3. มุมมองของคนดูมีจำกัดเท่ากับตัวละครในเรื่อง และยังมีข้อจำกัดทั้งเรื่องเวลาและสถานที่อีกด้วย (หนัง Top5 อีกเรื่องของผม The Vantage Point ก็เข้าข่ายนี้)
และก็อดไม่ได้ที่จะไปเทียบกับ The Mist ซึ่งถ้าทำตามบทจริงๆ อาจออกมาประมาณ The Happening ก็ได้ แต่แฟรงค์ ดาราบอนต์ก้าวไปอีกขั้น โดยการพัฒนาเรื่องราวให้ถึงที่สุด โดยไม่เอาใจคนดู เลยเป็นจุดเพิ่มพลังให้กับหนังได้มากมาย ในขณะที่ The Happening ก็สามารถไปถึงจุดนั้นได้ แต่เฮียมาโนชเลือกที่จะประนีประนอมกับคนดู ซึ่งลดพลังหนังอย่างน่าเสียดาย
สรุป หนังเริ่มต้นมาดีครับ กดดัน สยอง จังหวะต่างๆดี จนถึงตอนท้ายที่อยู่ๆก็ตกม้าตายเอาดื้อๆ เลยกลายเป็นหนังที่แค่ดูได้เท่านั้น ไม่ถึงกับประทับใจอะไร สำหรับลำดับเรื่องนี้เมื่อเทียบกับหนังเอ็มไนท์อื่นๆ ผมให้สูงกว่า The Village แต่น้อยกว่า The Sixth SEnse ครับ
จุดดีของหนังคือการแทนที่จรัญ มโนเพชรของแอ๊ด คาราบาว เป็นการเลือกที่ลงตัวมาก แถมยังมีการโผล่ให้เห็นหน้าด้วย (แม้จะคล้าย There is something about Mary นิดหน่อบ กับการเห็นหน้าคนร้องเพลงประกอบ) แต่ความจริงจุดนี้สมัยจรัญก็ถือว่าเป็นจุดเด่นของหนังชุดนี้อยู่แล้ว ดังนั้นถือว่าเสมอตัวครับ
กรี๊ด อยากกรี๊ดให้ดังๆ กับ A moment in June หลังจากที่ไม่ได้ดูหนังที่ตรงจริตขนาดนี้มานานแล้ว และแล้ว ก็จะได้วัตถุดิบไปเขียนบล็อกใหม่เสียที (หลังจากไม่ได้เขียนบล็อกใหม่นานมาก เพราะไม่ค่อยเจอหนังที่รู้สึกว่าอยากจะเขียนเท่าไร)
New York, I love you ง่วงนอน ปนหนังน่าเบื่อนิดๆ เลยแอบหลับไปบ้าง รู้สึกเหมือนได้ดูไม่กี่ตอนเอง ข้อที่แตกต่างจาก Paris คือหนังพยายามเชื่อมโยงตอนต่างๆให้เข้าหากันมากขึ้น ด้วยฉากเล็กๆก่อนเข้าแต่ละตอนที่ให้ตัวละครได้โผล่หน้ามาเจอคนดูบ้าง แต่กลับยิ่งทำให้เวลาเข้าแต่ละตอนมันไม่มีจุดเริ่มต้นชัดเจน (เมื่อเทียบกับ Paris ที่ตัวละครแต่ละตอนโผล่มาเจอกันตอนจบ) แล้วตัวละครมันก็ไม่ได้ผูกโยงกันชัดเจนขนาดที่จะเอามาเชื่อมกันได้สนิท และที่สำคัญที่สุดจริงๆที่ทำให้ดูหนังเรื่องนี้ไม่สนุกนัก คือไอเดียมันสดจริงๆตอน Paris แต่พอมา New York มันไม่สด ซ้ำซาก ไม่ตื่นเต้น หวือหวาเท่าตอน Paris แม้จะรู้จักนักแสดงมากขึ้นก็ตาม
สำหรับผม Paris, Je Taime ดูครั้งแรกจะชอบมากกว่าเพราะมันหวือหวากว่า แต่หลังจากนั้นเนื้อเรื่องจะแทบไม่มีเอกภาพอะไรให้เรานึกถึงปารีสเลย แต่หนังเรื่อง New York, I love you ผมกลับชอบมากกว่าแฮะในองค์รวม มันมีความเป็นคนในพื้นที่มากกว่า
คิดถึงหนังประเภทนี้ เดินเรื่องด้วยคาแรกเตอร์มากกว่าเนื้อเรื่อง ตัวละครโดดเด่น การแสดงของตัวละครเริ่ด โดยไม่จำเป็นต้องมีฉากเค้นอารมณ์ บทหนังฉลาดๆ คมคาย โต้ตอบสนุกสนาน รู้สึกหนังเรื่องท้ายๆที่มีคุณสมบัติประมาณนี้คือ As Good as It Gets เมื่อหลายปีก่อน จนมาถึง Up in the Air นี่แหละ
Wall E ผมชอบฉากบนโลกมาก แต่พอขึ้นยาน แล้วหนังเริ่มเสียดสีสังคม ก็ไม่ชอบแล้ว
UP ผมชอบฉากเปิดเรื่องจนถึงบ้านเริ่มลอยออกไปมาก แต่พอไปถึงฉากในป่า ก็ไม่ชอบเหมือนกัน
มาถึง Toy Story 3 จากความผูกพันจาก 2 ภาคแรก (โดยเฉพาะภาค 2 กับเพลง When You Love Me ดูตอนไหนก็เสียน้ำตาทุกที) พอมาถึงภาคนี้ เลยตั้งความหวังไว้มาก แต่พอหนังเริ่มผจญภัย จนเกือบจบ ก็ทำให้ผิดหวังมากๆ เมื่อพบว่ามันไม่มีอะไรใหม่เลย ไม่ว่าลูกเล่น อารมณ์ แถมมาเจอการแอปแฝงประเด็นการเมืองในกลุ่มของเล่นอีก จนรู้สึกผิดหวังมากๆ
ในขณะที่บท การแสดง เนื้อหา ดูแข็งๆและเป็นจุดอ่อนไปซะแทบทุกอย่าง การเต้นที่เป็นจุดแข็ง ก็ได้บรรดานักแสดงประกอบทั้งหลายแหล่มาเติมเต็ม ในขณะที่ตัวเอก (โดยเฉพาะพระเอก) ก็ไม่ได้โดดเด่นกว่าตัวประกอบ เลยรู้สึกว่า ดูรายการ So you think you can dance ยังอ้าปากหวอ และตื่นเต้นมากกว่านี้
หนังเล่นกับเรื่องความเชื่อ ความศรัทธาที่สูญเสีย และเหตุการณ์ที่ทำให้ตัวเอกได้ตระหนักว่าจริงๆแล้ว พระเจ้าก็ไม่ได้ทอดทิ้งเรา (นี่มันธีมเดียวกับ Sign ชัดๆ) และการเล่าเรื่องผ่านตำนาน เรื่องเล่าถึงเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ (นึกถึง Lady in water กับ Unbreakable) แต่สิ่งที่หนังเรื่องนี้อ้างอิงชัดเจนที่สุด คือนิยาย And then there were none (หรือ Ten little indians) ของอกาธา คริสตี้ ที่เล่าเรื่องคนบาป 10 คน (ในหนังตัดเหลือแค่ 5) ที่ภายนอกเหมือนคนทั่วๆไป เข้าไปรวมตัวอยู่ในสถานที่จำกัด แล้วเริ่มมีการตายเกิดขึ้นทีละคน ในขณะที่ความระแวงก็มากขึ้น ก่อนจะเฉลยว่า ... (ขอยกไปไว้สปอยย่อหน้าสุดท้าย)
Grown Up เป็นหนังที่ไม่คาดหวังอะไรมาก ไปดูก็ไม่ได้รู้สึกดีกว่าที่คาดหวังในด้านคุณภาพหนัง แต่ความรู้สึกที่มีต่อหนังดีมากๆ กับหนังประเภท coming of age ของตัวละครที่เป็นผู้ใหญ่ แล้วก็การแสดงแบบทีมใหญ่ๆ แต่ก็มีพัฒนาการคนละเล็กละน้อย หลายๆฉากที่เรียกรอยยิ้มจากความน่ารักได้ มีความสุขครับ