รูปปั้น ราชา สุไลมาน
...
ในอดีตหมู่เกาะเหล่านี้จะปกครองกันเป็นชุมชนๆ ไปค่ะ
ชุมชนที่ใหญ่สุด (บริเวณที่สเปนขึ้นบกนั่นแหละค่ะ) ถูกปกครองโดย 'Raja Solaiman'
ชาวพื้นเมืองก็ใช้ชีวิตกันอย่างสงบและเรียบง่ายมาช้านาน
จนกระทั่งนักล่าอาณานิคมจากสเปน ขึ้นฝั่งนั่นแหละค่ะ
วิถีชีวิตอันสงบสุขของชาวพื้นเมืองบนเกาะแห่งนั้นก็ถูกทำลายลง
ชาวสเปนที่ปกครองฟิลิปปินส์ พยายามกดชาวพื้นเมืองให้อยู่ภายใต้อาณัติ
ขณะที่พวกคนสเปนเอง มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างหรูหรา
กลุ่มบาทหลวง สุขสบาย มีฮาเร็ม มีภรรยาลับๆ จำนวนมาก
ชาวพื้นเมืองมีความเป็นอยู่อย่างแร้นแค้น ไร้อิสรภาพ และเป็นชนชั้นใช้แรงงาน
คนสเปนบังคับให้ชนพื้นเมืองนับถือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาธอลิก ทั้งเกาะ
จะว่าไปแล้ว ดิฉันแอบคิดว่า จริงๆ คนสเปนคงจะสบายจนเคยตัวอ่ะ
เพราะว่าหลังจากที่เค้าไปบุกละตินอเมริกา
แล้วที่นั่นมีเหมืองเงินขนาดใหญ่ (ที่สุดในโลก) จำนวนมาก
สเปนเลยไม่ต้องทำอะไรค่ะ รอประเทศอาณานิคมเหล่านั้นส่งทรัพย์สมบัติให้ สบายไป
ส่วนที่หมู่เกาะฟิลิปปินส์ สเปนก็ได้ผลประโยชน์จากการค้าทางเรือเดินสมุทรค่ะ
...
กลับมาที่ ดร.ริซัล ของดิฉันค่ะ
โฮเซ ริซัล เป็นลูกครึ่งระหว่างสเปน กับชนพื้นเมือง เกิดเมื่อปี 1861 (พ.ศ.2404)
ถ้านับเวลาในเมืองไทยตอนนั้น ก็จะตรงกับรัชสมัย ของล้นเกล้ารัชกาลที่ 4 ค่ะ
เนื่องจากเขาไม่ใช่คนพื้นเมืองดั้งเดิม เขาจึงได้รับการศึกษาที่ดีและเติบโตมาอย่างมีคุณภาพ
ริซัลเป็นเด็กที่มีความสนใจใฝ่รู้ทุกเรื่องราวรอบตัว เขาชอบซักถามเรื่องต่างๆ จากผู้รู้เสมอ
ความใฝ่รู้นี้เอง ทำให้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในหลายด้านในเวลาต่อมา
ในช่วงที่ริซัลเติบโต เขาได้เห็นบรรยากาศการเรียกร้องความเสมอภาค
ของคนฟิลิปปินส์ที่เริ่มมีการศึกษา เกิดขึ้นเป็นระยะ
และแน่นอนค่ะ ถูกชาวสเปนที่ปกครองอยู่ปราบปรามอย่างหนักหน่วง
เมื่ออายุได้ 21 ปี ริซัล ถูกส่งไปเรียนต่อด้านการแพทย์ ที่ประเทศสเปน
นั่นเองที่โลกทัศน์ของเด็กหนุ่มคนหนึ่งถูกเปิดกว้างขึ้น
เขาเดินทางไปหลายประเทศทั่วยุโรป ทำให้เขาได้เรียนรู้ทั้งเรื่องภาษา
ได้เห็นความก้าวหน้าในด้านสังคม และการเมืองการปกครองของประเทศในยุโรป
ซึ่งรวมทั้งสเปน มันต่างจากสิ่งที่สเปนปกครองประเทศบ้านเกิดเขาอยู่อย่างมาก
เขาเริ่มต่อต้านระบบอาณานิคมของสเปน และเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมืองในฟิลิปปินส์
ผ่านบทความ ที่ตีพิมพ์เป็นภาษาสเปน และอังกฤษ รวมทั้งการเป็นนักหนังสือพิมพ์
ริซัลได้รับการยอมรับในฐานะนักการเมือง แม้จะไม่ได้เข้าไปทำงานการเมืองโดยตรง
แต่เพราะบทความของเขา ก็เต็มไปด้วยทรรศนะทางการเมืองที่คมคาย
ด้วยวัยเพียง 26 ปี เขาได้เขียนผลงานชิ้นสำคัญที่สุด
ที่นำไปสู่การการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของประเทศฟิลิปปินส์
นั่นคือ นวนิยายสะท้อนสังคมเรื่อง "Touch Me Not"
(อันล่วงละเมิดมิได้ แปลไทยโดย จิตราภรณ์ ตันรัตนสกุล)
ตีพิมพ์ครั้งแรกที่ประเทศเยอรมัน ในปี ค.ศ.1887 (พ.ศ.2430)
ภาพปกหนังสือทั้ง 2 เล่ม
อันล่วงละเมิดมิได้ ดำเนินเรื่องผ่านตัวละคนพระเอกลูกผสม
ซึ่งว่ากันว่า ถอดแบบมาจากตัวของโฮเซ่ ริซัล เองค่ะ ทั้งชาติกำเนิด และการต่อสู้
เรื่องราวสะท้อนให้เห็นการต่อสู้ทางชนชั้นระหว่างสเปน กับชนพื้นเมือง
ตัวละครหลายตัวในเรื่องก็ถอดแบบมาจากบุคคลจริงในกลุ่มผู้ปกครองฟิลิปปินส์ในขณะนั้น
เช่น บาทหลวง ที่แสนจะฉาวโฉ่ แอบมีภรรยาลับๆ (กับผู้หญิงพื้นเมือง)
จนมีลูกสาวคนนึง ที่เป็นนางเอกของเรื่อง
ต่อมากลายเป็นลูกปลอมๆ ของมหาเศรษฐีที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจ
นวนิยายของเขา บอกเล่าเรื่องราวความชั่วร้ายของระบอบอาณานิคม
การล้มล้างวัฒนธรรมดั้งเดิม
โดยแทรกซึมผ่านการให้อำนาจกับกลุ่มผู้นำในชุมชนดั้งเดิมบางส่วน
เป็นเรื่องที่ ดร.ริซัลเขียนเพื่อสะท้อนเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในสังคมฟิลิปปินส์ค่ะ
โดยยกเอาสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นในประเทศฟิลิปปินส์ มาใส่ไว้ในนิยายหมดเลยค่ะ
เรียกได้ว่าคนฟิลิปปินส์สมัยนั้นอ่าน ก็คงสะท้อนใจและเจ็บปวดสุดๆ
จากนั้น 4 ปีต่อมา เขาได้เขียนตอนต่อของ "Touch Me Not"
ตีพิมพ์ที่ประเทศเบลเยี่ยม โดยใช้ชื่อ "El Filibusterismo" ค่ะ
ดร.โฮเซ ริซัล ถูกจับตามองจากทางการฟิลิปปินส์ (คนสเปน) อย่างไม่ไว้วางใจ
"Touch Me Not" ถูกสั่งห้ามเผยแพร่ในฟิลิปปินส์
แต่.. ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุนะคะ
ชาวฟิลิปปินส์ดั้งเดิมทั้งระดับล่าง และพวกลูกผสมที่มีการศึกษา ต่างได้อ่านหนังสือเล่มนี้
ความรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้ปกครองประเทศ
และความฮึกเหิมที่จะเป็นอิสระก็สูงขึ้น
ดร.ริซัล ถูกกดดันอย่างหนัก ทางการเนรเทศเขาไปอยู่เมืองที่แสนไกลอย่าง Dapitan
ซึ่งห่างจากมะนิลามาก อยู่บนหมู่เกาะมินดาเนา ทางตอนใต้ของประเทศ
ที่นั่น เขาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายกับชาวเกาะ
ศึกษาค้นคว้าเรื่องพรรณพืชจนเชี่ยวชาญ และเขียนหนังสือสะท้อนสังคมอีกหลายชิ้น
..
ในขณะที่ชาวฟิลิปปินส์ในเมืองที่ได้อ่านหนังสือของเขา
ก็เริ่มรวมตัวกันต่อต้านชาวสเปนอย่างหนัก
การต่อต้านชาวสเปนในฟิลิปปินส์นั้น มีประชาชนล้มตายจำนวนมากค่ะ
เพราะคนสเปนก็ปราบกลุ่มที่ต่อต้านอย่างไร้ความปราณีเช่นกัน
แต่ความตายในคราวนั้น ยิ่งเพิ่มความเข้มแข็งให้กับประชาชนฟิลิปปินส์
สถานการณ์รุนแรงที่สุด
เมื่อดร.โฮเซ่ ริซัล ถูกผู้ปกครองชาวสเปนจับกุมด้วยข้อหา 'ปลุกระดม'
ในขณะที่เขาอายุ 35 ปี และถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการยิงเป้า
เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 1896
หลังการตายของเขา ประชาชนฟิลิปปินส์ลุกฮือและเกิดการจลาจลขึ้นในประเทศ
ผลงานเขียนและการประหารชีวิต กลายเป็นเชื้อไฟของการปฏิวัติ
สถานการณ์ลุกลาม ประชาชนที่เรียกร้องเอกราชจากสเปน ถูกปราบล้มตายจำนวนมาก
จนกระทั่งผู้ปกครองประเทศอย่างสเปน เริ่มต้านทานพลังของมวลชนไม่ไหว
สุดท้าย หลังการตายของโฮเซ่ ริซัล เป็นเวลา 2 ปี
ประชาชนชาวฟิลิปปินส์ก็ได้ชัยชนะ ประกาศเอกราชให้กับประเทศฟิลิปปินส์
เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ปี ค.ศ.1898
ปลดแอกจากถูกการปกครองโดยสเปนอย่างยาวนานกว่า 350 ปี
ลงอย่างสิ้นเชิง
ความพยายามที่จะให้ประเทศเดินไปสู่เสรีภาพจากการปกครองของนักล่าอาณานิคม
จบลงด้วยความตาย ของ ดร.โฮเซ่ ริซัล และยิ่งน่าเจ็บปวด
เมื่อเป็นความตายที่มาจากกระบอกปืนของเพื่อนร่วมชาติ ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของคนสเปน
..
ภาพภายในพิพิธภัณฑ์
ดิฉันเดินตามทางเดินในพิพิธภัณฑ์ ที่แสนจะดราม่าด้วยความประทับใจ
ฟังเรื่องราวที่ซาบซึ้ง โดยเจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์มาจนถึงห้องสุดท้าย
เป็นห้องที่จำลองสถานการณ์วันประหารชีวิตค่ะ
ภาพเหตุการณ์ในวันประหารชีวิต
วันนั้นในเวลา 7.00 น.
ดร.โฮเซ ริซัล ยืนหันหลังบนลานประหาร เสียงปืนดังขึ้น 1 นัด
เมื่อกระสุนพุ่งเข้าไปฝังในร่าง เขาไม่ยินยอมที่จะล้มคว่ำลงไปตามที่ควรจะเป็น
ดร.โฮเซ่ ริซัล ค่อยๆ หมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับเพื่อนร่วมชาติผู้ลั่นกระสุนใส่เขา
ก่อนที่จะค่อยๆ ล้มลง ใบหน้าหันขึ้นสู่แสงอรุณรุ่งเบื้องบน
...
เสียงอ่านบทกวีดังขึ้นในห้องนั้น
เป็นบทที่โด่งดังที่สุดที่เขาเขียนขึ้นในค่ำคืนก่อนถูกประหาร
"Mi Ultimo Adios" หรือ "คำอำลาสุดท้าย"
บทกวี คำอำลาสุดท้าย
นี่คือบทกวี บทที่ว่านั้นค่ะ
ถอดความจากภาษาสเปน โดยพี่ปรัตยาค่ะ
ลาก่อน แผ่นดินที่รักยิ่งของฉัน ดินแดนแห่งดวงตะวันอันอบอุ่น
ไข่มุกแห่งทะเลบูรพา สวนอีเดนของพวกเรา
ด้วยความปิติ ฉันขอมอบชีวิตที่แสนเศร้าและหมองมัวของฉันให้กับเธอ
และขอให้มันเจิดจรัสยิ่งขึ้น มีชีวิตชีวายิ่งขึ้น มากที่สุดเท่าที่มันจะมีได้
เพื่อที่ฉันจะมอบมันให้กับเธอ เพื่อเธอจะได้มีความผาสุขชั่วกัปกัลป์
ในสนามรบ ท่ามกลางความรุนแรงของการต่อสู้
ผู้คนมอบชีวิตให้กับเธอ โดยปราศจากความลังเลและความเจ็บปวด
ณ หนใด ไม่สำคัญ แท่นแห่งเกียรติยศ สถานที่อันศักดิสิทธิ
แดนประหาร ทุ่งร้าง เขตปรปักษ์ หรือทัณฑสถาน
มันไม่มีความแตกต่างกันเลย หากว่าเป็นความต้องการของมาตุภูมิ
ความตายของฉันเปรียบเสมือนแสงแรกแห่งอรุณ
และแสงเรืองรองสุดท้ายของวารวัน ที่ส่องสว่างหลังจากค่ำคืนอันมืดมน
ถ้าเธอต้องการสีเพื่อย้อมอรุณรุ่ง
รินเลือดของฉัน แล้วระบายลงให้ทั่ว
จากนั้นจึงสาดส่องด้วยแสงแรกของแผ่นดิน!
ความฝันของฉัน เมื่อแรกเติบใหญ่จากวัยเยาว์
ความฝันของฉันเมื่อครั้งวัยแรกรุ่น เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังที่จะค้นหา
เพื่อที่จะได้พบกับเธอ อัญมณีแห่งทะเลบูรพา
ดวงตาที่ดำขลับ คิ้วที่รับกับหน้าผาก ปราศจากรอยขมวด
ใบหน้าที่เรียบลื่น และผุดผ่องไร้รอยราคี
ชีวิตของฉันเต็มไปด้วยจินตนาการ ความเร่าร้อนของฉัน เปี่ยมไปด้วยแรงปรารถนา
มาเถิด! เสียงร่ำร้องจากวิญญาณของฉันเรียกหาเธอ มันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเธอ
มาเถิด! มันช่างแสนหวานที่จะได้เติมเต็มในสิ่งที่เธอต้องการ
ตายเพื่อกำเนิดชีวิตให้กับเธอ อยู่ใต้ฟ้าของเธอจนลมหายใจสุดท้าย
และอยู่ใต้ผืนดินที่มีมนต์ขลังของเธอ เพื่อหลับไปชั่วนิรันดร์
หากวันใดเธอเห็นสายลมพัดอยู่เหนือหลุมศพของฉัน
สายลมที่ผ่านพัดดอกไม้ที่เอนลู่ ท่ามกลางพงหญ้าที่รกร้าง
ขอเธอนำมันมาเคียงริมฝีปาก และโปรดจุมพิตดวงจิตของฉัน
ใต้หลุมศพที่หนาวเย็น ฉันจะรับรู้ได้ผ่านสายลม
ลมหายใจที่อบอุ่นของเธอ สัมผัสแห่งความรักและอาทร
ขอให้ดวงจันทร์ทอแสงนวลใยโอบไล้ฉัน
ขอให้อรุณฉายทาทาบฉันด้วยแสงทองของวันใหม่
ขอให้สายลมผ่านพัดเสียงครวญคร่ำ
และถ้าจะมีนกมาเกาะที่ไม้กางเขนที่เหนือหลุมศพ
ขอให้มันขับขานบทเพลงแห่งสันติสุขแด่เถ้ากระดูกของฉัน
ขอให้ดวงตะวันแผดเผาไอหมอกให้ลอยขึ้นสู่ฟ้า
และด้วยเสียงตระโกนไล่หลังของฉัน จะทำให้ท้องฟ้าแจ่มใส
ขอให้เพื่อนหลั่งน้ำตาให้กับเป้าหมายในชีวิตของฉัน
และในตอนบ่ายที่เงียบสงบเมื่อใครสักคนหนึ่งสวดภาวนา
ฉันจะภาวนาไปพร้อมกัน โอ มาตุภูมิของฉัน ขอให้ฉันได้พำนักอยู่กับพระผู้เป็นเจ้า
และโปรดภาวนาให้กับผู้เคราะห์ร้ายที่ได้พรากจาก
ให้กับผู้ที่ได้รับความทุกข์ยากจากความอยุติธรรม
ให้กับเหล่าแม่ของเราที่ต้องร้องไห้ด้วยความขมขื่น
ให้กับเหล่ากำพร้าและแม่หม้าย ให้กับผู้ที่ถูกจับไปทัณฑ์ทรมาน
ฉันจะภาวนาพร้อมกับเธอ เพื่อให้เธอได้รับการชำระบาปจากพระองค์
และเมื่อรัตติกาลที่มืดมิดปกคลุมไปทั่วสุสาน
และมีเพียงผู้ที่ตายจาก ทอดร่างอย่างสงบอยู่ ณ ที่แห่งนี้
อย่ารบกวนการพักผ่อนของพวกเขา อย่ารบกวนความสงบสุขของพวกเขา
ถ้าเธอได้ยินเสียงดีดสีธเธอร์หรือเสียงพิณดังแว่วมา
นั่นคือฉันเอง แผ่นดินที่รัก ฉันกำลังบรรเลงกล่อมเธอ
และในวันที่หลุมศพของฉันถูกลืมเลือน
ปราศจากไม้กางเขนหรือป้ายบอกชื่อเป็นที่สังเกตอีกต่อไป
ขอให้มันถูกกวาดถูกขุดรื้อทิ้งไป
และขอให้เถ้ากระดูกของฉันผุพังสูญสลาย
กลายเป็นธุลีกลับคืนสู่ผืนแผ่นดิน
ไม่เป็นไรหรอกถ้าเธอจะลืมเลือนฉันไป
ในอากาศ ในท้องฟ้า ในหุบเขา รอบตัวเธอ ฉันจะข้ามผ่าน
ฉันจะเป็นเสียงพิสุทธิ์สำหรับเธอ
กลิ่นที่หอม แสงสว่าง สีสันอันงดงาม เสียงกระซิบ บทเพลง เสียงกรน
จะคอยย้ำแก่นแท้ของศรัทธาของฉันตลอดไป
มาตุภูมิที่รักยิ่งของฉัน ผู้ซึ่งเสียใจกับความทุกข์ที่ฉันได้รับ
ฟิลิปปินส์ที่รัก โปรดได้ฟังการอำลาเป็นครั้งสุดท้ายจากฉัน
ฉันต้องจากทุกคนไปแล้ว พ่อ แม่ และเธอ ที่รักของฉัน
ฉันจะไปยังสถานที่ ที่ซึ่งไม่มีใครต้องเป็นทาส ไม่มีทรราชผู้กดขี่
ที่ซึ่งศรัทธาจะไม่ถูกทำลาย และที่ซึ่งปกครองโดยพระผู้เป็นเจ้า
ลาก่อนครับพ่อ ลาก่อนครับแม่ ลาก่อนพี่น้องที่รักทุกคน
เพื่อนสมัยยังเด็ก เพื่อนในที่คุมขัง
ขอบคุณที่ฉันจะได้พ้นจากวันที่น่าเบื่อหน่าย
ลาก่อน ทุกคนที่ฉันผ่านพบ เพื่อนผู้ซึ่งทำให้ชีวิตของฉันสดใสทุกคน
ลาก่อน ผู้เป็นที่รักของฉันทุกคน
การตายคือการพักผ่อนนิจนิรันดร์
โฮเซ่ ริซัล
...
อนุสาวรีย์ ดร.โฮเซ่ ริซัล มีทหารอารักขา 24 ชม.
..
วัยรุ่นชาวฟิลิปปินส์ในยุคสมัยนี้
อาจจะไม่ทราบถึงประวัติ ผลงาน และวีรกรรมของ ดร.โฮเซ่ ริซัล อย่างลึกซึ้งนัก
แต่พวกเขาก็รู้ว่าบุคคลนี้ คือวีรบุรุษประจำชาติของเขา
จากอนุสาวรีย์ จากพิพิธภัณฑ์
และสถานที่ต่างๆ ที่ทางการสร้างไว้เพื่อให้คนในชาติระลึกถึง
นอกจากนั้น ภาพใบหน้า และประโยคทองต่างๆ ของโฮเซ ริซัล (เช่นที่ดิฉันนำมาจั่วหัว)
ก็ยังถูกนำมาโชว์ในสินค้าต่างๆ จำพวก เสื้อยืด เข็มกลัด ฯลฯ (เสียดายที่ไม่ได้ซื้อมา)
เช่นเดียวกับหน้าของคนดังของโลกอย่าง เช กูวารา หรือ มหาตมะ คานธี ค่ะ
...
วันที่ได้ฟังเรื่องราวของวีรบุรุษแห่งชาติของฟิลิปปินส์ คนนี้
ดิฉันมองย้อนกลับมาที่เมืองไทย คุณูปการต่อประเทศชาติในแบบเดียวกันนี้ ใครนะ..
ภาพของ ดร.ปรีดี พนมยงค์ และจิตร ภูมิศักดิ์ ผสานกันในความคิด
ในขณะที่คนฟิลิปปินส์ทั้งประเทศเชิดชู ดร.โฮเซ่ ริซัล อย่างยิ่งใหญ่นัก
จิตร ภูมิศักดิ์ ไม่ต้องพูดถึงการเชิดชูหรอกค่ะ แค่คนรู้จักเขาก็เหลือน้อยลงเต็มที
ส่วน ดร.ปรีดี พนมยงค์ ก็ถูกคนกลุ่มหนึ่ง เอาไปเปรียบเทียบกับนักโทษหนีคดีโกงชาติ
(ขอโทษนะคะ อดด่าไม่ได้จริงๆ มันคับแค้นนะเรื่องนี้ แค่คิดก็ขยะแขยงเหลือเกิน)
...
ขอบคุณที่นำสิ่งดีดีมาให้อ่านมากๆค่ะ