นแบบนี้ทำให้ เวอร์ชั่นอาร์รวมไปถึงเวอร์ชั่นเอส ไม่สามารถติดตั้งขาตั้งคู่ได้เนื่องจากติดท่อไอเสียที่เลื้อยผ่านกลางลำตัวรถ ทางฮอนด้าจึงไม่ได้เชื่อมจุดยึดสำหรับติดตั้งขาตั้งคู่มาให้ด้วย ใครไม่แน่ใจว่ารถของตัวเป็นเวอร์ชั่นอาร์ แท้ๆ ก็ให้ก้มดูที่ใต้ท้องรถ จะไม่มีจุดยึดขาตั้งให้ครับ อัตราทดเกียร์ยังคงเดิมแต่เปลี่ยนอัตราทดขั้นสุดท้าบใหม่โดยการเพิ่มฟันสเตอร์หลังอีก สามฟันทำให้เวอร์ชั่นอาร์ มีอัตราเร่งที่จี๊ดจ๊าดผิดหูผิดตากับตัวธรรมดาทีเดียวเวอร์ชั่นอาร์มาหร้อมกับโคมไฟแบบกระจายแสงพิเศษ(ไฟเหลี่ยม) ตัวเรือนไมล์ของเวอร์ชั่นอาร์จะคล้ายของตัวปี92-93 แต่ตรงที่เป็นเกจ์วัดความร้อนในตัวปี92-93จะเปลี่ยนเป็นเกจ์วัดน้ำมันเชื้อเพลิงแทน และเรือนวัดรอบมีตัวเลขเพิ่มขึ้นเป็น15,000รอบต่อนาที(เอสเอฟตัวแสตนดาร์ดมี 14,000รอบต่อนาที) คันเกียร์ได้รับการปรับปรุงใหม่ด้วยในตัวปี95เฟรมเป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้เวอร์ชั่นอาร์ และ เวอร์ชั่นเอสคือมีการปรับองศาของคอรถและองศาของช็อคอัพหลัง ส่วนรายละเอียดของตัวแสตนดาร์ดปี95ให้สังเกตุตรงคาร์บูนะครับ ว่าไม่มีกะเปาะสีดำ ที่เป็นตัวเซ็นเซอร์เช็คปีกผีเสื้อ(ในเวอร์ชั่นอาร์จะมี) โคดที่ตัวถังบริเวณใต้เบาะสำหรับตัวแสตนดาร์ด คือ XXXXXX และสำหรับเวอร์ชั่นอาร์คือ XXXXX ชุดเบรคที่เหมือนปี92-94 ซึ่งถ้าใครชอบขี่แบบโหดๆขอแนะนำว่าให้เปลี่ยนผ้าเบรคเป็นเกรดเรซซิ่ง และใส่สาย stainless ถัก จะทำให้ฟิลลิ่งเบรคดีขึ้น เรือนไมล์ก็เหมือนปี94 ที่มีวัดรอบสูงสุดที่ 14000รอบต่อนาที ใครที่ใช้เวอร์ชั่เอส ปี96 ระวังตรงจุดนี้ด้วยนะครับ ลองดูว่าเรือนไมล์ของคุณ เป็นแบบนี้หรือเปล่า(มีเลขแค่14)เพราะมันจะรายงานรอบความเร็วไม่ตรงกับเครื่องยนต์ของเวอร์ชั่นเอสปี96นะครับ คราวนี้มาเริ่มที่ตัวปี 96 บ้าง เอสเอฟ ตัวแสตนดาร์ด ปี96เลขคอคือ XXXXXXX ขึ้นไป เลขเครื่อง เป็น XXXXXX ขึ้นมา ส่วนเวอร์ชั่นเอส เลขคอคือ xxxxขึ้นไป เลขเครื่อง เป็น XXXXX xxxx ขึ้นมา โค้ดที่ตัวถังบริเวณใต้เบาะสำหรับตัวแสตนดาร์ด คือ CB400SF2T และ สำหรับเวอร์ชั่น S คือ CB400SF3T ปีนี้เป็นปีเดียวที่ทางฮอนด้า ออกเอสเอฟ เวอร์ชั่นเอสมาถึงสองครั้ง ครั้งแรกคือ ตอนต้นเดือนกุมภา ส่วนอีกครั้งนึงคือ ตอนปลายปี เดือนพฤศจิกา ซึ่งตัวที่ออกปลายปีถือเป็นเวอร์ชั่นเอส ปี97-98นะครับ ตัวถังยังคงเหมือนเวอร์ชั่นอาร์ทุกประการไม่ว่าจะเป็นเฟรม เครื่องยนต์ ท้าย แต่ที่เปลี่ยนไปมีดังนี้ 1.เรือนไมล์ กลับมาใช้แบบสามลูกและไม่ใช้หน้ากากแล้ว 2.ช็อคอัพหลังเปลี่ยนรูปทรงใหม่ 3.ระบบเบรคหน้า เปลี่ยนไปใช้แบบสี่ลูกสูบเป็นครั้งแรก และมีการแก้ไขปรับปรุงจานเบรคใหม่ เพื่อเพิ่มพื่นที่สัมผัสให้มากขึ้น 4.แผงพักเท้าแบบตาข่ายเปลี่ยนจากสีเงินเป็นสีดำ 5.น้ำหนักรถ เบาลงไป1กิโล เป็น 174กิโล (เวอร์ชั่นอาร์175 กิโล) ส่วนเครื่องยนต์ยังเหมืน เวอร์ชั่นอาร์ ปี95 ปลั๊กหัวเทียนเป็นสีแดงและช็อคอัพหลัง new look showa เรือนไมล์ของเวอร์ชั่นเอสปี96 ตัวเลขเป็นสีขาวนะครับจำไว้ให้แม่นๆว่ามีตัวเลขถึง 15000รอบต่อนาที อย่างไรก็ดี เอสเอฟ ปี96 ถือว่า ดีกว่าเอสเอฟ ปี92-95 แต่ก็ยังไม่ดีพออยู่ดี ถ้าใครอยากซื้อมาแต่ง ถือว่าคุ้ม แต่ถ้าจะซื้อมาขี่แบบเดิมๆ ผมว่า หาตัวปี97ขึ้นมาจะเวิร์คกว่าครับ
เอสเอฟปี97-98 เลขคอ ของตัวแสตนดาร์ด เริ่มที่ xxxx เลขเครื่องเริ่มที่ -xxxx ขึ้นมา ส่วนเวอร์ชั่นเอส เลขคอคือ xxxxขึ้นไป เลขเครื่อง เป็น xxxx ขึ้นมา โค้ดที่ตัวถังบริเวณใต้เบาะสำหรับตัวแสตนดาร์ด คือ CB400SF2V และ สำหรับเวอร์ชั่น S คือ CB400SF3V ผมขอเริ่มจากตัวแสตนดาร์ดก่อนดูเผินๆจะต่างจากเวอร์ชั่นเอสเพียงแค่พักเท้ากับท่อไอเสียแล้วก็เรือนไมล์เท่า นั้นเองระหว่างตัวแสตนดาร์ดกับเวอร์ชั่นเอส แต่ดูรวมๆก็นับว่าดูดีมากแต่สิ่งที่เปลี่ยนไปสำหรับภายในเมื่อเทียบกับตัวก่อนๆก็คือ เครื่องยนต์ครับฮอนด้าได้ปรับปรุงท่อไอดีใหม่ให้ยาวกว่าเดิม ปรับระบบจุดระเบิดใหม่ และทำไส้ท่อใหม่ให้มีขนาดสั้นลง ระบบเบรคเปลี่ยนจากสองลูกสูบ มาเป็นสี่ลูกสูบครั้งแรก ในเวอร์ชั่นแสตนดาร์ด จานเบรคเปลี่ยนจากสีดำมาเป็นสีทอง และเปลี่ยนทรงโรเตอร์ตัวในใหม่ ช็อคอัพหลังเปลี่ยนมาใช้แบบเวอร์ชั่นเอสปี96 ท้ายใหม่ชิ้นเดียว สุดสวย ซึ่งตัวปี 92-96 สามารถแปลงใส่ได้ แต่ต้องหมดตังค์ราวๆสี่-ห้าพันบาท (ค่าท้ายพันห้า,ค่าชุดยึดท้าย พันห้า-สองพัน,ค่าแปลงเบาะหนึ่งพัน) คราวนี้มาดูเวอร์ชั่นเอส กันบ้าง มีจุดเด่นหลายอย่างเช่น ชุดเรือนไมล์ แบบตัวเลขและเข็มเป็นสีแดงสวยมากๆ คาลิปเปอร์เบรคหน้าของเบรมโบ้ กันสะเทือนหน้าแบบปรับความแข็งสปริงได้ กันสะเทือนหลังยังคงเหมือนตัวเวอร์ชั่นเอส ปี96 และก็ยังมีตัวพิเศษ ฉลองครบรอบ 50ปี ของฮอนด้าด้วย โดยจะเป็นเวอร์ชั่นเอส ทำสีพิเศษ ขาวแดง มี Emblemที่ข้างรถ ล้อเป็นสีทอง ผลิตจำนวนจำกัด เพียงแค่500คันในโลก ออกวางจำหน่ายเมื่อวันที่19มิถุนายน 1998 รุ่นนี้เป็นรุ่นสุดท้ายของตระกูลซูเปอร์โฟว์ NC31 จริงๆเพราะว่าเดือนกุมภาพันธ์ ปีต่อมาฮอนด้าก็ขึ้นเจเนเรชั่นใหม่ ของซูเปอร์โฟร์ เป็น NC39 และปรับปรุงทุกๆสองปีจนแตกต่างกับตัวแรกเมื่อปี92อย่างสิ้นเชิง
SF400 รุ่นแรก ผลิตในปี 92-93 รหัสรุ่น CB400SF2N ดูที่ใต้เบาะครับ รุ่นที่ 2 ผลิตปี 94 รหัสรุ่นคือ CB400SF2R ดูที่ใต้เบาะ - ในเรือนไมล์จะมีเกจวัดน้ำมันเชื้อเพลิง ที่เค้าเรียกกันว่า ไมล์ 3 ลูก รุ่นที่ 3 ผลิตปี 95 จะมี 2 รุ่น คือ 1. Standard ไมล์วัดรอบจะมีแค่ 14,000 รอบ 2. Version R ไมลืวัดรอบจะมี 15,000 รอบ - ตัวปกติจะมี รหัสรุ่นคือ CB400SF2S ดูที่ใต้เบาะ - version R รหัสรุ่นคือ CB400SF3S ดูที่ใต้เบาะ รุ่นต่อมา ปี 96 จะมี 2 รุ่นเหมือนกัน 1. standard 2. version s เรือนไมล์ตัวเลขเป็นสีขาว วัดรอบมี 15,000 รอบ - standdard รหัสรุ่นคือ CB400SF2T - version s รหัสรุ่นคือ CB400SF3T ตัวนี้จะไม่ค่อยแตกต่างจากตัวปี 95 มากนัก ที่เปลี่ยนก็มี 1. เรือนไมล์ กลับมาใช้แบบสามลูก และไม่ใช้หน้ากากแล้ว 2. ช็อคอัพหลังเปลี่ยนรูปทรงใหม่ 3. ระบบเบรคหน้า เปลี่ยนไปใช้แบบ สี่ลูกสูบเป็นครั้งแรก และมีการแก้ไขปรับปรุงจานเบรคใหม่ เพื่อเพิ่มพื้นที่สัมผัส 5. แผงพักเท้าแบบตาข่ายเปลี่ยนจากสีเงิน เป็นสีดำ 6. น้ำหนักรถ เบาลงไป 1กิโล เป็น 174กิโล (เวอร์ชั่นอาร์ 175กิโล) รุ่นสุดท้ายที่เป็นรหัส NC31 เพราะตัว Vtec จะเป็น NC39 รุ่นนี้จะเป็น SF ปี 97-98 ( ตัวที่ผลิตเดือน พ.ย. ปี96 ถือว่าเป็นตัวนี้เหมือนกันนะครับ ) มี2 รุ่นเช่นกัน 1. standard รหัสรุ่น CB400SF2V 2. version s รหัสรุ่น CB400SF3V จุดที่แตกต่างของ version s ก้คือ คราวนี้มาดูเวอร์ชั่นเอส กันบ้าง มีจุดเด่นหลายอย่างเช่น - ชุดเรือนไมล์ แบบตัวเลขและเข็ม สีแดง สวยมาก ๆ - คาลิปเปอร์เบรคหน้าของเบรมโบ้ - กันสะเทือนหน้าแบบปรับความแข็งสปริงได้ - กันสะเทือนหลังยังคงเหมือนตัวเวอร์ชั่นเอส ปี96
ปี 92-93 หมายเครื่องคอ NC31-1000000 ขึ้นไป โค้ดใต้เบาะ CB400SF2N
-ปี 94 หมายเลขคอ NC31-1200000 ขึ้นไป หมายเลขเครื่อง เป็น NC23E-150-xxxx ขึ้นไป โค้ดใต้เบาะ CB400SF2R
-ปี 95 standard หมายเลขคอ NC31-1300000 ขึ้นไป หมายเลขเครื่อง เป็น NC23E-160-xxxx ขึ้นไป โค้ดใต้เบาะ CB400SF2S
-ปี 95 Version R หมายเลขคอ NC31-1350000 ขึ้นไป หมายเลขเครื่อง เป็น NC23E-165-xxxx ขึ้นไป โค้ดใต้เบาะ CB400SF3S
-ปี 96 standard หมายเลขคอ NC31-1400000 ขึ้นไป หมายเลขเครื่อง เป็น NC23E-170-xxxx ขึ้นไป โค้ดใต้เบาะ CB400SF2T
-ปี 96 Version S หมายเลขคอ NC31-1450000 ขึ้นไป หมายเลขเครื่อง เป็น NC23E-175-xxxx ขึ้นไป โค้ดใต้เบาะ CB400SF3T
-ปี 97-98 standard หมายเลขคอ NC31-1500000 ขึ้นไป หมายเลขเครื่อง เป็น NC23E-180-xxxx ขึ้นไป โค้ดใต้เบาะ CB400SF2V
-ปี 97-98 Version S หมายเลขคอ NC31-1550000 ขึ้นไป หมายเลขเครื่อง เป็น NC23E-185-xxxx ขึ้นไป โค้ดใต้เบาะ CB400SF3V
-V-TEC ปี 99 - 00 หมายเลขคอ NC39-1000000 ขึ้นไป หมายเลขเครื่อง เป็น NC23E-200-xxxx ขึ้นไป
ดูเลขใต้เบาะ CB400SF VTEC (NC39) ปี 99.........CB400SFX ปี00..........CB400SFY ปี01..........CB400SF1 ปี02..........CB400SF2 ปี03..........CB400SF3
รหัสสีหลักๆ เอาไว้ดูรถนะครับ PB215 สีน้ำเงิน NH411 สีบรอนซ์เงิน R101 สีแดง NH341H สีขาว NH418K สีดำ ํY124 สีเหลือง
เครดิตจากคุณ hs7qlz และ the cycle
เพื่อความใกล้ชิดเพื่อนๆมากกว่าเดิม ผมได้เปิดเพจใหม่ในเฟสชื่อว่า www.facebook.com/ThaiSuperbike like กันเยอะๆนะครับ แล้วเจอกันในเพจใหม่คร๊าบ
Create Date : 19 มิถุนายน 2553 |
|
12 comments |
Last Update : 13 พฤศจิกายน 2556 12:35:18 น. |
Counter : 5655 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: veerar 4 กรกฎาคม 2553 21:03:06 น. |
|
|
|
| |
โดย: popktb 5 กรกฎาคม 2553 12:27:38 น. |
|
|
|
| |
โดย: not mc IP: 114.128.134.224 6 กันยายน 2553 1:30:57 น. |
|
|
|
| |
โดย: นัทเด็กดอนฯ IP: 125.26.185.69 1 มีนาคม 2554 21:06:02 น. |
|
|
|
| |
โดย: วุฒิ IP: 124.122.186.152 21 มิถุนายน 2554 13:56:48 น. |
|
|
|
| |
โดย: popktb 28 มิถุนายน 2554 16:39:27 น. |
|
|
|
| |
โดย: บิ๊ก IP: 118.172.103.250 3 กรกฎาคม 2554 15:17:02 น. |
|
|
|
| |
โดย: popktb 12 กรกฎาคม 2554 12:33:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: max IP: 223.205.129.12 6 ตุลาคม 2554 15:51:05 น. |
|
|
|
| |
โดย: popktb 10 ตุลาคม 2554 12:37:08 น. |
|
|
|
| |
โดย: bluenut456 IP: 118.172.72.188 5 สิงหาคม 2555 15:16:17 น. |
|
|
|
| |
โดย: popktb 8 สิงหาคม 2555 13:08:57 น. |
|
|
|
| |
|
|
|
|
|
|
|
|
สวัสดีครับ พอดีว่าผมกำลังหาข้อมูลของเจ้า vtecIII อยู่พอดีเลย (พอดีเจอ blog คุณในวันที่ 15 มิถุนายน 2553) เจ๋งมากครับ ลึกจริงๆเลย ขอบคุณที่เอามาลงไว้นะครับ