Group Blog
 
 
มิถุนายน 2550
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
1 มิถุนายน 2550
 
All Blogs
 
ลังกาวี 2550 : นี่เราไปเที่ยวต่างประเทศจริง ๆ หรือนี่



ด้วยผลพวงของโปร 0 บาท ที่หลอกเราได้ทุกครั้งที่มี เลยหลวมตัวจองลังกาวีไป เหตุผลที่เลือก(โดยแม่เราเอง)คือ เห็นมีกระเช้าเปิดใหม่ เลยไปนี่แหละ อยากนั่งกระเช้า(แม่เป็นโรคจิตนิด ๆ ชอบนั่งกระเช้าสูง ๆ โอ้ว นินทาแม่ บาปกินหัวอีกแร้ว) แล้วก็ดันจองได้อีกตะหากทั้ง ๆ ที่จองแบบไม่เต็มใจ คลิกเข้าไปเล่น ๆ ตอนที่ตลาดวายแล้ว ก็ดันได้อีกแน่ะ เฮ้อ เศร้าจังเสียตังค์อีกแล้ว เท่านั้นยังไม่พอ พอเอาไปบ่นที่ทำงาน แทนที่จะได้รับความเห็นใจ กลับได้ลูกทัวร์เพิ่มมาอีก โอ้ เครียดเลย มะรุจะหาอะไรให้เที่ยว ไปตั้ง 4 วัน เพราะมีเที่ยวบินวันเสาร์ กลับวันอังคาร (วันอื่นคงมี แต่ลืมแระ

และแล้ว จากการหาข้อมูลอย่างเดียวดาย (ทุกคนฝากความหวังไว้เต็มที่ประมาณว่า ชั้นเชื่อใจเธอ จะรู้มั๊ยเนี่ยว่าเชื่อผิดคนซะแล้ว หุ หุ) เราก็มาเจอกันในวันเสาร์เวลาเที่ยงกว่า ๆ เพื่อจะไปขึ้นเครื่องบินเวลา 13.55 น. รีบมาก่อนเวลา เพราะครั้งนี้ เราต้องไปกินข้าวกลางวันที่สนามบิน เล็งเอาไว้ที่ Lounge ของ King Power กะ Louis Travern(หรูหราแต่ไม่เสียตังค์คือจุดมุ่งหมายของเรา) แต่กว่าจะเดินหา Lounge ของ King Power ก็แล่นเอาแฮ่กเหมือนกัน เพราะอยู่ซะสุดของปีกซ้ายของสนามบินเลย ในขณะที่เราต้องไปขึ้นเครื่องบินที่ปีกขวา แต่เพื่อของฟรี เราทำได้ค่ะ

หลังจากที่กินขนมและน้ำกันอย่างเพลิดเพลินแล้ว กลุ่มแรกซึ่งเป็นกลุ่มคนแก่ก็เดินนำไปก่อน(ทัวร์คราวนี้เป็นทัวร์จับฉ่าย รวมเอาครอบครัวกะที่ทำงานมาเป็นกรุ๊ปเดียวกัน) พอกลุ่มแรกเดินไปถึงในเวลา Boarding พอดี ปรากฎว่าไม่มีผู้โดยสารนั่งรอแล้ว เค้าขึ้นรถบัสไปกันหมดแล้ว ตายละสิ เหงื่อตก เพราะอีกกลุ่มนึงยังเดินตามมาอยู่ เลยโทรไปตาม ทีนี้ละ วิ่งหน้าตั้งมาเลย ปรากฏว่าวันนี้ผู้โดยสารน้อย แค่ 60 คนเอง เลยใช้เวลา Board ไม่นานนัก สามารถเลือกนั่งบนเครื่องได้ตามสบาย

ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 35 นาที เราก็มาถึงเกาะลังกาวีแล้ว ใกล้กับประเทศไทยมั่ก ๆ เพราะเพิ่งเห็นทะเลสาปสงขลามาหยก ๆ ก็ถึงแล้ว สนามบินที่นี่อยู่ริมทะเลเลย พอลงจากเครื่อง ระหว่างรอรับกระเป๋า จะมีเคาน์เตอร์ทัวร์ตั้งอยู่ ถ้าจะติดต่อเช่ารถหรืออะไรก่อนเข้าเมือง ก็ติดต่อซะตรงนี้ เพราะถ้าท่านหวังจะไปติดต่อข้างนอกนั้น ท่านจะพบกับความผิดหวังเหมือนเรา เพราะสนามบินที่นี่ไม่มีเคาน์เตอร์ทัวร์ข้างนอกเลย กำลังกลุ้มอยู่ว่าเราจะทำไงดี เพราะกะว่าจะเช่ารถขับเข้าเมืองไปเลย กำลังจะเดินเข้าไปข้างในใหม่อีกรอบนึง เจ้าหน้าที่ทัวร์ที่เราคุยค้างไว้ก็โผล่มาในทันใด พร้อมกับพาเรามาดูรถเช่า เราเลือกได้ Toyota Innova สีดำที่ค่อนข้างใหม่ที่เดียว ในราคาตลอดทริป 3 วัน 320 RM

เอาหละ เริ่มเดินทางกันได้แล้ว พอเติมน้ำมันเสร็จก็เดินทางเข้าที่พักเลย เราจองที่พักที่ Bella Vista Hotel ได้มา 2 ราคา เพราะตอนแรกจองผ่านเวป goholiday ได้คืนละ 100 RM พอเข้าไปจองครั้งที่ 2 ปรากฏว่าไม่สามารถจองได้ (ในเวปขึ้นว่าเต็มแล้ว แต่พอไปจริง ๆ มันไม่มีทางเต็มหรอก เพราะโรงแรมมีห้องเยอะมาก) ก็เลยหาใหม่ ดันได้ราคาถูกกว่าเดิม คือคืนละ 88 RM จาก//www.langkawi-online.com/

ราคาถูกเฉพาะโรงแรมนี้เท่านั้น เพราะเป็นบริษัทในเครือกัน ส่วนโรงแรมอื่น ๆ ดูราคาแล้วเวป goholiday ของแอร์เอเชียจะถูกที่สุด พอรถขับเข้ามาในเขตตัวเมืองกัวห์แล้ว ซักพักเราก็เห็นโรงแรมเราสวยเด่นอยู่ริมทะเลเหมือนในรูปถ่ายเลย พอวิ่งเข้าทางเข้าที่วกวนก็ยิ่งสวยใหญ่ เหมือนปราสาทเจ้าหญิง ลูกทัวร์ทุกคนกิ๊วก๊าวฝันหวานถึงโรงแรมริมทะเลระดับสามดาวสวยหรูกันใหญ่ มีแต่หัวหน้าทัวร์ที่ยังรู้สึกระแวงอยู่ เพราะเคยเจอโรงแรมสวยหรูดูดีอย่างนี้มาแล้วที่กัวลาลัมเปอร์ แต่เข้าไปข้างในเนื่ย สยองขวัญสุด ๆ โดยเฉพาะห้องน้ำ ก็เลยปราม ๆ ลูกทัวร์ไว้หน่อย กลัวจะผิดหวัง

รูปโรงแรมสวยของเรา


Grill Bar ริมหาด(หิน)


แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเลย ข้างนอกดูดีมั่ก ๆ ในห้องนอนก็พอได้ สมราคา แต่ห้องน้ำเน่าจังเลย มีคราบอยู่ตามซอก โถส้วมก็เหลือง ๆ ดูเป็นห้องน้ำที่ใช้มานานหลายปี โดยไม่คิดจะปรับปรุงเลย ผ้าม่านที่กันน้ำกระเซ็นก็มีราขึ้นประปราย

ห้องพักที่ถ่ายออกมาดูดีกว่าของจริงมั่ก ๆ


แต่อย่างไรก็ตามราคาคืนละ 88 RM มีข้าวเช้าด้วยก็ดูเป็นราคาที่รับได้นะ หมดโอกาสเปลี่ยนโรงแรมเพราะจองมาทีเดียว 3 คนเลย

ปลงเรื่องห้องได้แล้วเราก็ออกเที่ยวกัน เริ่มจากไปเที่ยวในตัวเมืองกัวห์ มีแต่ร้าน Duty Free เต็มไปหมด แต่เรายังไม่ซื้อ ขอเช็คราคาก่อน แล้วก็ขับรถไปเรื่อย ๆ จนไปถึงท่าเรือ เห็นตู้บริษัททัวร์เรียงรายเต็มไปหมด เลยซื้อทัวร์พรุ่งนี้ซะเลย เราเลือกเอา Mangrove Tour ราคาหัวละ 160RM แต่ถ้ามากันเป็นหมู่คณะก็เป็นราคาเหมาลำ เหลือ 300RM สำหรับทั้งกรุ๊ป เอ๊ะ ราคามันเหวี่ยงกันเหลือเกิน ถูกลงอย่างน่าใจหาย แต่เราก็เป็นคนไทยที่ดี ต้องต่อไว้ก่อน เลยมาหยุดราคาที่ 250 RM จ่ายเงินสดเลย แล้วก็ต้องขับรถไปที่ท่าเรือเอง (กลัวใช้รถไม่คุ้ม) ทัวร์ที่เราไปนี้ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง นั่งเรือชมป่าชายเลน ถ้ำจรเข้ ฟาร์มปลา ถ้ำค้างคาว ดูการให้อาหารนกอินทรีย์ แล้วก็ไปถ้ำ Cerita ทัวร์นี้เป็นการล่องแม่น้ำ Kilim เพื่อชมระบบนิเวศน์ป่าชายเลน ซึ่งอยู่ในส่วนของ Geology Park ของลังกาวี

จัดการเรื่องทัวร์เสร็จก็หาข้าวเย็นกิน ด้วยความไม่คุ้นเคย + หิว เราเลยเลือกเข้าไปร้านหนึ่งซึ่งไฟสวยดี คาดว่าคงพอกินได้ น้องคนขายก็เป็นคนไทย คณะทัวร์เลยได้ที ถามกะสั่งกันใหญ่เลย แต่ก็ได้อาหารที่ไม่ถูกปากนัก กินกันเยอะคงเป็นข้าวผัด เพราะดูคุ้นปากสุด อิ่มแค่ครึ่งท้อง พอกินน้ำตามก็อิ่มพอดี ๆ แล้วกลับมาเดินตลาดค่ำกันต่อ ก็เหมือนตลาดนัดบ้านเรา ไม่ค่อยรู้สึกแตกต่าง พอคุยกะแม่ค้า ก็คุยภาษาไทย เพราะเป็นคนไทยมาขายของที่นี่ เดินตลาดเสร็จก็นั่งรถกลับโรงแรม โอ้โห แถว ๆโรงแรมนี่มีร้านอาหารทะเลต็มไปหมดเลย คนแน่นทุกร้านอีกต่างหาก เป็นอาหารจีนที่ดูถูกปากกะกรุ๊ปของเราด้วย แล้วเราอุตส่าห์ถ่อไปกินตั้งไกล ไม่อร่อยอีกต่างหากทำไม่เนี่ย นอนดีกว่า

วันที่สองแล้ว ก้า ๆ

วันนี้ตึ่นเช้ากันหน่อย เพราะนัดเรือเอาไว้ 9 โมงกว่า ๆ เลยต้องรีบตื่นมากินอาหารเช้าฟรี ก็เป็นไข่ดาว ไส้กรอกกะหมู เอ้ย แฮมไก่ แล้วก็มีผัดหมี่ที่เปลี่ยนเส้นทุกวันแต่รสชาดเดิม ผัดผัก(วันอื่นเป็นมันทอดแบบ Curly Fried) แล้วก็ข้าวต้มที่ไม่มีกับแบบเรากิน แต่มีเครื่องเป็นหอมเจียว(อิ อิ อันนี้ชอบมาก เอามากินเล่น) หัวไชโป๊ว ต้นหอม และถ้วทอด น้องในกลุ่มเลยมีความคิดสร้างสรรค์ไปซื้อผักดองกระป๋องมากินเป็นกับในวันต่อ ๆ ไป

เริ่มทัวร์กันดีกว่า เรานัดกับเรือไว้ที่หาดTanjung Rhu พอไปถึง ก็มีคนพาไปลงเรือเลย ล่องชมป่าโกงกางดูปูดูลิงไปตามทาง อารมณ์ประมาณเที่ยวป่าโกงกางแถว ๆ ชุมพร หรือกระบี่เลย



มาถึงฟาร์มปลา



ดูปลากระเบนจอมตะกละ พอเอาปลามากวักเรียก ก็แถมาอย่างรวดเร็ว



ปลาเก๋าเต้ยตัวอวบ น่ากินสุด ๆ



แล้วเราก็มาถึงถ้าค้างคาว ก็เป็นถ้ามีค้างคาว แหะ แหะ กธตามแบบถ้ำที่มีค้างคาว พอเดินถึงหน้าถ้าปุ๊บ กินอุจจาระค้างคาวก็โชยมาบอกว่า มาไม่ผิดที่แระ พอดีเจอกะคู่นักท่องเที่ยวคู่หนึ่ง มีไกด์มาบรรยายให้ด้วย ดีจัง ไปสิงฟังด้วดีกว่า ไกด์บรรยายละเอียดประมาณว่ารู้เพศของปูตัวเล็ก ๆ เลย (มองเห็นได้ไงเนี่ย ตัวกระจิ๊ดนึง) แล้วเราก็นั่งเรือต่อมาชมการให้อาการนกอินทรีย์ โดยมีคนไปโปรยเนื้อไก่เอาไว้ แล้วจอดเรือคอยดูอยู่ห่าง ซักพักนกอินทรีย์ก็บินมาโฉบไก่ไปกิน



แล้วคนขับเรือก็เบี่ยงหัวเรือออกสู่ท้องทะเลกว้าง ระหว่างนั้นฝนก็ตกลงมา เลยอดถ่ายป้าย Geology Park เลย เป็นป้ายสีขาวปักอยู่บนหน้าผา ดูเท่ห์ดี นั่งไปด้วยความเสียว เพราะทั้งลำไม่มีเสื้อชูชีพเลย
แล้วเรือก็มาจอดที่หาดเล็ก ๆ อันหนึ่ง พวกเราก็ต้วมเตี้ยม ๆ ใต่เรือลงไปแต่โดยดี โดยไม่รู้ว่าให้เรามาเที่ยวอะไรเนี่ย เลยไปอ่านป้ายดู ที่นีคือ Cerita Cave ขออภัย จำประวัติไม่ได้แล้ว แต่จำได้ว่าเขาเขียนไว้ว่าถ้ำนี้มี 2 ส่วน ส่วนที่ 2 คือส่วนบน จะเห็นวิวที่สวยมาก



พอขึ้นไปจริง ๆ มันไม่มีอะไรเลย แต่พวกเราก็อุตส่าห์พยายามหารูทางเข้าเพื่อจะไปต่อ จนสุดท้ายมันไม่เจอจริง ๆ เลยกลับดีกว่า พอหันหลังมาก็ถึงบางอ้อ เราอยู่ที่ถ้ำส่วนบนเรียบร้อยแล้ว เพราะหันหลังไปเราก็พบกับวิวของอ่าว และน้ำทะเลสีเทอร์คอยส์(ตามที่ป้ายบรรยาย)

รูปอ่าวที่ถ่ายจากปากถ้ำ ถ่ายให้ติดหินย้อยหน้าถ้าด้วย



ออกจากถ้ำแล้วก็ออกสู่ทะเลอีกรอบ ทีนี้คนขับเรือชี้ให้ดูแผ่นดินที่อยู่ไม่ไกลออกไป คือจ.สตูลประเทศไทยเรานี่เอง แล้วก็พากลับท่าเรือ เป็นอันจบทัวร์

ก่อนกลับก็มาแวะหาด Tanjung Rhu นิดนึงแบบมองจากในรถว่ามาแล้ว แล้วก็จากไปเพราะเริ่มหิวแล้ว หาดนี้อยู่ในส่วนบนสุดของเกาะทางทิศตะวันออก บริเวณก่อนถึงหาด เป็นที่ตั้งของโรงแรมหรู 2 แห่ง ด้วยความติดหรูของหัวหน้าทัวร์ จึงชวนลูกทัวร์ไปแวะฉี่กันดีกว่า เพราะต้องเดินทางไปไกล ห้องน้ำจะสะอาดหรือเปล่าไม่รู้ และโรงแรมโชคร้ายของเราเช้านี้คือ Tanjung Rhu Resort เพราะถึงก่อน
เราขับรถเข้าไป โดยมีหน้าม้า 1 คน (ก็หัวหน้าทัวร์แหละ)ไปถามหา Front Office เพื่อถามเรื่องห้อง เพราะดันเดินเข้าผิด ไปเข้าร้านอาหารแทน แล้วก็เฟอะฟะเดินหลงทางอีกตะหาก กว่าจะเดินไปถึงเคาน์เตอร์ข้างหน้าก็แฮ่ก

ทางไปสระว่ายน้ำ เห็นหาดของโรงแรมอยูลิบ ๆ


ถ่ายสวนหน้าโรงแรม ระหว่างรอลูกทัวร์เข้าห้องน้ำ



เสร็จภารกิจแล้วก็หาข้าวกินกันต่อ ก็มั่วไปอีกแล้วมาเจอร้านนี้ อยู่ที่ Telaga Habour Park เป็นร้านขายเหล้าตอนเย็น ชื่อ Topaz ขายอาหารฝรั่ง ราคาค่อนข้างสูงซักหน่อย แต่บรรยากาศดี นั่งกินไปดูเรอยอร์ชที่จอดไป ร้านก็แต่งน่ารักดี



คณะทัวร์ลังเลอยู่นาน เพราะไม่รู้จะสั่งอะไรดี อ่านแล้วนึกภาพไม่ออกซักกะจาน(ไอ้ที่นึกภาพออกก็ดันไม่อยากกิน)และแล้วทางร้านก็ทนดูเราลังเลไม่ไหว ก็เลยเสนอให้สั่ง Seafood Plater หน้าตาเหมือข้าวผัดสเปนจานใหญ่บึ้ม แต่มากก็ถูกใจทุกคน(จานนี้ตกเกือบ ๆ 600 บาท) แล้วก็สั่งอาหารมาอีก 2 อย่างก็จานใหญ่ ๆ ดี


อิ่มแล้ว แอบแวะไปดู Anna & The King Gallery ปรากฏว่าปิดร้างเอาไว้ ห้ามเข้า ก็เลยไป Cable car ต่อแล้วเราก็อดขึ้น Cable car ในวันนี้ เพราะเรามีเงินไม่พอขึ้น แล้วก็ไม่รับ Credit Card ด้วย งานนี้หัวหน้าทัวร์โดนรุมเลย ที่ไม่แลกตังค์มาเยอะหน่อย ก็ไม่รู้นี่นาว่าที่นี่หาที่แลกเงินยากเหมือนกัน เลยแลกทีละไม่เยอะมากเพราะแลกที่สนามบิน กลัวได้ rate ไม่ดี

เราเลยขับรถเลาะลงมาตามทางเลียบฝั่งทางตะวันตกของเกาะ มาแถว ๆ หาด Pentai Cenang มาแวะที่ Underwater World แต่ไม่ได้มาเที่ยวค่ะ มาแวะเช็คราคาของฝากกันต่อ ที่นี่ช๊อคโกแลตถูกมาก ๆ ถึงมากที่สุด เจ้าลูกกลมเฟอร์เรอโร ตกลูกละ 6.5 บาทเอง ส่วนยี่ห้ออื่น ๆ ก็ถูกจริง ๆ แต่เรายังไม่ซื้อเพราะไม่ค่อยมีที่เที่ยวที่น่าสนใจ เราก็เลยกะว่าจะแวะ Duty Free เช็คราคาของแล้วซื้อกันวันสุดท้ายเลย

แล้วเราก็มาถึงใต้สุดของเกาะ ไปแวะที่โรงแรม Awana Porto Malai หน่อย จริง ๆ แล้ว เรากะว่าจะมาพักที่นี่ เพราะราคาไม่แพงมาก คืนละ 132RM ถ้าจองผ่านเวปของทางโรงแรม แต่พยายามจองแล้วจองไม่ได้(เพราะระบบขัดข้องตลอดเวลา) แล้วก็ได้พยายามส่งเมลหาโรงแรม เพื่อถามว่าถ้าเวปขัดข้องเราจะจองผ่าน อีเมลได้มั๊ย แต่ไม่ได้รับการตอบรับใด ๆ (คือได้รับอีเมล แต่ไม่ยอมตอบกลับ) โกรธจังเลย ได้หรือไม่ได้ทำไม่ไม่บอก เลยไม่จองซะเลย แต่ก็อดมาดูไม่ได้ เลยเข้าไปเดินเล่นซะหน่อย

ท่าเรือหน้าโรงแรม


ประภาคาร



แต่พอแวะเข้าห้องน้ำโรงแรม (หุ หุ สังสัยจะเป็นมากกว่านิสัยแล้ว ) รู้สึกดีจังเลย ห้องน้ำสกปรกมาก แย่ยิ่งกว่า Bella Vista ของเราอีก แสดงว่า ห้องน้ำในห้องพักก็คงแย่พอกัน หึ หึ (คิดเข้าข้างตัวเองสุดๆ)

ปิดท้ายเย็นนี้ด้วยอาหารเย็นที่ร้าน Wah Thai อาหารใต้อร่อยมากที่สุด เจ้าของร้านเป็นคนไทย ร้านอยู่ตรงใกล้ ๆ ทางเข้าโรงแรมที่เราพัก ถ้าอยู่ในพลาว่าบนถนน Padang Mat Sirat ตัดกับ Air Hangat ใกล้ ๆ กับร้าน KFC (ถ้าใครสนใจอยากกินกรุณามาถามทางละเอียดที่หลังไมค์) รู้จักร้านนี้ด้วยการนำเสนอของพ่อค้ากล้วยในตลาดกัวห์

วันที่ 3 ก้า ๆๆๆๆๆ ยังไงก็ไม่ตื่น

วันนี้ตื่นกันซะสาย เพราะไม่รู้จะไปไหนตอนเช้า อิ อิ กินข้าวเช้าเสร็จก็ออกเดินทางไป Cable Car กัน ค่าขึ้นคนละ 25 RM คุ้มจริง ๆ ต้องไปให้ได้ ทำดีมากเลย ก่อนจะไปขึ้นต้องผ่าน Oriental Village ซึ่งก็เป็นร้านขายของทั้งปลอดภาษีและของที่ระลึกต่าง ๆ มีร้านขายกล้องด้วย แต่ราคาพอ ๆ กับเมืองไทย

สะพานจีนดูสวยดี



แล้วเราก็มาขึ้นซะที ถือว่าเป็น Hi light ของทัวร์นี้เลยนะเนี่ย

ขึ้นมาแล้ว



สูงขึ้นไปอีก เห็นหมู่บ้านเล็กลงแล้ว



ระหว่างขึ้นหัวหน้าทัวร์ก็เอนเตอร์เทนลูกทัวร์เป็นระยะ ด้วยการเดินไปเดินมา ถ้ายรูปมั่ง ขย่มกระเช้าเล่นมั่ง สร้างความตื่นกลัวเป็นระยะ ๆ


แล้วเราก็มาถึงสถานีแรก มาชมวิวสถานีข้างบน กับสะพานกัน



ทิ้งสถานีแรกไว้ข้างหลัง



แล้วเราก็มาถึงจุดที่สูงที่สุดแล้ว กะว่าเดินไปที่สะพานดีกว่า สะพานนี้เป็นสะพานที่เชื่อมภูเขา 2 ลูก โดยสะพานมีเพียงเสายืดเอาไว้เสาเดียว แล้วมีสายเคเบิล ช่วยอีกที ตัวสะพานจึงเหมือนแขวนอยู่บนอากาศ เสียวดีจังเลย



วันนี้หมอกลงเยอะ มองวิวไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่ เลยไม่ค่อยเสียว แต่เดินไปที่สะพานอากาศไม่ร้อนเลย สบายดี เดินกลางสายหมอก

เสาต้นเดียวที่ยืดสะพานไว้เดียวดายกลางสายหมอด



ตอนเดินไม่เสียว แต่พอมองลงไป หลายคนขาสั่นเลย นี่ขนาดว่ามองข้างล่างไม่ค่อยเห็นนะ เพราะหมอกค่อนข้างหนา พอเราเดินกลับขึ้นมาจากสะพาน หมอกก็จางไปซะงั้น เลยถ่ายเอาไว้ดูอีกที



เราใช้เวลากับการเดินเที่ยวบนเขานานมาก สมราคาค่า Cable car จริง ๆ แล้วก็ลงมากินข้าวกลางวัน เคยอ่านไว้ว่ามีร้านอาหารที่ให้กินไปชมวิวนาข้าวไป กะว่าจะไปกินซะหน่อยก็ดันหาไม่เจอ ไปแวะเอาที่ Beras Terbakar หรือ Field of Burnt Rice ที่พระนางมสุหรีได้สาปแช่งไว้ แต่พอเดินเข้าไปกลายเป็นบ้านคน เดินต่อไม่ถูก หิวด้วย เลยไปดีกว่า กลางวันนี้ไปกินร้าน Orkid Ria เป็นร้านอาหารจีนแถว ๆ Pantai Cenang อาหารอร่อยดี คนเสริฟเป็นคนไทย เลยถามกันได้สบายปากหน่อย พอกินเสร็จก็ดันเจอร้านที่อยากกิน อยู่เยื้อง ๆ กะร้านนี้นี่เอง ชื่อ Laman Padi ไม่ได้ถ่ายรูปมา เพราะมัวแต่ไปถ่ายรูปให้นักท่องเที่ยวอินเดีย แต่บรรยากาศดี ขายอาหารฝรั่ง ราคาค่อนข้างสูง

ช่วงบ่ายนี้ก็เก็บที่เที่ยวรายทางเริ่มจาก Pantai Pasir Hitam หรือ Black Sand Beach ไปตอนน้ำขึ้นพอดี เห็นหาดแคบ ๆ ดูสกปรกไม่ค่อยน่าเล่นน้ำ สมกับคำสาปเลย

พิสูจน์ หาดทรายดำจิง จิ๊ง


ไปแวะน้ำตกต่ออยู่ข้างทางพอดี ชื่อ Durian Peragin Waterfall น้ำตกไม่น่าสนใจเลย มีท่อน้ำดำ ๆ พาดอยู่เต็ม น้ำก็ไม่ค่อยสะอาด แต่ที่เราชอบกันก็นี่เลย ต้นเงาะลูกดก ๆ เต็มไปหมด



อันนี้ไม่ได้ถ่ายผ้านะ มองถัดจากผ้าไปทางขวาจะเห็นลูกทุเรียน



แล้วก็มาถ่ายรูปกะนกอินทรีย์ซะหน่อย ภาคบังคับ เดี๋ยวคนอื่นไม่เชื่อว่ามาเที่ยวลังกาวี นกอินทรีย์เป็นสัญลักษณ์ของเกาะก็เพราะลังกาวีนี้ภาษามาเลย์แปลว่านกอินทรีย์สีแดง คงจะมีเยอะ เพราะเมื่อวานที่ไปทัวร์ก็มีแต่นกอินทรีย์สีแดงเต็มไปหมด



จากจตุรัสนกอินทรีย์ มองเห็นโรงแรมสุดสวยของเราลิบ ๆ



เย็นนี้ไปกินข้าวที่ร้าน Thailand Restaurant ตามคำแนะนำของพ่อค้ากล้วยคนเดิม แต่คราวนี้ดันไม่อร่อยแฮะ เลยลาดีกว่า มาโซ้ยโรตีข้างถนนตรงข้ามกับ Langkawi Parade ทอดได้บางกรอบดี ที่นี่เค้ากินกะแกง แต่เรากินแบบใส่น้ำตาลกะนมข้นด้วย พอดีว่ามีน้องคนไทยมาฝึกงานเป็นล่ามบอกแม่ค้าให้ เลยได้นมข้นมา ไม่งั้นต้องโรยแต่น้ำตาล

วันนี้ได้ฤกษ์ซื้อของกันแล้ว เราก็เลยแวะซื้อ เฟอร์เรอโรกันที่ร้าน Dutyfree ในเมืองกัวห์ แล้วก็ Langkawi Parade (ราคา 30 เม็ด 16.5RM) แล้วก็ เฟอร์เรอโรแพ๊คเล็ก 16 ลูกราคา 10 RM (ถูกกว่ากล่องใหญ แต่หาซื้อยาก) แล้วก็ซื้อของกินเข้าบ้าน (บ้านเราชอบมาจ่ายตลาดที่ต่างประเทศ เพราะไม่รู้จะซื้ออะไรกลับดี เลยหาของกินที่กินประจำแล้วถูกกว่าซื้อเมืองไทย) เช่นพาสต้าของ Acnesi ราคาถุงละ 30 บาท เมืองไทย 52 บาท เนยถังทองกระป๋องละ 84 บาท เมืองไทยประมาณ 150 บาท(มั๊ง)และอีกมากมาย

วันที่ 4 ตื่นสายอีกแล้ว

วันนี้ก็เที่ยวไปเรื่อย ๆ อีกเช่นเคย เริ่มต้นโปรแกรมทัวร์วันนี้ ไปสุสานพระนางประไหมสุหรี ไม่ได้ถ่ายรูปมา เสียค่าเข้าคนละ 10 RM เข้าไปดูหลุมฝังศพ กะพิพิธภัณฑ์ประวัติของพระนาง แล้วก็บ้านทรงไทย สวนนก ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่

ต่อมาก็จะแวะ Galleria Perdana หรือพิพิธภัณฑ์สะสมของที่ระลึกจากที่ต่าง ๆ ของดร.มหาธีร์ แต่ชาวคณะไม่อยากลงอย่างพร้อมเพรียงกัน ก็เลยผ่านไป ขับรถเที่ยวรอบเกาะแทน เลยไปทางเหนือสุดของเกาะทางทิศตะวันตกกัน ทางที่ขึ้นไปเป็นทางขึ้นเขาสูงและคดเคี้ยว ขับไปจนเจอ Langkawi Fall เป็นน้ำตกเล็ก ๆ ถ้าไม่มีป้าย Langkawi Fall นี่ไม่แวะจริง ๆ ด้วย

ถ้ำที่คาดว่าจะเป็นการสร้างขึ้น แต่สวยดีอยู่ข้าง ๆ น้ำตก



ขับรถไปจนสุดทาง เป็นทางปิด ห้ามเข้า แถว ๆ นี้มีรีสอร์ท อยู่ 2 แห่ง ไม่ได้แวะเข้าไปดู เพราะไม่มีไครอยากเข้าห้องน้ำเลย


ขับรถวนไปวนมาแล้วจนเบื่อ ก็กลับมากินข้าวที่เมืองกัวห์ มื้อส่งท้ายวันนี้เป็นบะหมี่เกี๊ยวหมูแดง แล้วกลับเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่โรงแรม(กลัวช๊อคโกแลตละลายถ้าไว้บนรถ) แล้วก็มาเช็คอินที่สนามบินเพื่อกลับบ้าน

ปิดท้ายการรีวิวนี้ด้วยภาพสุดท้ายของเกาะลังกาวีจากบนเครื่องบิน



ขอเผาลูกทัวร์นิดนึง หลังจากกลับมาแล้ว 1 วัน มีคน(ที่ไม่กินเนื้อวัว)สงสัยว่าบะหมี่หมูแดงที่กินมื้อสุดท้ายมันเป็นหมูจริง ๆ หรือเปล่า หรือเป็นเนื้อวัว เพราะที่นี่เป็นมุสลิมนี่นา หุ หุ สงสัยเนี่ไม่แปลกหรอกค่ะ แต่กว่าจะเริ่มสงสัยเนี่ย เนื้อที่กินเข้าไปมันเดินทางไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ไม่ช้ากินไปหน่อยเหรอจ๊ะ

สรุปค่าใช้จ่ายที่ไปคราวนี้โดยประมาณ

ค่าใช้จ่ายในลังกาวี / คน ~ 3,700 บาท
ค่าตั่วเครื่องบิน 0 บาท 2,450 บาท
รวมทั้งหมด 6,250 บาท


Create Date : 01 มิถุนายน 2550
Last Update : 2 มิถุนายน 2550 0:30:26 น. 3 comments
Counter : 6803 Pageviews.

 
Seafood Plater น่าเจี๊ยะมั่กๆเลยค่า


โดย: mOok mania วันที่: 6 มิถุนายน 2550 เวลา:15:28:29 น.  

 
ขอคุนค่ะที่หาข้อมูลมาให้อ่านค่ะ


โดย: tomtam IP: 61.7.233.200 วันที่: 19 มิถุนายน 2552 เวลา:12:13:31 น.  

 
เป็น blog มาเลย์ และแปลภาษามาเลย์ได้ดีจริงๆครับ


โดย: ต้าโก่ว วันที่: 12 กรกฎาคม 2554 เวลา:8:50:37 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

นู๋Poopy
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




http://fastwebcounter.com
Friends' blogs
[Add นู๋Poopy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.