Group Blog
 
 
มกราคม 2554
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
5 มกราคม 2554
 
All Blogs
 

ปีใหม่ ขึ้นบล็อกหน้าใหม่

สวัสดีครับ ผู้ที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนที่บล็อกแห่งนี้

สำหรับคนที่เข้ามาใหม่ บล็อกของผมจะเหมือนกับเป็นไดอารี่ส่วนตัวที่บันทึกความเห็นเกี่ยวกับหนังเรื่องต่างๆที่ได้ดูในมุมของตัวเอง สลับกับเรื่องอื่นๆบ้างเล็กน้อยที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แต่ในขณะเดียวกัน ก็เปิดโอกาสให้ทุกคนได้ร่วมแสดงความเห็น แชร์ประสบการณ์ได้

บล็อกนี้คนเข้าไม่เยอะหรอกครับ คนตอบยิ่งน้อยไปใหญ่ ดังนั้น ใครอยากพูด อยากทำอะไรก็ตามสบาย

ความเห็นที่เกี่ยวกับหนัง ส่วนใหญ่เป็นความรู้สึกที่ตัดสินจากหลังชม ว่าชอบ ไม่ชอบ และทำไม (ผมเชื่อว่าหนังแทบทุกเรื่องต้องมีทั้งส่วนที่เราชอบและไม่ชอบปนกันเสมอ) แต่ถ้าอยากอ่านแบบวิเคราะห์ หรือรายละเอียด ก็ลองคลิ๊กหน้า my life with movie ใกล้ๆกันนี่

และในฐานะที่ขึ้นหน้าใหม่ ใกล้ๆปีใหม่ เลยอยากบอกเล่าสถานการณ์ และมุมมองของตัวเองในรอบปีแบบสรุปๆนิดนึง

1. การบูมของหนังสามมิติ แต่ตัวเองยังไม่เจอเรื่องไหนที่ทำให้พึงพอใจเพราะเป็นสามมิติเลย ถ้าเลือกได้ ขอเลือกดูธรรมดาดีกว่า (แต่ส่วนตัวชอบโรงดิจิตอลนะ แต่ตอนนี้ดิจิตอลก็มีแต่ฉายสามมิติ เลยต้องดูโรงธรรมดาซะส่วนใหญ่)

2. ปีที่แล้วดูหนังน้อยลงมาก และปีนี้ก็คงเช่นกัน สาเหตุหลักๆคือการไม่มีเวลา และตั๋วหนังแพง และสาเหตุรองคือไม่ค่อยมีคนไปด้วย เวลาเจอคนรู้จักแล้วเห็นว่าเรามาคนเดียวเริ่มเสียความมั่นใจ ในที่สุด เลยต้องเลือกดูหนังที่อยากดูจริงๆเท่านั้น เมื่อเทียบกับสมัยก่อน ดูอะไรก็ได้ถ้ามีเวลา

3. รสนิยมในการดูหนังของตัวเอง เริ่มแตกต่างจากคนส่วนใหญ่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนดู นักวิจารณ์ อย่างปีที่แล้ว ผมชอบชิงหมาเถิดมาก แต่เฉยๆถึงขั้นไม่ชอบอินทรีแดง ซึ่งสวนทางกับคนส่วนใหญ่ แต่อันนี้ไม่แคร์

4. กระทู้พันทิปน่าเบื่อมาก เพราะการมาถึงของกระทู้ถ่ายทอดสดละคร กระทู้แฟนคลับดารา แฟนคลับช่อง 3 ช่อง 7 ที่หลับหูหลับตาเชียร์ฝ่ายตัวเองและถล่มอีกฝ่ายอย่างเดียว โดยไม่สนใจรายละเอียดข้างในว่าคุณภาพมันสมกับที่เชียร์ไหม กระทู้ที่ฉลาดๆ มุมมองดีๆ แปลกใหม่ เป็นตัวของตัวเอง หายากมากขึ้นเรื่อยๆ และถ้ามีมา ก็มักไม่ใช่เกี่ยวกับหนัง ละคร แต่เป็นนอกเรื่องอื่นๆ

5. แล้วกระทู้ตามถล่มใครสักคนมันก็มีมาบ่อยๆ เหมือนกับเอาให้ตายไปซะข้างหนึ่ง ทั้งๆที่บางครั้งมันเป็นเรื่องส่วนตัวของเขาแท้ๆ แต่คนในพันทิปกลับอยากมีส่วนร่วมกับเขาทุกเรื่อง โอเค ถ้าเรื่องนั้นมันมีผลกระทบต่อภาพรวม ต่อวงการบันเทิง ต่อการนำเสนอข่าว การฉ้อฉน เช่นกรณีนาธาน แต่อย่างฟิล์มแอนนี่ มาช่ากฤษณ์ พิงค์กี้ธันญ่า พลอยได๋ พวกนี้มันเรื่องส่วนตัวล้วนๆ แต่มันเป็นข่าวเพราะมีสื่อมาชง แล้วคนในพันทิปก็ตอบรับเกรียวกราว ทำให้เรื่องมันกระฉ่อนเกินเหตุ

6. เลยนึกถึงบ้านเมืองกับกีฬาสี ส่วนใหญ่ก็แบ่งข้างกันเรียบร้อยและหลับหูหลับตาเชียร์โดยไม่ดูรายละเอียดเหมือนกัน แถมยังไม่การบิดเบือน ป้ายสี ใส่ความ และยัดเยียดให้คนที่เห็นต่างเป็นอีกฝ่ายนึงให้ได้ ส่วนตัวของตัวเอง สีเหลืองยกให้ผมอยู่สีแดง และสีแดงยกให้ผมอยู่สีเหลืองครับ แต่จะบอกว่าจริงๆผมไม่มีสีอะไรทั้งนั้น และก็รังเกียจพฤติกรรมทั้งของสีแดงสีเหลือง และจะบอกให้ว่าคนที่ไม่มีสี มันก็ไม่ได้มีน้อยๆในสังคม พวกมีสีจะทำอะไรก็นึกถึงกลุ่มพวกนี้ด้วย

7. อ่านกระทู้นึง บอกว่าชิงหมาเถิดเป็นหนังสีเหลือง อินทรีแดงกับลุงบุญมีระลึกชาติ เป็นหนังสีแดง ตรงไหนครับ ผมดูไม่ออกจริงๆ

เอาแค่นี้ก่อนแล้วกัน ขออวยพรให้ทุกคนมีความสุขกับการดูหนังตลอดปีครับ




 

Create Date : 05 มกราคม 2554
26 comments
Last Update : 5 มกราคม 2554 11:55:46 น.
Counter : 6211 Pageviews.

 

The Social network

เดวิด ฟินเชอร์สมัย se7en และ Fight Club กลับมาแล้ว

หนังให้ความสำคัญกับความเป็นเพื่อนและมิตรภาพ ซึ่งสอดคล้องกับลักษณะเด่นของ facebook ที่ระบบเพื่อน ทำให้มันกลายเป็นสังคมออนไลน์ที่แตกต่าง หนังใช้จุดนี้มาเป็นตัวผลักดันให้เรื่องเดินไปข้างหน้า จนกระทั่งถึงฉากสุดท้าย

ในขณะเดียวกัน จุดเด่นของฟินเชอร์อย่างงานด้านภาพ ก็เล่นออกมาได้กำลังพอดี เทคนิคพิเศษก็นำมาแค่เสริมการเล่าเรื่องราว แต่ไม่ได้ใช้อย่างหนักมือจนเหมือนการโชว์ออฟเช่นในหนังหลายๆเรื่องของเขา

ในส่วนของบท เด่นทั้งการเล่าเรื่อง และบทสนทนาที่ใช้ในหนัง ที่ทั้งเสียดสี คมคาย และรัวมาก นึกถึงงานเควนติน เทอแรนติโน่หน่อยๆในแง่ชั้นเชิงการเขียนบท(การพล่ามของตัวละคร แล้วค่อยๆสอดแทรกประเด็นที่จะพูดอย่างแนบเนียน การตัดสลับเหตุการณ์คนละที่ คนละเวลา แต่บทสนทนาต่อเนื่องกัน) แต่เป็นมิตรกับคนดูมากกว่า และการแสดงที่ยกกันมาเป็นทีม แล้วสอดคล้องกลมกลืนกัน

นี่คือหนังที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่ดูมาในปีที่แล้วครับ

 

โดย: wu IP: 202.12.97.121 5 มกราคม 2554 17:19:47 น.  

 

The Tourist

ด้วยหน้าหนัง ทำให้คิดว่าจะได้ดูหนังที่มีความฉลาด คมคาย หลักแหลม ชิงไหวพริบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การได้ดารานำอย่างเดปป์กับโจลี่ และผู้กำกับจาก Live of the Other ที่เป็นผลงานที่ทั้งฉลาด และซาบซึ้งกินใจ

แต่เหมือนกับว่าผู้กำกับจะเอายังไงกับหนังแนวนี้ดี ซึ่งควรจะต้องมีส่วนผสมผสานของโรแมนติกทริลเล่อร์กับแบล็กคอมมิดี้ และการขายเสน่ห์จากนักแสดงนำ ซึ่งผู้กำกับทำได้แค่อันหลังสุด แต่ส่วนอารมณ์ของหนัง กลับค้างๆคาๆ ซึ่งแม้แต่นักแสดงอย่างเดปป์กับโจลี่ก็ช่วยอะไรไม่ได้

เนื้อเรื่องที่ดูเหลือเชื่อ และรูโหว่ ไม่ใช่ปัญหาของหนังแนวนี้ ถ้าออกมาในแนวตลกร้าย และสร้างคาแรกเตอร์ตัวละครให้โดดเด่นทั้งบทนำและตัวประกอบ แต่พอผู้กำกับเลือกที่จะนำเสนอแบบฟุ้งๆ ฝันๆ ฉากหลังสวยๆ กับเสน่ห์ตัวละครแบบภาพในอุดมคติ ซึ่งมันตรงข้ามกับตลกร้ายแบบคนละทิศทาง เลยออกมาไม่สุดเท่าที่โครงเรื่องเปิดโอกาสไว้ให้แล้วแท้ๆ

 

โดย: wu IP: 111.84.30.154 5 มกราคม 2554 22:40:11 น.  

 

สุดเขตเสลดเป็ด

หนังฮาๆ ปล่อยมุขไม่บันยะบันยัง เสียดายนิดหน่อย ที่หลายมุขเคยปล่อยผ่านหนังตัวอย่าง และโปรโมทจนคุ้นหูคุ้นตา จนกลายเป็นความไม่สด ทั้งที่ในตัวมุขต่างๆ ผ่านตลอด

หนังของยอร์ชที่ผมเคยดูมีแค่ แสบสนิทศิษย์ส่ายหน้า ซึ่งดูทางดีวีดี และดูไม่จบ แต่การได้ดูผ่านเคเบิลหลายต่อหลายรอบ ก็คิดว่าตัวเองได้ดูจบเรื่องแล้ว และพอจะรู้สไตล์ของหนัง คือการเล่นตลกเป็นซีนๆ ซึ่งก็ตลก (โดยเฉพาะฉากโก๊ะตี๋เจอผี) แต่มันดูสนุกเป็นฉากๆ เป็นยกๆ แต่ขาดความต่อเนื่องกลมกลืนเชื่อมโยงแต่ละฉากให้กลายเป็นหนังอันหนึ่งอันเดียวกัน ตัวเองจึงไม่ค่อยรู้สึกอะไรกับหนังของเขามากนัก

พอมาถึงสุดเขต ลักษณะเป็นซีนๆก็ยังมีอยู่บ้าง แต่น้อยลง และหนังก็ดูต่อเนื่องกลมกลืนกันมากขึ้น ในเรื่องความสนุก หนังผ่านโดยตลอด โดยเฉพาะกับสีสันของบทตุ๊กกี้ เป้ ยิปโซ โก๊ะตี๋ และแม่นางเอกเป็นตัวขับเคลื่อน แต่ถ้าดูอย่างอื่นนอกเหนือจากความตลก อาจไม่เท่าไร แต่ก็ไม่เลวร้าย ยกเว้นการเติมเพลงประกอบในบางช่วงของหนัง ที่กลายเป็นส่วนเกินและความพยายามที่มากเกินไป

 

โดย: wu IP: 111.84.102.195 8 มกราคม 2554 23:41:55 น.  

 

นึกขึ้นมาได้ ใครอยากเป็นเพื่อนเจ้าของบล็อกทาง facebook request มาได้นะครับ ชื่อ Narin Chansri

 

โดย: wu IP: 115.67.129.156 15 มกราคม 2554 18:28:16 น.  

 

Burlesque

ในฉากที่คริสติน่า อากีเลร่ากำลังจินตนาการขณะดูโชว์ว่าเธอคือนางโชว์คนนั้นเสียเอง ผมว่าสาวๆกว่าครึ่งของในโรง หรือแม้แต่หนุ่มๆบางคน ก็กำลังจินตนาการว่าตัวเองคือคริสติน่า อากีเลร่าอีกต่อหนึ่ง

นั่นคือความสำเร็จของหนังเรื่องนี้ ที่เข้าไปนั่งในกลางใจคนดูได้ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเรื่องชวนฝัน ความเลิศหรูของการแสดงบนเวที เสียงเพลงพ่นไฟ นางเอกมั่นไม่แคร์สื่อ และชายหนุ่มหน้าตาดีมาพัวพัน ทั้งๆที่จริงแล้ว เนื้อเรื่องและองค์ประกอบทุกอย่าง เป็นสูตรสำเร็จ และไม่มีอะไรแปลกใหม่เลยสักนิด และจงใจที่จะนำเสนอแบบเอาอกเอาใจคนดูมากกว่าแง่มุมการเล่าเรื่องให้ดูน่าสนใจ

จุดอ่อนและจุดแข็งของหนังคือคริสติน่ากับป้าแชร์นี่เอง โดยเฉพาะคริสติน่า ที่ดูยังไงก็เชื่อได้ยากว่าเธอคือเด็กสาวจากบ้านนอก เพราะหน้าตา ท่าทางที่ดูเชี่ยว มั่นใจ และพลาสติก ทำให้อารมณ์ร่วมในการต่อสู้ฝ่าฟันอุปสรรค์ หรือความพยายามต่างๆของนางเอก ไม่ได้เกิดในหมู่คนดูเลย นอกจากความรู้สึกว่าเธอเริ่ด เธอมีแฟนหล่อ เธอมีชีวิตเหมือนฝัน และอยากมีอย่างเธอบ้างสักครั้ง

 

โดย: wu IP: 202.12.97.113 21 กุมภาพันธ์ 2554 18:04:17 น.  

 

I am no. 4

หนังแอ็กชั่นเรื่อยๆมาเรียงๆไปหน่อย ปัญหาคือตัวละครหลักที่ขาดความน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นพระเอก นางเอก ผู้ร้าย แม้ว่าแนวคิดของเรื่องจะดี และสร้างความคาดหวังให้คนดูไว้สูง ว่าน่าจะมีอะไรๆซ่อนอยู่มากมาย แต่พอเปิดออกมาก็งั้นๆ เช่น

-ตัวละครที่ไม่น่าไว้วางใจ หมาของพระเอก No.6 ก่อนจะบอกว่าเป็นใคร ผู้ดูแลพระเอก เพื่อนๆรอบๆตัวพระเอก หรือสิ่งลึกลับที่ซ่อนในรถบรรทุก ซึ่งจากการเปิดตัว ทุกตัวละครเหมือนมีอะไรซ่อนอยู่ และน่าจะนำไปสู่การหักมุม หรือเป็นอะไรที่คาดไม่ถึงได้ แต่พอเฉลยแรงจูงใจของตัวละครต่างๆ ก็ไม่ได้เกินความคาดหมาย หรือตื่นเต้นอะไรมาก ยกเว้นการปล่อยของของ No.6 แต่ก็เป็นการออกแบบคาแรกเตอร์ตัวละครมากกว่าการเฉลยแรงจูงใจตัวละคร

-ผู้ร้ายที่ขาดตัวร้ายจริงๆ เหมือนกับเป็นแค่ลูกสมุนหลายๆตัวมารวมกันมากกว่า แล้วพฤติกรรมที่เหมือนกับกลุ่มเด็กซนๆมากกว่าคนเลวๆ ร้ายกาจ หรือสร้างความเกรงกลัว หวาดหวั่น ไม่น่าไว้ใจให้เกิดกับคนดูได้ (แม้แต่อาวุธร้ายที่สุดของผู้ร้าย ก็คือสัตว์ประหลาดในรถบรรทุก ก็ไม่ได้สร้างความพรั่นพรึงอะไร)

- จุดที่ตอกย้ำความไม่น่าสนใจในคาแรกเตอร์ตัวเอก คือการเปิดตัว No.6 ซึ่งแย่งชิงความเด่นจากหนังไปหาตัวเองทั้งหมด ทั้งที่โดยน้ำหนัก นี่คือแค่บทสมทบในเรื่อง แต่กลับน่าสนใจกว่าตัวละครหลักเสียอีก ซึ่งถึงแม้จะสร้างความพึงพอใจให้คนดูได้ (หลังจากนั่นหาวสองนาน) แต่ในแง่ของความเป็นหนัง ผมถือว่าล้มเหลวครับ (ซึ่งทางแก้ คือหนังต้องทำให้บทพระเอกเด่นกว่า N0.6 ให้ได้ หรือไม่ก็ต้องลดความเด่นของ No.6 ลง ซึ่งถ้าจะเลือกข้อหลัง หนังเรื่องนี้ก็ยิ่งจะไม่มีอะไรมากขึ้น)

 

โดย: wu IP: 202.12.97.120 1 มีนาคม 2554 17:42:10 น.  

 

ผมขอรูปการติดตั้งเครื่องกรองน้ำของสตีเบล เอลทรอน รุ่น rain หน่อยได้มั้ยครับ พอดีจะซื้อแต่ยังคิดไม่ออกว่าจะต่อยังไงขอบคุณครับ
ป๋อม
s.natthapon@gmail.com

 

โดย: ป๋อม IP: 192.168.0.106, 182.52.217.69 7 มีนาคม 2554 16:01:52 น.  

 

ตอบข้างบนก่อน (ไม่เข้ากับ blog นี้เลยนะนี่ แล้วอยู่ๆรู้ได้ไงว่าบ้านผมใช้เครื่องกรองน้ำรุ่นนี้น่ะ งง)

ไม่มีรูปครับ แต่เครื่องกรองน้ำรุ่นนี้ติดตั้งง่าย แค่เอาสายของมันไปต่อกับหัวก๊อกอ่างล้างจานปกติ (สายเครื่องกรองน้ำจะมีหัวเกลียวอยู่แล้ว สวมเข้าก็อกน้ำปกติได้เลย ไม่ต้องดัดแปลงอะไร) เวลาใช้กรองน้ำ ก็บิดวาวไปข้างนึง เวลาจะใช้น้ำก็อก ก็บิดวาวไปอีกข้างนึงแค่นี้ ใช้มา 2 ปี โอเคครับ ยังไม่มีปัญหาอะไร

 

โดย: wu IP: 202.12.97.119 7 มีนาคม 2554 16:14:22 น.  

 

Unknown

พล็อตหนังดีมาก หามานานแล้ว หนังที่ทำให้คนดูสนุกเพราะการวางโครงเรื่อง การหลอกล่อคนดู และใช้เทคนิคการเขียนบททำให้คนดูหลงทาง และอธิบายเรื่องราวต่างๆไปด้วย และบทสรุปที่ทำให้คนดูยอมรับได้ หนังออกแนวฮิชค๊อก กับตัวเอกที่ตกไปอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย การเอาตัวรอด และการหาคนอยู่เบื้องหลัง และตัวละครหญิงร้าย ไว้ใจไม่ได้ แม้ว่าระหว่างดู นอกจากจะลุ้นกับเรื่องราวในหนัง ยังต้องลุ้นกับหนังว่าจะเฉลยเรื่องราวออกมายังไง ซึ่งถ้าเฉลยหลุดโลกมากเกินไป จะทำให้กลับกลายเป็นหนังห่วยขึ้นมาได้ง่ายๆ (นึกถึงหนังเรื่อง Forgotten ที่สร้างเงื่อนไขต้นๆเรื่องคล้ายกัน) แต่หนังเฉลยออกมาโอเคมาก

(Spoil)

โครงเรื่องของหนัง นี่มันพล็อตเดียวกับ Total Recall ชัดๆ แต่ทำออกมาในเวอร์ชั่นที่ไม่ใช่ Sci-fi และถ้าหนังเฉลยเป็น Sci-fi เช่น โลกคู่ขนาน มนุษย์ต่างดาว การ inception ความจำ โลกหลังความตาย หรือเฉลยเป็นจิตวิทยา เช่นภาพหลอน เป็นบุคลิกแปลกแยกอะไรทำนองนี้ หนังก็คงไม่ออกมาดีขนาดนี้

ที่บอกว่าหนังเหมือน Total Recall คือพระเอกเป็นคนเลว แต่ถูกทำให้เข้าใจว่าตัวเองเป็นคนดี และด้านดี(ที่เข้าใจผิดนี้) เอาชนะด้านเลวที่หลงลืมไปในที่สุด ในขณะที่ตัวละครรอบข้างคือผู้หญิง 2 คน คนหนึ่งเป็นเมียที่แสนดี แต่กลับเป็นของปลอม และเป็นตัวหลอกล่อให้พระเอกติดในห้วงความคิดตัวเอง อีกคนคือนางเอกตัวจริงที่ร่วมผจญภัยไปด้วยกันกับพระเอก

ที่ชอบ

1. หนังบอกคนดูมาตลอด ว่าพระเอกความจำเสื่อม หรือเลือกที่จะจดจำแค่บางเรื่องราว แต่คนดูดันไปเชื่อพระเอก ว่าตัวเองไม่ได้ความจำเสื่อม (โดยเฉพาะที่ช่วงแรกๆที่พยายามอธิบายว่าถ้าพระเอกไม่ใช่ด็อกเตอร์ แล้วทำไมรู้เรื่องด็อกเตอร์ดีนัก ก็มีคนบอกว่าอาจเพราะไปอ่าน ไปศึกษาเรื่องราวมา เลยทำให้รู้จักด็อกเตอร์ นี่มันเฉลยหนังตั้งแต่ต้นเรื่องแล้ว แต่คนดูไม่รู้ตัว)

2. ชอบที่หนังหลอกเราตั้งแต่ฉากแรกเลย ที่ให้เห็นตบตาคนว่าพระเอกกับเมียเป็นคู่รักที่น่ารัก คนดูก็โดนตบตาไปด้วย

3. ชอบที่หนังเปิดโอกาสให้คนดูคิดล่วงหน้า ว่าอาจจะเป็น Sci-fi ก่อนจะมาหัวเราะใส่คนดูที่หลัง ว่าคุณคิดผิด

ที่ไม่ชอบ

ความบังเอิญและไม่สมจริงบางอย่าง เช่นฉากลานจอดรถที่สนามบิน นางเอกก็บังเอิญเห็นพอดี หรืออย่างพระเอกทั้งเข้าออกโรงพยาบาล ทั้งทำ MRI (ซึ่งปกติแพงมาก และต้องเข้าคิวยาวเหยียดเป็นเดือนกว่าจะได้ทำ) แต่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นใคร ไม่มีเลขประกันสังคม ไม่มีคนจากสถานฑูต เข้ามาดูแล ตรวจสอบว่าเป็นใคร

 

โดย: wu IP: 202.12.97.119 7 มีนาคม 2554 16:36:46 น.  

 

SuckSeed

ชอบชื่อหนังเรื่องนี้ตั้งแต่ได้ยินครั้งแรก ทั้งคำว่า suck แล้วก็มี seed ซึ่งพ้องเสียงกับ success และยังอ่านแบบไทยๆได้ความหมายอีกว่า ซัก ซี๊ด ในเมื่อแค่ชื่อก็สร้างสรรค์อย่างนี้แล้ว จึงยินดีอย่างยิ่งที่จะตีตั๋วเข้าชม (น้อยเรื่องนะครับ ที่จะดูเพราะชื่อเรื่องเป็นหลัก)

แต่ดูแล้ว เนื้อในของหนังก็ไม่ได้ห่วยเลย แม้ว่าอาจมีบางจังหวะที่ย้วยๆบ้าง แต่ภาพรวมของหนัง ความสนุก การขาย ลงตัว ไม่ยัดเยียด และทำให้ดูได้อย่างราบรื่นจากต้นจนจบ

ที่ต้องชมอย่างแรกเลยคือการ casting ทั้งตรงกับบท บุคลิคใช่ หน้าไม่ช้ำ ตอนเด็กกับตอนโตหน้าเหมือนกัน แถมยังมีความสามารถทั้งการแสดง และทางดนตรีเข้ากับบทเสียอีก จุดนี้เป็นอะไรของ GTH ที่ค่ายอื่นยังติดๆขัดๆและไปไม่ถึงครับ

มุขที่ให้ตัวละครฟังเพลง แล้วจินตนาการเป็นนักร้องตัวจริงมายืนร้องให้ฟังข้างๆ เจ๋งครับ แปลกใหม่ เป็นตัวของตัวเอง และเข้ากับอารมณ์ของหนังมาก โดยเฉพาะฉากสุดท้ายที่เก้าฟังเดโมซีดี แล้วเป็นเพื่อนอีก 2 คนมาร้องเล่นอยู่ข้างๆ ทำให้นักร้องก่อนหน้านี้ทั้งหมด ไม่ใช่แค่มุข หรือการขายนักร้อง แต่เป็นการเล่าเรื่องราวต่างๆได้อย่างชัดเจน

น้องเก้าแสดงและถ่ายทอดอารมณ์ดีครับ แม้แต่ตอนจบที่ดูโตขึ้นจริงๆ ทั้งจังหวะการพูด ท่าทาง น้องพีชก็บทส่ง แสดงได้ลื่น และเก่งมากกับการแสดงบทฝาแฝด (ซึ่งการที่ไม่พยายามโชว์เทคนิคมากไป จงใจมากไป ทำให้ฝาแฝดในเรื่องเนียนมากๆ) พระเอกทั้งสอง กินกันไม่ลงจริงๆครับ

และก็ดนตรีประกอบที่ถึงจะเป็นเพลงดังๆ แต่ไม่ใช่แค่เอามาเปิดๆใส่ แต่มีการเรียบเรียงใหม่ให้เข้ากับเนื้อเรื่อง แต่เนียนจนแทบไม่รู้ว่าทำเพลง หรือรีมิกซ์ใหม่

จุดที่ขัดตา ก็แค่จังหวะหนังที่ย้วยไปบางช่วงครับ (ที่ชัดๆคือฉากซ้อมดนตรีที่ห้องอัด แล้วไม่ได้เริ่มซ้อมสักทีจนหมดเวลา และอีกหลายๆฉากที่อารมณ์ประมาณนี้) แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้หนังเสียหายครับ

 

โดย: wu IP: 202.12.97.122 18 มีนาคม 2554 17:27:52 น.  

 

Scream4

หนึ่งในเฟรนไชน์ที่ผมตั้งน่าตั้งตารอ เพราะน้อยครั้งที่ความบันเทิงแบบเอาใจคนดูเต็มที่ ตอบสนองความพึงพอใจของคนดูแบบไม่ต้องลึกซึ้งอะไร จะมาพร้อมกับบทที่ฉลาดๆ การผูกเรื่องที่มีชั้นเชิง จนทำให้เนื้อเรื่องอ่อนๆ และการเร้าอารมณ์แบบไม่อ้อมค้อม ถูกมองข้าม และกลายเป็นความฉลาดของบทไปได้

แต่หนังที่ออกมา ผิดหวังครับ (และถ้าจะเรียงความชอบ ผมให้ 1-2-3-4 ตามลำดับเลย) โดยเฉพาะฉากฆ่าทั้งหลาย ที่เป็นลูกเล่นที่เคยเห็นมาแล้วเอามาใช้ใหม่อย่างเห็นได้ชัด แถมยังด้อยกว่าของเดิมตรงที่ foreplay น้อยมากๆในการฆ่าแต่ละครั้ง ทำให้จะลุ้น จะเสียว จะสนก มันก็ไปไม่ถึงจุดที่เป็นที่สุดในแต่ละฉาก

ในส่วนการเฉลยฆาตกร โอเคครับ แรงจูงใจรับได้ ตอบกับค่านิยมสมัยปัจจุบัน แล้วพอเฉลยมาฆาตรกรก็ดูจิตได้ใจไม่แพ้รุ่นก่อนๆ แต่หนังก็ยังไม่กล้าฉีกไปถึงที่สุดที่จะทำให้อธรรมชนะธรรมะเหมือนหนังดาร์คๆอีกหลายเรื่อง ซึ่งมันอาจเป็นหนทางในการต่ออายุเฟรนไชน์ออกไปได้อย่างน่าสนใจด้วยซ้ำ แต่หนังเลือกกลับสู่ขนบเดิมๆ ด้วยการให้ฝ่ายดีชนะ ซึ่งทำให้ตัวร้ายกลายมาเป็นตัวละครที่งี่เง่าในตอนท้าย และเป็นแค่ตัวร้ายที่เอาตัวรอดในสถานการณ์เฉพาะหน้า ไม่ใช่ตัวร้ายที่วางแผนรอบคอบ เลือดเย็น เหมือนที่หนังได้บอกตอนเฉลยตัวผู้ร้ายเลยด้วยซ้ำ

ปล. แอนนา พาควินกับคริสเตน เบล สงสัยว่างมาก หรือไม่ก็ holiday เลยมารับจ๊อบเล่นหนังเรื่องนี้ โอเคกับการมารับเชิญเป็นฉากเปิดเรื่องในหนังซีรีย์นี้ และหลายคนก็ได้ดีไปแล้ว แต่การต้องมาแชร์เป็น 1 ใน 6 และบทก็ไม่ได้โดดเด่นกว่าคนที่เหลือเลย ถือว่าเสียของครับ

 

โดย: wu IP: 182.53.127.174 22 เมษายน 2554 11:28:49 น.  

 

Source Code

นึกว่าจะไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ซะแล้ว เพราะไม่ค่อยมีเวลา แต่การที่หนังยืนโรงนานเกินคาด ในที่สุดก็ได้ดู

ส่วนตัวแล้ว หนังเกี่ยวกับมิติเป็นอะไรที่ชอบมากเป็นการส่วนตัว และพลาดไม่ได้อยู่แล้ว จากตัวอย่างที่ได้ดู นี่แหละหนังที่อยากดู แต่ในใจก็หวั่นๆกลัวจะออกมาท่าดีทีเหลว กับการพูดเรื่องมิติแบบผิวเผิน แต่ทำตัวเหมือนลึกซึ้งอย่าง Butterfly Effect

แต่การอธิบายเรื่องมิติใน source code โดนใจมากครับ เข้าใจง่าย เข้าใจได้ ในขณะเดียวกันก็ให้มุมมองใหม่ๆของมิติ โดยไม่ได้ไปฝืนหลักการควอนตัมฟิสิกส์อีก

หน้าหนังอาจจะดูเหมือน Triller หาตัวผู้ร้าย แล้วก็จบแบบหักมุม ซึ่งปรากฏว่าหลอกคนดูชัดๆเลย เพราะจริงๆนี่คือหนัง feel good ค้นหาความหมายของชีวิต และการให้กำลังใจที่ดีมากๆเรื่องหนึ่ง โดยมีเรื่องการก่อการร้าย เทคโนโลยี และมิติ เป็นฉากหลังเท่านั้น (ซึ่งทำให้ตัวผู้ร้าย ก็ไม่ได้เดายาก ร้ายกาจมากมาย หรือการหักมุม ก็ไม่ได้มีด้วยซ้ำ)

จุดเด่นอีกอย่างคือการแสดงที่นักแสดงรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองได้ดีทุกคน โดยเฉพาะสองสาว มิเชลล์ โมนกฮาน ที่ต้องเล่นบทซ้ำๆไปมา แต่มีรายละเอียดที่แตกต่าง และมีเสน่ห์มากๆ ไม่ว่าจะเป็นมิติไหน และเวร่า ฟาร์มิกา ที่ตอนแรกๆก็รู้สึกว่าเอาเธอมาเสียของใหม่กับบทนั่งพูดธรรมดาๆ แต่พอถึงฉากท้ายๆ ไม่ต้องแสดงอะไรมาก แต่เธอถ่ายทอดได้ซาบซึ้ง ประทับใจ และจุดประกายไฟฝันของคนดูได้มากๆ

 

โดย: wu IP: 125.26.150.79 29 เมษายน 2554 13:53:24 น.  

 

Fast Five

ออกตัวก่อนว่าไม่ใช่แฟนหนังชุดนี้ เคยดูก็ผ่านๆตาตามเคเบิ้ล แต่ไม่เคยดูจริงจังสักที แต่ภาคนี้มีคน recommend เยอะมาก และบอกว่าแม้ไม่เคยดูมาก่อนก็สนุก เลยตัดสินใจตีตั๋วเข้าชม

หนังสนุกจริงๆครับ ฉากแอ็กชั่นต่างๆถึงใจและสมจริง แม้ว่าความเป็นไปได้ในแต่ละฉากอาจจะค่อนข้างต่ำ อารมณ์ในการดูเหมือนกับดูซีรีย์แอ็กชั่นมันส์ๆเรื่องหนึ่ง เพราะการมีตัวละครเป็นกลุ่มที่คอยเสริมความเด่นให้ตัวละครหลัก และการทิ้งท้าย หรืออ้างอิงภาคก่อนๆ ตัวละครภาคก่อนๆ นี่มันแนวคิดซีรีย์ชัดๆ แล้วยิ่งมาเจอตัวละครโครตอึดแบบ 24 และตัวละครโครตฉลาด และการไล่ล่าแบบทันกัน ชิงไหวพริบนี่มันน้องๆ prison break เลย

ในขณะเดียวกัน เนื้อหาก็ชวนให้นึกถึงหนังชุด Ocean's11-13 ซึ่งก็ออกแนวซีรีย์เหมือนกัน อะ ลืมไป หนังชุด Fast&Furious นี่มันก็ภาค 5 แล้ว จัดเป็นหนังชุดก็ได้เหมือนกัน ดังนั้นคงไม่ผิดถ้าจะสรุปสั้นๆว่านี่คือซีรีย์ที่อยู่ในสเกลของหนังจอใหญ่ ทั้งขนาดภาพ ทุนสร้าง ความตื่นตาตื่นใจ

 

โดย: wu IP: 202.12.97.122 11 พฤษภาคม 2554 18:09:36 น.  

 

X-Men First Class

แมททิว วอห์นเป็นผู้กำกับรุ่นใหม่ที่ทำหนังดีมาโดยตลอด มีความสดใหม่ มีพลัง มีความคม และเข้าใจในการถ่ายทอดอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นไปตามยุคสมัย (ซึ่งคำว่าหนังดี แตกต่างจากสมัยก่อน)

วิสัยทัศน์ของวอห์นคือการผสมผสานการเล่าเรื่องที่แม่นยำ กับเทคนิคพิเศษที่ดี แต่ไม่ล้ำจนเกินตัวหนัง (อาจเหมือนจะไม่เนียนมาก แต่ผ่านการคิดมามากกว่าใช้ซีจีอย่างเดียว) เนื้อหาอาจเป็นแนวทางแฟนตาซี แต่มีความร่วมสมัยในการพูดถึงเรื่องราวของปัจเจกบุคคล และไม่ใช่การสั่งสอนศีลธรรมหรือให้แง่คิด แต่เป็นการกระเทาะความรู้สึก ความแปลกแยก การหาตัวตนของตัวละคร แม้ว่าฉากหลังจะเป็นเรื่องราวใหญ่โต แต่หัวใจหลักของเรื่องคือตัวละครที่เข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์นั้นมากกว่า

First Class เล่าเรื่องของการเมือง อุดมการณ์ และความเป็นคนกลุ่มน้อยที่แปลกแยก ภายใต้ฉากหลังของความเป็นซูเปอร์ฮีโร่ผู้มีพลังพิเศษ ที่เป็นผลมาจากการแปรพันธุ์ ความขัดแย้งของกลุ่มตัวละครในเรื่องมีหลายระดับ

คนธรรมดา vs Mutant

ในขณะที่คนธรรมดาคือคนส่วนใหญ่ เป็นผู้ออกกฏต่างๆ ความรู้สึกที่มีต่อ mutant คือทั้งรู้สึกว่า บางอย่างยอมรับได้ หรือน่าจะเอามาใช้ประโยชน์ได้ ในขณะเดียวกันก็ไม่สามารถวางใจอะไรได้ ดังนั้นถ้าจะให้สิทธิต่างๆเทียบเท่ากับคนธรรมดา ก็เป็นไปไม่ได้ และกดให้ mutant เป็นพลเมืองชั้นสองต่อไป แม้ปากจะบอกว่ายอมรับก็ตาม

คนธรรมดา VS คนธรรมดา

แม้แต่คนที่เสมอกัน ความขัดแย้ง แย่งชิงอำนาจก็ยังมีเกิดขึ้น โดยเฉพาะในรูปแบบสงครามมหาอำนาจ แย่งชิงพื้นที่ดินแดน และการแสดงแสนยานุภาพทางการเมือง

Mutant VS Mutant

ในขณะที่กลุ่มมนุษย์กลายพันธ์ ก็มีความขัดแย้งระหว่างความเชื่อที่ว่าทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันแบบสันติ และยอมรับสิ่งที่สังคมได้กำหนดไว้ กับกลุ่มที่ปลดแอก เพราะเชื่อว่าตัวเองมีศักยภาพเหนือกว่าฝ่ายที่เป็นผู้ออกกฏ ทำให้ต้องมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย

ความขัดแย้งทั้งสาม ถูกนำมาบอกเล่าให้เห็นในหนังเรื่องนี้ พร้อมทั้งการสลับบทบาท จากฝ่ายที่ขัดแย้งกัน อาจนำมาสู่ความร่วมมือกันได้ เมื่อเจอกับอีก 1 กลุ่มที่แตกต่างกับตัวเองมากกว่า ดังนั้น สุดท้ายคนธรรมดาจึงร่วมมือกับคนธรรมดา เพื่อทำสงครามกับ mutant ที่ร่วมมือกับ mutant และเมื่อสงครามสิ้นสุด ฝ่ายที่ร่วมมือกัน ก็ค่อยกลับมาเป็นฝ่ายขัดแย้งกันอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับความแตกแยกที่ยิ่งมากขึ้นกว่าตอนแรก

การขัดแย้งกันของแต่ละกลุ่ม อาจไม่ได้มาจากความแตกต่างกันแค่ทางกายภาพหรือรูปธรรมเท่านั้น แต่อาจเป็นแนวคิดอุดมการณ์ที่จับต้องไม่ได้ และดูเหมือนมันจะลงลึกมากกว่าทางกายภาพด้วยซ้ำ ไม่ต่างอะไรกับปัญหาวุ่นวายในโลกทุกวันนี้

จากสิ่งที่หนังสื่อ ทำให้ X-men first class ถูกจัดอยู่ในกลุ่มหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่เล่าเรื่องราวและวิเคราะห์สังคมได้อย่างถึงกึ๋นเช่นเดียวกับ The Dark Knight และ Watchmen มากกว่าซูเปอร์ฮีโร่ที่เน้นความสนุกสนานตื่นเต้น และพลังเหนือธรรมชาติทั่วๆไป

 

โดย: wu IP: 202.12.97.118 6 มิถุนายน 2554 14:35:15 น.  

 

มีใครเคยดูละครข้ามเวลาหารักไหมครับ จบลงพร้อมกับเสียงชื่นชมแซ่ซ้องทั่วเฉลิมไทย แต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่านี่คือละครของ Exact ที่เรียกว่าห่วยได้อย่างเต็มปากเต็มคำในช่วงหลังๆเลย นับจากจุดอ่อนต่างๆของละคร Exact ที่ถูกนำมาใช้อย่างเต็มที่ในเรื่องนี้ เช่น การที่ตัวละครพะวักพะวง พร้อมกับละครจงใจให้เกิดโมเมนท์ที่คลาดกันไปคลาดกันมาหวุดหวิด (ซึ่งถ้ามันมาถูกจังหวะ และไม่มากเกินไป มักจะทำให้ละครหรือหนังน่าสนใจ แต่ Exact เล่นทำกับโมเมนท์นี้จนเป็นเรื่องปกติ จนเป็นคิชเช่ละครไปแล้ว และนำมาซึ่งความน่ารำคาญ) หรือการโฆษณาแฝงที่แจ่มชัดเหลือเกิน แล้วเรื่องนี้ยังขนเอาเพลงประกอบที่เรียกได้ว่ามากเกินไป และมีแค่ส่วนน้อยเท่านั้น ที่มาถูกที่ถูกเวลา แต่ส่วนใหญ่คือการยัดใส่ปากตัวละครให้ร้อง หรือปูบทมาเพื่อสู่การร้องเพลง และที่สำคัญ พอตัวละครร้องเพลงแต่ละครั้ง นั่นคือเนื้อหาของละครที่กดพอสเอาไว้ ซึ่งมันแสนจะขัดแย้งกับความเป็นมิวสิคเคิล คือการที่ใช้เพลงเพื่อเล่าเรื่อง หรือผลักดันให้เรื่องเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ ซึ่งละครเรื่องนี้ มันไม่ใช่เลย

 

โดย: wu IP: 115.67.232.141 19 มิถุนายน 2554 13:10:40 น.  

 

Super 8

โดยเนื้อหนังแล้ว Super 8 จัดเป็นหนังที่ดีมากเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่ผิดพลาดในหนังเรื่องนี้ คือการโปรโมทที่มุ่งปิดบังรายละเอียดต่างๆของหนัง ซึ่งเป็นกลยุทธที่ใช้ได้ผลในหนังหรือซีรีย์ที่มีชื่อ JJ Abhram เสมอ เพราะงานของเจเจ คนดูมักคาดหวังกับการได้พบเรื่องราวที่แปลกใหม่ เป็นเอกลักษณ์ และการเหนือความคาดหมาย แต่กับSuper 8 เนื้อหนังจริงๆกลับมุ่งสู่แนวทางคลาสสิคที่เน้นการเล่าเรื่องราวมากกว่าความแปลกใหม่ ซึ่งคนที่ดูตัวอย่างเรื่องนี้ แม้จะบอกเล่าเรื่องเพียงเล็กน้อย แต่ก็คาดหวังว่าจะพบอะไรมากกว่าที่ตัวอย่างบอก เช่นเดียวกับหนังเจเจเรื่องอื่นๆ แต่สุดท้ายแล้ว หนังจริงก็คือตัวอย่างที่ขยายเป็น 2 ชั่วโมง เหมือนหนังทั่วไปนั่นเอง

เป็นความผิดของเจเจหรือ ไม่ใช่แน่นอน เพราะส่วนของตัวหนังการเล่าเรื่อง เจเจทำได้ดีทั้งเรื่อง แม้ว่าตอนจบจะเหมือนกับจบไม่ลง จนต้องดันทุรังให้หนังจบอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่การเล่าเรื่องตั้งแต่เปิดเรื่องจนถึง 15 นาทีก่อนจบ ก็ทำได้ยอดเยี่ยมมาก แต่ตรงนี้มันยังไม่เท่ากับความคาดหวังของคนดูมากกว่า ซึ่งเป็นกรณีเดียวกับ เอ็ม ไนท์ ชมาลาห์ ซึ่งคนคาดหวังตลอดว่าหนังเขาต้องไปถึงระดับ Sixth Sense ทุกเรื่อง แม้ว่าหนังเรื่องหลังๆของเขา ซึ่งแสดงความเชี่ยวชาญในการเล่าเรื่องและแม่นกับการนำเสนอมาตลอด (ซึ่งแน่นอนว่าอาจมีเรื่องที่ห่วยปนมาบ้าง) แต่คนดูก็ยังไม่สบอารมณ์อยู่ดี เพราะความคาดหวังที่สูงลิ่วนั่นเอง

Super 8 หน้าหนังอาจเหมือนกับหนังสัตว์ประหลาดไซไฟมนุษย์ต่างดาวเรื่องหนึ่ง แต่เนื้อหาจริงๆคือเรื่องราว Nostalgia ของคนทำหนัง ที่หวนเล่าเรื่องความประทับใจในวัยเด็กของตัวเอง กับการเป็นมือทำหนังสมัครเล่น โดยมีฉากหลังเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ปกติเฉยๆ (ตรงนี้นึกถึงหนังอย่าง Hope and Glory ที่เล่าเรื่องชีวิตครอบครัวในวัยเด็กของผู้กำกับ โดยฉากหลังคือสงคราม ซึ่งมันกระทบวิถีการดำเนินชีวิตของครอบครัว แต่จริงๆมันคือเรื่องครอบครัว ไม่ใช่เรื่องสงคราม) บรรยากาศของหนัง เลยทำให้นึกถึงหนังย้อนอดีตที่เดินเรื่องโดยตัวละครเด็กๆ (ที่มีนัยว่าเป็นอดีตของผู้กำกับ หรือคนเขียนบท) ทำนองเดียวกับ Stand by me หรือแฟนฉัน ผสมกับเรื่องราวของการทำหนัง อุปสรรค์ การแก้ปัญหา ทำนองเดียวกับ The Player, Silent Movies หรือ Living in Oblivious โดยมีผลลัพท์คือหนังสั้นเรื่อง The Case ที่คนดูได้ดูหลัง end credit นั่นเอง ซึ่งคนที่ดูหนังเรื่องนี้ แต่ยังไม่ได้ดู The Case ถือว่าคุณยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ครับ และที่พูดมาทั้งหมด คือการตอกย้ำว่าเนื้อหา Super 8 ไม่ใช่เนื้อหาที่แปลกใหม่เลย แต่หนังสร้างความคาดหวังให้คนดูคิดว่าน่าจะแปลกใหม่เท่านั้น

 

โดย: wu IP: 115.67.232.141 19 มิถุนายน 2554 13:12:02 น.  

 

ดูซีรีย์ Fringe Season2 จบ แล้วก็ออกไปเลือกตั้ง

ถ้าใครเคยดูซีรีย์เรื่องนี้ ก็คงรู้ว่าเป็นซีรีย์ออกแนวลี้ลับ แต่พยายามอธิบายเหตุการณ์ต่างๆด้วยทฤษฏีหรือสมมุติฐานทางวิทยาศาสตร์ ในขณะเดียวกันก็เดินหน้าไปพร้อมๆกับเหตุการณ์ที่อาจจะอยู่เบื้องหลังเรื่องราวต่างๆ และค่อยๆคลายปมปริศนาออกทีละเปราะ

ต่อไปนี้คือ Spoil ซีรีย์นี้ถึง ซีซัน 2 นะครับ

ปมที่ซีรีย์ได้วางเอาไว้ คือการมีโลก 2 โลกที่คู่ขนานกันคือโลกที่เรากำลังอยู่นี้ และอีกโลกในมิติหนึ่งซึ่งมีวิทยาการที่แตกต่างจากเรา และการเดินทางข้ามมิติของตัวละครในเรื่องก็นำไปสู่เหตุการณ์ประหลาดต่างๆ เพราะรอยต่อระหว่าง 2 โลกเริ่มมีรอยรั่ว ซึ่งอาจนำไปสู่จุดจบของโลกใดโลกหนึ่ง หรืออาจจะทั้ง 2 โลกได้

ในโลกที่เป็นคู่ขนานกับเรา วิทยาการต่างๆอาจดูก้าวหน้ากว่า ฟู่ฟ่ากว่า แต่บรรยากาศก็เต็มไปด้วยความไม่น่าไว้วางใจ ผู้คนที่ดูแห้งแล้งคล้ายหุ่นยนต์ ต้นไม้ที่แทบจะไม่มีเหลือ แม้แต่พวกตัวละครหลักๆในเรื่อง ในอีกโลกหนึ่งพวกเขาก็มีแต่เรื่องของหน้าที่ การทำลาย การสร้างระยะห่างแก่กัน ซึ่งแตกต่างจากโลกปัจจุบันที่พวกเขามีความผูกพัน เอื้ออาทร และมีความเป็นมนุษย์มากกว่า

มีจุดเล็กๆนิดนึงที่น่าสังเกต ซีรีย์ชุดนี้จะมีฉากเปิดเรื่องสั้นๆ และตามมาด้วยไตเติ้ล ซึ่งจะเป็นกราฟฟิคทันสมัย สวยงามในโทนสีน้ำเงิน แต่ถ้าเอพิโสดไหนที่เปิดเรื่องที่ไม่ใช่ปัจจุบัน เช่นถ้าเป็นฉากย้อนอดีต ไตเติ้ลก็จะออกมาเป็นแนวเชยๆ แข็งๆ ตามยุคสมัยนั้น และในตอนที่เปิดฉากในโลกคู่ขนาน ไตเติ้ลจะเหมือนกับปกติทุกอย่าง เพียงแค่เปลี่ยนโทนสีเป็นสีแดงเท่านั้น

จากจุดเล็กๆนี้ ทำให้ผมสงสัยว่าตอนนี้บ้านเมืองเรากำลังอยู่ในโลกคู่ขนานในอีกมิติหรือไม่ และพอคิดดูแล้ว ซีรีย์นี้ช่างลึกซึ้งจริงๆ

 

โดย: wu IP: 202.12.97.118 5 กรกฎาคม 2554 18:02:50 น.  

 

แนะนำเว็บดูหนังซีรีย์เกาหลีฟรี

 

โดย: koreaserie (loveyoupantip ) 6 สิงหาคม 2554 9:07:54 น.  

 

จากที่ไม่ได้อัพเดทหนังที่ได้ดูมากว่า 3-4 เดือน วันนี้พอมีเวลาว่าง เลยมานั่งอัพเดทสั้นๆ (จะครบไหมเนี่ย ไม่ได้จดบันทึกไว้ด้วย)

Transformers: Dark of the Moon
มาถึงภาค 3 ก็ยังไม่โดนใจเช่นเดิม กับตัวละครล่องลอย ไม่ชวนให้ผูกพัน ทำให้ฉากดราม่า หรือแม้แต่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครดูเฟคทั้งเรื่อง ฉากแอ็กชั่นที่ดีไซด์มาเป็นฉากๆ แต่ไม่มีความต่อเนื่องกับฉากอื่นๆ การไล่ระดับอารมณ์ของฉากแอ็กชั่นที่ไม่มี เพราะทุกฉากได้อารมณ์แบบเสมอต้นเสมอปลายและกระหน่ำด้วยเอฟเฟคและเสียงระเบิด

Harry Potter and the Deadly Hallows Part II
จุดดีและจุดด้อยของพ่อมดน้อยภาคจบคือการตัดออกเป็น 2 ตอน ข้อดีคือจังหวะหนังดีขึ้น ไม่ตัดฉับเกินไป แต่ข้อเสียปรากฏให้เห็นในตอนสุดท้ายนี้ ที่พล็อตเรื่องไม่สมบูรณ์ ขาดบทเกริ่นนำ ขาดไคล์แม็กซ์ ขาดสรุป ซึ่งถ้าเอาไปดูต่อจาก 7.1 อาจไม่เจอปัญหานี้ แต่พอแยกดู 7.2 เดี่ยวๆ มันชัดเกิน เลยทำให้แฮรี่ตอนนี้ พล็อตง่อยที่สุดเท่าที่มีหนังมา 8 ตอน

พุ่มพวง
หนังอัตชีวประวัติที่ไม่ค่อยพบในหนังไทย แต่ผู้สร้างกลับเลือกเฉพาะมุมมองด้านบวกด้านเดียว ที่ทำให้ตัวละครทุกตัวมีเหตุผล มีความหวังดี มีการให้อภัย จนมองไม่เห็นปัญหาหรืออุปสรรค์ที่ตัวละครเอกต้องฟันผ่า นอกจากความยากจนและโรคร้าย ซึ่งเอาเข้าจริง เรื่องจนก็ไม่เห็นจนเท่าไร หรือโรคร้ายก็ไม่ได้ดูน่ากลัวหรือรุนแรงขนาดนั้น แต่หนังก็มีข้อดีที่การร้อยเรียงเพลงพุ่มพวงให้ฟังเต็มอิ่ม และการแสดงที่ดีมากๆของเปาวลี และป๋อณัฐวุฒิ ซึ่งไม่ค่อยเจอการแสดงดีๆแบบนี้ในหนังไทยเท่าไร

Rise of the Planet of the Apes
หลังจากผิดหวังกับหนังหลายเรื่อง เรื่องนี้ก็เหมือนน้ำทิพย์มาทำให้ชุ่มใจว่าหนังดีๆยังมีอยู่ องค์ประกอบหนังลงตัวทุกอย่าง บท การแสดง การกำกับ เทคนิค และความสนุกสนาน แถมยังมีอะไรติดหัวกลับบ้าน นี่เป็นการใช้โมแคปที่ประสบผลสำเร็จมากที่สุดอีกครั้งหนึ่ง เมื่อมองว่าตัวละครโมแคปคือตัวละครที่มีความ realistic ที่สุด เท่าที่เคยมีมา และที่ประทับใจส่วนตัวคือตัวละครของ จอห์น ลิทโกลว คือเพิ่งดู Dexter ซีซัน 4 จบ และชอบการแสดงของเขามากๆ พอมาเรื่องนี้ เป็นบทที่อยู่ในขั้วตรงข้ามเลย แต่ก็แสดงได้ดีไม่แพ้กัน ทำให้คิดว่าทำไมเรามองข้ามนักแสดงคนนี้ไปตั้งนาน แบบไม่เคยติดตามผลงานเลย แต่ต่อไปนี้คงต้องหันมามองแล้ว

Bad Teacher
หนังดูตลกรั่วๆดี กับตัวเอกที่เลวได้ใจจริงๆ แต่มาติดหน่อยที่ในที่สุดเธอก็ไม่ได้รับบทเรียนอะไร แถมยังลอยนวลทุกเรื่องราว ซึ่งมันก็ไปได้กับแนวทางตลกร้าย แต่บางทีการอนุรักษ์นิยมอะไรบางอย่าง เลยทำให้จะชอบหนังเรื่องนี้ก็ไม่สนิทใจนัก

Cowboys & Aliens
อเล็กซ์ เคริซแมนกับโรแบร์โต ออร์ซี่ มีผลงานเขียนบทที่ดีและไม่ดีสลับกันตลอด งานดีๆอย่าง Star Trek, Mission Impossible3 และซีรีย์อย่าง Fringe, Alias กับงานแย่ๆอย่าง Transformers ทุกภาค และโชคร้ายที่งานคอนเซปเริ่ดๆ แต่อาจกลายเป็นงานเห่ยๆได้อย่างโปรเจคหนังเรื่องนี้ ออกมาเป็นอย่างหลัง บทหนังเบาโหวง หักมุมไม่มีที่มาที่ไป ตัวละคร stereo type และที่สำคัญ ไม่สนุกเลย สำหนับงานที่อาจจะออกมาห่วย แต่อย่างน้อยดูสนุกได้ อย่างไรก็ตาม ยังคาดหวังกับงานต่อไปของเคริซแมนที่ลงมือกำกับเองครั้งแรก อย่าง Welcome to People ในปีหน้า หวังว่าจะอยู่ในกลุ่มหนังดีนะครับ

รักจัดหนัก
หนังวัยรุ่นที่หน้าหนังเหมือนจะแรง แต่เอาเข้าจริง ความไม่เชี่ยวชาญของผู้สร้าง และความกล้าไม่สุดทำให้แค่ไปแตะๆ เฉียดๆ แล้วก็กลับมาเล่าเรื่องแบบอยู่ในกรอบอันดีงามอีกครั้ง หนังได้อิทธิพลจากซีรีย์ Skins มากๆ ทั้งบุคลิกตัวละคร การเล่าเรื่อง แต่หนังก็ทำได้ไม่ถึง หลายฉากออกจะเรื่อยเปื่อย ไร้จุดหมาย แม้ว่าจะสอดคล้องกับตัวละครที่เรื่อยเปื่อย ไร้จุดหมาย แต่มันไม่ตอบโจทย์คนดูครับ

อุโมงค์ผาเมือง
ตัวละครทุกตัวในเรื่องล้วนแต่พูดความจริงไม่หมดเพื่อให้ตัวเองดูดี ไม่เว้นแม้แต่ผู้สร้างที่ให้เครดิตว่าเป็นการดัดแปลงจาก มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมทย์ ไม่ใช่คุโรซาว่า ทั้งที่ความจริงเป็นยังไง ก็รู้ๆกันอยู่ ปัญหาของหนังคือบทที่เขียนเสริมเรื่องราวเข้าไปใหม่หรือการดัดแปลงให้เป็นล้านนา มันไม่เข้ากับบทที่คึกฤทธิ์เขียนไว้ในละครเวที ที่ผู้สร้างก็ยกมาทั้งดุ้นโดยแทบไม่ดัดแปลงอะไรเลย และการเล่าเรื่องเหตุการณ์เดียวกันในมุมมองที่แตกต่าง ก็ไม่ได้เห็นความแตกต่างของตัวละครอย่างชัดเจนที่จะทำให้เห็นใจตัวละคร แล้วหักอารมณ์ไปอีกทางเวลาตัวละครอีกคนเล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวละครของพลอย ที่ดูยังไงก็เป็นการแสดงมากกว่ารู้สึก แม้แต่ในเรื่องเล่าของตัวเอง และเคมีระหว่างกลุ่มตัวละครที่แทบจะไม่เกิดเลย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มโจรป่า เมีย และซามูไร หรือกลุ่มพระ คนตัดฟืน สัปเหร่อ เหมือนกับต่างคนต่างมาเล่นด้วยกัน ซึ่งการกำกับตัวละครแบบกลุ่มอย่างนี้ หม่อมน้อยเคยทำได้ดีกว่านี้มากมาย

Abduction
หนังวัยรุ่นปนแอ็กชั่นทริลเล่อร์ ที่ผู้สร้างตัดสินใจไม่ถูกว่าจะผสมผสานกันให้กลมกลืนยังไงดี ก็เลยตัดสินใจให้เป็นหนังวัยรุ่นที่มีทริลเล่อร์เป็นฉากหลังบางๆ และการขายเสน่ห์ของพระเอกอย่างเต็มที่ (ในขณะเดียวกันก็ปกป้องไม่ให้พระเอกทำอะไรรุนแรงเกินเลยเพื่อรักษาภาพวัยรุ่นเอาไว้ให้ตลอด) ดังนั้น ถ้าจะดูว่านี่คือหนังวัยรุ่นเรื่องหนึ่ง ก็สนุกดี แต่ถ้าจะดูเป็นทริลเล่อร์ ตัวละครเอกที่ค่อนไปทางไม่ค่อยมีสมองอย่างนี้มันน่าเอาใจช่วยตรงไหน อย่างไรก็ตาม ตัวประกอบบิ๊กเนมทั้งหลาย เช่นซิเกอนีย์ วีเวอร์ มาเรีย เบลโล่ อัลเฟรด โมลิน่า ก็ทำให้หนังเรื่องนี้น่าดูขึ้นมากๆ แม่ว่าดาราเหล่านี้ พอได้ดูตัวหนังเต็มๆ อาจสงสัยว่าตกลงฉันมาทำอะไรในหนังวัยรุ่นเนี่ย

30+ โลด On Sale
ผู้สร้างจับเอาสูตรของ สิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารักมาบวกกับรถไฟฟ้ามาหานะเธอ (เช่นการเล่ามุมมองผู้หญิง ก่อนถึงตอนจบบอกว่าพระเอกก็มีใจแต่แรก หรือกลุ่มเพื่อนนางเอกที่เป็นตัวสีสันและตัวเปรียบเทียบ) แต่ปรากฏว่าทำไม่สำเร็จ เลยทำให้ตัวละครเอกกลายเป็นตัวละครที่น่ารำคาญ ไร้สาระ ไร้แก่นสาร และไม่น่าเชื่อถือเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหนังวางบทบามเธอไว้ที่อายุ 30 กว่าๆ แต่ maturity และการตัดสินใจของเธอในเรื่องยังไม่พ้นเด็กมัธยมวัยใสที่ไม่เป็นทุกข์ร้อนใจกับเรื่องใดๆและฟูมฟายเกินเหตุ จากการดูหนังเรื่องนี้ อดคิดไม่ได้ว่าที่สิ่งเล็กๆเป็นหนังดี เกิดเพราะผู้กำกับอีกคนหรือเพราะว่าฟลุ๊กกันแน่

 

โดย: wu IP: 115.67.169.53 24 ตุลาคม 2554 19:36:30 น.  

 

In Time

เสียดายไอเดียเริ่มต้นครับ น่าจะทำหนังที่สนุก น่าสนใจได้ดีมากๆ ถ้าอยู่ในพล็อตที่นำไอเดียไปสานต่อได้ดี (อย่างเช่น GATTAGA หรือ Truman Show) แต่บทเรื่องนี้กลับขาดๆเกินๆ มองไม่เห็นแรงจูงใจ หรือเหตุผลการกระทำที่ชัดเจนของตัวละคร รวมถึงบทสรุปที่ไปไม่สุดกับหนังแนวทางนี้

ตัวอย่างหนังที่จับเอาเรื่องของคู่หู Anti-hero เช่นบอนนี่ & ไคลด์, เทลม่า & หลุยส์ หรือแม้แต่ 1+1=0 พัฒนาการของตัวละครทำให้เราเชื่อว่าเขาทำให้เรื่องราวดำเนินไปจนถึงขีดสุดจริงๆ แม้ว่าทุกเรื่องจุดจบคือความตาย แต่คนดูจะรู้สึกได้ว่าแต่ละคู่มันสุดๆแล้ว และความตายไม่ใช่ความหดหู่สิ้นหวัง แต่เป็นการสรุปเรื่องราวของตัวละครหลังจากได้ผจญมาด้วยกันระยะหนึ่ง แต่ In Time เลือกที่จะจบก่อนหน้านั้น เลยทำให้หนังดูครึ่งๆกลางๆ และไปไม่สุด

ไอเดียเรื่องเวลากับชีวิต ดีครับ และเป็นจุดที่ทำให้หนังมีลูกเล่นเกี่ยวกับชื่อ เช่นเมืองนิวกรีนนิช หรือคำพูด เช่นพวก Give me a second ซึ่งเป็นจุดเด่นในบทหนังที่เขียนโดยแอนดรูว นิโคลมาตลอด (รหัสพันธุกรรมใน GATTAGA ที่ถูกจับมาเล่นทั้งเรื่อง ชื่อ True-man, Christ-top ใน Truman show ที่ถึงกับชี้ความนัยถึงการเป็นผู้สร้างโลก หรือแม้แต่ Simone ซึ่งย่อมาจาก Simulation One ที่บ่งถึงเทคโนโลยี นอกไปจากชื่อของผู้หญิงจากการอ่านครั้งแรก) เพียงแต่ครั้งนี้มันเป็นแค่ลูกเล่น มากกว่านัยอย่างที่ผ่านๆมา

 

โดย: wu IP: 10.56.59.195, 202.12.97.111 3 พฤศจิกายน 2554 10:21:22 น.  

 

ไม่ได้อัพเดทหนังที่ดูมาหลายเรื่อง จะกลับไปอัพเดทก็ไม่ไหว เลยข้ามไปหลายเรื่อง แล้วเริ่มนับใหม่ดีกว่า

 

โดย: wu IP: 10.56.62.159, 202.12.97.114 15 พฤษภาคม 2555 13:31:05 น.  

 

Dark Shadows: เพราะหวังไว้มากเลยไม่สมหวัง แต่ถ้าไม่หวังเท่าไรก็ดูได้เพลินๆ

หนึ่งในหนังที่ผมตั้งตารอที่สุดประจำ พ.ศ.นี้ จากการที่ตัวเองเป็นแฟนหนังทิม เบอร์ตัน(โดยเฉพาะในสมัยแรกๆ) แฟนหนังมิเชล ไฟฟ์เฟอร์ และมีดาราอีกหลายคนที่เห็นชื่อแล้วก็เชื่อถือได้

หนังเปิดเรื่องมาดีเลยครับ แม้จะเร็วไปหน่อย แต่ก็เข้าใจว่าต้องการเข้าเรื่องเร็วๆ การแนะนำตัวละครต่างๆ คาแรกเตอร์เพี้ยนๆก็ดีมาก นึกถึงงานเก่าๆของทิมเบอร์ตันแบบ Beetlejuice, Edward Scissorhands, Sleepy Hollow, Sweeney Todd โดยเฉพาะการออกแบบฉาก งานสร้าง เสื้อผ้า ดนตรี การถ่ายภาพนี่ใช่เลย จากที่ตั้งความหวังไว้สูง เลยยิ่งสูงเข้าไปใหญ่

แต่พอเข้าสู่ครึ่งหลัง บทเริ่มสะเปะสะปะ จับต้นชนปลายไม่ได้ ตัวละครต่างๆหนังแค่แตะเฉียดๆ เล่าผ่านๆ บางบทก็ถูกทิ้งไปซะเฉยๆ เสียดายมากครับ ถ้าหนังลดตัวละครที่มีบทบาทลงซะส่วนหนึ่ง และใส่รายละเอียดให้ตัวละครหลักมากขึ้นไปอีก หนังคงออกมาดีกว่านี้มาก (อย่างไรก็ตาม ฉากแอ็กชั่นช่วงท้ายในบ้านก็สนุกมาก นึกถึง Stardust ผสม Dead becomes her แต่ก็ยังไม่จุใจเท่าไร)

สิ่งที่ชอบ
1. สไตล์การทำหนังทิม เบอร์ตันที่ชัดเจนมาก ทั้งฉากและตัวละคร
2. รายชื่อนักแสดงดึงดูดมากๆ แต่ละคนมีเวลาให้โชว์คนละเล็กละน้อย แม้ว่าโดยรวมจะโชว์น้อยไปหน่อย
3. ทุกฉากที่จอนนี่ เดปป์ เจอกับอีวา กรีน สนุกและเพี้ยนมาก
4. เพลงประกอบที่เอาเพลงเก่าๆคุ้นหูมาใช้ หลายเพลงไม่ได้ฟังนานมากแล้ว
5.อีวา กรีน สวยเจิด เด่นทุกฉาก แสดงแบบมั่นใจ เริ่ดมากๆ
6. ดาราคนโปรด มิเชล ไฟฟ์เฟอร์ แม้บทไม่เยอะมาก แต่ดูมีคลาส สง่า ว่าแล้วก็อยากดูเธอในบทนำบ้าง หลังจากเล่นบทสมทบติดต่อกันหลายเรื่องแล้ว

สิ่งที่ไม่ชอบ
1. ตัวละครเยอะไป บางตัวกลายเป็นส่วนเกินของหนังเฉยๆ
2. ใช้ประโยชน์นักแสดงไม่คุ้ม โดยเฉพาะสองตัวขโมยซีนแบบเฮเลนา บอร์แฮม คาร์เตอร์ และแจ็กกี้ เอิร์น ฮาเลย์ น่าจะมาได้เยอะกว่านี้ รวมไปถึงโคลอี้ มอเรสต์ด้วย (แต่เท่าที่เป็นก็มากที่สุดเท่าที่บทอำนวย)
3. อยากเห็นการร่วมแรงร่วมใจของคนตระกูลคอลลินมากกว่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่หนังเน้นตลอดว่าเลือดข้นกว่าน้ำ แต่ตอนท้ายทุกคนก็แค่ทำในส่วนของตัวเอง อีกอย่างก็ขาดบทบังคับแบบคนในตระกูลที่หลงผิดทำให้เรื่องราวเลวร้าย ก่อนจะกลับมาแก้ไขเพราะเลือดที่ข้นกว่าน้ำ แม้บทอาจดูคริทเช่ แต่มันก็น่าจะต้องมีเพื่อให้ธีมเรื่องชัด

 

โดย: wu IP: 10.56.62.159, 202.12.97.114 15 พฤษภาคม 2555 13:32:44 น.  

 

The Cabin in the Woods: หนังรวมมิตร (Spoil!!!!)

คงเป็นการยากที่จะพูดถึงหนังเรื่องนี้โดยไม่พูดถึงเนื้อหาหนัง หรือไม่เปิดเผยเรื่องราวใดๆที่เกี่ยวกับหนัง

เอาเป็นว่า

ถ้า Scream เคยพาคนดูไปสัมผัสกับกฏและการแหกกฏในหนังสยองขวัญ TCITW ก็เช่นกัน
ถ้า Cube เคยพาคนดูไปสัมผัสหนังเขย่าขวัญไซไฟ เกี่ยวกับไอ้กล่องๆที่มันเคลื่อนที่ TCITW ก็เช่นกัน
ถ้า The Truman Show เคยพาคนดูไปสัมผัสกับโลก reality และเหล่าผู้สร้างที่คอยควบคุมสถานการณ์ต่างๆให้เป็นไปตามที่กำหนด TCITW ก็เช่นกัน
ถ้า Matrix เคยพาคนดูไปสัมผัสโลกเสมือน และมีผู้สร้างโลกนั้นมาอธิบายให้ตัวละครและคนดูฟังอย่างละเอียด TCITW ก็เช่นกัน
ถ้ารับน้องสยองขวัญ เคยผสมผสานเรื่องราวสยองขวัญเข้ากับ reality show TCITW ก็เช่นกัน

พูดถึงตรงนี้ ถ้าใครยังไม่ดูแล้วคิดว่าเดาเรื่องได้ถูกแล้ว TCITW มีอะไรมากกว่านั้น

ถ้า Toy Story เคยพาคนดูเจอกับของเล่นมากหน้าหลายตา
ถ้า Shrek เคยพาคนดูเจอกับตัวละครและเรื่องราวจากหลากหลายเทพนิยาย
ถ้า Enchanted เคยพาคนดูเจอกับตัวละครจากการ์ตูนเพลงของดีสนีย์

TCITW ก็พาคนดูเจอกับวาไรตี้ของสัตว์ประหลาด ฆาตกรฆ่าไม่ตาย ปีศาจหลากหลายจากหนังสยองขวัญเกรดบี (เสียดายที่ไม่เห็นตัวแม่อย่าง เจสัน เฟรดดี้ หรือไมค์ เมเยอร์) ที่ผู้กำกับจัดให้อย่างเมามันและสะใจ เซอร์วิสแฟนหนังสยองขวัญว่าจะมีสัตว์ประหลาดตัวโปรดหรือไม่

ทำให้เรื่องราวที่น่าจะเป็นหนังสยองขวัญพลิกไปเป็นตลกร้าย เสียดสี สะใจ ฉลาด และถึงบางอ้อของคอหนังสยองขวัญ

ไม่ใช่หนังที่ใครดูแล้วจะต้องชอบ เพราะมันแนวมาก
ไม่ใช่หนังสำหรับคอหนังสยองขวัญเพียวๆ เพราะมันก็ไม่ได้สยองเท่าไร
แต่สำหรับคนที่ดูหนังมากพอควรที่สามารถรับการจิกกัดเสียดสีได้ หนังเรื่องนี้เหมาะกับคุณครับ

 

โดย: wu IP: 10.56.62.159, 202.12.97.113 24 พฤษภาคม 2555 15:15:44 น.  

 

คน/โลก/จิต: โครงเรื่องที่แข็งแรงบนภาษาหนังที่บิดเบี้ยว (สปอยด์)

หลังจาก บอดี้ ศพ#19 เฉือน อำมหิตพิศวาส รัก/หลอน หนังไทยทริลเล่อร์ที่มีแง่มุมปมทางจิตวิทยาก็กลับมาพบกับผู้ชมอีกครั้งกับ คน/โลก/จิต

โดยส่วนตัวดีใจที่มีหนังแนวนี้ฉีกตลาดจากหนังไทยทั่วไป แต่การที่พื้นฐานทางด้านจิตวิเคราะห์ของไทยที่ยังไม่แน่น ผสมกับความบันเทิงที่ยังไม่ลงตัวนัก และการเป็นเรื่องที่ค่อนข้างไกลตัว ทำให้หนังหลายๆเรื่องที่ดูน่าสนใจ แต่เอาเข้าจริงก็ไปได้แค่ประมาณหนึ่งเท่านั้น รวมถึงหนังเรื่องนี้ด้วย (จากตัวอย่างหนังที่ยกมาข้างต้น ผมให้ผ่านแค่บอดี้กับเฉือน)

โดยโครงเรื่อง ปมตัวละคร การหักมุม สาระที่สื่อ ถือว่าเป็นจุดแข็งของคนโลกจิต (โดยพล็อตเรื่องใกล้เคียงกับนิยายญี่ปุ่นของ Keigo Higashino ด้วยซ้ำ) โดยเฉพาะการไล่ระดับความจิตของตัวละครทั้งสามตัวตามมุมมองของสังคม และความเป็นจริงซึ่งมีความเพี้ยนออกไป

มุมมองของสังคม ลำดับความป่วย
1. คี ในฐานะฆาตกรฆ่าต่อเนื่อง มองแว๊บแรก ป่วยแน่ๆ จิตแน่ๆ
2. เขื่อน คนทั่วไปอาจไม่มองว่าป่วย แต่คนใกล้ชิดก็อาจจะเห็นว่าแปลกๆ เช่นคุยกับแม่ที่ไม่มีตัวตน หรือการโอหังเกินจริง
3. กวาง คนทั่วไปอาจมองว่าไม่ป่วย แต่เป็นเหยื่อ เป็นผู้ถูกกระทำ

ความเป็นจริง ลำดับการป่วย
1. กวาง จากการเป็นคนวางแผน ชักใย หลอกลวง สร้างสถานการณ์ การสมรู้ร่วมคิด (และร่วมฆาตกรรม) การเอาตัวรอด เอาเข้าจริง การลงมือฆาตกรรมของคี อาจเกิดจากการยุยง หรือการเป็นคนวางแผนของกวางก็ได้ ทั้งที่เหยื่อก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอ
2. เขื่อน จากการโยนความรู้สึกผิด หรือปมต่างๆของตัวเองให้คนอื่นๆได้รับด้วย การหลอนต่างๆที่เกิดจากจิตใต้สำนึก การสะกดจิตตัวเองทุกๆวันเพื่อให้ตัวเองเป็นบุคคลในอุดมคติ รวมถึงการโทรศัพท์ไปเล่าชีวิตประจำวันให้แม่ฟัง ซึ่งก็แสดงถึงความปฏิเสธความจริง
3. คี ที่จริงๆเป็นเหยื่อทั้งของกวางและเขื่อนโดยไม่รู้ตัว แถมยังใจดีอยากช่วยปลดปล่อยเขื่อน (ที่คีเข้าใจว่ามีปมเดียวกัน เกิดขึ้นพร้อมๆกัน) ให้พ้นจากพันธนาการเหมือนตัวเองอีกต่างหาก

จากการที่หนังพยายามเน้นความผิดปกติของเขื่อน (เพื่อหลอกล่อคนดูไม่ให้เห็นความผิดปกติของตัวละครอื่น) แต่ตัวละครที่น่าสนใจจริงๆคือกวางและคีที่อยู่คนละมุมของการรับรู้ของสังคมและความเป็นจริง และสะท้อนความบิดเบี้ยวได้ชัดเจน แสดงถึงชั้นเชิงและความแข็งแรงของแนวคิดหนังเรื่องนี้ แต่น่าเสียดายที่รายละเอียดบางอย่างมันขาดหายไป หรือมากเกินไป หรือไม่สมเหตุผล และจังหวะหนังที่ขาดๆเกินๆ ทำให้หนังไปได้ไม่ถึงจุดที่ควรจะเป็น เช่น

- การถ่ายภาพที่เน้นการบิดเบี้ยวของรูปทรง ผ่านภาพสะท้อนในกระจก หรือการมองผ่านกระจกที่มีเงาทาบอยู่ ทำได้ดี แต่การใช้ภาพระยะใกล้เกินไป บวกกับกล้องแบบสั่นๆ มากเกินไป และไม่จำเป็น
- ดนตรีประกอบ ไม่เข้ากับอารมณ์แต่ละตอนเลย
- การแสดง แข็ง ท่องบท ทั้งบทนำ (โดยเฉพาะพระเอกซึ่งทั้งแข็ง ทั้งไม่เชื่อถือในตัวละครของตัวเอง) และตัวประกอบ (โดยเฉพาะนายตำรวจชาย) คนที่แสดงผ่านมีแค่บีม กับสุเชาว์เท่านั้น
- ความแม่นยำของอาชญวิทยาที่ค่อนข้างไม่น่าเชื่อถือ (เช่นการแช่แข็งศพเพื่อให้เกิดความคลาดเคลื่อนเวลาตาย หรือการที่กวางอ้างว่าโดนกระทำทางเพศ แต่กลับไม่ตรวจร่างกาย) หลายๆตอนเหมือนได้แรงบันดาลใจจากซีรีย์อย่าง Dexter, CSI, Closer แต่ดูไม่น่าเชื่อถือ
- บทโชว์เหนือของพระเอก เช่นจุดดำบนกระดาษขาว เชย แค่จำคนอื่นมาพูด จนดูตลกมากกว่าจะได้รับเสียงฮือฮาเหมือนในหนัง
-จังหวะหนังที่เลวร้าย โดยเฉพาะฉากไคล์แม็กซ์ในโรงไม้ตอนจบ
- การใส่อะไรมากไปโดยไม่จำเป็น เช่น บทของเทียน การจับฆาตกรตัวปลอมได้ กุญแจพระเอกที่ซ่อนไฟล์เสียง หรือแม้แต่ฉากในห้องเรียน ทั้งหมดตัดออกไปได้โดยไม่กระทบเรื่องราว
-ถ้าตัดฉากในห้องเรียนออก พระเอกจะเจอกวางได้ยังไง ลองปรับบทนิดนึงให้กวางเป็นฝ่าย approch พระเอก เรียกความสนใจพระเอก โดยพระเอกไม่รู้ตัว เพราะต้องการดึงพระเอกให้ไปพัวพันกับบีม และต้องการทำร้ายพระเอก แล้วค่อยมาเฉลยในตอนจบ หนังจะดูเนียนกว่านี้ไหม

 

โดย: wu IP: 10.56.62.159, 202.12.97.113 24 พฤษภาคม 2555 15:17:09 น.  

 

รัก 7 ปี/ดี 7 หน กับ GTH

14: ตัวตนของ GTH
ตอนนี้มีตัวประกอบมากที่สุดแล้ว โดยเฉพาะดาราที่เกิดหรือมีส่วนร่วมกับหนัง GTH และรวบรวมไฮไลท์เด่นๆของ GTH มาใส่ไว้ตั้งแต่แฟนฉันจนถึง ATM และยังมีการจับกระแสสังคม กระแสบุคคลที่โด่งดังทางโซเชียลเน็ตเวิร์ค ตอดจนกระแสพันทิป ซึ่งตรงกับหนัง GTH ที่มักจับกระแสค่อนข้างแม่น กลุ่มเป้าหมายชัดเจน และยังมองไปอนาคตใกล้ๆอีกต่างหาก เช่นพันทิปหน้าตาใหม่

21/28: ความภาคภูมิใจของ GTH
นอกจากพระเอก นางเอก และพี่บ๊อบบี้แล้ว ตัวละครที่ปรากฏหรือถูกกล่าวถึงในเรื่องนี้ ล้วนแต่เล่นเป็นตัวเอง ใช้ชื่อจริงเสียงจริง และทุกคนล้วนเกิดมาจากหนังของ GTH ทั้งนั้น (ความจริงก็ต้องรวมทั้งคริสและซันนี่ด้วย) แถมหนังที่อยู่ในหนัง ก็แทบจะยกกวนมึนโฮมาเลย สิ่งเหล่านี้คือความสำเร็จที่ GTH ให้ไว้ครับ

42.195: ก้าวต่อไปของ GTH
พระเอกนางเอกตอนนี้แสดงหนังเป็นเรื่องแรก ไม่เคยปรากฏตัวในหนัง GTH แต่กลับต้องรับผิดชอบในการปิดท้ายหนัง ดังนั้นนี่ไม่ใช่บนสรุป แต่เป็นการบอกเรื่องราวในอนาคต ผู้กำกับคือคนกุมบังเหียนและทิศทางหนัง GTH เนื้อหาหนังพูดถึงจุดเปลี่ยน การไปข้างหน้า การสวนกระแส ทำให้คาดหวังว่าต่อไปเราจะเห็นGTH ที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้น มีมุมมองใหม่ๆมากขึ้น อ้อ สังเกตดารารับเชิญในตอนนี้แค่มาเติมเต็มแต่ไม่ได้มีตัวตนหรือเป็นจุดให้คนดูสนใจเป็นพิเศษเหมือนตอน 14 น่าจะเป็นนิมิตหมายอันดีว่าเลิกยึดติดได้แล้ว

สรุป นี่คือหนังที่มาถูกเวลาของ GTH จริงๆกับการมองสิ่งที่ผ่านมา 7 ปี และการมองไปข้างหน้าอีก 7 ปี เพราะการเปลี่ยนแปลงแต่ละอย่าง มักใช้เวลาประมาณ 7 ปีอย่างที่หนังบอก

 

โดย: I'm wu 4 สิงหาคม 2555 11:49:44 น.  

 

ขอยกที่ตอบกระทู้หนึ่งของหนังเรื่อง รัก 7 ปี ดี 7 หนมาเก็บไว้

โลกของตัวละครซันนี่คือน้ำครับ ไม่ว่าจะเป็นตอน 21 หรือ 28 เขาก็ยังใช้ชีวิตกับน้ำ

ส่วนโลกของคริสคือวงการมายา ชื่อเสียง การมีผู้คนมาสนใจ

คริสได้ลองสัมผัสกับโลกของซันนี่ตอนเจอกันในการถ่ายหนังอายุ 21 (การปล่อยตัวดำดิ่งสู่น้ำ ให้ซันนี่ตามมาประคอง). แล้วก็ทำลายโลกนั้นเสียเอง (ขว้างตุ๊กตาทองใส่ซันนี่โดนตู้ปลาแตก). และเมื่อเธอกลับมาพบซันนี่อีกครั้งในวัย 28 เธอก็พบว่าเขาและเธออยู่คนละโลกแล้ว (ซันนี่อยู่ในน้ำ คริสอยู่ข้างนอก มีกระจกคั่น) คริสอยากดึงซันนี่กลับวงการมายา แต่ไม่สำเร็จ จนเธอต้องเข้าไปในโลกของซันนี่ (ดำน้ำในตู้). และเธอก็ได้ตระหนักว่าโลกที่ควรเป็นเป็นยังไง เธอสูญเสียอะไรบ้าง (ร้องให้เมื่อมองผ่านน้ำออกไปข้างนอกเห็นคนกำลังจ้องมองดู). ในที่สุดทั้งสองก็อยู่โลกใบเดียวอีกครั้ง (ซันนี่ดำน้ำลงมากอดคริส และซ้อมบท/พูดความในใจใต้อุโมงค์น้ำ)

 

โดย: I'm wu 4 สิงหาคม 2555 11:53:04 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


I'm wu
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add I'm wu's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.