Group Blog
มกราคม 2561

 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog
--- ป รุ ง รั ก ป า รี ส ---























บั น ทึ ก ก า ร อ่ า น

Lunch in PARIS
A Love Strory with Recipes
ป รุ ง รั ก ป า รี ส

Elizabeth Bard เขียน
ภัทรา หงษ์พร้อมญาติ แปล



'...ตั้งแต่ฉันยังเด็กมาก ฉันก็เชื่อมโยงความพิเศษสุดไม่เหมือนใครไว้กับยุคสมัยที่ผ่านไปเนิ่นนานและแสนห่างไกล ในขณะที่เพื่อนอนุบาลของฉันฝันว่าจะเป็นนักบัลเล่ต์หรือนักบินอวกาศ ฉันกลับอยากเป็นนักโบราณคดี ฉันมีหนังสือภาพสถานที่ขุดสมบัติดัง ๆ ที่พ่อกับฉันอ่านด้วยกันซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกระทั่งปกแข็งของมันแทบจะหลุดเป็นชิ้น ๆ ฉันจินตนาการว่าตัวเองเปิดสุสานตุตันคาเมนออก บรรจงหยิบสร้อยข้อมือทองคำหรือคนโทใส่ไวน์ที่วางอยู่โดยปราศจากคนรบกวนมาเป็นพัน ๆ ปี ฉันชอบกลิ่นอับของหนังสือเก่า ความเรืองของภาพเหมือนของชาร์เจนท์ และประกายวิบวับของคริสตัลอเมธิสต์ในห้องโถงอัญมณีที่มืดสลัว พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ พอหมดยุคเล่นแต่งตัวก็หายเข้าสู่โลกนวนิยาย ดำดิ่งลงไปสู่โลกของจินตนาการของคนอื่น ๆ ฉันเข้าใจถนนหนทางในลอนดอนในยุคของดิคเกนส์มากกว่าเรื่องเศษส่วนตั้งเยอะ

...ปารีสในฤดูหนาวชื้นฉ่ำและเงียบงัน แตกต่างจากแสงอาทิตย์จัดจ้าชวนปวดตาและอากาศเย็นเยียบเฉียบบาดผิวของนิวยอร์กมากมาย ที่จริงสภาพอากาศในปารีสเหมือนในลอนดอนเปี๊ยบ เพียงแต่ปารีสมีสถานที่ให้ซุกตัวที่ดีกว่า ฉันชอบเวลาสายฝนผสมผสานสีสันต่าง ๆ ให้ปนกันเหมือนภาพวาดสีชอล์กตามทางเท้า หลังพระอาทิตย์ตกจะมีเวลาช่วงหนึ่ง เวลาที่ร้านรวงพากันเปิดไฟและไอน้ำเริ่มเกาะตามหน้าต่างคาเฟ่ทั้งหลาย ยามสนธนยาเช่นนี้สื่อถึงอันตรายที่คืบคลานเข้ามา มันเรียกว่า อ็องเทรอ เชียง เอต์ ลูป์ หรือระหว่างสุนัขกับหมาป่านั่นเอง...'



สำนวน สำเนียงข้างต้นนี้เป็นของ อลิซาเบธ บาร์ด นักข่าวสาวชาวอเมริกันเจ้าของเรื่องราวผจญภัยในมหานครแห่งรัก ใช่..เธอเขียนถึงปารีส วัฒนธรรมการกินในฝรั่งเศส และรายละเอียดของแต่ละอย่าง

เธอเล่าถึงผู้คนและเมืองหลวงแห่งนี้อย่างมีมิติและสีสันมากกว่าที่เราเคยอ่านมาจากที่ไหน มันไม่เพียงแต่สวยชวนฝัน ทว่ายังซ่อนแง่งาม ความลึกลับ น่าค้นหา



ก้าวสำคัญเริ่มขึ้นเมื่อนักข่าวสาวยอมลดละคำว่า ' สมบูรณ์แบบ' เพื่อคำว่า 'เป็นไปได้' มีความวุ่นวาย นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นที่จะใช้ชีวิตคู่ รายละเอียดยิบย่อยเกี่ยวกับอาหาร ออเดิร์ฟที่ต้องเลือกสำหรับงานแต่งงาน ยิบย่อยในเรื่องการจองวัน คิดถึงผังที่นั่งแบบสองภาษา เธอไม่ได้เติบโตมากับคู่แต่งงานที่อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข พ่อของเธอเป็นผู้ชายที่วิเศษในหลายเรื่อง เขาตลก สร้างสรรค์ มีเสน่ห์และรูปหล่อ แต่ว่าเขาไม่ได้ร่ำเรียนสูงและไม่ร่ำรวย และสิ่งที่น่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงที่สุดก็คือ เขาไม่ฉลาดหลักแหลมเหมือนแม่ แม่รักพ่อแต่ก็อยากเปลี่ยนพ่อด้วย ทว่ามันกลับไม่ได้ผล นอกจากพ่อจะต้องต่อสู้กับอาการป่วยทางจิตอย่างจริงจังแล้ว ชีวิตสมรสก็มีทีท่าว่าจะทำให้เขาล้มเหลวด้วย ...คนเราเติบโตแต่พวกเขาจะไม่เปลี่ยนแปลง นั่นแหละคือปัญหา

และวันที่สองครอบครัวจะมาเจอกัน เหมือนอาหารฟิวชั่นที่ดูไม่ค่อยลงตัวแต่น่าสนใจ มีการแนะนำตัวพ่อแม่ของแต่ละฝ่ายได้น่ารักมาก เห็นภาพครอบครัวแบบอเมริกันและฝรั่งเศสที่ดูความทรงภูมิในแบบของนิโกลและการสงวนท่าทีของยานิก (พ่อแม่ของเกว็นดาล หนุ่มปารีสที่เธอจะแต่งงานด้วย) แต่ต่สิ่งที่ทุกคนมีส่วนร่วมได้อย่างกระตือรือร้นก็คืออาหาร


เธอพยายามอ้าแขนรับและทำความเข้าใจสังคม วัฒนธรรมใหม่ ๆ โดยมีความรื่นรมย์อีกอย่างหนึ่งซึ่งอยากแบ่งปันต่อ ๆ ไป คือความสุขละมุนละไมในห้องครัว บรรดาเมนูชวนลิ้มชิมรสจึงเปรียบเสมือนเพื่อนรู้ใจ สะท้อนถึงความรู้สึกแตกต่างหลากหลาย ไม่ว่าจะอิ่มเอม ทดท้อหรือให้กำลังใจ แต่หนึ่งในของขวัญล้ำค่าที่มากับความสัมพันธ์แบบหลากวัฒนธรรมก็คือเวลาทะเลาะกัน เราจะไม่รู้เลยว่าเราโกรธอีกฝ่ายหรือว่าโมโหวัฒนธรรมของเขากันแน่ ความสนุกและอารมณ์ขันอันเหลือเฟือของอลิซาเบธทำให้เราอ่านไปอย่างเพลิดเพลิน ความกลมกล่อมย่อมแปรผันไปตามจังหวะของชีวิตที่โลดแล่นขึ้น ๆ ลง ๆ ในทุกย่างก้าวและลมหายใจของชาวเมืองและฤดูกาล เช่นเดียวกับรสชาติแบบเป็นกันเองของปารีสที่ยังอวลกลิ่นเชื้อเชิญในทุกหน้ากระดาษ และอยากลิ้มลองรสชาติของอาหารที่เธอทำ



ขณะที่อ่านนั้น ฉันนั่งอมยิ้มและย้อนความทรงจำในวัยเยาว์ที่เคยหลงใหลใฝ่ฝันจะไปเยือนมหานครแห่งนี้สักครั้งในชีวิต รู้จักและหลงใหลฝรั่งเศสจากการเรียนและการอ่านมากกว่าสิ่งใด และมีวัฒนธรรมใดบ้างที่เคยเรียนรู้ เข้าใจอะไรบ้างจากการเรียนและการอ่าน นึกถึงอะไรอีกเมื่อพูดถึงเรื่องราวในฝรั่งเศส หรือสิ่งที่คนมาถามหามากที่สุดเมื่อมาเที่ยวฝรั่งเศส ราวกับสองสิ่งที่โผล่เข้ามาในหัวเป็นรายการแรกก็คือไวน์ดี ๆ กับชีสต์เยี่ยม ๆ


ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่ ชาร์ลส์ เดอ โกลได้แสดงความคิดอันโด่งดังไว้ว่า 'คุณจะปกครองประเทศที่มีชีสตั้งสองร้อยสี่สิบหกชนิดได้ยังไงกัน' ซึ่งที่จริงนั้นเขาหมายความว่า 'คุณจะปกครองประเทศที่มีคนฝรั่งเศสสองร้อยสี่สิบหกชนิดได้ยังไง'นั่นเอง

แค่เรื่องชีสต์อย่างเดียว เราก็เรียนกันไม่หวาดไม่ไหว การกินชีสต์ก็ยังอยู่ในวัฒนธรรมที่เราเรียนรู้อย่างสนุกสนาน เพราะเราเคยกินมื้อค่ำกันในฝรั่งเศสก่อนเมนคอร์สจะมา ต่างตกตะลึงกับชีสต์สารพัดอย่างพร้อมขนมปังอีกหนึ่งถังวางอยู่บนโต๊ะ


ในฝรั่งเศสมื้อค่ำถือเป็นพิธีการอย่างหนึ่ง และอาหารแต่ละอย่างก็มีขั้นตอนเฉพาะของมันที่เราจะต้องเรียนรู้เหมือนกับพิมพ์ปาเตนั่นแหละ มีวิธีกินชีสต์ให้ถูกต้อง แต่เขาไม่ได้มายืนกำกับหรอกว่า ชีสกลม ๆ อย่าง แชฟวร์ หรือแซ็งต์-เฟลีเซียง ต้องตัดจากตรงกลางเหมือนพายชิ้นเล็ก ๆ ชีสสามเหลี่ยมอย่างบรี หรือเบลอต้องตัดจากด้านข้างให้เล็กลงเรื่อย ๆ ส่วนชิ้นสี่เหลี่ยมผืนผ้าใหญ่ ๆ อย่างกงเตหรือก็องตาลควรจะตัดจากขอบด้านในไปทาง ครุต หรือเปลือกแข็ง ๆ จนกว่ามันจะยาวเท่าคมมีดของเรา เพราะในกรณีนั้นมันควรจะตัดจากด้านข้างแทน แนวคิดมีอยู่ว่าจะต้องไม่ปล่อยให้ผู้ร่วมโต๊ะคนไหนได้กินแต่เปลือกขึ้นรา และแน่นอนถ้าหากเป็นไปได้ก็ต้องพยายามเลี่ยงการกินชิ้นสุดท้ายด้วย เรารู้แบบนี้แต่วิชามันมาไม่ทันการ ใครอยากกินอะไรแบบไหนก็กินกันไป เราคงไม่ได้มากินที่นี่เป็นซ้ำสองหรอก หรือกว่าจะได้มาเยือนอีกครั้งก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย


ขณะที่เมนคอร์สกำลังตามมา ฉันก็ตกตะลึงเป็นครั้งที่สอง เพราะเมนูที่สั่งไป ทำไมมันเหมือนเนื้อดิบ ๆ มีไข่ไก่โปะเป็นหลุมกลางเนื้อนั่น จะกินยังไงละเนี่ย ก็จำได้ว่า มันไม่มีคำว่าแซญญ็องต์นี่นา

คนฝรั่งเศสปรุงเนื้ออยู่สองแบบ ถ้าไม่กินดิบหรือเลือดชุ่มก็จะอบหรือเคี่ยวนานเสียจนมันจวนจะละลายกลายเป็นสตูว์ข้น ๆ พร้อมส่งกลิ่นหอมหวนชวนนึกถึงวัยเด็ก

แซญญ็องต์ ศัพท์สำหรับคำว่า ดิบ มีความหมายตรงตัวว่า เลือดไหล ในขณะที่คำว่า กึ่งสุกกึ่งดิบ หรือ สุก ให้ความรู้สึกเหมือนตัดสินใจไม่ได้ หรือที่แย่ไปกว่านั้นคือไม่เคารพสัตว์ชนิดนั้น ๆ เลย คุณจะฆ่าสัตว์บริสุทธิ์ไร้เดียงสาตัวหนึ่งเพียงเพื่อจะกินมันในสภาพสุกเกรียมจนเป็นสีเทาซีดแบบนั้นทำไม แง แง เขาคิดกันแบบนั้นจริง ๆ นะ แต่ฉันไม่เคยกิน หลู้หรือลาบดิบเลยสักครั้ง ตอนนั้นทำได้อย่างเดียวคือปั้นหน้าว่าอยากลิ้มลองและส่งสายตาให้สามีว่า เดี๋ยวจานของเธอมาช่วยยกจานนี้ออกไปที เพื่อนฉันก็ขยิบตาให้ พร้อมกับกระซิบกว่า กิน ๆ ไปเถอะ ไม่หมดเดี๋ยวจะจัดการเอง ฉันก็ละเลงสิ เจาะไข่แดงให้มันไหลลงตรงกลางเนื้อดิบนั่น บริกรก็หล่อโคตร หล่อราวเทพบุตรกรีกที่เป็นฮีโร่หรือไอดอลของคนฝรั่งเศสในอาชีพปอมปิเยร์หรือเจ้าหน้าที่ดับเพลิง คนเหล่านี้หล่อ สมาร์ทและดูสุขภาพดีมาก พวกเขาจะเป็นกลุ่มแรกที่จะออกมากอบกู้สถานการณ์ ไม่ว่าจะแก๊สรั่วหรือหัวใจวาย ชาวฝรั่งเศสจะไม่โทร.หาช่างประปา แต่จะโทร.18 หาปอมปิเยร์แทน

แต่ตรงหน้าฉันตอนนี้คือบริกรหนุ่มหล่อที่เดินไปมาไม่ใช่ปอมปิเยร์สักหน่อย เขาเสิร์ฟอาหารอย่างคล่องแคล่ว สายตาเชื้อเชิญให้กินจริง ๆ ซะทีแม่คุณ เฮ้อ ฉันก็รอดมื้อนั้นมาด้วยความกรุณาของเพื่อนและสามี และเราก็ไม่ควรขยาดกับจานสำคัญคือ เอสการ์โก แม้จะเซียนกินหอยแครง หอยแมลงภู่มาแต่ไม่เคยกินหอยทาก เอสการ์โกที่เสิร์ฟมาในจานพอร์ซเลนที่มีหลุมกลม ๆ เปลือกหอยแต่ละตัวเป็นประกายและมีรูเล็ก ๆ ของมันเหมือนในสนามมินิกอล์ฟ แต่อัดแน่นด้วยครีมที่ทำจากพาสลีย์กับเนยกระเทียมกลิ่นฉุน ก็เป็นเรื่องวิเศษอย่างหนึ่งในชีวิตได้เช่นกัน

ฉันเคยสงสัยว่าทำไมผู้หญิงฝรั่งเศสถึงมีไซส์เปอติต คือเล็กจริง ๆ มันน่าจะเกี่ยวเนื่องเรื่องอาหารการกินด้วยก็เป็นได้ พูดง่าย ๆ คือ ในฝรั่งเศสการกินเป็นกิจกรรมทางสังคมและความอ้วนก็เป็นสิ่งที่สังคมไม่ยอมรับกัน เหมือนกับที่ฉันค่อยคลี่คลายความสงสัยเมื่ออลิซาเบธเห็นตัวอย่างการกินอยู่ของว่าที่แม่สามีชาวฝรั่งเศสว่า

แม่ของเกว็นดาลเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของสตรีฝรั่งเศส เธอสูงห้าฟุตสองนิ้ว นิโกลเหมือนผู้หญิงฝรั่งเศสส่วนใหญ่ตรงที่สืบเชื้อสายมาจากโจน ออฟ อาร์ค นั่นก็คือสาวผมบลอนด์ รูปร่างแบบบางที่สะกดทั้งกองทัพได้ด้วยสายตาแผดเผาเพียงครั้งเดียว ผู้หญิงฝรั่งเศสดื่มน้ำเปล่าเยอะมาก นิโกลไม่เคยขาดขวดน้ำแร่วิตแต็ลเลย คนฝรั่งเศสแทบไม่กินหรือดื่มอะไรอย่างรีบร้อน แต่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เธอหยุดพัก ก็จะมีน้ำดื่มขวดลิตรวางไว้ใกล้มือเสมอ สิ่งที่ขาดหายไปจากกระเป๋าเธออย่างน่าคิดคือขนมขบเคี้ยว นิโกลไม่เคยกินขนมระหว่างมื้อ เธอจะไม่กินจุบกินจิบในครัว เธอไม่หยิบนู่นหยิบนี่กินระหว่างทำอาหาร การไม่กินจุบจิบต้องอาศัยการฝึกปรือ แต่ดื่มไวน์ตอนมื้อเที่ยง

แล้วมีอะไรที่เราจะคิดถึงฝรั่งเศสได้อีกล่ะ อ่อ..ปารีสเป็นเมืองของมหาศิลปินที่ตายไปแล้ว ศิลปินที่มีชีวิตอาศัยอยู่ในนิวยอร์ก ลอนดอน ไม่ก็โคโลญหรือเซี่ยงไฮ้ หรือพิพิธภัณฑ์ที่เราหมายมั่นปั้นมือว่า จะต้องแพลนว่าจะไปเยี่ยมชมคือ พิพิธภัณฑ์ ลูฟวร์

ฉันฝังตัวอยู่ในพิพิธภัณฑ์แค่สองวันเต็ม ๆ เดินดูภาพพร้อมกับสามีและนักท่องเที่ยวอื่น ๆ ชมภาพที่ทำการบ้านมาจากบ้านไม่กี่ภาพหรอกเพราะมันมากมายเหลือเกิน ดูกันกี่เดือนกี่ปีจึงจะเห็นครบ แต่เราก็พอใจเพียงแค่นั้น แต่หนังสือเล่มนี้ อลิซาเบธเขียนได้ชวนคิดชวนขำ เธอว่า


'...การพาผู้คนไปพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์เป็นสิ่งยั่วยวนใจ ข้าวของทุกชิ้นมีเรื่องราวเล่าขาน และพอหายตะลึงพรึงเพริดกับขนาดของสถานที่แล้วพวกเขาก็จะมองเราเหมือนเด็ก ๆ ที่เฝ้ารอคอยนิทานก่อนนอน

ทุกคนมีความเห็นกับงานศิลป์ที่ไปดู และจะวิเคราะห์โดยอ้างอิงความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน พวกหมอจะมีอะไรพูดเยอะเป็นพิเศษ หมอด้านกระดูกและกล้ามเนื้อคนหนึ่งให้ภรรยา ลูกสาวสองคนและฉันยืนอยู่หน้ารูปวีนัส เดอ มีโลถึงสิบนาทีเพื่อพยายามจะเลียนแบบท่ายืนของเธอ เห็นชัดเลยว่าการบิดสะโพกของเธอเป็นจริงไม่ได้ทางกายภาพ เพราะจะต้องมีอะไรแตกหักให้เขารักษาแน่ ๆ

แม้แต่โมนา ลิซ่า ยังไม่รอดพ้นการวินิจฉัย ช่างแต่งหน้าคนหนึ่งเคยบอกฉันว่า หากมองทางซีกซ้าย เธอจะดูเป็นผู้หญิงมากกว่า นั่นก็เพราะการแสกผมของเธอ

แล้วก็มีแพทย์ไคโรแพรคติกอีกคน 'เธอมีซีสต์ที่ข้อมือแน่ะ เห็นก้อนนั้นมั้ย บนนิ้วโป้งเธอน่ะ' และเป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นมันจริง ๆ เสียด้วย ...

และถ้าฉันอยากครอบครองพิพิธภัณฑ์ ลูฟวร์ ฉันจะมาตอนบ่ายแก่ ๆ ของวันพุธ ตอนเดินผ่านบานหน้าต่างด้านกูร์ นาโปเลอง ฉันก็มองเห็นพระอาทิตย์ตกลงเหนือสวนตุยเลอรีส์ ลำแสงสุดท้ายส่องกระทบปลายยอดสีทองของโอเบลิสก์ที่จัตุรัสปลาส เดอ ลา กงกอร์ด แสงไฟจากรถราวิบวับเหมือนไฟคริสต์มาสเส้นยาวบนถนนชองป์ เซลิเซ่ส์ พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ยามค่ำคืนดูเหมือนอย่างที่มันน่าจะเคยเป็นสมัยที่กษัตริย์ทั้งหลายทรงพำนักอยู่มาก ๆ ไฟดวงต่ำส่องไปถึงมุมมืด ๆ ของเพดานสูงลิบลิ่ว และคนที่เดินบนบันไดหินอ่อนซึ่งทอดตัวแผ่กว้างก็มีน้อยกว่าเดิมด้วย

พีรามิดแก้วของไอ.เอ็ม. เป้ย สว่างเรืองรองเหมือนมียานอวกาศเพิ่งลงจอดในลาน เครื่องจักรเล็ก ๆ ที่ล้างบานหน้าต่างยังไงละ มันเหมือนหุ่นยนต์หมาพุดเดิลที่มีแปลงหมุนได้แทนอุ้งเท้าทั้งสี่ มันเกาะอยู่ด้านข้างพีระมิดในมุมดิ่งชัน ค่อย ๆ ไต่ขึ้นไต่ลงจากข้างหนึ่งไปอีกข้างหนึ่ง สายยางห้อยอยู่ข้างหลังเหมือนหาง ฉันรู้สึกซาบซึ้งใจเอามาก ๆ ขึ้นมา โชคดีอะไรอย่างนี้ที่ได้ยืนอยู่ตรงจุดนี้ จะมีกี่คนกันที่ได้ไปลูฟวร์บ่อยเสียจนเห็นเจ้าเครื่องล้างกระจก..' ฉันอ่านจบตรงนี้ ถึงกับอ้าปากค้าง ต้องไปอีกกี่ครั้งกันละเนี่ย ทางลัดทางเดียวคืออ่านการบันทึกการเดินทางผ่านสายตาและมุมมองของนักเขียนนั่นเอง


ความจริง รายละเอียดปลีกย่อยเหล่านี้ เป็นเพียงภาพในความทรงจำที่ผุดพรายขึ้นมาระหว่างการอ่าน ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ ตกหลุมรักทั้งหนุ่มฝรั่งเศสผู้แสนจะโรแมนติกและปารีสอย่างถอนตัวไม่ขึ้น อลิซาเบธถ่ายทอดเรื่องราวความรัก การตัดสินใจครั้งสำคัญของชีวิต เล่าเรื่องการอพยพติดตามหัวใจตัวเองมาอยู่อีกประเทศหนึ่งได้อย่างจับใจ แต่สิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในหนังสือเล่มนี้คืออาหาร เป็นไปไม่ได้ที่จะพูดถึงฝรั่งเศสโดยไม่พูดถึงอาหารฝรั่งเศสด้วย เธอนำเสนอเมนูชวนลิ้มลองสุดใจ แถมมีสูตรอร่อย ๆ ตบท้ายทุกบทด้วย แต่ละจานน่ากินมาก พูดได้ว่าครบเครื่องเรื่องอาหาร ขนมหวาน สูตรปรุง ความโรแมนติก ความกลมกล่อมของสองวัฒนธรรมอเมริกันและฝรั่งเศสซึ่งช่วงที่เขาทั้งสองจะแต่งงานกันนั้น เป็นปี 2003 มันไม่ใช่ปีที่ดีที่คนอเมริกันจะแต่งงานกับคนฝรั่งเศสเลย ประธานาธิบดีชีรัคอาจจะสวมหมวกแก๊ปเอ็นวายพีดีหลังจากเหตุการณ์ 11 กันยายน แต่ตั้งแต่นั้นมาฝรั่งเศสและประชากรส่วนใหญ่ในยุโรปก็วิพากษ์วิจารณ์การบุกอิรักกันอย่างมากมาย


แล้วอะไรคือ Lunch in PARIS ล่ะ
การกินมื้อเที่ยงตามลำพังในปารีส ก็กลายเป็นการ 'รับประทานอาหาร' มันให้ความรู้สึกที่หรูมาก หรูมากอย่างไร อยากให้เพื่อน ๆ ได้อ่านเองเพราะเขียนได้เซ็กซี่ส์มาก ๆ


แม้เคยอ่านเทพนิยายมาเยอะแยะมากมายจนรู้ว่างานแต่งงานควรจะโผล่มาตอนท้ายเรื่อง แต่ในชีวิตจริง แม้แต่ในปารีสก็เถอะ การครองรักกันตราบชั่วกาลปาวสาน เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เธอเขียนถึงความรักของเธอได้ไม่ขาดไม่เกินและมีเสน่ห์มาก นี่คือชีวิตจริงของอลิซาเบธ บาร์ดและธอเขียนถึง เกว็นดาล ผู้เป็นรักแท้ของชีวิตได้น่ารักและน่าประทับใจที่สุด


อยากชวนเพื่อน ๆ สัมผัสเสน่ห์ความมีชีวิตชีวาที่ทาบทาเป็นฉากของปารีส เสพอาหารละมุนไปกับคู่รักต่างวัฒนธรรมคู่นี้ค่ะ



ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย
11 มกราคม 2561










Create Date : 11 มกราคม 2561
Last Update : 11 มกราคม 2561 16:49:26 น.
Counter : 683 Pageviews.

1 comments
  
น่าอ่านมากค่ะ ชอบหนังสือแนวนี้เช่นกัน โยงเรื่องอาหารการกินเข้ามาอยู่ในหนังสือ เดี๋ยวจะลองหาดูใน kindle ขอบคุณสำหรับการแนะนำหนังสือดีๆแบบนี้ค่ะ
โดย: settembre วันที่: 13 มกราคม 2561 เวลา:17:09:07 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ภูเพยีย
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]



  •  Bloggang.com