เดินทางสู่ท่าสองยางไปกับ ณัฐ ศักดาทร
ภาคปฐม ของขวัญจากโรงเรียน ตชด จุฬา-ธรรมศาสตร์ 3..........................................................................................................................................ภาคหนึ่ง เส้นทางสู่ท่าสองยางณัฐ ศักดาทร และตุ๊ยตุ่ย พุทธชาติ ได้รับภารกิจจากรายการเจาะใจให้ไปทำหน้าที่ครู ตชด จุฬา-ธรรมศาสตร์ 3 และวางแผนพัฒนาปรับปรุงโรงเรียนโดยใช้งบประมาณจากการบริจาคผ่านช่องทางต่างๆ ของรายการ ( ออกอากาศ 17,24 กันยายน และ 1 ตุลาคม) และกิจกรรมครั้งนี้ ได้กระจายไปสู่ รร ตชด 4 แห่ง 4 ภาค (รายละเอียด //www.johjai1991.com/yellowpoints/ )นอกจากวางแผนแล้วต้องมีการลงมือปฏิบัติจริงด้วย จึงเกิดการระดมแรงงานจากหมู่มวลแฟนคลับเบื้องต้นทีมงานแจ้งมายังผู้ประสานงานว่าต้องการจำนวน 50 คน เกินคาด...งานกรรมกรเป็นที่ต้องการเกินกว่าที่คิดหลังจากประกาศแจ้งในเวบแฟนคลับ ยอดจองร่วมกิจกรรมถล่มทะลาย เราเองที่ยังลังเล...เพราะต้องการเคลียร์งานตัวเองให้เรียบร้อยก่อนพอตัดสินใจได้ ก็กลายเป็น waiting list ไปในเวลาไม่กี่ชั่วโมงบางส่วนที่ลงชื่อได้สละสิทธิ์เนื่องจากเหตุผลความจำเป็นต่างๆ รวมถึงการที่ทางรายการเพิ่มโควต้าจำนวนแรงงานเป็น 60 หน่วยในที่สุดชื่อเราก็ขยับไปอยู่ในกลุ่มแรงงานกับเขาไปด้วยเรารู้แค่ว่าอำเภอนี้ไปทางแม่สอดแล้ววิ่งตามสาย 105 ไปเรื่อยๆ สภาพถนนเท่าที่ค้นข้อมูลจากอินเตอร์เนตบอกว่าลาดยาง สภาพดีเบื้องต้นนัดรวมตัวกับแรงงานรักนัทอีกกลุ่มที่ตัวจังหวัดตากและกะจะขออาศัยเดินทางไปด้วย สามวันก่อนเดินทาง สิ่งที่คุ้นเคย(ทุกครั้งที่วางแผนลางาน จะต้องเจออะไรหนักๆ ) ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง งานที่จัดแจงได้โดยดีมาตลอดกลับถาโถมอัดเข้ามาเนืองแน่น จนทำให้เกิดอาการห่วงหน้าพะวงหลังมาโล่งใจก่อนเส้นตายที่ต้องออกเดินทางแค่สองสามชั่วโมง ด้วยความตั้งใจแต่เดิมคืออยากจัดหาเวชภัณฑ์และยาสามัญต่างๆ ที่เหมาะสมกับการใช้ในห้องพยาบาลของโรงเรียนไปร่วมบริจาคด้วย จึงทำได้แค่ไปร้านที่คุ้นเคยและแพ๊คของลงกล่องได้จำนวนหนึ่งงานนี้ไม่ได้บอกทางบ้านหรอกว่าจะไปไหนอย่างไร เค้ารู้แค่ว่าไปประชุมกับเพื่อน อ้อ มีแอบสงสัยด้วยว่า ไปดูละคร ^^ออกเดินทางจากจังหวัดแพร่ประมาณสี่โมงเย็น ช่วงแรกยังไม่สำเหนียกจึงแวะทำอะไรวุ่นวายไปเรื่อยๆ ( ไม่รู้จะโทษเจ้า route66 หรือโทษตัวเองดีที่ช่วยกันสับสนเรื่องเส้นทาง) กว่าจะไปถึงตัวจังหวัดตากก็เกือบทุ่มแวะทำธุระเสร็จก็ทุ่มครึ่งกลุ่มแรงงานรักนัทที่คราแรกกะว่าจะอาศัยไปด้วยออกเดินทางแต่เช้าและเข้าตัวอำเภอท่าสองยางไปก่อนแล้ว เอาล่ะสิ ...ตามไปคืนนี้หรือค้างที่ตากรอ ... ข้อเท็จจริงของชีวิตเราคือ การนอนดึกหรืออดนอน ทำได้ง่ายกว่าการตื่นเช้า จึงตัดสินใจว่าจะขับตามไปเลยการเดินทางอีก 180km ราบรื่นดี ช่วงที่ผ่านอำเภอแม่ระมาด ก็เห็นทางแยก 1175 ไป อ.บ้านตาก 80 km ทางขวามือ อ้าว ..มีทางที่ใกล้กว่าเส้นที่วิ่งมานี่นา แว้บขึ้นมาในใจ "ทางนี้น่าลอง" ย่นระยะทางได้อีก 60 km เชียวนะ หึหึถึงที่พักสี่ทุ่มกว่า แชร์ห้องพักกับพี่สาวอีกคนที่มาถึงก่อน หลังจากนอนน้อยมาสามวันแล้วขับรถมาอีกเกือบสี่ร้อยกิโลเมตรคาดว่าตัวเองน่าจะหลับง่ายเพราะเพลีย ที่ไหนได้...ที่นอนที่สุดแข็งยังกับเบาะใยมะพร้าว(ไม่แน่ใจจริงๆว่าเป็นนุ่นที่อัดจนแข็งหรือว่าเป็นเบาะใยมะพร้าวจริงๆ หมอนนุ่นที่แน่นบางส่วนเหลวบางส่วนแถมมีกลิ่นอับและนอนๆ ไปรู้สึกยังกับว่าศรีษะตัวเองมีผู้อพยพมาพักอาศัยเพิ่มขึ้นอีกหลายชีวิต ทำให้แม้จะเพลียอย่างไรก็หลับไม่ลงสักที ยิ่งมีเสียงคอมเพรสเซอร์แอร์กระหึ่มปลุกเป็นระยะๆ คืนนั้นหลับได้เพียงสองสามชั่วโมงเองที่พักด้านนอกที่ดูร่มรื่นดี................................................................ภาคสอง เริ่มงานมันเป็นความเคยชินสิบกว่าปีของชีวิตงาน นอนมากนอนน้อยก็อยู่ได้ ถึงแม้จะฝืนตื่นตั้งแต่หกโมงเช้าก็ยังไม่ค่อยรู้สึกเพลียมากมื้อแรกของวันเป็นข้าวต้มไก่ และอีกอย่างน่าจะเป็นข้าวต้มเห็ดหอม สำหรับเราเป็นอาหารที่สักแต่ว่ากินให้มีอะไรตกถึงท้อง เข้าปากแล้วกลืนอย่าเคี้ยวอย่ารับรสไม่งั้นอาจกินไม่ได้เลยภาพกลุ่มแฟนคลับที่มาร่วมทำกิจกรรมรวมตัวถ่ายรูปก่อนหลังจัดการมื้อเช้า หน้าตายังผ่องใสจากนั้นจึงออกเดินทางไป รร ตชด จุฬา-ธรรมศาสตร์3 ซึ่งต้องขึ้นดอยไปอีกประมาณ 20 kmมาถึงได้สักครู่ ก็เห็นคุณตุ่ย-พุทธชาติ ตัวจริงเธอตัวเล็กบางอย่างที่เราเคยเห็นกันในทีวี ที่แตกต่างคือดูอ่อนเยาว์กว่าในทีวีมากทีเดียวสภาพทั่วๆ ไปของโรงเรียนครูตุ่ยกับเด็กนักเรียนสักครู่ณัฐก็เดินทางมาถึง มีการถ่ายทำรายการบางส่วน แล้วตัวเขาก็ไปร่วมทำงานในจุดต่างๆ ระหว่างนั้นทีมถ่ายทำของรายการเจาะใจก็ตามเก็บภาพภารกิจต่างๆ ของณัฐบ้างบรรยากาศการทำงานบ้างเป็นระยะๆณัฐและตุ่ย ทาสีผนังอาคารเด็กเล็กหลักๆ ของงานวันแรกคือการทาสีอาคารไม้หลังเก่า (ซึ่งได้รับการแก้ไขโครงสร้างและฐานบางส่วนจากช่างท้องที่มาก่อนแล้ว)การทาส่วนใหญ่ใช้แปรงขนาดเล็กๆ ค่อยๆ ทา เนื่องจากการเข้าไม้ของผนังอาคารเรียนเป็นลักษณะของงานไม้แบบเก่า คือวางแผ่นไม้ในแนวขวางแผ่นบนล่างเหลื่อมกัน จึงไม่ค่อยเหมาะกับการใช้ลูกกลิ้งขนาดใหญ่เป็นงานที่ไม่ยาก ไม่ซับซ้อน แต่กินแรงงานและพลังแขนพอควรทีเดียว บางหน้างานก็ต้องปีนป่ายนั่งร้านบ้าง เก้าอี้บ้าง ตามแต่จะหาได้ณัฐวิ่งเข้าวิ่งออกหลายจุดอยู่ ลงแรงทาสีในส่วนต่างๆ โดยเฉพาะจุดที่ต้องปีนป่ายสูงๆ บางครั้งก็ไปทำในส่วนของการถ่ายทำ เมื่อแกนกลางของการทำงานแข็งขัน กลุ่มคนที่มาก็พลอยฮึกเหิมมีกำลังใจกำลังกายไปด้วยครั้งนี้ต่างก็โฟกัสกับงานใช้แรงตรงหน้าเป็นหลัก จะได้เห็นศิลปินก็สุดแต่เค้าจะเดินเข้ามาในวิถีสายตาเอง บางทีมาใกล้พอจะถ่ายรูปได้ก็ไม่ได้ถ่ายก็ทำงานอยู่ มือเปื้อน กลัวทำโทรศัพท์เปื้อนไปด้วย ^^ ชื่อว่าทำงานย่อมมีอุปสรรคบ้าง ด้วยความขลุกขลักบางประการ กว่าจะได้เริ่มทำเวลาก็เนิ่นไปพอสมควร ทาสีไปสักครู่ ฝนก็ตก สีที่ทารองพื้นจึงแห้งช้ามาก อย่างไรก็ดี พอแสงอาทิตย์เริ่มหมดงานทาสีอาคารก็เสร็จได้เป็นส่วนใหญ่ ด้านในของห้องสุดท้ายที่ยังค้างคาและเริ่มทำงานกันยากเพราะแสงหมด ไฟไม่มี ... เก็บงานจุดที่สูงๆ ไม่ถึง ก็ได้ณัฐมาช่วยปีนอีกหนึ่งแรงกลุ่มกองเชียร์ที่วันนี้ต่างใส่ชุดเก่งมาจนแสงสุดท้ายจะหมดแล้วจริงๆ ทีมรายการจึงขอให้หยุด และมีการถ่ายทำรายการปิดท้ายวันอีกประมาณสิบนาทีจากนั้นต่างฝ่ายต่างก็แยกย้าย ณัฐและทีมงานอยู่ต่อกับครู ตชด แฟนคลับก็ลงจากดอยไปจัดการเรื่องอาหารการกินการอยู่ ณ จุดพักที่จัดหากันไว้คืนนี้ความอ่อนเพลียที่สั่งสมมาหลายๆ วันบวกกับงานใช้กำลังวันนี้ปรากฏผล ทำให้หลับสนิทได้ยาวต่อเนื่องถึงห้าหกชั่วโมงเป็นการเรียกกำลังกลับคืนได้อย่างดีทีเดียว.................................................................ภาค 3 ของขวัญตื่นมารวมตัวกันประมาณโมงเช้า วันนี้สดชื่นมากนอนเต็มตาตั้งห้าชั่วโมงไปรอกินอาหารเช้าที่เดิม ซึ่งก็ค่อยยังชั่วกว่าเมื่อวาน มื้อเช้าเป็นข้าวต้มกับ อย่างน้อยยำเกี๊ยมฉ่ายก็รสชาติได้อยู่บ้างจริงๆ ก็ไม่ได้เสียเวลากับการกินการคุยมากนัก แต่ต้องรออยู่นานทีเดียวกว่าทางครัวจะทำอาหารเสร็จ .. ได้แต่มองตามชุดที่ยกไปเสิร์ฟวีไอพีตาปรอยๆ^_^พอเดินทางไปถึงโรงเรียน ก็เจอณัฐยืนทำหน้าตาจริงจังแจกจ่ายงาน ( ก็ดีแล้วล่ะ ขืนเป็นแบบเมื่อวานมันกระจุกตัว ทำให้งานเดินช้า )คนที่หน้าตาทรงภูมิ ก็ไปทำมุมเรียนรู้ต่างๆ ที่ห้องเด็กเล็ก ทำป้ายบ้าง แผนภูมิบ้างคนที่เรียบร้อยนุ่มนวลมาก ๆ และมีฝีมือทางการบ้านการเรือน ก็ไปจัดการเย็บๆ ปักๆ ไป งานผู้หญิงมากมายส่วนใครที่หน้าตาท่วงท่าเหมาะสมกับงานโยธา ก็เก็บสีตรงระเบียงต่อ...อือ ช่างเป็นงานที่เหมาะกับเรา โชคดีแล้วที่ยังมีงานนี้เหลือให้ทำ hahaพอไม่วุ่นวาย งานก็เลยเสร็จได้ทันเวลาที่กะไว้เที่ยงวัน ก็มีการทำพิธีและส่งมอบต่างๆ ...ตามเคยที่เราไม่ได้อยู่ในซีนนั้น แต่ได้ยินเสียงครูใหญ่เครือๆ ก็นึกแล้วเชียวว่าต้องมีคนปล่อยแงแน่ๆ ก็จริง พี่อีกคนมาเล่าให้ฟังว่า ร้องไห้กันหมดนำโดยครูใหญ่ น้ำตาที่มาจากความปลาบปลื้มยินดี รินรดหัวใจใครต่อใครให้ชุ่มฉ่ำได้ทั่วหน้าหลังจากนั้นก็มีการส่งมอบห้องเด็กเล็กให้เจ้าของตัวจริง เราเห็นแค่ภาพที่ณัฐอุ้มน้องตัวน้อยปิดตาแกพาไปที่หน้าห้อง แล้วปล่อยให้วิ่งเข้าไปข้างใน กลุ่มม๊อบเล็กๆ ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวดีใจ เล่นของเล่นเสียงตึงตังลอดออกมาให้ได้ยิน ... ภาพภายในอาคารน่าจะได้เห็นพร้อมๆ กันวันที่รายการเจาะใจออกอากาศ ( 22 ตุลาคม 2552 )ณัฐพาน้องๆ ไปพบกับของขวัญแอบดูม๊อบเด็กลุยห้องเรียน"ของขวัญและรางวัล" คือสิ่งที่เด็กทุกคนควรได้รับ และที่พวกเขาได้รับในวันนี้เชื่อว่ามันจะเป็นจุดเริ่มต้นจุดหนึ่งแห่งความยินดี ความภาคภูมิในชีวิตของพวกเขาน่าเสียดายที่เสร็จจากช่วงนี้ณัฐและทีมงานบางส่วนเดินทางกลับก่อน เนื่องจากต้องไปขึ้นเครื่องที่สนามบิน จ.สุโขทัยก่อนที่กลุ่มแฟนคลับจะกลับ ทางน้องๆ นักเรียนได้ออกมากล่าวขอบคุณด้วยเพลงที่พวกเขาฝึกร้องมา " เราเป็นคนไทย ไม่ใช่คนป่า ...."เราจำเนื้อได้ไม่มากนัก จำได้แค่ว่ามองหน้าเด็กๆ และครูแล้วรู้สึกอยากยิ้ม อยากยิ้มให้พวกเขามากๆ แต่พอเพลงจบ หันกลับไปทางกลุ่มเพื่อนๆ พี่ๆ กลายเป็นว่าหลายคนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ น้ำตาที่ไหลอาบแก้มของแต่ล่ะคน เราคงไม่อาจแปลความหมายให้ได้แต่เชื่อว่าน่าจะเป็นความรู้สึกดีๆ ที่ทุกคนได้รับจากที่นี่ได้จังหวะไปคุยและขอบคุณครูใหญ่ มีคำถามหนึ่งซึ่งเราตอบไม่ได้เขาถามว่า " จะได้มากันอีกไหม " ด้วยข้อจำกัดหลายอย่างทำให้เราตอบไม่ได้ แน่นอนว่าอยากที่จะได้กลับมาเยือนอีกครั้ง แต่คงต้องดำเนินการอีกหลายอย่างขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะ ที่ไม่อาจตอบได้ทันที แต่สัญญาว่าจะพยายามทำอะไรบางอย่างให้อย่างแน่นอนและแล้วก็ถึงเวลาแห่งการร่ำลา ภาพเด็กๆ ที่ยืนรอส่งหน้าโรงเรียน หลายๆคนน้ำตาไหลพราก เรียกน้ำตาจากพี่ๆ น้องๆ ในรถอีกครั้งขอบคุณเด็กๆ และบุคคลากรทุกท่าน พวกคุณได้ให้ความหมายบางอย่างกับชีวิตของคนที่มาเยือนเพียงแค่สองวันขอบคุณมากๆ อีกครั้ง.......................................................................ภาคจบของการเดินทาง ไปต่อที่ความเห็นที่ 1 ค่ะ
จากนี้ไป เป็นเรื่องส่วนตัวของเราแล้วล่ะ ข้ามไปก็ได้นะ ^^
ว่าด้วยความลับที่ซ่อนเร้นกับการเดินทางครั้งนี้
ตามที่เกริ่นไว้ในภาคแรก เราไม่ได้บอกใครที่บ้านเรื่องรายละเอียดต่างๆ ของสิ่งที่เราทำในช่วงสองวันนี้
เราวางแผนขับรถกลับทางสาย 1175 ก็มันใกล้กว่านี่นะ ถึงจะไม่รู้ข้อมูลเส้นทาง แต่เอาน่า 80km ไป อ.บ้านตาก
มันน่าจะเร็วขึ้น ประหยัดน้ำมันได้อีกหน่อย
ออกเดินทางสี่โมงเย็นอย่างน้อยก็น่าจะถึงบ้านตากก่อนค่ำ
จากท่าสองยาง ระหว่างทางผ่านบ้านแม่หละ ซึ่งเป็นโซนที่โรงเรียนตั้งอยู่
ภาพบ้านตามไหล่เขาสวยสำหรับสายตาเราๆ แต่จะสบายคุ้มภัยหรือเปล่าหนอ สำหรับพวกเขา
บ้านแม่หละ
จากนั้นมุ่งหน้าย้อนกลับตามสาย 105 จนเจอทางแยกไปบ้านตากที่เป็นเป้าหมาย เราเลี้ยวเข้าไปอย่างมั่นอกมั่นใจ
ระหว่างทางผ่านด่านตรวจของ ตชด เป็นระยะๆ แต่ก็ยังไม่มีใครถามอะไร
ด่านสุดท้ายก่อนขึ้นขุนพะวอ ตชด นายหนึ่ง ถามเราว่าจะไปที่ไหน ตอนนั้นยังไม่ได้รู้ตัวอะไรเลยยิ้มและตอบกลับไปอย่างมั่นอกมั่นใจ บ้านตากค่ะ
ตชด นายนั้น ทำหน้าตาแปลกๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร เรารู้สึกสะดุดแต่ไม่ได้ถามอะไรอีกเช่นกัน
เส้นทางสายนี้ช่วงก่อนถึงขุนพระวอ ยังไม่ทำให้เราหวั่นใจ แม้จะทั้งแคบ ชัน โค้งหักศอกมากมาย แต่ผิวจราจรก็ยังอยู่ในเกณฑ์รับได้ไม่ได้ขับแล้วรู้สึกลำบากมากนัก
เพียงแค่ขับไปก็นึกไป ว่าคนที่สนุกสนานกับการพิชิตพันสี่ร้อยกว่าโค้งของเส้นทางแม่ฮ่องสอน แวะมาขับเล่นที่นี่ก็ไม่แพ้กันนะคะ เราว่ายากกว่าด้วยซ้า
ให้ข้อมูลเรื่องขุนพระวอนิดนึง ที่นี่มีบ้านพักและจุดกลางเต๊นท์นะคะ ถ้ามาช่วงฤดูหนาวพี่เราบอกว่าทะเลหมอกยามเช้าสวยงามกว่าแหล่งท่องเที่ยวหลายแห่ง
หรือจะโรแมนติกนอนนับดาว คุณก็จะมีดวงดาวนับล้านเป็นเพื่อนคุณในยามค่ำคืน
พอผ่านขุนพระวอ ทางก็ยากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากจะ ชัน แคบ โค้งหักศอกมากมายแล้ว ผิดถนนยังทำร้ายรถอย่างมาก
รูปที่เก็บมา เป็นช่วงที่ดูดีที่สุดแล้วของเส้นทาง นอกนั้นไม่ได้ถ่ายเพราะจอดรถไม่ได้
สภาพถนนช่วงที่ถือว่าดีที่สุด
ความงามของธรรมชาติ
ยิ่งขึ้นดอยไปเรื่อย ๆ ความวิตกก็ยิ่งมากขึ้นห้าโมงครึ่งยังไม่ถึงไหนจะมืดกลางดอยไหมนะ มองไปสองข้างทาง เจอดอยบ้าง เจอหุบเขาบ้าง
ทะเลหมอกที่นี่ มีให้เห็นตอนเย็นๆ นี่แหละ ภาพหมอกคลุมภูเขาเป็นช่วงๆ สวยดี แต่พอคิดว่าอาจจะต้องมืดกลางดอยใจก็แป้วไปบ้างเหมือนกัน
ความหวังที่ใช้ปลอบตัวเองคือตัวเลขที่หลักกิโลเข้าสู่บ้านตากที่ค่อยๆ ลดลง
จนในที่สุดก็ใกล้ถึงจุดหมาย ก่อนเข้าตัวอำเภอบ้านตากเจอด่านตำรวจอีกหนึ่งด่าน ใจมันก็แว้บขึ้นมา เอ เราจะโชคร้ายเจอพี่ชายออกมาทำงานที่ด่านนี้ไหม
ไม่หรอกน่า โดยหน้าทีแล้วเค้าไม่ต้องมาเฝ้าด่านกับลูกน้องนี่นา
คำภาวนาไม่เป็นผล ตำรวจนายหนึ่งเรียกรถเราให้หยุด พร้อมๆ กับที่พี่ชายเดินออกมาจากป้อม โอยย อุตส่าห์จะไม่ให้ใครรู้ว่าไปไหนมา
ทำไมมันต้องบังเอิญอย่างนี้ ในที่สุด ก็เลยบอกพี่ไปตรงๆ ว่ามาจากท่าสองยาง
คุณพี่ไม่ถามสักคำว่าไปทำไม กลายเป็นว่าเขารู้จากหลานๆ แล้วว่าณัฐไปถ่ายทำรายการที่นี่ ฉะนั้นเราก็ไปงานนี้นั่นแหละ
มีการบอกด้วยว่า เดี๋ยวจะช่วยปิดเป็นความลับไม่ให้พี่สาวรู้ - -" แต่ข้อแลกเปลี่ยนคือ แกแวะไปหาหลานๆ ซะ
แหม...ไม่สั่งก็กะจะแวะอยู่แล้วน่า
ได้คุยกัน พี่ชายบอกว่าตอนเห็นรถเราวิ่งลงจากดอยมาและไม่รู้ว่าใครขับ เค้าก็คิดไปสองอย่าง หนึ่ง น้องสาวถูกหมกป่าแล้วโจรเอารถหลบมาเส้นทางนี้
หรืออย่างน้อยๆ ก็อาจจะเป็นรถคันอื่นไปเลยที่โจรกรรมมาและสวมทะเบียนที่ตรงกับของเรากำลังจะเอาไปขาย
พอเห็นว่าเป็นเราเองที่ขับมา เค้าก็เลยสบายใจแล้วไม่สนอย่างอื่นอีก ขอบคุณมากๆ ค่ะ ^^
คืนนั้นเราก็เลยไม่ถึงแพร่ ไหนๆ ก็มาแล้วเลยค้างบ้านพี่ชายสักหน่อย
เป็นการจบทริปแบบเขินตัวเองไม่ใช่น้อย นี่แหละหนา เขาถึงได้บอกกันว่าความลับไม่มีในโลก ปกติควรจะเจอพี่ที่ด่านนี้ซะที่ไหนยังมาเจอ
เรื่องอื่นๆ ก็น่าจะจริงแหละนะ ใครทำอะไรไว้อย่างไร ต่อให้ไม่บอกใครก็มีตัวเราเองที่รู้
ไม่มีอะไรที่ปิดบังได้ตลอด สิ่งที่ควรทำก็คือทำความจริงของเราให้ถูกให้ควรพอที่จะไม่ละอายต่อใครๆ
จริงๆ แล้วที่เราไม่บอกทางบ้านก็เพียงแค่ไม่ต้องการให้ใครห่วงกังวลเท่านั้นเอง เรื่องอื่นๆ ที่เป็นชีวิตส่วนตัว เขาไม่เคยอะไรด้วยอยู่แล้ว
ถึงเริ่มต้นด้วยการหลงทาง ผ่านการผจญภัยบนทางไม่คุ้น จบลงด้วยความเขิน
แต่ทริปนี้ก็มีความสุขมากมายล่ะนะ ^__________^