Group Blog
 
 
มกราคม 2550
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
17 มกราคม 2550
 
All Blogs
 

ทักทายกันหน่อย

สวัสดีครับ ผู้หลงเข้ามาในบล็อกนี้ทุกคน

######## Update ล่าสุด ########

บทวิจารณ์ พลอย Update วันที่ 10 มิ.ย. 2550

อารมณ์และความเรียงกับ Happy togetherUpdate วันที่ 9 เมษายน 2550

บทวิจารณ์หนัง 2046 update วันที่ 15 มกราคม 2550

#########################

ขอแนะนำตัวก่อนนะครับ ชื่อที่ใช้ในพันทิป wu ซึ่งอาจอาจว่าพน หรือ วูก็ได้ ซึ่งไม่ได้มีความหมายอะไร หรือใกล้เคียงกับชื่อจริงๆเลย แต่พอสมัครอมยิ้ม เขาไม่ให้ใช้ชื่อ wu เลยต้องเปลี่ยนเป็น I'm wu ซึ่งออกเสียงว่าอำพล (งงไหม) ซึ่งก็ยังไม่เกี่ยวข้องกับชื่อจริงตัวเองอยู่ดี

เล่นพันทิปนานมาก เข้าเกือบทุกวัน เคยใช้ชื่อที่ผ่านมาประมาณ 4 ชื่อ (แต่ไม่ได้เปลี่ยนไปเปลี่ยนมานะ ใช้ทีละชื่อ) เคยตั้งใจจะไม่สมัครอมยิ้ม เพราะอยากให้คนจำเราได้จากการแสดงความเห็นมากกว่าการพยายามสร้างเอกลักษณ์ให้กับตัวเอง หรือความเป็นพวกพ้อง

และจะหมั่นไส้ทุกครั้งที่มีคนค่อนแคะบัตรผ่าน หรือพูดทำนองว่าเฉพาะอมยิ้มที่มีอภิสิทธิ์ โดยไม่ได้สนใจเนื้อหา ความคิดเห็นที่ตอบสักเท่าไร จนอยากใช้บัตรผ่านให้คนรู้สึกว่าบัตรผ่านตอบแบบตั้งใจ จริงใจ ก็ยังมี

แต่อยู่ๆก็เกิดอยากทำบล็อก เพราะบล็อกของเดิมมันค่อนข้างเฉพาะกลุ่ม (//www.pharmacafe.com/phpbb/weblog.php?w=66) ไม่ค่อยมีคนเข้า หรือคอมเมนท์สักเท่าไร เลยมาสมัครอมยิ้ม

เนื้อหาแรกๆของบล็อกนี้ จึงเป็นการถ่ายเทจากที่ตัวเองเคยเขียนไว้ มาลงที่นี่ก่อน และจะเขียนเรื่องราวต่างๆต่อไป

คนที่เข้ามาหน้านี้ มาพูดคุยกันถึงเรื่องทั่วๆไปได้ และเราจะพยายามตอบ และคุยกับทุกคนให้ทั่วถึง

แต่เนื้อหาในบล็อกจริงๆ จะอยู่บนกลุ่ม My life with movie ซึ่งจะแสดงบล็อกล่าสุดที่ update ส่วนบนของหน้านี้ และถ้าใครมีคอมเมนท์กับเรื่องที่เกี่ยวข้อง ก็ไปคอมเมนท์กันได้

ขอบคุณ ตี๋หล่อมีเสน่ห์ ทาสบอย icebridy รักดี STAR ALONE และสาวน้อยผู้น่าหวาดกลัว (feonalita) ที่เคยเข้ามาเยี่ยมชม และอวยพรปีใหม่ให้เราในบล็อกนี้

ยินดีที่ได้รู้จักกับทุกๆคน

รักนะ




 

Create Date : 17 มกราคม 2550
30 comments
Last Update : 10 มิถุนายน 2550 22:35:25 น.
Counter : 7189 Pageviews.

 

ทักทายค่ะ

 

โดย: mintini 17 มกราคม 2550 12:16:00 น.  

 

เข้ามาทักทายอีกรอบ

 

โดย: ตี๋หล่อมีเสน่ห์ 20 มกราคม 2550 23:38:41 น.  

 

วันนี้เซ็งๆ เขียนกระทู้สองรอบแล้วโพสไม่ได้ ไอ้เราก็แบบเขียนแล้วไม่ค่อยเซฟซะด้วยซิ

สวัสดีครับ คุณ mintini คุณตี๋หล่อ สบายดีนะครับ ส่วนผมไม่ค่อยสบายเท่าไร ไอตลอดวันเลย

หนังที่ได้ดูช่วงนี้ ก็มีแค่ตำนานสมเด็จพระนเรศวรภาคแรกเรื่องเดียว (แหงอยู่แล้ว) สิ่งที่คนถามกันมากคือเทียบกับสุริโยไทแล้วเป็นยังไง ส่วนตัวชอบสุริโยไทมากกว่าครับ แม้ว่านเรศวรจะดูรู้เรื่องมากกว่า ตามเรื่องง่ายกว่า แต่รู้สึกอารมณ์ที่ดูค่อนข้างราบเรียบ ไปเรื่อยๆ ในขณะที่สุริโยไทยังมีช่วงท้าวศรีสุดาจันทร์ที่อารมณ์พุ่งขึ้นถึงพีค และรู้สึกว่าหนังมีชั้นเชิง แต่ความจริงการเดินเรื่องเรียบๆก็ไม่ใช่เรื่องผิด (แม้จะไม่ต้องรสนิยมคนทั่วไป) แต่ตรงที่ผมคิดว่าเป็นจุดอ่อนของภาคแรกคือ

1. ขาดการปูความสัมพันธ์ของตัวละครหลักๆ เรารู้แค่ว่าแต่ละตัวละครสัมพันธ์กันอย่างไร แต่ไม่รู้ว่าเขาคิด เขามีมุมมองต่อกันอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในครอบครัวของพระองค์ดำ ทั้งรุ่นแม่ และรุ่นตัวองค์ดำเอง

2. หนังโฟกัสตัวละครเป็นฉากๆไป ฉากไหนใครเด่นก็เน้นแค่ตรงนั้น โดยละเลยตัวละครรอบข้าง รวมไปถึงการถ่ายทำที่เหมือนถ่ายเจาะตัวละครทีละตัว ให้นักแสดงแสดงต่อหน้ากล้อง แล้วมาตัดต่อรวมกัน ทำให้การแสดงขาดปฏิสัมพันธ์ การรับส่งอารมณ์ โต้ตอบกัน ผลที่ฟ้องออกมาคือการแสดงในภาพรวมที่แข็ง ขาดชีวิตชีวา (ข้อยกเว้นคือฉากบุเรงนองกับพระเถรคันฉ่อง ที่หนังให้น้ำหนักตัวละครสองตัวเท่าๆกัน และมีการโต้ตอบกัน การแสดง และอารมณ์ในฉากนี้ พุ่งขึ้นจากฉากอื่นๆชัดเจน)

3. การตัดต่อ ทั้งเทคนิคการตัดต่อ และการเล่าเรื่อง เสียดายนิดนึง ที่ภาคนี้ผู้สร้างต้องการให้เป็นตำนาน แต่เอาเข้าจริงก็ยังยึดถือหลักฐานและข้อมูลทางประวัติศาสตร์เป็นหลัก ทำให้ไม่กล้าดัดแปลงเรื่อง บิดเบือนเรื่อง หรือตัดทอนเหตุการณ์ หรือตัวละครบางช่วง (พูดง่ายๆ ยังไม่หลุดจากกรอบที่สุริโยไทวางไว้)

4. ความสัมพันธ์อายุนักแสดง มีคนพูดไปเยอะแล้ว

5.ความปราณีตของงานสร้าง เห็นร่องรอยการเร่งรีบในงาน post production ค่อนข้างมาก เสียดายของ ภาคต่อๆไปอยากให้ทำให้สมบรูณ์ มีรอบ screen test แล้วค่อยฉายจังเลย (แต่ข้อจำกัดหนังไทย คงเป็นไปได้ยาก)

อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมก็ยังโอเค คุ้มค่าตั๋วที่จ่าย และยังอยากดูภาคต่อๆไปอยู่ครับ

 

โดย: wu (I'm wu ) 23 มกราคม 2550 17:57:31 น.  

 

โอ๊ววว .. มีล็อกอินแล้ว

กำลังจะหลังไมค์ไปถามพอดีเลยค่ะว่าใช่คุณ wu อดีตบัตรผ่านหรือเปล่า ก็พอดีว่าคลิกมาอ่านบล็อกซะก่อน ใช่จริงๆด้วย

โป๋ยว่าคุณ wu เป็นคนที่มีรสนิยมในการดูหนังที่มีเทสต์มากๆ ถึงแม้หลายๆอย่างโป๋ยจะคิดไม่เหมือนคุณก็เหอะ

 

โดย: ปุ๋ย พันธุ์ทิพย์ (สวย ส่ายสุดๆ ) 24 มกราคม 2550 1:02:15 น.  

 

โอ้ เข้าบล็อกวันนี้แล้วรู้สึกดีจัง มีคุณโป๋ยแวะมาเยี่ยมด้วย รู้ใช่ไหมครับว่าคุณเป็นหนึ่งในล็อกอินที่ผมปลื้มมากๆ

พูดถึงล็อกอินที่ปลื้ม หมายถึงชื่อที่เราชอบตามอ่านความเห็น หรือกระทู้เขา แม้ว่าจะเห็นตรงกันบ้าง ไม่ตรงกันบ้าง แต่ก็มีแง่มุมหรือข้อมูลที่น่าสนใจ และคิดว่าเขาก็คงเต็มใจที่จะรับฟังความเห็นเราเช่นกัน ผมนับไปนับมา มีอยู่ 8 ชื่อล็อกอิน ซึ่ง 2 ใน 8 ก็เฃ้ามาทักทายในบล็อก และ อีก 2 ใน 6 ของชื่อที่เหลือก็ทักผ่านหน้ากระทู้ว่าผมมีอมยิ้มแล้ว รู้สึกปลื้มครับ ที่คนที่เราปลื้มจำเราได้ แม้จะไม่เคยคุยกันนอกรอบ ไม่เคยมีหลังไมค์ อีเมล นอกเหนือจากการตอบกระทู้ ซึ่งไม่ได้เจาะจงว่าหมายถึงใครตรงๆ เลยรู้สึกดีที่ได้สมัครอมยิ้ม เพราะตอนแรกก็ยังลังเลว่าจะสมัครดีไหมเนี่ย

คุณตี๋หล่อครับ ผมอยู่ขอนแก่นครับ พอได้ลงไปกรุงเทพที ค่อยได้ดูหนังที จะสังเกตว่าช่วงที่ผมไปแสดงความเห็นกับหนังใหม่ๆ เป็นช่วงที่ผมไปกรุงเทพมาครับ นอกนั้นมักแสดงความเห็นในหนังที่เก่าหน่อย เพราะได้ดูช้ากว่าชาวบ้านเขาครับ

 

โดย: wu (I'm wu ) 24 มกราคม 2550 11:12:49 น.  

 

เมื่อวานไปดู Final Score มาแล้วครับ แล้วรู้สึกจะเป็นคนแก่ที่สุดในโรง เมื่อเทียบกับเด็กๆในชุดนักเรียน รวมถึงเด็กมหาวิทยาลัยเต็มโรง จากจำนวนคนเมื่อวาน หนังเรื่องนี้ทำเงินแน่ครับ

หนังสนุกครับ คอนเซปของหนังดีมาก มีจุดขาย แปลก สนุก น่าดู ดูแล้วมีอะไรติดใจ การเลือกดารา (เอ เขาเรียกอย่างนี้หรือเปล่า) ทำได้ดีมากๆ ซึ่งถ้าเป็นหนังปกติ 3 คนมีสิทธิ์ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลดาราปลายปีแน่นอน ได้แก่ เปอร์ แม่ของเปอร์ และลุง

แต่ที่ตัวเองยังรู้สึกว่าไม่ใช่ ยังมี 2-3 จุด

1. มันไม่ใช่สารคดีครับ ถึงแม้จะเดินเรื่องแบบสมจริง คนในเรื่องคือตัวจริง และไม่มีใครรู้จุดจบในช่วงการถ่ายทำ แต่การวางโครงเรื่อง ไปสู่จุดหมายที่ผลสอบเข้ามหาวิทยาลัย มันมีโครงเรื่องชัดเจนอยู่แล้ว หลายฉากเหมือนการเซตเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการออกมา รวมไปถึงปัญหาเรื่องการประกาศผลที่เป็นข่าวครึกโครม ถ้าเป็นสารคดีคงวิ่งมาจับประเด็นนี้ และชูขึ้นมาให้เด่นแล้ว แต่นี่แค่บอกผ่านๆว่าเป็นเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างนั้น และที่สำคัญ สารคดีคนถูกถ่ายจะไม่รู้ตัว หรือถ้ารู้ตัว ก็จะบอกให้กับคนดูตรงๆว่ารู้ตัว เช่นการพูดกับกล้อง แต่กับ Final Score น้องๆรวมถึงคนในฉากแทบทุกตอน ทำเหมือนไม่ได้มีกล้องอยู่รอบๆตัวเลย แม้แต่ฉากตื่นนอน ฉากรวบรวมสมาธิอ่านหนังสือ โอเคครับ Final Score เป็นหนังที่ดี แต่มันไม่ใช่สารคดี (ผมยังมองเห็นความเป็นสารคดีใน The Blair Witch Project ได้มากกว่าเรื่องนี้เลย)

2. หนังเรื่องนี้ไม่ใด้มีการเอนทรานซ์เป็นศูนย์กลางของเรื่อง แต่แสดงให้เห็นชีวิตมัธยมปีสุดท้ายของนักเรียนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งการเอนทรานซ์เป็นองค์ประกอบที่ไม่สามารถเลี่ยงได้ หนังไม่ได้ให้เห็นมุมมองของผู้ปกครอง ครู สถานกวดวิชา หน่วยงานที่จัดสอบ ความรู้สึกของผู้เข้าสอบ ผู้สมหวัง ผู้ผิดหวัง มากมายเมื่อเทียบกับอะไรๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเปอร์เช่น เพื่อน พ่อแม่ ความใฝ่ฝัน แฟน การเรียน ดาราคนโปรด ไลฟ์สไตล์ รวมไปถึงการเอนทรานซ์ ที่ชัดเจน คือหนังไม่ได้จับประเด็น Anet, Onet Admission ทั้งที่มีอะไรให้เล่นได้เหมือนกัน

ทั้งสองข้อ ไม่ใช่จุดอ่อนของตัวหนังครับ คนทำหนังชัดเจนพอว่าตัวเองจะนำเสนออะไร แต่ที่ห่วงคือการโปรโมทที่อาจทำให้บางคนคิดว่านี่คือสารคดีเกี่ยวกับการเอนทรานซ์ ซึ่งฟังชื่อมันอาจไม่ชวนให้ดูด้วยซ้ำ แต่ความคาดหวังของคนดู มีส่วนทำให้ความรู้สึกที่จะมีต่อหนังเรื่องนั้นเป็นไปอย่างไรก็ได้

3. เตือนไว้สำหรับคนที่ผ่านการเอนซ์มากว่า 10 ปี แล้ว บรรยากาศในโรงหนังน่าหดหู่มากครับ มีแต่เด็กๆ กรี๊ดกร๊าด ส่งเสียงดัง และคำพูดเหมือนกูเลย ตลอดเวลา พอกลับมามองดูตัวเองแล้ว เฮ้อ ไม่อยากพูดเลย

 

โดย: wu IP: 202.12.97.115 3 กุมภาพันธ์ 2550 8:58:28 น.  

 

เข้ามาทักทายน่ะค่ะ

แวะไปเยี่ยมของเรามั้งนะ

พิมชอบดูซีรี่มากมาย กำลังหาโหลด เอ้ย หา ดูอยู่ก็มี Veronica Mars

 

โดย: Angel in Big City IP: 124.120.5.79 5 กุมภาพันธ์ 2550 21:32:43 น.  

 

แวะไปเยี่ยมบล็อกมาแล้วนะครับ Angle in Big City ขอบคุณมากครับที่มาเยี่ยมบล็อกนี้

เมื่อวานตั้งใจจะไปหา Dreamgirls หรือไม่ก็ Babel ดูครับ แต่ต่างจังหวัดก็ยังงี้แหละ ไม่มีรอบให้ดู เลยได้ดู ดอกทองต้องสาบ ของผู้กำกับจางอี้โหมวแทน

ความรู้สึกขณะดู นึกถึงหนังเรื่องนึงมากๆ คือสุริโยไท ในช่วงของท้าวศรีสุดาจันทร์ ซึ่งถ้าท่านมุ้ยจับเอาแค่ช่วงนี้มาขยาย เล่นจังหวะให้ดีขึ้น โดยใช้งานสร้างระดับเดียวกับสุริโยไท งานที่ออกมาจะไม่ยิ่งหย่อนกว่าดอกทองต้องสาบนี้เลย (แถมมีธีมใกล้เคียงกันมากๆด้วย)

จากที่ตัวเองเคยตามงานของจางอี้โหมวมา งานช่วงแรกๆเขาเล่นกับโศกนาถกรรม ผสมกับการเล่นแสงสีที่ฉูดฉาด และการใช้สีเป็นสัญลักษณ์ในโครงเรื่องที่กดดัน หดหู่ (Jodou, Raise the red Lantern, Shanghai Triad) ก่อนจะมาคลี่คลายสู่ความเรียบง่ายใน Not one less, The road home และ Happy Time แล้วหันไปสู่อลังการณ์งานสร้าง การกำกับศิลป์ที่เนี้ยบทุกรายละเอียด ใน Hero, House of flying daggers, Curse of golden flower นี้ เหมือนกับเขากำลังทดลองอะไรบางอย่าง หรือกำลังหาสไตล์ที่แท้จริงของตัวเองผ่านงานเหล่านี้

ถ้าพูดเฉพาะในงานยุคหลัง จางอี้โหมวทิ้งเนื้อหาที่เกี่ยวกับคนตัวเล็กๆ จับต้องได้ มาจับตัวละครในรูปแบบแฟนตาซี เหนือจริง ในงานสร้างที่ดูปรุงแต่งสูงจนเกินจริง การแสดงเน้นลีลาราวกับการเต้นรำ และเนื้อหาที่ดูง่ายขึ้น สนุกขึ้น (ยกเว้น Flying dagger ที่อาจง่ายเกินไปด้วยซ้ำ) แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงลักษณะงานของเขาในยุคแรกๆ คือการใช้สีอย่างเจนจัด ทั้งสวยงาม และเป็นสัญลักษณ์ให้ได้ตีความ ไม่ว่าจะเป็นสีขาว ฟ้า แดง เขียว ดำ จาก Hero (บวกกับงานกำกับภาพของคริส ดอยด์ ทำให้เป็นส่วนที่น่าจดจำที่สุดของหนังเรื่องนี้) สีเขียว สีฟ้า สีเหลือง สีขาว จาก Flying daggers จนมาถึงเรื่องล่าสุด ที่ใช้สีทอง สีเหลือง สีแดง สีดำ สีฟ้า เป็นตัวแทนของกลุ่มต่างๆ สร้างความตื่นตาตื่นใจ และสัญลักษณ์ (มีใครบ้างที่ไม่รู้สึกสะเทือนใจเมื่อดอกเบญจมาศสีเหลืองถูกปกคลุมด้วยเลือดสีแดง) จะว่าไปแล้ว งานสร้างเหล่านี้เด่นเกินหน้าหนังที่ต้องการสื่อจริงๆด้วยซ้ำ (นึกถึงผู้กำกับในดวงใจผมอีกคนที่สไตล์เด่นเกินหนัง ไบรอัล เดอ พัลมา แม้แต่หนังที่คนว่าห่วย ผมก็ยังชอบ เพราะในเรื่องสไตล์ ไม่เคยผิดหวังซักเรื่อง)

ปล. แต่บางครั้งงานสร้างที่เนี้ยบเกินเหล่านี้ ก็ทำให้อดรู้สึกตลกๆกับบางฉากไม่ได้ โดยเฉพาะลานดอกเบญจมาศยามค่ำคืนที่สว่างไสวราวกับมีคนเปิดสปอตไลท์ส่องตลอดเวลา เปรียบเทียบกับพระนเรศวรแล้ว ของเราอลังการณ์น้อยกว่า แต่สมจริงกว่าเยอะครับ

 

โดย: wu IP: 202.12.97.115 10 กุมภาพันธ์ 2550 16:31:25 น.  

 

ไปดูตำนานสมเด็จพระนเรศวรภาค 2 มาแล้วครับ

เทียบกับภาคแรก ภาคสองลงตัวกว่าเยอะ ไม่มีอะไรขัดหูขัดตา สิ่งที่เคยน่าตำหนิก็ลดน้อยลงไปเยอะ การเล่าเรื่องราบลื่นขึ้น หนังดูสนุก อลังการณ์ สมจริงสมจัง(กว่าดอกทองต้องสาบมากๆ) และมองเห็นพัฒนาการของการสร้างอย่างชัดเจน (แค่ห่างกันเดือนเดียวเนี่ยนะ) มีจุดให้พูดถึงเป็นพิเศษ 3-4 จุด

1. การแสดง เด่นมากๆ ลื่นไหล กลมกลืน ไม่โดด ไม่แข็ง ที่เด่นที่สุดคือทราย ที่ทั้งนิ่ง ทั้งสื่ออารมณ์ และมีมาดที่ทำให้เราเชื่อได้ว่าเป็นเจ้าหญิงนักรบจริงๆ (ท่านมุ้ยกำกับนักแสดงหญิงสกุลเจริญปุระได้ยอดเยี่ยมอีกแล้วครับพี่น้อง) และอีกคนที่ชอบเกินคาด คือจักรกฤษณ์ในบทนันทบุเรง ซึ่งการคอนโทรลเสียงของเขาในเรื่องเข้าขั้นเทพ นานๆจะได้เห็นหนังไทยที่การแสดงไม่ขัดตาที

2.เนื้อเรื่อง ไม่ซับซ้อนเกินไป มีสตอรี่ไลน์ชัดเจน มีลักษณะเมโลดราม่าสอดแทรก แต่โดยรวมๆแล้วยังไม่เด่น ความขัดแย้งในใจตัวละคร หรือจุดหักเหของเรื่อง ยังไม่สามารถชักจูงคนดูพุ่งสูงนัก รวมไปถึงการขาดอารมณ์สะเทือนใจ (แม้แต่ฉากพระราชมนูและเถรคันฉ่องสะเทือนใจกับการดูชาวพม่าเก็บศพ ซึ่งน่าจะเรียกอารมณ์สะเทือนใจได้มาก ก็ยังไปไม่ถึง) ที่เด่นคือการวางยุทธวิธีทางทหารที่ดูสมจริง เป็นเหตุเป็นผล เข้าใจง่าย ยอมรับได้ ไม่ว่าจะเป็นฉากตีเมืองคัง หรือฉากหนีกลับไทย

3.เรื่องราวส่วนตัวของพระนเรศวร โดยเฉพาะในหมู่พี่น้อง ที่หนังสองตอนปูความน้อยใจขององค์ดำที่มีต่อพระสุพรรณกัลยาว่ารักหงสามากกว่าบ้านเมือง และพระเอกาทศรถ ที่ยังมองไม่เห็นว่าพระนเรศวรเป็นห่วงพระองค์ และป้องกันไม่ให้เกิดภยันอันตราย แต่กลับเข้าใจว่าพระนเรศวรไม่ไว้วางใจในฝีมือ ซึ่งความขัดแย้งตรงนี้ น่าจะนำไปสู่ความขัดแย้ง และฉากดราม่าหนักๆในภาค 3 ได้ ซึ่งตอนนี้ได้แต่ลุ้นว่าท่านมุ้ยจะจับประเด็นเหล่านี้หรือไม่ และให้น้ำหนักแค่ไหน โดยส่วนตัวอยากเห็นมากครับ (แต่ถ้าจะทำตรงนี้จริงๆ ข้อด้อยคือหนังปูความผูกพันของสามพี่น้องเอาไว้น้อยมาก)

4.งานด้านโปรดักชั่น แม้จะลงตัวมากขึ้น และการอัดเสียง และความสม่ำเสมอของเสียงทำลายหนังลงมากครับ คิดว่าทีมงานหนังก็คงรู้ แต่การแก้เสียงโดยอัดทับเข้าไปใหม่มันค่อนข้างกินเวลา ทำให้อดเสียดายไม่ได้ ว่างานที่ทุ่มเทมามากมาย ลงทุนมหาศาล กลับต้องมามีตำหนิเพราะเรื่องเล็กๆน้อยๆในขั้นตอนโพสโปรดักชั่น และที่น่าเสียดายมากกว่าคืองานโพสโปรดักชั่นของภาคแรก เพราะถ้าวัดจากภาคสองที่ถ่ายทำในช่วงเวลาเดียวกัน ถ้าให้เวลานานขึ้น ภาคหนึ่งน่าจะออกมาดีกว่านี้ งานนี้อยากลุ้นให้ท่านมุ้ยทำโพสของทั้งสองภาคใหม่ และให้ความปราณีตมากขึ้น โดยไม่ต้องใช้เวลามาเป็นเงื่อนไข หนังชุดนี้จะออกสู่สายตาชาวโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิครับ

 

โดย: wu IP: 202.12.97.115 19 กุมภาพันธ์ 2550 18:56:30 น.  

 

ผิดหวังจริงๆ กับรางวัลหนังยอดเยี่ยมสำหรับออสการ์ปีนี้ (รวมทั้งรางวัลผู้กำกับและบท)

รางวัลทั้ง 4 ที่ The Departed ได้ไป เห็นว่าเหมาะสมแค่รางวัลเดียว คือตัดต่อ ซึ่งป้าเธลม่าทำหน้าที่ได้ไม่ขาดตกบกพร่อง สมกับเป็นมือตัดต่อส่วนตัวของผุ้กำกับที่ทำงานเข้าขากันมาตลอด ส่วนรางวัลอื่นๆ The Departed ยังแรงไม่พอที่จะคู่ควรกับสักรางวัล แม้ไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับ Infernal Affair

การ remake ไม่ใช่เรื่องผิด แถมยังท้าทายอีกด้วย ว่าทำอย่างไรให้งาน remake มีความเป็นตัวของตัวเอง มีเอกลักษณ์มากพอ มีความโดดเด่นเป็นพิเศษ ที่จะทำให้คนมองว่าสามารถหลุดจากเงาต้นฉบับ และมีคุณค่าคู่ควร ถามว่า The Departed ทำตรงนี้ได้ไหม ผมว่ายังทำไม่ได้ครับ

โอเค The departed มีคุณภาพระดับหนึ่ง แต่เราเคยรู้มาก่อนแล้วว่าไอเดียเริ่มต้นเดียวกันนี้สามารถทำออกมาเป็นหนังชั้นยอดได้ขนาดไหน แต่ The Departed ทำไม่ได้ ทั้งที่ทีมงานประสบการณ์มากกว่า ทุนสร้างสูงกว่า เทคนิคต่างๆดีกว่าทุกอย่าง ถึงไม่ได้รางวัล ฮอลลีวู๊ดก็ควรพิจารณาตัวเองได้แล้ว ว่าทำไมทำสู้หนังเล็กๆจากฮ่องกงไม่ได้ และยิ่งได้รางวัลนี้ แค่พิจารณาตัวเองอาจน้อยไปด้วยซ้ำ

ข้อดีของ The Departed อยู่ที่ความหนักแน่นของบท งานสร้าง งานแสดง ในขณะเดียวกันก็มีความบันเทิงแฝงอยู่ เป็นหนังที่สร้างพลังมาจากตัวเรื่องเอง ไม่ใช่การใช้เทคนิค ดนตรี เสียงประกอบ หรือภาพที่หวือหวามาเน้นอารมณ์ เช่นหนังสมัยใหม่หลายๆเรื่อง

แต่ทุกๆอย่างที่ว่าไปมีครบอยู่ใน Infernal Affair นอกไปจากนั้น Infernal affair ยังไปลึกกว่าในเรื่องจิตวิญญาณ ความขัดแย้งในใจตัวละคร และสมมุติฐานว่าทุกคนอยากเป็นคนดี แต่ในทางปฏิบัติมันไม่ได้ Infernal Affair อาจมีข้อด้อยกว่าในเรื่องงานสร้าง และความไม่สมจริงบางฉาก (รหัสมอส เวอร์มาก แต่ก็ทำให้ดูสนุกมากด้วย) แต่ถือว่าเล็กน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับสิ่งที่หนังมีมากกว่า The departed

แล้วถ้ากรรมการอ้างว่าไม่ได้ดู Infernal Affair มาก่อน ยิ่งอยากหัวเราะ อุตส่าห์มีชื่อเป็นเกียรติ มีคนเชื่อถือให้เป็นกรรมการระดับโลก แต่ไม่รู้จักออกนอกกะลา มาดูหนังที่ไม่ใช่ของสำเร็จรูปป้อนเข้าปากเสียมั่ง ไม่ต้องพูดถึง Infernal Affair เคยเป็นตัวแทนฮ่องกงมาชิงหนังต่างประเทศ กรรมการตอนนั้น (ซึ่งก็น่าจะเป็นกรรมการตอนนี้ด้วย) คงหลับหูหลับตาให้คะแนน โดยไม่ได้ดู Infernal Affair อย่างจริงจัง (เพราะถ้าดู แล้วยังยกย่อง The departed ขนาดนี้ ก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว) ไม่รู้ว่าเหล่ากรรมการทั้งหลายจะละอายใจไหมเนี่ย


อ้อ ส่วนตัวผมชอบ Infernal Affair ภาคแรกมากๆครับ แต่ไม่ชอบไตรภาคชุดนี้เลย ภาคแรกโดยตัวของมันดี และสมบรูณ์แบบอยู่แล้ว ภาคสองเรื่องดี ซับซ้อนกว่าภาคแรกอีก แต่มันทำให้น้ำหนักการกระทำตัวละครในภาคแรกอ่อนลง กับการอธิบายปูมหลังมากขึ้น ในขณะที่ภาคแรกเราใช้จินตนาการ (ถ้าภาคสองเป็นหนังเดี่ยวๆ ผมจะชอบมากเลยครับ) ส่วนภาค 3 เป็นตัวฉุดให้ทั้งสองภาคลงมาอ่อนอย่างแท้จริง กับความพยายามโชว์ชั้นเชิงในการเล่าเรื่องที่เชื่อมโยงทั้งสามภาคไว้ด้วยกัน แต่กลับสับสน และเผยจุดอ่อนภาคก่อนๆ (ภาคนี้จะดีสำหรับพวกชอบเล่นจิ๊กซอร์ พยายามหาจุดเชื่อมโยง แต่ในความเป็นหนัง ถือว่าไม่สมบรูณ์ครับ)

 

โดย: wu IP: 202.12.97.115 26 กุมภาพันธ์ 2550 16:52:46 น.  

 

วู้ว ใช้บล็อกแก็งค์ได้สักที

ช่วงที่ผ่านมา ได้ดูหนังแค่แมงมุมเพื่อนรัก ที่อยากไปรือฟื้นความทรงจำสมัยเด็กๆ กับหนังสือที่รักมากๆเล่มหนึ่งในชีวิต หนังออกมาแค่ระดับใช้ได้ แต่ในแง่ของคนรักหนังสือ หนังทำออกมาได้ดีมากๆ ในการเก็บรายละเอียด เล่าเรื่องได้เป๊ะๆ ทำอารมณ์ได้ใกล้เคียงกับตอนอ่าน ซึ่งแน่นอนว่าตอนดูต้องทำใจให้เป็นเด็กเหมือนกับตอนที่อ่านหนังสือด้วย ทำให้ผมอินไปกับเรื่องราวของวิลเบอร์ ชาร์ล็อตต์ และสัตว์ในโรงนาไม่แพ้กับตอนอ่าน แถมยังเสียน้ำตาในฉากสะเทือนใจเหมือนตอนอ่านด้วย ข้อดีของหนังสือเล่มนี้ในการดัดแปลงเป็นหนัง คือมันไม่ได้มีเนื้อเรื่องยืดยาวหรือซับซ้อนมากไป การถ่ายทอดเลยทำได้ง่าย อาศัยความใสเข้าว่า ไม่ต้องปรุงแต่ง ใช้เทคนิคการเล่าเรื่องที่แปลกๆ (โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการดัดแปลงหนังสืออย่างแฮรี่ พ็อตเตอร์ ที่ยากกว่ามาก) หนังเรื่องนี้จะดูแย่ไปเลย ถ้าผู้สร้างอยากใส่อะไรมากเกินไป อยากโชว์อะไรมากเกินไป โชคดี ที่ผู้สร้างเข้าใจธรรมชาติของหนังสือ และหนังเด็กอย่างดี

ช่วงนี้เห็นกระทู้ในพันทิปที่ถามถึงผลงานที่ประทับใจของดารา ผู้กำกับเก่าๆ เช่น เมอรีล สตรีป มาร์ติน สกอร์เซซีย์ ผมแปลกใจไม่น้อย เมื่อคำตอบส่วนใหญ่ออกมาเป็นหนังเก่าๆ อย่าง Kramer vs Kramer, Sophie's choice, Out of Africa ของเมอรีล และ Raging Bull, Taxi Driver ของสกอร์เซซีย์ ซึ่งว่าตามตรง หนังพวกนี้มันเข้าตั้งแต่ผมยังไม่ได้เริ่มชีวิตการดูหนังด้วยซ้ำ บางเรื่องเคยดูก็จำอะไรไม่ได้ แต่หลายๆคนตอบเหมือนกับเขาดูหนังเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ ซึ่งให้ตั้งสมมุติฐานคือ

1. เขาได้ดูหนังเหล่านี้ และประทับใจจริงๆ อันนี้ทำให้ผมงงในพันทิปหน่อยๆ เพราะคิดมาตลอดว่าตัวเองค่อนข้างอายุมากเมื่อเทียบกับสมาชิกส่วนใหญ่ ก็ยังไม่ทันหนังเหล่านี้ แสดงว่าคนในพันทิปหลายๆคนแก่กว่าที่แสดงออกมาในกระทู้ใช่ไหม หรือคนในพันทิปสนใจศิลปะ และประวัติศาสตร์หนังอย่างถ่องแท้ เพราะหนังเหล่านี้มักจะหาดูค่อนข้างยากในปัจจุบัน ถ้าไม่ตั้งใจหาจริงๆ แล้วมันก็มีหนังใหม่ๆหลายเรื่อง ที่น่าหยิบมาดูก่อนที่จะเลือกดูหนังเก่าๆ (บางทีผมก็อยากรู้ว่าคนที่ชอบดูหนังเก่านี่ เขาคิดยังไง เพราะตัวเอง แทบไม่เคยขวนขวายหาหนังเก่าๆมาดูเลย)

2. ไม่เคยดูหรอก แต่เห็นเขาว่ากันว่าดี เลยประทับใจ ไม่รู้ซิ เดี๋ยวนี้คนคิดอย่างนี้กันเยอะ เฮโลไปกับความเห็นของคนส่วนใหญ่ ถูกจูงจมูกไปทางโน้นที ทางนี้ที อยากให้ตัวเองดูดี แต่ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองรู้สึกจริงๆ ขาดการวิเคราะห์ และความเป็นตัวของตัวเอง ความจริงไม่ใช่แค่เรื่องหนัง แต่เป็บแทบทุกประเด็นในสังคมปัจจุบัน ที่ใครยึดอำนาจสื่อไว้ได้ มีโอกาสในการชักจูงคนอื่น เขาผู้นั้นก็มักเป็นฝ่ายมีชัยเสมอๆ

ตอนนี้อยากดูหอแต๋วแตกนิดๆ แต่คงไม่ได้ไปดูหรอก ที่อยากดูเพราะจะได้เอามาด่าได้อย่างเต็มปากเต็มคำเสียหน่อย ถ้าหนังออกมาห่วยอย่างเขาว่าจริงๆ

อืม เขียนบล็อกนี้มาได้พักใหญ่ ชักอยากรู้ว่ามีใครอ่านหรือเปล่าเนี้ย หรือว่าเราเขียนไป บ่นไปอยู่คนเดียว ใครที่เข้ามาอ่าน ก็ลงชื่อไปนิดหน่อยก็ได้นะครับ ไม่กัดหรอก

 

โดย: wu IP: 202.12.97.115 13 มีนาคม 2550 9:22:57 น.  

 

หวัดดี wu เมื่อวานเพิ่งไปดู udon ชอบเนื้อหาความเอาจริงเอาจังของคนญี่ปุ่น แต่การนำเสนอไม่ชอบเพราะบางตอนดู ญี่ปุ้น ญี่ปุ่น... หนังยาวไปนิดนึง

ยังไม่ได้ดูนเรศวร กับ the queen เรย...

 

โดย: คนที่ฝันถึง Emmet IP: 203.146.239.195 26 มีนาคม 2550 9:15:42 น.  

 

คุณข้างบนที่ฝันถึง Emmet เรายิ่งไม่ได้ดูหนังเลยช่วงนี้ ลิสต์รายชื่อหนังอยากดูไว้เพียบ ก่อนจะค่อยๆมองมันทะยอยออกจากโรง

เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา ดูเทปประกวดแฟนซีช่อง 3 เฮ้อ หงุดหงิดในใจ เหมือนกับการรวมพลังโชว์พาว และงานมาร์ดิกลาส ที่คนเดินขบวนมีครบทั้ง 3 เพศ คือก็เข้าใจนะ ว่าเงินเขา ไม่ได้เบียดเบียนใคร คนร่วมงานก็มีความสุข คนดูก็มีความสุข โฆษณาก็ขายได้ แต่มันก็มีจุดให้น่าพูดถึง

1. คุณกำลังยัดเยียดค่านิยมฟุ้งเฟ้อให้สังคมอยู่หรือเปล่า โดยการให้ภาพสังคมบันเทิงที่หรูหรา อลังการณ์ ไม่ติดดิน ตอแหลใส่กัน บางคนอาจว่าผมซีเรียสไป แต่พอดูแล้วมันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

2. กรรมการแยกคำว่าสร้างสรรค์ กับสวยงามออกไหมเนี่ย เพราะไม่ว่าใครได้รางวัลอะไร สุดท้ายมันก็ตกอยู่กับคนที่ชุดดูอลังการณ์มากที่สุดอยู่ดี โดยเฉพาะในกลุ่มสร้างสรรค์ ที่ชุดหลายๆชุดที่ดูผ่านการคิด เรียกความสนใจ รอยยิ้ม ความประทับใจได้ แต่กลับไม่ติดอันดับ (ชัดๆ ชุดถังขยะ กับน้องสาหร่าย และชุดนั่งบนพรมวิเศษ ดูคิดมากกว่าแจ็ค สแปร์โรว์ของวิทวัสเป็นไหนๆ)

3. แล้วรางวัลประเภททีม ทีมที่แต่งตัวกระจัดกระจาย ผู้หญิงไปทาง ผู้ชายไปทาง มันน่าให้รางวัลตรงไหน อ้อ นึกออกแล้ว น่าให้รางวัลตรงเป็นของบรอด์แคส ที่สร้างเรตติ้งให้ช่อง 3 บ่อยๆนี่เอง

4. คนที่ได้รางวัลควรมีชื่อเสียง หรือเป็นตัวเรียกแขกให้ช่อง 3 ระดับนึง ซึ่งจะทำให้โดดเด่นกว่าคนอื่นๆที่แต่งเหมือนๆกัน (รินลณี แตกต่างจากเพื่อนๆอีก 5-6 คนที่แต่งมาด้วยกันตรงไหน) ดังนั้น ผู้จัด ดารา จึงได้รางวัลถ้วนหน้า อ้อ ยกเว้นให้น้ำฝน กุลนัท กับเอ้ ชุติมา ให้ได้รางวัลบ้าง เดี๋ยวจะหาว่าจัดเอง เอารางวัลเอง

5. ชุดแฟนซีต่างๆ คนแต่งรู้ตัวไหมเนี่ย ว่าตัวเองแต่อะไร คอนเซปอะไร เพราะส่วนใหญ่ท่าทางจะมีคนจัดให้มาก่อนแล้ว และถ้าคิดอะไรไม่ออก ให้เน้นสีเงิน สีทอง มีกระบังหลังเยอะๆ หรือเอาขนนกใส่เยอะๆก็ได้ (อ้อ ผู้ชายจับถอดเสื้อก็เก๋ดีนะ)

6. งานนี้คนร่วมงานส่วนใหญ่เป็นนักแสดง แต่ทำไมการแสดงมันดูกระจอกอย่างนั้นล่ะจ๊ะ จอย ศิริลักษณ์ ถ้าใจไม่ถึงพอ ไม่ควรเลือกฆ่าตัวตายในเพลง Lady Marmalade เบนซ์ กับเจนี่ ก็มาโปรโมทละครชัดๆ แถมเพลงเจนี่ที่เนื้อร้องประมาณเสียงใครเอ่ย อ๋อ นักร้องน้องใหม่ นี่เอง เขาเลิกเล่นกันไปตั้งแต่สมัยสะใภ้ไร้สักดินาแล้ว แต่ที่แย่ที่สุด คือหนุ่มๆที่มายืนเต้นให้สาวๆลวนลาม และกระชากเสื้อ ซึ่งเห็นชัดเจน ว่าทำเพื่อสนองตัณหาคนบางคน แต่อะไรก็ไม่แย่เท่าหนุ่มๆต่างเก้งๆกังๆ จนดูออกว่าไม่เคยซ้อมมาก่อน แม้ว่าหนุ่มปอ กับหนุ่มอั้ม จะพยายามทำหน้าหื่นขนาดไหนก็ตาม

7. บางคนอยากให้คะแนนในความเสนอหน้า ขโมยซีน โดยไม่ดูกาละเทศะ คือปกติชอบปู กนกวรรณมาก แต่คืนนั้น เธอทำอะไรเนี่ย

7. การไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงของคนคิดคอนเซปชุดบางคน

8. ข้อนี้ขอชื่นชม ทีมที่ได้ใจผมมากมี 3-4 ทีม ทีมแรกคือกลุ่มพงษ์พัฒน์ ธัญญา มาร์ค พลอย ที่มาในคอนเซปเศรษฐกิจพอเพียง และแต่งตัวแบบไทยๆบ้านๆ (ทำให้เห็นเป็นรูปธรรมมากกว่าพวกที่ชื่อชุดคอนเซปเทอดพระเกียรติ อะไรทำนองนั้นเสียอีก) ทีมที่สองคือสรยุทธ์ และกลุ่มเรื่องเล่าเช้านี้ ในชุดสูท และชุดราตรีธรรมดา พร้อมกับสัมภาษณ์ว่า คนข่าว ได้มากที่สุดเท่านี้แหละ เจ็บไหมล่ะท่าน (อย่างไรก็ตาม 2 ทีมนี้แทบไม่มีภาพปรากฏบนจอ จนคนอาจคิดว่ามาด้วยเหรอ) ทีมอาร์เอส ที่มาเรียกเสียงกรี๊ดในชุดเท่ๆ และไม่หลุดโลก และทีมนาซี ของดอม เหตระกูล และธัญญ่า แต่งแล้วออกมาดูดีครับ อ้อ กลุ่มของจอย รินลณีเวลายืนเป็นกลุ่มก็สวยดีครับ แต่ไม่ชอบที่จอยได้รางวัลเดี่ยวเท่านั้น

 

โดย: wu IP: 202.12.97.115 27 มีนาคม 2550 18:32:26 น.  

 

weekend ที่ผ่านมา ได้ดูหนัง 2 เรื่องครับ (อ๊าก ไม่ได้ทำอะไรอย่างนี้นานมากแล้ว)

ได้แก่ แฝด และ 300

สำหรับแฝด เป็นการตอกย้ำความเชื่อของผมตั้งแต่ดู Shutter แล้วว่าผู้กำกับทั้งสองคนนี้ น่าจะมี What lies Beneath เป็นหนังในดวงใจ และส่งผลต่อวิธีการทำหนังของเขาทั้งสองมากๆ แม้จะมาในโครงเรื่องที่ต่างกัน แต่ลูกล่อลูกชน การวางปมเรื่อง การปกปิด หลอกคนดูให้ไขว้เขว ไปจนถึงการคลี่คลายที่สามารถนำมาเทียบเคียงกันได้ แม้รายละเอียดจะต่างกัน โครงเรื่องหลักของแฝดเดาค่อนข้างง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้กำกับบอกใบ้มาเป็นระยะๆ แต่จุดที่ทำให้หนังไปไม่ถึงที่สุดตามความเห็นผมคือ

#### Spoiler alert#####

1. การถ่ายเทน้ำหนักของตัวละครที่ยืนฝั่งเดียวกับคนดูจากตอนต้น (นางเอก) ไปตอนท้าย (พระเอก) ยังไม่แนบเนียนครับ ซึ่งหลังจากเฉลยปมแล้ว ตัวผีไม่ใช่ผู้ร้ายอีกต่อไป (เลิกกลัว) นางเอกกลายเป็นผู้ร้ายแทน แต่พอมีผู้ร้ายก็ต้องหาอีกคนที่คนดูจะเอาใจช่วย เลยมาลงที่ตัวพระเอกซะ โดยคนดูยังขาดโอกาสที่จะเรียนรู้ ผูกพัน เอาใจช่วยพระเอก แม้แต่จุดอ่อนพระเอก เช่นเรื่องเบาหวาน ขาหัก ถูกจับมัดก็ทำผ่านๆ ในขณะที่นางเอกก็พลิกตัวสู่บทร้ายจิตแตกทันทีทันใด และการกระทำที่ดูจะไร้เหตุผล นอกจากอธิบายว่าสติแตกแล้ว

2.เดาเรื่องง่ายไปหน่อย (มีหนังแฝดสักกี่เรื่องเชียว ที่ไม่ได้เล่นเรื่องการสลับตัว)

3.ผีหลอกพร่ำเพื่อ และไร้วัตถุประสงค์

4.ดูออกว่าคิดฉากที่จะขายเสร็จก่อน แล้วค่อยคิดเนื้อเรื่องมาใส่ให้มีฉากพวกนั้น

แต่จุดดีของหนังก็มี

1. การบอกใบ้รายทาง คือรู้สึกว่าคนสร้างแฟร์ดี ใครจับได้ก็จับจุดหักเหได้เร็ว ในที่นี้ ที่ผมจับได้ขณะดูคือด้านซ้ายขวาที่แฝดอยู่ และทิศทางการปรากฏตัวของผีในเรื่อง

2. คนสร้างชัดเจนดี ว่าจะเล่นเรื่องแฝด ก็หาอะไรที่เป็นแฝดมาเล่นให้เต็มที่

3. ฉากผีหลอกจังหวะดีแทบทุกฉาก แล้วก็ไม่ยืดเยื้อ แบบปั้งเดียวจอด หรือถ้ามีก็อก 2 ก็อก 3 ก็ออกมาแบบตั้งตัวไม่ทัน

##### End of spoil#####

ตอนดูเรื่องนี้ บรรยากาศเหมือนอยู่ในสวนสนุกมากครับ เวลาเล่นเครื่องเล่นเสียวๆ บางคนก็มาเพื่อกรี๊ดอย่างเดียว เสร็จแล้วก็หัวเราะกัน เลยทำให้ตอนดูไม่ค่อยกลัว หรือหลอนเท่าไหร่

ส่วน 300 งานนี้ยกให้กำกับศิลป์อย่างเดียวเลยครับ แล้วก็เกิดอาการเมากล้ามซิกแพค ส่วนเนื้อเรื่องไม่ค่อยติดใจอะไรเท่าไร ส่วนตัวชอบ Sin city มากกว่าครับ อ้อ ที่ผิดหวังอีกอย่างใน 300 คือดาราชาย 2 คน ที่มีเคยเสน่ห์มากๆ ไม่รู้ว่าในเรื่องนี้เสน่ห์หายไปไหนหมด ไม่น่าเลย (มีใครเดาได้ไหม ว่าผมกำลังพูดถึงใคร จากหนังเรื่องอะไร)

 

โดย: wu IP: 202.12.97.115 2 เมษายน 2550 20:14:50 น.  

 

อัพบล็อคครั้งนี้ห่างจากครั้งก่อนนานอยู่เหมือนกันนะครับ ไงก็...ขอเข้ามาทำความรู้จักในฐานะคนรักหนังเหมือนกัน

 

โดย: Kino (das Kino ) 9 เมษายน 2550 23:03:46 น.  

 

ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณ Kino ไม่ค่อยมีเวลาได้อัพบล็อกเลยครับ ยกเว้นตอนมีเรื่องราวที่อยากพูดถึงจริงๆ (อย่างที่เพิ่งอัพไปล่าสุด มันมีเหตุให้ต้องระบายออกมาครับ)

แต่ก็แวะเข้ามาในบล็อกตลอด พร้อมคอมเมนท์สั้นๆ เกี่ยวกับหนังที่ได้ดู ซึ่งจุดประสงค์ก็ทั้งเพื่อแสดงทัศนะ และการได้ร่วมพูดคุยกับคนอื่นๆ ยังไงก็เชิญคุณ Kino แวะเข้ามาแลกเปลี่ยนความเห็นอีกนะครับ

 

โดย: wu IP: 202.12.97.115 10 เมษายน 2550 8:07:54 น.  

 

ไงหายเครียด เรื่องหนังของเจ้ยยัง
กำลังจะออกจากที่ทำงาน เลยยังไม่ได้กลับบ้านเลยวันนี้
พรุ่งนี้ไปดูคอนเสิร์ตกันเนอะ แล้วสาดนำด้วย....เย้

ตอบตัวเองไม่ได้เลย....เธอทำไมเงียบงัน......ขำ ขำ นะ

 

โดย: คนที่ฝันถึง Emmet IP: 203.146.239.195 12 เมษายน 2550 18:13:22 น.  

 

ตอบกระทู้เสร็จ เดี๋ยวไปสาดน้ำแน่นอนครับ

ก่อนสงกรานต์ เลยดูหนังสงกรานต์ส่งท้ายไป 1 เรื่อง กับเมล์นรก หมวยยกล้อ

เรียว กิตติกร เป็นผู้กำกับที่ปั้นหน้าหนังได้น่าสนใจในสายตาผมมาตลอด แต่ละเรื่องล้วนแล้วแต่น่าดู และเหมือนกับมีอะไรที่แหวกแนว ดึงดูด แต่กับตัวหนังจริงๆที่ได้ดู (โอมสมหวัง โกลคลับ พรางชมพู และเมล์นรก) ผมว่าหน้าหนังของเขาดีกว่าตัวหนังจริงๆทุกเรื่องเลย แต่ก็ยังไม่ถึงกับผิดหวัง ไม่เหมือนตอนพรางชมพู ที่เรียกได้ว่าเป็นหนังน่าผิดหวังสำหรับผมจริงๆ

ปัญหาในหนังของเรียวคือการพยายามใส่แง่คิด เสียดสี และบทเรียนที่ตัวละครได้รับ แต่ในบางครั้ง หน้าหนังของเขาทำให้เราคาดหวังว่าจะไปดูหนังมันส์ๆสักเรื่องมากกว่า และไอ้แง่คิดต่างๆที่เขาใส่ลงไป มันดูเหมือนเป็นส่วนเกิน หรือส่วนที่ทำให้คนดูบางคนรู้สึกดี ว่าได้ดูหนังที่ไม่เบาโหวงเกินไป แต่การที่หนังใส่เรื่องพวกนี้ และนำไปสู่บทสรุปง่ายๆ คลี่คลายลงตัว โดยไม่ได้ใส่ชั้นเชิงอะไรมากมายนัก ทำให้รู้สึกว่าบางทีถ้าเอามันส์อย่างเดียว โดยไม่พยายามยัดเรื่องพวกนี้ หนังอาจจะดีกว่าที่เป็นอยู่ โดยเฉพาะ เมล์นรกคันนี้

หนังเปิดเรื่องน่าสนใจ แจกแจงตัวละครดี เปิดช่องทางเพื่อปูพื้นสู่ความวุ่นวาย บรรยากาศไทยๆ และเสียดสีสังคมแบบชิลๆ แต่พอเดินเรื่องไปเรื่อยๆ กลับกลายเป็นแค่การทะเลาะเบาะแว้ง การเหม็นขี้หน้ากัน และนำไปสู่การคลี่คลายง่ายๆ แบบเหลือเชื่อ ในขณะที่ความลุ้น การบีบบังคับ เข้าสู่สถานการณ์คับขัน ความตึงเครียดที่น่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งน่าจะเป็นในหนังแนวนี้ (นึกถึงหนังประมาณ Falling down) ในเมล์นรกกลับราบเรียบ เสมอต้นเสมอปลาย จนรู้สึกเสียดายแทนผู้สร้างที่ไม่คว้าโอกาสนั้นไว้

งานด้านภาพ และการตัดต่อ เป็นอีกข้อหนึ่งที่คิดว่าหนังน่าจะทำออกมาได้ดีกว่านี้ (เพราะจากเรื่องก่อนๆ งานวิช่วลของเรียว ถือว่าอยู่ระดับต้นๆของไทย) โดยเฉพาะเนื้อเรื่องเกี่ยวกับความเร็ว การพุ่งทะยาน สถานที่และเวลาจำกัด ซึ่งเปิดโอกาสให้ใส่ลูกเล่นในงานภาพได้มากมาย

แต่ถ้าตัดเรื่องยิบย่อยพวกนี้ทิ้งไป เมล์นรกก็เป็นหนังที่ดูได้เพลินๆ ไม่มีช่วงน่าเบื่อ บางจังหวะทำได้ดีมาก (เช่นฉากเด็กสาดน้ำตำรวจจนรถล้ม หรือฉากปืนลั่นทุกๆครั้ง) การแสดงที่เข้าขากันทุกคน แต่คนที่โดดเด่นที่สุด คืออิม อชิตะ ซึ่งไม่ต้องรับส่งบทกับคนอื่นมากมาย ไม่ต้องมีปูมหลัง ความลึกซึ้ง ใช้แค่ภาษากาย กับสีหน้าก็เรียกเสียงฮาได้ทุกช็อต

หนังยังด้อยกว่าโกลคลับ แต่ลงตัวกว่าหนังไทยหลายๆเรื่อง ถ้าใครไม่มีอะไรทำช่วงสงกรานต์ แนะนำให้ดูครับ

สุขสันต์วันปีใหม่ไทยครับ (สาด)

 

โดย: wu IP: 202.12.97.115 13 เมษายน 2550 12:33:07 น.  

 

ไปดู Me Myself ขอให้รักจงเจริญมาแล้วครับ

พงษ์พัฒน์ วชิระบรรจง ในสายตาผมคือนักแสดงที่มีความสามารถในระดับต้นๆของเมืองไทย กับการเล่นได้หลายบทบาท สร้างน้ำหนักให้กับตัวละครได้ แม้แต่บทที่มี background น้อยๆ หรือบทที่ไม่เข้ากับตัวเอง เขาก็ยังสร้างตัวละครให้เราเชื่อถือขึ้นมาได้ บทเด่นๆของเขาที่ผมประทับใจ คือบทในละครขอให้รักเรานั้นนิรันดร และพระจันทร์ลายกระต่าย (ซึ่งเรื่องหนึ่งเป็นการเลือกตัวละครที่ไม่ตรงบทประพันธ์สุดๆ และอีกเรื่องคือเป็นบทที่เพิ่มขึ้นมาจากในนิยาย) และบทในโหมโรง (ที่ background น้อยมาก) จนเป็นที่น่าสนใจว่าเมื่อเขามากำกับหนังแล้วจะเป็นเช่นไร (ผมไม่เคยดูละครที่เขากำกับมาก่อน)

จุดเด่นของ Me Myself ก็เป็นการแสดงของอนันดาตามคาด ซึ่งเป็นการแสดงในลักษณะเดียวกับพงษ์พัฒน์ คือการสร้างบุคลิกตัวละครขึ้นมา จับท่าทางการแสดงออกของตัวละครอย่างแม่นยำ เป็นธรรมชาติ แล้วจึงค่อยๆถ่ายทอดอารมณ์ออกมาแบบไม่มากเกินไป ไม่เค้น ไม่เกร็ง ซึ่งต้องชมทั้งพงษ์พัฒน์ และอนันดาที่ร่วมมือกันถ่ายทอดตัวละครแทน ธัญญ่า ออกมาอย่างแนบเนียน (อีกคนที่น่าปลื้มคือหม่อมน้อย มล.พันธ์เทวนพ เพราะทั้งสองคนนี้ก็ได้ชื่อว่าเป็นลูกศิษย์ท่าน แม้ลูกศิษย์อย่างอนันดาจะให้การแสดงแข็งๆในหนัง และละครของท่านตลอดมา)

แต่นอกเหนือจากการกำกับอนันดา การกำกับหนังทั้งเรื่องของพงษ์พัฒน์อยู่ในระดับกลางๆเท่านั้น ไม่ได้มีความโดดเด่นแม่นยำในการกำหนดจังหวะการเล่าเรื่อง การสื่อความหมาย การถ่ายทอดอารมณ์ หรือแม้แต่บท มุมกล้องและการตัดต่อ ที่ค่อนข้างราบเรียบ ซึ่งส่งผลต่อบรรยากาศ และอารมณ์ของหนังให้ออกไปในทางแห้งแล้ง ไร้สีสัน เมื่อเทียบกับความน่าจะเป็นที่โครงสร้างของบทหนังเปิดโอกาสให้ (บรรยากาศในที่ทำงานนางเอก พระเอก คนรอบๆตัว ชีวิตในเมืองหลวง บรรยากาศความรักที่อบอวน และค่อยๆปะทุขึ้นมา ถามว่ามีไหม มี แต่ค่อนข้างจืดชืด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเด็น Gender) แต่ที่สำคัญที่สุดคือ

###### Spoiler Alert###########

หนังทำให้เชื่อถือไม่ได้กับความสัมพันธ์ของพระเอก นางเอก รวมไปถึงความขัดแย้งที่คนดู(อย่างผม)จับได้แค่ว่าเป็นการแคร์กับสังคม สายตาของคนรอบข้าง และความเหมาะสมมากกว่าความขัดแย้งที่เกิดจากจิตใจของตัวละครเอง อีกทั้งการที่หนังพยายามจบแบบเอาใจคนดู โดยอธิบายว่าโดยเนื้อแท้พระเอกไม่ใช่กะเทย แต่โตมาในสภาพแวดล้อมแบบนั้นเลยเป็นแบบนั้น อาจจะทำให้พวกหัวอนุรักษ์ หรือคนที่เชื่อว่าเกย์เกิดจากการเลี้ยงดู และหายได้พอใจ แต่มันขัดแย้งกับความรู้สึกของคนดูอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่เชื่อถือหลักการดังกล่าว และทำให้ไม่เชื่อหนังทั้งเรื่อง ซึ่งบังเอิญผมอยู่ในกลุ่มหลัง

Me myself ทำให้ผมคิดถึงหนังไทยอีก 2 เรื่อง

1. ช่างมัน ฉันไม่แคร์ ประเด็นหนังใกล้กัน เพียงแค่เปลี่ยนบทผู้ชายขายตัว เป็นกะเทย และเพิ่มเรื่องความจำเสื่อมเข้ามา แม้บางคนบอกว่า me myself ประเด็นลึกซึ้งกว่า เพราะพูดถึงเพศที่ 3 แต่ผมมองว่าเพศที่ 3 ในหนังเรื่องนี้เป็นแค่อุปสรรค์ (เปรียบกับการเป็นผู้ชายขายตัวในช่างมัน) แต่หนังเรื่องนี้จริงๆพูดถึงความสัมพันธ์ของชายหญิงต่างหาก โดยส่วนตัว ผมยอมรับช่างมันฉันไม่แคร์มากกว่า เพราะการถ่ายทอดที่ให้คนดูอยู่มุมเดียวกับนางเอกตั้งแต่ต้นจนจบ ในขณะที่ me myself คนดูอยู่ในฝั่งนางเอกบ้าง พระเอกบ้าง แต่ในตอนท้ายที่ถ่ายโอนน้ำหนักการตัดสินใจไปอยู่ในฝั่งนางเอก ในขณะที่รายละเอียดประกอบอยู่ในฝั่งของพระเอก มันเลยจบแบบห้วนๆ ไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งอะไรมากมาย (ความคล้ายคลึงอื่นๆของหนังสองเรื่องนี้ เช่นอาชีพนางเอก การเลือกของนางเอกในตอนจบ และผู้กำกับช่างมัน ฉันไม่แคร์ คือหม่อมน้อย ที่เป็นอาจารย์ของพงษ์พัฒน์)

2. แก้งค์ชะนี กับอีแอบ หนังทั้งสองเรื่องนี้ ให้บทสรุปที่ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง (แก้งค์ชะนี ใครเป็นเกย์ ก็อยู่ส่วนเกย์ไป อย่ามาแฝงตัว หลอกผู้หญิงบังหน้า ส่วน me myself เรื่องอย่างนี้มันเลือกกันได้ ถ้าเอาความรักมาก่อน จะเป็นเกย์หรือไม่ก็ไม่สำคัญ ถ้าเพียงแต่มีโอกาสเลือก) แต่น่าแปลกที่ผมกลับไม่เห็นด้วยกับบทสรุปของหนังทั้งสองเรื่องเลย (มันจะเอายังไงกันแน่ว่ะ)

##### End of Spoil##########

จุดอื่นๆที่มองเห็นในหนังเรื่องนี้ คือค่านิยมการอยู่ก่อนแต่ง ที่หนังนำเสนอเหมือนกับเป็นเรื่องปกติ ธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นนางเอกกับแฟนเก่า หรือนางเอกกับพระเอก ความจริงนี่ไม่ใช่หนังเรื่องแรกที่สื่อออกมาอย่างนี้ ซึ่งอาจเป็นเพราะสังคมจริงๆมันเป็นอย่างนี้ หรือเพราะสื่อต่างๆพยายามทำให้มันดูเหมือนเรื่องธรรมดาๆ ก็ไม่รู้ แต่ผม (ซึ่งยังไงก็ไม่ยอมรับว่าตัวเองหัวโบราณ) ก็อดเสียดายไม่ได้

 

โดย: wu IP: 202.12.97.115 22 เมษายน 2550 15:08:53 น.  

 

มีใครผิดหวังกับ Spider-Man3 เหมือนเราไหมเนี่ย

หนึ่งในหนัง Summer ที่รอคอยมากที่สุด เริ่มจากความชอบในภาคหนึ่ง และชอบยิ่งกว่าในภาคสอง ทำให้อดไม่ได้ที่จะคาดหวังอะไรๆมากมายกับภาคสาม สำหรับ Spider-Man ซูเปอร์ฮีโร่ที่ทำออกมาเป็นหนังที่ชอบที่สุด สนุกกับตัวหนังที่สุด ต้องรสนิยมที่สุด และรู้สึกว่าเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่จับต้องได้มากที่สุดในบรรดามาร์เวลฮีโร่ทั้งหลาย

แซม ไรมี่เป็นผู้กำกับที่ทำหนังสนุกมากตลอด แม้แต่หนังที่น่าจะเป็นหนังอาร์ตขายการแสดงอย่าง The simple plan หรือ The Gift ก็ยังออกมาเป็นหนังดูสนุก ซึ่งจุดเด่นของเขาคือการไม่ทิ้งคนดู และไม่พยายามทำตัวหัวสูงเกินไป ในขณะเดียวกันก็มีรสนิยมมากพอที่จะทำให้หนังไม่ออกมาแค่สนุกอย่างเดียว แต่ไม่มีอะไรติดค้างหลังดู

สำหรับสไปดี้1-2 สิ่งที่ผมชอบคือช่วงเวลาของปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ ความสัมพันธ์ของเขากับคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็น ลุงเบนกับป้าเจน หรือแม้แต่ตัวผู้ร้ายอย่างนอร์แมน ออสบอร์น หรือด็อกอ็อคซึ่งก่อนจะกลายเป็นผู้ร้ายเต็มตัว หนังปูความสัมพันธ์ของพวกเขากับปีเตอร์ไว้อย่างน่าพอใจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความสัมพันธ์ของปีเตอร์กับแฮรี่ และเอ็มเจ ที่มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง และพลิกผันมาตลอดทั้งสองภาค ในขณะที่บุคลิกตัวเอกทั้งสามก็ห่างไกลจากตัวเอกทั้งหลายในหนังซูเปอร์ฮีโร่ทั่วๆไป แต่สิ่งเหล่านี้กลับหายไปในภาค 3 โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบทแฮรี่ ที่ทิ้งท้ายเอาไว้อย่างน่าติดตามในภาค 2 ว่าจะลงเอยอย่างไรดี

แต่ปรากฏว่าสิ่งที่ผู้สร้างต่อยอดจากภาค2 ในเรื่องของแฮรี่ คือความบังเอิญ การลงเอยง่ายๆ การหักมุมแบบซื่อๆ ไร้เดียงสา การวางแผนตื้นๆ และมุขน้ำเน่าต่างๆ ทำเอาผมถึงกับอึ้งว่าเล่นกันอย่างนี้เลยเหรอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บทความจำเสื่อม เพื่ออะไร ซึ่งเรื่องราวต่างๆจะเล่าโดยไม่ต้องผ่านบทความจำเสื่อม แต่ไปเล่นกับความขัดแย้งต่างๆของแฮรี่ก็ได้ น่าสนใจกว่าเยอะ

นอกจากนี้ตัวละครใหม่ๆที่ใส่เข้ามาล้วนแต่น่าผิดหวัง (ยกเว้นการเลือกดารา เลือกได้ถูกต้องทุกบท แม้บางบทจะเลือกดารามาดีเกินกว่าบทเปิดให้ด้วยซ้ำ ใช่ครับ ผมพูดถึงไบร์ซ ดัลลัส โฮเวิร์ด) รวมถึงตัวร้ายอีก 2 ตัว ที่ความน่าสนใจมีมากมาย ทั้งตัวของมันเอง และการสะท้อนกลับไปที่ตัวสไปดี้ แต่ก็ทำหน้าที่ได้แค่กล้อมแกล้มเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงความบังเอิญ(อีกแล้ว) ที่ใส่เข้ามาในหลายๆตอน จนไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่คือผู้กำกับและคนเขียนบทคนเดียวกับสองภาคแรก

โอเค ในส่วนเทคนิคงานสร้าง ภาคสามนี้ไม่ตกมาตรฐาน (กับภาพซีจีที่ตัวละครหลักเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว พร้อมๆกับการเคลื่อนกล้องที่ตามตัวละครตลอดเวลา และการตัดต่ออย่างรวดเร็ว ไม่ให้คนดูจับทันว่าเป็นซีจี) แต่แค่นี้มันไม่พอหรอกที่จะกอบกู้ชีวิตหนังเรื่องนึงขึ้นมา

 

โดย: wu IP: 202.12.97.115 8 พฤษภาคม 2550 20:23:02 น.  

 

สัปดาห์ที่ผ่านมาคือเทศกาลหนังของผมครับ ในที่นี้คือการได้ลงไปกรุงเทพ แล้วก็มีเวลาว่างมากพอที่จะดูหนังเรื่องต่อเรื่อง มาดูว่าผมดูอะไรไปบ้าง ใน 2-3 วันนี้

1. Poltergay หนังฝรั่งเศสที่เหมือนเอาหอแต๋วแตกมาผสมกับ เก๋า เก๋า หนังแค่พอดูได้ หัวเราะได้บ้าง แต่ก็ยังคิดว่าน่าจะเล่นอะไรได้มาก และมันส์กว่านี้ ตอนจบค่อนข้างรวบรัด และหาทางออกง่ายไปหน่อย และยิ่งเมื่อมอง subtext ที่ซ่อนอยู่ในหนัง โดยผีเกย์ที่ทั้งหลายในเรื่อง (ตัวแทนของกลุ่มรักร่วมเพศ) กับการอยู่ร่วมกันกับคน (ตัวแทนพวกรักต่างเพศ) อย่างประณีประนอม ซึ่งในความจริง มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก

2. 28 weeks later มันส์มาก ไม่ต้องสนใจศีลธรรม หรือพยายามสอนอะไรคนดู ไม่ต้องให้ความหวัง กำลังใจ หรือจรรโลงใจ แต่อัดความมันส์ ความสะใจล้วนๆ โดยสิ่งที่ทำให้หนังมีคุณค่าคือฝีมือการกำกับ การแสดง การถ่ายภาพ ตัดต่อที่มืออาชีพมากๆ สร้างบรรยากาศสมจริง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับดนตรีเทคโนร็อคที่กระหึ่ม เร้าอารมณ์สุดๆ ดนตรีเทพจริงๆ

ปล.1 บรรยากาศลอนดอนร้าง หลอนมากๆ
ปล.2 ยกความดีความชอบให้แดนนี่ บอยด์ และอเล็กซ์ การ์แลนด์ที่ปูพื้น สร้างฐานให้หนังแน่นตั้งแต่ภาคแรก สองคนนี้เป็นผู้กำกับและนักเขียนที่เข้าขามากๆ โดยเฉพาะ The beach หนังโปรดผม ที่โดนหลายคนมองข้าม

3. Wild Hog เพราะดารานำแก่ ลีลาหนังก็เลยออกมาในแนวหนังสมัยก่อน ที่นิยมประมาณ 10 ปีที่แล้ว ซึ่งความจริงก็ไม่เลวร้าย เพราะมันก็มีสูตรของมัน และหนังเรื่องนี้ก็เดินตามสูตรเปะๆ ไม่ว่าจะเริ่มจากการปูเรื่อง แนะนำตัวละคร ดำเนินเรื่อง จุดพลิกผัน การได้เรียนรู้อะไรสักอย่างซึ่งทำให้ได้สิ่งดีๆในชีวิต แถมด้วยมุขตลกประกอบรายทาง เพียงแต่มันมาช้าไปสัก 10 ปีเท่านั้นเอง

ปล.1 เซอร์ไพรซ์กับการเห็นมาริสา โทเม และเรย์ ลิออร์ต้า บนจอ ไม่นึกว่าสองคนนี้จะแสดงด้วย
ปล. 2 ผมชอบจำวิลเลี่ยม เอช เมอร์ซี่ กับ บิลลี่ บ็อบ ทอร์นตันสลับกันเรื่อยเลย ก่อนเข้าโรง ผมคิดว่าบิลลี่บ็อบแสดงซะอีก

4. Pan's Labyrinth หนังดีที่มาตอนผมหมดแรง เลยเผลอหลับไปเป็นช่วงๆตอนต้น มาตื่นเต็มๆตัวเอาตอนครึ่งหลัง เสียดายจังเลย แต่ถ้าเทียบกับในบรรดาหนังชิงออสการ์ภาษาต่างประเทศ ผมยังให้เรื่องนี้มาทีหลัง Couching Tiger, Hidden Dragon, No man's land และ Life is Beautiful ครับ

5. Next โอ้ อีกหนึ่งหนังน่าผิดหวัง และยิ่งตอกย้ำให้ผมเชื่อว่านิยายของฟิลิป เค ดิกซ์ มีจุดอ่อน และอาศัยลูกมั่วเข้ามาเยอะ เพียงแต่หนังอย่าง Minority Report และ Total Recall มันอยู่ในมือคนที่เชี่ยวพอที่จะทำให้หนังออกมาดูสนุก และปกปิดจุดอ่อน หรือลูกมั่วเอาไว้ได้ (ซึ่งถ้ากลับมาคิดจริงๆมันก็มี) แต่พอหนังมาอยู่ในมือผู้กำกับที่เน้น visual หรือ action แต่ไม่ใช่ storyteller หนังก็เผยจุดบอดมามากมาย (เช่นเรื่องนี้ หรือกับจอห์น วู ใน Paycheck)

จุดอ่อนคือการปูเรื่องราวความสามารถพิเศษของพระเอกนี้ ซึ่งหนังก็ทำ แต่ยังไม่ถึง คนดูยังไม่อิน หรือเข้าใจกับการมองเห็นอนาคต 2 นาทีของพระเอก แถมยังมีข้อยกเว้นให้อีกต่างหาก รวมถึง background พระเอกที่จะทำให้คนดูรู้สึกผูกพัน เข้าใจ ก็น้อยเสียจน เวลาเดินเรื่องจริงๆ ก็เลยแค่งั้นๆ ดูฉากแอ็กชั่น แต่ไม่ได้เอาใจช่วยอะไร แถมมาหักมุมตอนจบอย่างไม่ค่อยน่าพอใจอีกต่างหาก เลยไม่เหลืออะไรให้จดจำเลย

ปล.จูลี่แอนด์ มัวร์มาทำอะไรเนี่ย เจ๊ควรกลับไปเล่นหนังดราม่าขายฝีมืออย่างเดิมดีกว่า เพราะเจ๊มาข้องแวะกับหนังตลาดทีไร มันออกมาห่วยซะแทบจะทุกครั้ง

6. Epic Movie หนังเรื่องนี้ ถ้าให้บรรลุวัตถุประสงค์เจ้าของหนัง ห้ามคิดอะไร ห้ามเก็บไปคิด ดูเอาเสียงหัวเราะเท่านั้น ซึ่งหนังก็ทำได้ เพียงแต่ว่ามัน Epic ตรงไหนเนี่ย (ก็เขาไม่ให้คิด ยังอุตส่าห์ไปคิดอีก)

ความจริงหนังแนวนี้สร้างค่อนข้างยาก และถ้าไม่ใช่คนรักหนังตัวจริง ทำออกมาไม่ได้นะเนี่ย เพียงแต่เรื่องนี้ ผู้สร้างไม่แม่นกับการล้อ Epic มากพอ เลยกลายเป็นหนังที่ดูผ่านๆเท่านั้น

ปล. หนังแนวนี้ที่ผมว่าล้อได้ระดับเทพ คือ Plump Fiction ที่ล้อหนังเควนติน เทอแรนติโน่ และ George Lucus in Love ที่ล้อ Star wars และ Shakespere in Love อย่างลงตัว และรักษาวิญญาณของเรื่องที่จะล้อได้แม่นมากๆ อีกเรื่อง (ถ้าจะถือว่าเป็นหนังล้อ) คือ Scream ภาค 1 และ 2 ที่ล้อหนังสยองขวัญ และหนังภาคต่อตามลำดับ (ขอไม่นับ scream 3 ที่ล้อหนังไตรภาค แต่ทำไม่ถึง)

 

โดย: wu IP: 202.12.97.115 25 พฤษภาคม 2550 18:42:55 น.  

 

แวะมาทักทายค่ะ

 

โดย: weraj 31 พฤษภาคม 2550 12:01:15 น.  

 

หวัดดีครับคุณ weraj รู้สึกดีใจทุกครั้งเลย ที่มีคนใหม่ๆแวะเข้ามาทัก ว่างๆเชิญมาอีกนะครับ

วันก่อนไปดูพลอยมาแล้วครับ

เป็นเอกเป็นผู้กำกับที่คนเฉลิมไทยชอบมาก แต่แปลกที่ส่วนตัวผมค่อนข้างเฉยๆกับหนังเป็นเอกมาโดยตลอด แม้ว่าจะมองเห็นความตั้งใจ ความแม่นยำ โดดเด่น มีจุดหมายชัดเจน แน่วแน่มาโดยตลอด โดยหนังของเขาที่ผมชอบมากที่สุดคือฝัน บ้า คาราโอเกะ ที่ดูอัดแน่นไปด้วยพลัง และความคิดสร้างสรรค์ แหวกแนว แม้ว่าหนังจะดูไม่สนุกเอาเสียเลย แต่หลังจากนั้น ปัญหาของหนังเป็นเอกกับผม คือความเชื่องช้า จนผมอยากจะตัดๆๆๆ หรือเอารีโมทกดให้หนังเดินเรื่องเร็วกว่านี้ไปซะทุกเรื่อง โดยเฉพาะกับเรื่องตลก69 กับมนต์รักทรานซิสเตอร์ ที่คิดว่ามันน่าจะกระฉับกระเฉงกว่านี้ และมารู้สึกดีขึ้นหน่อยกับเรื่องรักน้อยนิดมหาศาลที่เนื้อเรื่องบางลง แต่ก็ยังไม่ใช่ทางของตัวเอง ส่วน Invisible wave ก็ไม่ได้ดู จนมาถึงพลอย ที่เนื้อเรื่องเบาบาง แต่ตรงกับความรู้สึกตัวเองมากกว่า เรื่องรักน้อยนิดมหาศาล เลยยกให้เรื่องนี้เป็นหนังเป็นเอกลำดับ 2 ที่ผมชอบที่สุด (รองจากฝันบ้าคาราโอเกะ)

ความรู้สึกกับหนังเรื่องนี้ ใกล้กับ Eye wide shut มากๆ แม้ว่าเรื่องราวจะแตกต่างกันมากมาย แต่ความชอบในหนังทั้งสองเรื่อง ผมให้อยู่ในระดับเดียวกัน

อ่านความเห็นของผมกับพลอยแบบสปอยล์ๆ ได้ในหน้า my life with movie หรือตามลิงค์นี้ https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=pong318&month=06-2007&date=10&group=2&gblog=11

ปล. เป็นเอกไม่เคยพลาดเรื่องเพลงประกอบหนังเลย สุดยอดและเป็นตัวของตัวเองทุกเรื่อง

 

โดย: wu (I'm wu ) 10 มิถุนายน 2550 22:58:35 น.  

 

อาทิตย์นี้ดูหนังไป 2 เรื่องครับ Fantastic 4 และ สวยลากไส้

ถึงแม้ว่า Fantastic 4 จะดูแบบฆ่าเวลา ไม่ได้ตั้งใจดูนัก เพราะมีรอบที่ดูได้พอดี ผมก็ยังรู้สึกผิดหวัง แม้จะไม่ได้หวังอะไรมาก ซึ่งโอเค เนื้อเรื่องอ่อนปวกเปียก แต่ก็ยังไม่ใช่จุดสำคัญเท่าไรสำหรับหนังแอ็กชั่นยอดมนุษย์เอาใจตลาด แต่การที่หนังดูไม่สนุกนี่ ผมถือว่าเป็นความผิดร้ายแรงทีเดียว

เสียดายบท และการออกแบบตัวละคร Silver surfer ที่ทำได้น่าสนใจ และน่าจะมีอะไรให้เล่นได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของตัวละคร หรือเทคนิคและความน่าตื่นตาตื่นใจของหนังที่จะมารองรับตัวละครตัวนี้ ซึ่งหนังทำได้ดีระดับหนึ่ง แต่ไอ้ดีๆมันไปอยู่ในหนังตัวอย่างหมดแล้ว (จุดหนึ่งที่หนังเรื่องนี้ทำดีคือตัดตัวอย่างออกมาได้น่าดึงดูดมากๆ) และน้ำหนัก จุดพลิกผัน หรือฉากโชว์ของเจ้า Silver surfer ในหนัง มันเลยดูเฉื่อยๆ เรื่อยๆ ไม่แรงเหมือนที่คาดไว้

แต่ทั้งนี้ ก็ยังนับว่าดีกว่าตัวเอกทั้ง 4 ที่ดูแห้งแล้ง ขาดเสน่ห์ ไม่น่าเอาใจช่วยไปซะงั้น และเมื่อบวกกับเสียงพากย์ไทยที่ไร้อารมณ์โดยสิ้นเชิงของนางเอก และเสียงอ่อนหัดของ 2 พระเอก ยิ่งเป็นการฆ่าตัวละครเหล่านี้ให้ตายทั้งเป็น (ก่อนดู ไม่รู้มาก่อนว่าใครพากย์ แต่รู้แล้วก็ไม่แปลกใจเท่าไร อ้อ สำหรับคนสงสัยว่าแล้วทำไมไม่ดู soundtrack ขอนแก่นไม่มีครับ) ปกติจะพยายามเลี่ยงหนังที่เอาดารามาพากย์ หรือถ้าดู ก็พยายามมองๆข้ามไป แต่เรื่องนี้นี่มันอาชญากรรมชัดๆ

มาถึงสวยลากไส้

ปัญหาอย่างหนึ่งในการดูหนังไทยของผม คืออดคิดไม่ได้ว่าผู้กำกับ คนเขียนบท ยังขาดแนวคิด หรือหลักการเชิงวิทยาศาสตร์ ทำให้หนังหลายๆเรื่องไปไม่ถึงดวงดาว (ไม่ใช่แปลว่าให้เขียนแนววิทยาศาสตร์นะครับ แต่นำแนวคิดแบบวิทยาศาสตร์มาใช้ในการทำหนัง) และหายากมากๆที่คนทำหนัง หรือแม้แต่คนวิจารณ์ จะมีวิชาชีพเป็นหมอ เภสัช วิศวกร หรืออาชีพอื่นๆที่เรียนมาแบบวิทยาศาสตร์ ทั้งที่คนอาชีพพวกนี้ เวลาเขียนงานต่างๆมักมีแนวคิด หลักการ รูปแบบ และวิธีวิเคราะห์ที่น่าสนใจ

ดังนั้น เวลามีคนทำหนังที่จบมาทางสายวิทยาศาสตร์ ผมจึงมักให้ความสำคัญเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกสถาปนิคที่นำเสนองานที่มีรูปแบบชัดเจน มีโครงสร้างของบทหนังที่น่าสนใจ มีจังหวะการเล่าเรื่อง ทั้งการเร่งเร้า และปล่อยช่องว่างอย่างลงตัว ซึ่งจะเห็นได้จากงานของอภิชาติพงษ์ หรืออิทธิสุนทร (ส่วนศรัญญูก็พอมองเห็น แต่ไม่ชัด) เลยทำให้สวยลากไส้ เป็นงานที่ผมอยากดูตั้งแต่เห็นชื่อผู้กำกับ

ในด้านโครงสร้างของหนังเรื่องนี้ ใช้ได้เลย กับการวางเหตุการณ์หลักๆของเรื่องให้เกิดใน 15 นาที และการวางซ้อนทับของเหตุการณ์ พร้อมๆกับค่อยๆเฉลยเรื่องราวต่างๆ ไปจนถึงองค์ประกอบ การกำกับศิลป์ การกำกับมุมกล้องที่มีรูปแบบเป็นเอกลักษณ์ (ผิดไหม ถ้าบางช่วงที่ดูหนังเรื่องนี้ ผมนึกถึงผลงานแรกๆของ ทิม เบอร์ตันแนะ) และอารมณ์ตลกร้ายที่ใส่เข้ามาตรงจังหวะ และการดีไซด์ตัวผี ที่เท่ เซ็กซี่ และเป็นตัวของตัวเอง รวมไปถึงบรรยากาศเซอร์ๆ เกินจริง (ไม่ต้องสงสัยว่าคนอื่นๆในรพ. คนไข้ ไปอยู่ไหนกันหมด) แต่ก็เข้ากันได้ดีกับตัวหนัง

เหมือนๆกับว่าเป็นหนังดี แต่!!!!!!

ปัญหาหลักของหนังกลับไปอยู่ที่การเล่าเรื่อง การปูพื้นตัวละคร การสร้างบุคลิกตัวละคร การสร้างความผูกพันของคนดูกับตัวละคร (ซึ่งเป็นงานที่ผู้กำกับ/เขียนบทที่มาทางสายศิลป์จะแม่นกว่า) ตัวละครแปลกๆ หมกมุ่นกับอะไรบางอย่าง แต่กลับดูไม่มีเสน่ห์ และไม่สามารถเล่นอะไรกับตัวละครและความหมกมุ่นเหล่านี้มากไปกว่าการโชว์วับๆแวมๆ ผีจะฆ่าใคร ก็ฆ่าไปซิ ไม่ได้รู้สึกเอาใจช่วย ลุ้น เสียวแทน หรือกรี๊ดกับตัวละครในหนังเลย และยิ่งตัวละครมากๆ ยิ่งดูรุงรัง และไม่มีใครที่ได้รับบทเป็นชิ้นเป็นอันเลย (ทั้งที่ดูเหมือนนักแสดงตั้งใจแสดงกันมากๆ) จนทำให้พอดูจบแล้วก็งั้นๆ เสียดายแทนกับโครงสร้างหนังเริ่มต้นที่วางไว้ดี (ตั้งแต่ชื่อเรื่อง คอนเซป จุดขาย นักแสดง แนวคิด)

ปล. คาดไม่ถึงว่าหนังเรื่องนี้จะมีฉาก Y แถมเป็นฉาก Y ที่ทำออกมาได้ดีกว่าหนังไทยทุกๆเรื่องด้วยซ้ำ

 

โดย: wu IP: 202.12.97.115 17 มิถุนายน 2550 17:54:47 น.  

 

ไปดูเรื่อง Memory of Matsuko มาแล้ว เล่าเรื่องได้น่าสนใจมากหวือหวา แต่เมื่อเทียบกับชีวิตของ Matsuko ในเรื่องแล้วเทียบกันไม่ติดเลย ได้อะไรจากหนังเรื่องนี้เยอะเหมือนกัน ดูไปสังคมของญี่ปุ่นน่ากลัวเนอะ และวัยรุ่นบ้านเราคงตามไปติดๆ รีบไปดูนะ เหลือเพียงรอบเดียวต่อวันที่ House of Drama แต่ที่ประทับใจ อืม ไม่ใช่ประทับใจสิคือเจอแฟนเก่าหลังจากไม่ได้เจอ หรือพูดคุยกันร่วม สามเดือน ได้คุยกับแป็บนึงแล้วเค้าก็ขอตัวไปอึ จบการสนทนาได้สวยงามจริงงงง

 

โดย: คนที่ฝันถึง Emmet IP: 202.57.176.215 17 มิถุนายน 2550 21:40:11 น.  

 

ไง wu ไปดูหนัง Hollywood ฟอร์มยักษ์ 2 เรื่อง
เมื่อวานตั้งใจไปดู Happy ending แต่ไปผิดเวลา เลยได้ดูเรื่อง Hula Girls แทนตามที่แนะนำ ไม่ผิดหวังจริงๆ หนังเขาเขียนเรื่องได้ดีเนอะ แนะนำให้ไปดูนะครับ ส่วนเรื่องที่กำลังจะเข้าก็น่าดูที่เกี่ยวกับเมืองParis
แล้วอยากไปดูหมอตามที่ wu บอกด้วยว่าจะแม่นเหมือนที่คุยป่าว ถ้ามีเวลาลงมา กทม นะจะได้ไปดูหนัง และดื่มนมด้วยกัน อิ อิ

 

โดย: คนที่ฝันถึง Emmet IP: 203.146.239.195 2 กรกฎาคม 2550 9:35:25 น.  

 

อยากดู Memory of Matsuko เหมือนกัน แต่ยังไม่มีคนที่อยากไปดูกับเราเลย

เมื่อวานดูหนังไป 2 เรื่องครับ ในอารมณ์ summer สุดๆกับหนังขายความบันเทิง แบบไม่ต้องคิดอะไรมาก ได้แก่ Transformer และ Die Hard 4.0

สำหรับ Transformer ออกตัวไว้ก่อนเลยว่าไม่ใช่แฟนการ์ตูน ไม่ใช่แฟนไมเคิล เบย์ และไม่ใช่แฟนสปิลเบิร์ก เลยไม่ได้ถึงกับตั้งหน้าตั้งตารอคอย แต่จากตัวอย่างที่ตัดออกมาได้น่าตื่นตาตื่นใจ และเสียงวิจารณ์ในทางบวกมากๆจากอินเตอร์เน็ต ก็อดทำให้คาดหวังไม่ได้ ว่าหนังจะต้องออกมาดี

ปรากฏว่าแค่ออกมาพอใช้เท่านั้นครับ ความสนุก ตื่นเต้น ตื่นตาตื่นใจ การดีไซด์หุ่นยนต์ ลูกเล่นต่างๆ เทคนิคต่างๆ อยู่ในระดับ A ทุกอย่าง จะยกเว้นก็คือเรื่องของบทภาพยนต์ที่ยังเป็นปัญหาแม้แต่กับหนังฟอร์มยักษ์อย่างนี้

ปัญหานี้คือปัญหาเดียวกับหนังไมเคิล เบย์ทุกเรื่องเลยครับ กับการเน้นไปที่ฉากแอ็กชั่น ความตื่นตาตื่นใจ โดยใช้เทคนิคพิเศษมารองรับ (และโฆษณาแฝงสุดๆ)และความโฉ่ง แต่ขาดการวางน้ำหนักให้การเล่าเรื่อง ตัวละคร และความสมเหตุผล ดังนั้นหนังของเขาจึงมักออกมาแบบดูสนุก แต่ไม่มีอะไรตกค้าง หรือให้จดจำ

บทหนังแบ่งตัวละครเป็นกลุ่มๆก่อนเชื่อมเข้าหากัน (ซึ่งเคยพบมาแล้วในหนังอย่าง ID4, Deep impack อ้อ เรื่องหลังสปิลเบิร์กอำนวยการสร้างด้วย) แต่เรื่องนี้กลับไม่ลงตัว คนดูไม่ได้มีโอกาสรู้จัก หรือมีแง่มุมมุมอื่นๆของตัวละคร หรือถ้ามี จุดนั้นก็ไม่ได้รับการสานต่อ (เช่นบทเมีย และลูกของทหาร) ตัวละครหลายตัว กลายเป็นตัวละครที่ถูกทอดทิ้ง หรือทำท่าว่าจะมีอะไรหน่อยก็โดนเบรคด้วยมุขตลกที่มากเกินไป และผิดที่ผิดทาง (ปัญหาเดียวกับ Amagendon) นี่ยังไม่นับตัวละครฝั่งหุ่นยนต์ที่ก็มีหลายกลุ่ม หลายคาแรกเตอร์ แต่ก็ไม่สามารถสร้างความโดดเด่นได้ และพอคนดูไม่ผูกพัน ไม่เอาใจช่วย (นอกจากการอ้าปากค้าง) แถมบางครั้งยังสับสนว่าใครเป็นใคร (โดยเฉพาะหุ่นยนต์) แล้วจะเหลืออะไรให้ประทับใจ แม้ว่าหนังจะยัดคำพูดใส่ปากหุ่นยนต์โต้งๆ เรื่องมนุษยธรรม การเสียสละ ก็ดูเป็นส่วนเกินเสียมากกว่าจะซาบซึ้ง

ปล. แต่ต้องชมงานด้านภาพเทคนิคทำลายล้าง ที่พัฒนาขึ้นตามลำดับจาก Saving private Ryan และ War of the worlds ในที่นี้คือภาพที่สับสนเหมือนกับข่าวหรือสารคดี พร้อมกับเทคนิคพิเศษที่ยากจะมองเห็นรูปแบบ เหมือนกับไม่ต้องมีสตอรี่บอร์ด ซึ่งส่งผมด้านความสมจริงมาก และใน Transformer ฉากแบบนี้ก็ยาว จุใจ (แม้คุณภาพจะยังสู้ WOW ไม่ได้)

ส่วน Die Hard 4.0 นี่คืออีกครั้งหนึ่ง ที่อดรีนารีนของผมหลั่งขณะดูหนังอย่างเต็มที่ จนหลายๆฉากต้องร้องเชียร์ออกมาเต็มๆอย่างสะใจ และแทบจะลุกขึ้นเป่าปากให้หนัง เวลามีฉากโดนๆ และฉากแบบนี้ ก็มาอย่างต่อเนื่องเป็นระรอกเสียด้วยซิ

Die hard ภาคแรกคือการปฏิรูปหนังแอ็กชั่น ที่โม้ แต่จับต้องได้ ตัวละครที่ไม่ได้ดูเก่งกาจตั้งแต่แรกเห็น ผู้ร้ายที่มีรสนิยม ทำงานเป็นทีม แรงจูงใจที่เกิดคาดการณ์ ความสัมพันธ์ของพระเอกกับครอบครัว และคนแปลกหน้าที่กลายมาเป็นผู้ช่วยคนสำคัญ สบถมันส์ๆจากปากพระเอกและการเล่นกับสถานที่และเวลาจำกัด ทำให้กลายเป็นหนังขึ้นหิ้งเรื่องหนึ่ง ซึ่งภาค 2 ที่เดินตามรอยภาคแรกทุกอย่าง และทำให้มากเกินภาคแรกทุกอย่าง ก็ยังไม่ลงตัวกลมกล่อมเหมือนภาคแรก ทำให้คิดว่าอนาคตหนังน่าจะไปได้ไม่นานนัก จนถึงภาค 3 ที่ผู้สร้างตัดเงื่อนไขที่ให้เหตุการณ์อยู่ในสถานที่จำกัดออกไป และเพิ่มฉากวินาศสันตะโรมากขึ้น ทำให้ Die hard กลับมาเป็นหนังที่สนุก น่าติดตาม เป็นตัวของตัวเอง และทะลายกำแพงที่เป็นข้อจำกัดตัวเองออกไปได้อีกขั้นหนึ่ง (แม้ว่าเสียงการตอบรับจะยังก้ำกึ่ง แต่ส่วนตัวผมว่าภาค 3 สุดยอดมาก) จนน่าแปลกใจว่าทำไมหายไปนับ 10 ปี กว่าจอห์น แมคเครนจะกลับมาในครั้งนี้

ภาค 4 เดินตามรอยภาค 3 มาติดๆ กับเนื้อเรื่องที่อาจเป็นหนังเรื่องไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นหนังชุด Die hard และจอห์น แมคเครน แต่การที่หนังกลับไปใช้บริการของจอห์น ก็ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาในการปูพื้น ปูคาแรกเตอร์ และสามารถดึงมุขต่างๆมาเล่นได้ผลอย่างทันที แม้ว่าเรื่องราวอาจทำให้นึกถึงซีรีย์แบบ 24 มากกว่าจะนึกถึง Die hard ด้วยกันเอง (และตอนดู 24 ผมว่าคนไม่น้อยก็ต้องเชื่อว่าหนังได้รับอิทธิพลมาจาก Die hard)

ฉากโม้ ฉากแอ็กชั่น หนังเรื่องนี้ทำได้ถึงทุกอย่าง บวกกับตัวละครที่ไม่มีใครงี่เง่า หรือเป็นตัวอุปสรรค์ ตัดกีดขวาง ทำให้หนังไปข้างหน้าอย่างมีพลัง (ตอนแรกนึกว่าบทลูกสาวจะประมาณหนูคิมจาก 24 เสียอีก แต่ที่เห็นในหนังได้ใจมาก) คำพูดเด็ดๆ ปล่อยมาควบคู่กับฉากแอ็กชั่นอย่างไม่ยั้ง แผนการ และวิธีการของผู้ร้ายที่โม้ แต่ก็ดูมีเหตุผล และความเป็นไปได้ ทำให้รู้อยู่แก่ใจว่าเขาโม้ แต่ก็ยังดูสนุก ยอมรับได้ และยอมให้เขาหลอกอีกต่างหาก

หนังที่ดูมาในปีนี้ ตอนนี้ผมให้ Die Hard 4.0 มาเป็นอันดับหนึ่ง โดยเฉพาะในแง่ความสนุก ที่คงหาเรื่องอะไรมาล้มล้างยาก และทำให้รู้สึกว่าเราไม่ได้ผิดปกติ ที่ไม่ค่อยชอบหนังซัมเมอร์เรื่องอื่นๆเหมือนคนทั่วๆไปเลย (ได้แก่ Spidy3, Fantastic 4 และ Transformer)

 

โดย: wu IP: 202.12.97.115 2 กรกฎาคม 2550 11:08:25 น.  

 

ไปดูแฮรี่ พ็อตเตอร์ 5 มาแล้วครับ และแย่จังเลยครับ ที่ความรู้สึกของตัวเองบอกว่าผิดหวัง ทั้งที่ปกติ ก็ผิดหวังกับหนังชุดนี้มาตลอด ว่าทำสู้หนังสือไม่ได้เลย แต่ภาค 5 ซึ่งเป็นภาคที่หนังสืออ่อนที่สุด เลยคิดว่าหนังน่าจะทำให้ดีกว่าหนังสือได้ แต่หนังก็ยังทำไม่ได้อยู่ดี (แม้ว่าเทียบกับภาคก่อนๆ ผมยังยกให้ภาค 5 อยู่เหนือ 1 และ 2 ก็ตาม)

และที่เห็นแย้งกับความเห็นส่วนใหญ่ คือคนมักคิดว่าภาค 5 เป็นภาคที่ดัดแปลงยาก เพราะหนังสือหนาที่สุด แต่ผมขอเถียง เพราะมองเนื้อเรื่องจริงๆ นี่คือตอนที่มีความซับซ้อนน้อยที่สุด แก่นเรื่องชัดเจน แต่เต็มไปด้วยรายละเอียดหยุมหยิม ห่วงหน้าพะวงหลัง (เช่นการเอาตัวละครแทบทุกตัวที่เคยปรากฏในเล่ม 1-4 มามีบทในเรื่อง แม้แต่โผล่มาแว๊ปๆ ไม่ได้สำคัญกับโครงเรื่องหลัก) โดยจุดเด่นที่เป็นเรื่องความขัดแย้งในใจแฮรี่ และการก้าวสู่ความเป็นผู้ใหญ่ (ซึ่งมีฉากแอ็กชั่นประกอบค่อนข้างน้อย) ในหนังสือก็ยังพอจับต้องได้ แต่ในหนังเนื้อหาส่วนนี้กลับจมหายไปเลย

หนังเรื่องนี้ ทำมาสำหรับคนดูไม่ใช่เฉพาะคนที่เคยอ่านหนังสือมาก่อนเท่านั้น แต่ต้องรวมไปถึงคนที่เคยดูหนังภาคก่อนๆมาแล้วด้วย เพราะหนังไม่เสียเวลากับการแนะนำตัวละคร ปูพื้นตัวละคร มาถึงก็ใส่เลย โดยไม่ต้องเกริ่นอะไร (โดยคาดว่าคนดูจะรู้อยู่แล้ว) ซึ่งในฐานะหนังเรื่องหนึ่ง มันเริ่มต้นผิดตั้งแต่แรก จากนั้นก็เริ่มเดินเรื่องตามหนังสือ โดยไม่ต้องบอก หรืออธิบายใดๆทั้งสิ้น แม้แต่ตรงที่เป็นแกนหลักของเรื่อง คือความกดดันของแฮรี่

ความรู้สึกถูกทอดทิ้ง โดดเดี่ยว ถูกเปรียบเทียบกับเพื่อนที่ดูเหมือนด้อยกว่ามาตลอดอย่างรอน ความหมางเมินจากดัมเบิลดอร์ ความฉุนเฉียว มุทะลุ ความกลัว หนังนำเสนออย่างผ่านๆ ทำให้ตัวละครแฮรี่ไม่มีชีวิตชีวา(ตามเคย) การเกิดขึ้นของ Order of phenix และ DA ซึ่งเหมือนกับกบฏรุ่นใหญ่ และรุ่นเล็ก ก็ไม่ได้สร้างความรู้สึกฮึกเหิม เอาใจช่วย เพราะหนังแตะเรื่องอารมณ์เพียงแค่ผ่านๆเท่านั้น ซึ่งน่าเสียดาย สำหรับโครงเรื่องที่เปิดให้เล่นกับอารมณ์อย่างเต็มที่ (ซึ่งก่อนหน้านี้ คือโครงเรื่องที่เปิดให้เล่นกับเนื้อเรื่องมากกว่า)

และที่น่าเสียดาย คือรายชื่อดารานักแสดงฝีมือดีมากมาย ที่โผล่มาแค่คนและแว๊บ สองแว๊บ โดยไม่มีอะไรให้น่าจดจำเลย (ไม่ต้องพูดถึงดาราที่เกิดกับหนังชุดนี้ ที่ยิ่งไม่มีอะไรให้ทำยิ่งกว่า นอกจากโผล่หน้ามาให้เห็นว่ายังอยู่นะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โชแชง ซึ่งภาคนี้มีอะไรให้เล่นมากที่สุดแล้ว ทั้งความเป็นผู้ยิ้ง ผู้หญิง แสนงอน เอาแต่ใจ สุดท้ายออกมาเป็นแค่บทแห้งๆ ไม่มีอะไรเลย) คนที่พอเอาตัวรอดไปได้บ้างคืออัมบริจด์ ซึ่งป้าแกลอยหน้าลอยตาได้น่าหมั่นไส้ดี และเบลาทริกซ์ ที่อาศัยความบ้าพลัง มาทำให้ดูโดดเด่นขึ้นเล็กน้อย (เฮเลน่า เล่นได้เกินค่าตัวมากๆ)

จุดดี คือการที่หนังตัดเหตุการณ์ปลีกย่อยออก หรือตีความใหม่ได้น่าสนใจ เช่นการสอนวิชาสะกดใจของสเนป ที่ดูเข้าใจง่าย สื่อสิ่งที่หนังจะบอกได้ตรงประเด็น โดยรายละเอียดต่างจากหนังสือมากๆ (อยากให้หนังทั้งเรื่องเป็นแบบนี้จัง) การเล่าเรื่องผ่านหนังสือเดลี่โพรเฟด (กระชับเวลาได้เยอะ แต่มันแค่การเล่าเรื่อง ไม่ส่งผลกระทบกับแฮรี่เท่าหนังสือ) หรือการตัดฉากหลายๆฉากให้ต่อเนื่องเป็นฉากเดียวกัน (ฉากอัมบริดจ์เดินไป แล้วใช้เวทย์มนต์ใส่พวกนักเรียน สลับกับคำสั่งที่ถูกตอกลงผนัง และการประเมินการเรียนการสอนของอาจารย์) การให้โชเป็นคนทรยศ (ไหนๆบทเธอก็หมดความสำคัญแล้ว จะได้ไม่ต้องแนะนำตัวละครเพิ่มอีกตัว) และฉากแฟลชแบ็คของแฮรี่ตอนจบ (สะเทือนใจนิดนึง แต่เทียบไม่ได้กับในหนังสือเลย)

จบเรื่องแฮรี่ ดีกว่า

ข่าวดี อาทิตย์หน้ามีหนังที่เป็นการคืนจอของมิเชล ไฟฟ์เฟอร์ในฐานะนางเอกเต็มๆตัว หนังจากหายหน้าหายตาไปร่วม 5 ปี กับ I could never be your woman ของผู้กำกับ clueless นี่เป็นหนึ่งในหนังที่ผมตั้งตาคอยสำหรับหนังปีนี้ แต่นึกไม่ถึงว่าจะลงโรงเร็วขนาดนี้ และเป็นบทนำด้วย สงสัยต้องหาเรื่องลงไปดูกรุงเทพ เพราะต่างจังหวัดไม่น่าเข้า อ้อ แล้วปีนี้เรายังจะได้พบมิเชลในบทสมทบอีก 2 เรื่องใน Hairspray และ Stardust ดีใจจังเลย เธอกลับมาแล้ว

 

โดย: wu IP: 202.12.97.115 13 กรกฎาคม 2550 9:37:36 น.  

 

อ่านจบแล้ว Harry Potter 7 ความรู้สึกคือ เฮ้อ จบแล้วเหรอ ผสมกับ เฮ้อ จบสักที แต่จากสองเล่มหลัง ซึ่งใช้เทคนิคเดียวกัน คือเคลียร์ทุกอย่างให้ว่าง แล้วก็ลงมืออ่านอย่างเดียว โดยตัดขาดตัวเองจากโลกภายนอก โดยเฉพาะอินเตอร์เน็ต เนื่องจากเกิดโรคกลัวการสปอยด์ที่เคยได้รับเชื้อมาตอนเล่ม 5 ก็ถือว่าตัวเองรอดปลอดภัยมาได้ แล้วก็รู้สักที ว่าไอ้ฟิคที่ผมเคยแต่งกับเล่มเจ็ด มันเหมือนของจริงไม่ถึง 10 % เลย ฮ่า ฮ่า

ความรู้สึกหลังอ่านจบ คือสนุกมาก ฉากแอ็กชั่นต่างๆมีมาอย่างต่อเนื่อง และน่าตื่นตาตื่นใจ โดยเฉพาะถ้าทำเป็นหนัง น่าจะมันส์ และสนุกกว่าทุกภาค (โดยดาราที่ต้องจับตามองล่วงหน้า ได้แก่เฮเลน่า บอร์แฮม คาร์เตอร์ และแม็กกี้ สมิท ซึ่งมีโอกาสได้แสดงบทมันส์ๆ ส่วนน้องแฮรี่ แค่ฉากแอ็กชั่นฉากแรก ก็น่าจะได้เล่นอะไรมากกว่าที่เคยเล่นมาแล้ว 6 ภาคด้วยซ้ำ) แต่พอถึงตอนที่เริ่มอธิบายเหตุผล รู้สึกว่าเจเคคราวนี้อาศัยลูกมั่วค่อนข้างเยอะกว่าทุกๆภาค (ซึ่งจริงๆก็มั่ว และมีทฤษฏีแปลกๆทุกภาค แต่อาศัยการปูเรื่องให้เรายอมรับในทฤษฏีนั้นก่อน พอเอามาใช้เป็นจุดหักเห หรืออธิบายเรื่องราว ก็ไม่รู้สึกขัดเขิน แต่ภาคนี้พอเริ่มอธิบายก็ได้แต่อ้าปากค้างว่าเหรอ ไม่บอกไม่รู้นะเนี่ย อะไรทำนองนี้) แล้วก็รู้สึกว่าเรื่องราวมีเหตุบังเอิญ หรือโชคช่วยค่อนข้างเยอะ ประมาณว่าอยู่ๆก็ได้คำตอบ หรือได้คำใบ้ หรือทำให้ไปต่อได้ โดยตัวละครไม่ต้องทุนลงแรงอะไรเท่าไร

ถ้าเรียงลำดับความชอบ 3>4>1>2>7>6>5 ครับ

ต่อไปจะเริ่มสปอยด์แล้ว

##### Spoiler alert########

1. คนตายเป็นเบือ แต่ไม่ค่อยมีคนตายที่เป็นจุดหักเห สำคัญกับเนื้อเรื่อง หรือสร้างความสะเทือนใจเท่าไร นอกจากคนที่เป็นแฟนของตัวละครนั้นๆ (หลายๆคนคงเศร้ากับการตายของเฟร็ด แต่มันไม่ได้ส่งผลกับการเดินเรื่องใดๆเลย) หลายๆตัวตายแบบไม่มีปี่ ไม่มีขลุ่ย (มู๊ดดี้ ลูปิน ทองส์ โคลิน เฮ็ดวิค แคร็ป อ้อ รวมถึงเฟร็ดด้วย) ที่สร้างความสะเทือนใจที่สุด ก็เห็นจะมีแค่ด็อบบี้ กับสเนปเท่านั้น แต่ก็อ่ะนะ ด็อบบี้ก็ไม่ใช่ตัวละครหลักอะไร ส่วนสเนปกว่า 90 % ของคนอ่าน ก็คิดอยู่แล้วว่าจะต้องตายประมาณนี้แหละ

2. โวลเดอร์มอร์โง่เกินกว่าที่จะเป็นผู้ร้ายคิดการใหญ่ให้พ่อมดครองโลก เกือบทั้งเรื่องเสียเวลากับการตามล่าไม้กายสิทธิ์ที่ไม่รู้วิธีใช้อย่างถูกต้องด้วยซ้ำ (แต่ก็ว่าไม่ได้ เพราะป้าเจเคแกเล่นมาเฉลยตอนท้ายว่าไม้ใช้ยังไง ซึ่งที่ลอร์ดคิด และคนอ่านคิด มันผิด!!) พอเริ่มรู้ตัวว่าแฮรี่จะทำอะไร เขาก็ทำเกือบเสร็จหมดแล้ว (เหลือนิดเดียวให้มีฉากแอ็กชั่นท้ายเรื่อง) โดยไม่มีการเฉลียวใจอะไรสักนิด แถมยังงงงงว่าแฮรี่รู้เรื่องราวต่างๆได้ยังไง ยังไม่นับเรื่องโดนสอดแนมมาทั้งเรื่อง โดยไม่รู้ตัวอะไรเลย ทั้งที่เขาน่ะมาสอดแนมในหัวตัวเองแท้ๆ โง้ โง่

3. เฮอร์ไมโอนี่เก่งกาจสามารถเฉลียวฉลาดรอบรู้มาก จนร่ำๆ นึกว่าหนังสือชื่อเฮอร์ไมโอนี่ แกรนเจอร์ กับ Deadly Hallows และเหมือนป้าเจเค กลัวคนอื่นๆจะเด่นเกินหน้าเกินตา เลยกดบทของจินนี่ ลูน่า และนักเรียนหญิงอื่นๆจนแทบไม่มีบทบาทใดๆเลย (ส่วนผู้ชายเนวิลล์ก็โดนกดเหมือนกัน) โอเค เรื่องอาจไม่ได้เดินเรื่องหลักในฮ็อกวอร์ต แต่ให้ตัวละครอื่นมีบทบ้าง ป้าทำได้อยู่แล้ว แต่พอช่วงหลังๆเหมือนป้าสำนึกผิด ไถ่บาปโดยการให้นักเรียนคนอื่นมีบทมากขึ้น แต่ก็อยากถามป้าว่าเฮอร์กับรอนทำผิดอะไรเหรอ ตอนหลังจึงแทบไม่เหลือบทอะไรเลย (พูดภาษาวิจารณ์หนังคือการกระจายบทยังไม่ดี)

4. ดัมเบิลดอร์ขนาดตายไปแล้วยังน่าเบื่อมาก ตอนแรกที่มีการขุดคุ้ยประวัติ ก็น่าติดตามดี แต่พอขุดไปมีแต่น้ำ และโดนเล่าซ้ำกันไปซ้ำกันมา 3-4 รอบ และแต่ละรอบก็ไม่ได้มีอะไรใหม่ หรือต้องเหวอ หักมุมอะไร ที่สำคัญมีความสำคัญกับโครงเรื่องหลักน้อยมากๆ แล้วตอนเฉลย ก็ยังพูดอ้ำอึ้ง อ้อมไปอ้อมมาเหมือนกับทุกๆภาค แต่ภาคก่อนๆก็ยังพอเข้าใจว่าพูดอะร มาภาคนี้ งงมาก

5. หลายๆอย่างปูพื้นเหมือนกับสำคัญ แต่ก็ไม่เฉลย หรือพูดถึงต่อ เช่นทำไมโวลเดอร์มอร์บินได้ ทำไมบิลต้องเตือนแฮรี่ให้ระวังเรื่องทำสัญญากับก็อบบิล แล้วมันเอาดาบไป แล้วเป็นไงต่อ เรื่องลูปินมาขอร่วมทีมกับแฮรี่แล้วทะเลาะกันก็นึกว่าน่าจะมีเหตุการณ์ต่อเนื่อง เรื่องจดหมายของลิลี่ที่พบหน้าเดียว (โอเค เฉลยแล้วอาจสะเทือนใจเล็กๆ แต่ตอนอ่านนึกว่ามันน่าจะมีความสำคัญกว่านี้) หรือฮอร์ครักซ์แต่ละชิ้นที่ทำลายแล้ว ก็แล้วไป ซึ่งมันต่ำกว่ามารตฐานการผูกเรื่องของเจเคมากๆ (โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเล่ม 4 ที่มีภาระกิจต่างๆ ที่เหมือนกับเสร็จแล้วก็ผ่านไป แต่ตอนจบมาเฉลยว่าแต่ละภาระกิจมันสำคัญ ผูกกัน เกี่ยวเนื่องกันยังไงบ้าง ซึ่งตอนอ่านจะยังนึไม่ถึงตั้งแต่แรก)

6. สิ่งที่ตัวเองชื่นชมเจเคมาตลอด คือการตั้งชื่อตอน ตั้งชื่อบท แบบแค่อ่านชื่อบทต่างๆ ก็ตื่นเต้น ลุ้นอะไรได้มากมายแล้ว เล่มนี้ชื่อบทก็ยังน่าตื่นเต้น แต่ปรากฏว่ามันไม่ได้เข้ากับเนื้อหา หรือสาระสำคัญอะไรกับเรื่องราว หรือบทนั้นๆด้วยซ้ำ หลายๆตอนเหมือนกับตั้งไปงั้นๆ เช่นชื่อบทบ้านเปลือกหอย คิงส์ครอส หรือไอ้ตัวประหลาดในชุดนอนอะไรนั่น นึกว่าจะมีอะไรมากกว่านี้

7.ฉากจบน้ำเน่ามากจนละครช่อง 7 อาย แถมยังเป็นการจบแบบปิดกั้นจินตนาการ โดยการให้บทสรุปของตัวละครอย่างชัดเจน ซึ่งไม่น่าเลย สำหรับหนังสือที่เปิดประตูจินตนาการมาตลอดทั้ง 7 เล่มอย่างนี้ (บางคนอาจบอกรุ่นลูกไง ก็จินตนาการต่อไปซิ ครับ มันจินตนาการได้ แต่มันไม่ใช่แฮรี่ พ็อตเตอร์อีกต่อไป)

หุหุ อ่านๆดูเหมือนจะไม่ชอบเลย เปล่าครับ ชอบมาก อ่านสนุก ไม่มีช่วงน่าเบื่อ บางตอนก็ชอบมากๆ เช่นตอน Seven Potters ที่ทั้งตลก ทั้งตื่นเต้น ทั้งอยากเห็นฉากนี้เป็นหนังเร็วๆ หรือฉากที่เฮอร์ปลอมตัวเป็นเบลาทริกซ์ก็สนุกมาก ฉากสู้รบตอนท้ายก็ดูยิ่งใหญ่อลังการณ์ แถมยังมีตัวละครที่ได้ใจไปหลายตัว (โดยเฉพาะแมกกอลนากัล กับมอลลี่) ฉากสเนปตายก็เศร้า (โดยเฉพาะการขอมองตาแฮรี่ก่อนตาย เพราะแฮรี่ได้ตาจากแม่ ซึ้ง) แต่บางอย่างมันก็ต้องตินิดนึง

ปล. มีใครได้กลิ่น Y ตุตุไหมครับ งานนี้ผมสงสัยดัมเบิลดอร์กับกรันเดอวาลจริงๆ

 

โดย: wu IP: 202.12.97.115 23 กรกฎาคม 2550 20:16:49 น.  

 

โทษทีนะครับมาผิดกาละเทสะไปหน่อยแต่เห็นโพสต์ในพันธ์ทิพย์เรื่องเหล็กดันช่วยบอกชื่อร้านแล้วโทรที่ suj_ohh@yahoo.com ด้วยครับ

 

โดย: กรรมบัลดาล IP: 115.67.7.145 7 พฤษภาคม 2552 17:42:46 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


I'm wu
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add I'm wu's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.