มีนาคม 2553

 
1
2
3
4
6
7
8
10
11
12
13
14
15
16
17
18
20
21
22
26
27
28
29
 
 
Paradigm shift : แด่แว่นตาสีชมพูอันนั้น





ย้อนไปเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว

ตอนนั้นเป็นช่วงที่ผมกำลัง "ยืด" ที่สุดในชีวิต
เพราะ ผมเพิ่ง Ent ติดคณะที่ว่ากันว่าสอบเข้ายากที่สุดคณะหนึ่งในประเทศไทย

เมื่อผมได้เข้ามาเรียนในคณะนี้ ผมก็ได้พบกับความจริงที่ว่า เพื่อนๆที่สอบเข้ามาได้ทุกคนนี่เป็นคนเก่งจริงๆ และ เป็นคนเก่งที่มีหลากหลายประเภทมาก เกิดมาผมไม่เคยต้องมาอยู่ท่ามกลางคนเก่งมากๆขนาดนี้มาก่อน เล่นเอาผมหวาดหวั่นจนประสาทเสียไปพักใหญ่ เหมือนตอนที่อลิซที่ตกลงไปในโพรงกระต่ายแล้วได้พบดินแดนมหัศจรรย์ยังไงยังงั้น

บางคนก็เรียนเก่งทุกวิชา บางคนก็เก่งแต่วิชาคำนวณ บางคนก็เก่งแต่วิชาความจำ บางคนก็ความจำดีชนิดอ่านรอบเดียวก็จำได้ทุกตัวอักษรแบบเครื่องถ่ายเอกสารยังไงยังงั้น

บางคนก็เอาแต่เรียนอย่างเดียว อย่างอื่นไม่สน
แต่บางคนก็เก่งมันซะทุกอย่าง ทั้งเรื่องเรียน ดนตรี กีฬา กิจกรรมทั้งหลายมันก็เหมาทำหมด และ ก็ได้ดีทุกอย่าง

เทคนิคการเรียนแต่ละคนก็ช่างแตกต่างกัน บางคนใช้วิธีอึดมันเข้าว่า อ่านหนังสือมันเข้าไปเยอะๆทั้งวันทั้งคืน บางคนก็เป็นเจ้าแม่ lectureจดมันทุกตัวอักษร บางคนเน้นทำข้อสอบเก่าอย่างเดียว บางคนก็จ้องแต่จะหาโพย บางคนก็จับกลุ่มติวกันบ่อยๆ

และ ในบรรดาคนเก่งๆรุ่นผม ก็มีหลายคนที่ผมว่าบุคลิกเค้าดูแปลกๆชอบกล บางคนก็ดูตาขวางๆ เหม่อลอยเหมือนคนติดยา บางคนก็จะเก๊กขรึมอยู่นั่นล่ะ บางคนก็ชอบทำเท่ห์ทุกครั้งที่สบโอกาส (แต่มักจะโดนเพื่อนๆแอบสมเพชเวทนาบ่อยๆ) บางคนก็พูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง ไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย บางคนก็พูดน้ำไหลไฟดับทั้งๆที่ไม่มีใครสนใจฟัง บางคนที่ดูแปลกมากๆ อาจจะโดนข้อหาว่า "เพี้ยน"ไปเลยก็มี

มันก็จริงอย่างที่เขาว่า อัจฉริยะกับคนบ้านี่มันมีแค่เส้นแบ่งบางๆนิดเดียวคั่นอยู่







มีอยู่วันหนึ่ง ผมกำลังนั่งคุยกับเพื่อนๆ ผมก็ได้ยินใครคนนึงเอ่ยประโยคนี้ขึ้นมา

"ป้อมครับ...ป้อมรู้มั้ยครับว่า รามคำแหง เป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของโลก"

"หา...อะไรนะครับ"

ได้ยินครั้งแรก ผมถึงกับเหวอไปเลย และ ผมนึกว่าผมหูฝาดฟังผิดไป แต่เค้าคนนั้นก็ยังยืนยันว่าเขาพูดไม่ผิดหรอก เขาหมายความตามนั้นจริงๆ

มันจะเป็นไปได้ไงครับ คุณๆก็คงสงสัยเหมือนเช่นผมใช่มั้ยครับ ตอนแรกผมก็นึกว่าผมได้เจอคน"เพี้ยนๆ"อีกแล้ว

แต่หลังจากที่ผมฟังเขาอธิบายแล้ว ผมก็เปลี่ยนความคิดเสียใหม่ และ นึกขอบคุณเพื่อนผมคนนี้มากๆเลย จนกระทั่งบัดนี้ ผมก็ยังรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณเพื่อนผมคนนี้อยู่เสมอ

เพื่อนผมคนนี้ ผมเรียกเขาว่า "พี่หนุ่ม" ครับ

ประวัติชองพี่หนุ่มนี่โลดโผนมากครับ เพราะ แก"ซิ่ว"มา และ ไม่ใช่ครั้งเดียว แต่แกเปลี่ยนมหาลัยมาครั้งนี้เป็นมหาลัยที่สี่เข้าไปแล้ว

เริ่มต้นแกก็เป็นเด็กนักเรียน ม.ปลายเตรียมอุดมที่เลือก Ent เข้าคณะวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ จุฬา ซึ่งเป็นสาขาที่แกสนใจมากเป็นพิเศษ แต่เรียนๆไปปีนึงแกชักเบื่อๆ ก็เลยสอบEntใหม่ ได้คณะแพทย์ รามา คราวนี้แกก็กะตั้งใจเรียนให้จบมาเป็นหมอ แต่ดันมีปัญหาสุขภาพ ไม่สบายหนักจนต้องขาดเรียนแทบทั้งเทอม ระหว่างที่แกไม่สบายแกเริ่มหันมาสนใจเกี่ยวกับเรื่องปรัชญา แกเลยไปลงเรียนปรัชญาที่รามคำแหง และ ที่นี่เองที่แกบอกว่า แกเจอมหาลัยในฝันของแกแล้ว

เมื่อพี่หนุ่มเริ่มหายป่วย แกก็Entใหม่อีกที คราวนี้ได้แพทย์ จุฬา ซึ่งครั้งนี้แกไม่ได้ไปสอบเข้าที่ไหนอีก สามารถเรียนจนจบเป็นหมออย่างที่ได้ตั้งใจไว้ และ ตอนนี้เพื่อนผมคนนี้ได้เป็นหมอผ่าตัดโรคหัวใจมือหนึ่งของภาคตะวันออกไปแล้ว

ทีนี้มาถึงเรื่องเหตุผลที่ว่าทำไมแกถึงได้บอกผมว่า รามคำแหงเป็นมหาลัยที่ดีที่สุดในโลก แกบอกผมอย่างนี้ครับ








แกสมมติว่า หากทุกคนในโลกนี้ สวม"แว่นตาสีชมพู" (ทำไมต้องสีชมพูด้วย) กันหมดทุกคน สิ่งที่พวกเราทุกคนเห็นก็จะเป็นสีชมพูหมดใช่มั้ยครับ แต่วันดีคืนดีเกิดมีใครดันทะลึ่งสามารถถอดแว่นนี้ออกมา และ พบว่าโลกของเรานี้ช่างแสนสดสวยงดงาม มีสรรพสีมากมายหลายเฉดสี และ เที่ยวไปเล่าให้ใครต่อใครฟัง จะเกิดอะไรขึ้น????

ครับ ไม่ต้องบอกก็คงจะเดาได้นะครับว่า ทุกคนคงเห็นว่าไอ้หมอนี่ถ้าจะบ้า!!!!! มันมีแต่สีชมพูทั้งนั้น และ ทุกคนก็ไม่มีใครที่จะสามารถจินตนาการออกว่าสีอื่นๆน่ะมันเป็นยังไง

แต่ถ้าเขาคนนั้นสามารถถอดแว่นให้คนอื่นๆได้ คนเหล่านั้นก็จะเห็นเหมือนที่เขาเห็นเช่นเดียวกันว่าโลกมันมีหลายสี

การที่เราใส่แว่นตาสีขมพู แล้วเห็นโลกเป็นสีชมพู แล้วทึกทักเอาว่าความจริงมันเป็นเช่นนั้น มันเป็นสิ่งที่ผิดไหม

และ ถามว่าที่เขาถอดแว่นออก แล้วเห็นโลกหลากสีเป็นความจริงมากกว่าใช่ไหม

คำตอบคือ ไม่ใช่ครับ!!!!!!!







คนเราจะสามารถรับรู้"ความจริง"ได้ในขอบเขตที่จำกัด ขึ้นอยู่กับ"แว่นตา"ที่เราสวมอยู่ หากเราสามารถถอดแว่นอันนั้นออกมาได้ เราก็จะพบ"ความจริง" อีกอย่าง แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเราได้ถอด"แว่นตา"ออกมาทั้งหมดแล้ว ไอ้ที่เราเห็นหลายๆสี จริงๆแล้วเราก็อาจจะมี"แว่นตาหลากสี"สวมอยู่อีกชั้นก็เป็นได้ จริงๆแล้วเบื้องหน้าเรามันอาจจะไม่มีสีใดสีหนึ่งเลยก็ได้

ดังนั้น การที่เราไปตัดสินอะไรใครด้วยการใช้ "แว่นตา"ของเราเอง อาจจะไม่ตรงกับ"ความจริง"ของคนอื่นเขาก็เป็นได้ เพราะ เขาก็มี"แว่นตา"ของเขาเองเช่นกัน

พี่หนุ่มเห็นผมอึ้งไป แกก็เลยบอกว่าปรัชญาอันนี้แกได้มาตอนที่เรียนรามนั่นแหล่ะครับ เป็นปรัชญาของ Immanuel Kant นักวิพากษ์ปรัชญาชื่อดังชาวเยอรมัน

แกยังบอกอีกว่าสมัยที่แกเรียนรามแกรู้สึกมีความสุขในการเรียนรู้มาก เพราะ เป็นการเรียนรู้ที่เป็นอิสระสุดๆ ไม่มีกรอบ ไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ มาขวางกั้นการเรียนรู้ของแกเหมือนในมหาลัยปิดอื่นๆที่คนมักแย่งกันเข้าเรียน แกได้พบกับแหล่งความรู้อันมากมายมหาศาลที่นั่น ได้สนทนากับผู้รู้ ได้ถกปรัชญาแบบ free thinking ได้อ่านหนังสือดีๆที่แกไม่เคยพบมาก่อนจากที่นั่น

ใน"สายตา"ของแก รามคำแหงจึงเป็นมหาลัยที่ดีที่สุดในโลกไงครับ

มาถึงตอนนี้ แม้เหตุผลของแกจะดูแปลกๆไปบ้าง แต่ผมก็เริ่มค้นพบอะไรใหม่ๆที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน และ เริ่มพอจะเข้าใจในสิ่งทีแกเล่ามาแล้ว โดยเฉพาะเรื่อง "แว่นตาสีชมพู" อันนั้น







คืองี้ครับ การที่มนุษย์เราจะรับรู้ เห็น และ เข้าใจสิ่งต่างๆในลักษณะใดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับ "แว่นตา" ที่เราใส่ ถ้าเราใส่สีเหลือง โลกที่เรามองเห็นมันก็เหลืองอ๋อยไปหมด แต่ถ้าเราใส่สีแดง มันก็เป็นสีแดงเถือกทั้งนั้น (เข้ากับสถานการณ์ตอนนี้มากเลยครับ)

ซึ่งแว่นตาอันนี้แหล่ะ คือ สิ่งที่เราเรียกว่า "Paradigm"

Paradigm แปลง่ายๆว่า การรับรู้ การเข้าใจ ความเป็นไปของโลก ซึ่งเราเข้าใจ และ ตีความแตกต่างกันไปตามแต่ช่วงอายุ ประสบการณ์ อาชีพ หรือ วัฒนธรรมที่หลากหลาย

ยกตัวอย่างเช่น เรื่องการสาดเลือดตามสถานที่ต่างๆ ของผู้ชุมนุมไม่กี่วันที่ผ่านมา (แหม!!! ทันสมัยเปี๊ยบเลย)

หากผมเป็นทนาย ผมก็จะมองไปที่ตัวบทกฎหมายว่า การทำเช่นนั้นมันผิดตามมาตราไหนบ้างหรือเปล่า

หากผมเป็นหมอ ผมจะมองว่ามันมีโอกาสเป็นอันตรายกับผู้ชุมนุมและผู้เกี่ยวข้องหรือเปล่า จะมีการติดเชื้อปนเปื้อนมากน้อยแค่ไหน และ เสียดายเลือดที่น่าจะไปเข้าคลังเลือดเพื่อผู้ป่วยได้พอสมควร

หากผมเป็นนักเศรษฐศาสตร์ ผมจะมองไปที่ความจำกัดของทรัพยากร ซึ่งเลือดที่เสียไปจะให้ผลตอบแทนกลับมาคุ้มค่าหรือไม่






ถ้าเราต้องการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง สิ่งที่ยากที่สุดก็คือ การเปลี่ยนแปลง"แว่นตา"ในการมองโลกเสียใหม่ ที่เราเรียกกันว่า "Paradigm shift"นั่นแหล่ะครับ

ตัวอย่าง Paradigm shift ที่ชัดๆในวงการวิทยาศาสตร์ เช่น
Copernicus ที่บอกว่า ดวงอาทิตย์ต่างหากที่เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ ไม่ใช่โลกตามความเชื่อแต่เดิมของอริสโตเติล

ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ ที่เปลี่ยนแปลงความคิดของหลายๆคนที่ว่า เนื่องจากความเร็วของแสงคงที่เสมอ และ ไม่มีอะไรที่เร็วกว่าแสง หากวัตถุมีความเร็วใกล้ความเร็วแสง เราก็จะพบว่า เวลาไม่ใช่สิ่งตายตัวคงที่ แต่มันมีการยืดหดได้!!!!!!




ในเรื่องการเรียนรู้ของเด็กก็เช่นกัน ผมอยากให้เกิด Paradigm shift ที่ว่า การเรียนรู้ของเด็กไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นที่โรงเรียน แต่เด็กสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ พ่อแม่ก็สามารถเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ดีของเด็กได้โดยไม่ต้องคอยจ้องแต่จะพึ่งครูตลอด ทั้งที่ รร. และ รร.กวดวิชา

แต่ Paradigm shift มันก็เหมือนการปอกเปลือกหัวหอมนั่นแหล่ะครับ กว่าที่เราจะลอกเปลือกของหัวหอมออกทีละชั้นๆจนถึงแกนกลางของมันได้ ก็มักต้องเสียน้ำตาไปมากโข

การจะเปลี่ยนแปลงอะไรซักอย่าง ก็มักจะมีแรงเสียดทานเสมอ และ สิ่งที่เราต้องทำเป็นอันดับแรก คือ การทลายกำแพงของความเคยชินเสียก่อน ซึ่งต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวด แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะสูงค่าตามไปด้วยเช่นกัน

จำไว้ครับว่า ไม่มีอะไรที่จะได้มาโดยง่าย แต่ก็ไม่มีอะไรที่ยากเกินความตั้งใจจริงของมนุษย์เราได้หรอกครับ

ดังนั้น เรามาถอดแว่นตาสีชมพูกันเถิดครับ







Create Date : 19 มีนาคม 2553
Last Update : 19 มีนาคม 2553 22:17:24 น.
Counter : 2214 Pageviews.

9 comments
  
คุณหมอคะ น้อมรับจริงจริง

เป็นบทความ ที่อยากเอาลงหนังสือพิมพ์ หน้าหนึ่งไทยรัฐ มากมาก

(แต่บ้านคุณหมอ จะโดนระเบิด จาก รร กวดวิชา หรือเปล่า ล่ะเนี่ย )

กำลังพยายาม อยู่ค่า บอกได้เลยว่า ส่วนหนึ่ง ของการสอนลูกเอง ได้แรงบันดาลใจ มาจาก บล๊อกของคุณหมอ ค่า
โดย: mnpinpin (mnpinpin.multiply.com) IP: 203.144.144.164 วันที่: 19 มีนาคม 2553 เวลา:19:58:36 น.
  
โดย: จีนี่ในกระจกแก้ว วันที่: 19 มีนาคม 2553 เวลา:20:36:52 น.
  
สวัสดีค่ะ

เข้ากับสถานการณ์ แดงๆ เหลืองๆ เลยนะค่ะ

โดย: ปลายดินสอ วันที่: 20 มีนาคม 2553 เวลา:11:42:38 น.
  
ขอบคุณคุณหมอที่แวะไปเยี่ยมที่บ้านนะคะ

แว่นตาสีชมพู เกิดจากเราไม่เคยเห็นโลกตามความเป็นจริงเลยน่ะค่ะ ..

ถ้าเรามองโลกในแง่ดี เราก็มีความสุข แต่ถ้าเราเห็นโลกตามความเป็นจริงเราก็พ้นทุกข์ เท่านั้นเองค่ะ...
ลองอ่านพระสูตรดูเล่นๆนะคะ ศาสนาพุทธแท้ๆนี่มีอะไรที่... น่าศึกษาค่ะ ลองดูค่ะ

//84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=18&A=7768&Z=7822

//84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=18&i=589
โดย: nookjung IP: 203.144.144.164 วันที่: 21 มีนาคม 2553 เวลา:17:54:53 น.
  
absolutely agree ค่ะ
.
.
บางที เราก็อาจต้องเปลี่ยนแว่นบ่อยๆ เหมือนกันนะค้า
ให้เป็น "สีแว่น" สีเดียวกับคนที่เราคุยด้วย จะได้คุยรู้เรื่อง

กลับบ้าน แล้วค่อยกลับมาใส่ แว่นสีเดิมที่เราคุ้นเคย
โดย: หนึ่ง IP: 10.5.5.11, 203.99.253.13 วันที่: 5 เมษายน 2553 เวลา:13:26:39 น.
  
พูดเรื่องการใส่แว่นสี เด็กๆสมัยนี้อาจไม่ค่อยget
เพราะ เดี๋ยวนี้ เขาใส่contact lens แบบสารพัดสีกันแล้วครับ



ป.ล.อยากไปเดินชอปปิ้งแถว central world แต่ไม่อยากเล่นกีฬาสี
โดย: ฉิกซิงแซ วันที่: 6 เมษายน 2553 เวลา:11:15:28 น.
  
บทความดีจังค่ะ
โดย: ไผ่ IP: 202.28.78.139 วันที่: 18 เมษายน 2553 เวลา:11:56:31 น.
  
บทความดีมากค่ะ กำลังเรียนเรื่องนี้อยู่พอดีเลยค่ะ
อ่านแล้วช่วยให้เข้าใจได้ขึ้นเยอะเลยค่ะ
ขอบคุณนะคะที่แบ่งปัน
โดย: เด็ก ป โท IP: 95.175.155.108 วันที่: 31 มกราคม 2554 เวลา:8:04:34 น.
  
อธิบายได้เข้าใจง่ายดีครับ ขอบคุณที่แชร์ครับคุณหมอ
โดย: champpy IP: 118.174.199.119 วันที่: 31 มกราคม 2557 เวลา:13:54:07 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฉิกซิงแซ
Location :
นครศรีธรรมราช  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]



เกิดและโตที่กรุงเทพ
เป็นศิษย์เก่าร.ร.ใกล้บ้าน คือ วัดสุทธิ
จับพลัดจับผลู สอบติดหมอจุฬา แบบงงๆ
แล้วมาต่อเฉพาะทางด้านเด็กที่ มอ. หาดใหญ่

บังเอิญมาเจอ"จอม" ที่ต่อมากลายมาเป็นคู่ชีวิต
เลยได้มาอยู่อยู่ภาคใต้ยาวเลย
ไม่ได้กลับมาอยู่กทม.อย่างที่ตั้งใจไว้
เพราะ"คุณนาย"ไม่ชอบรถติดอย่างแรง

เป็นอาจารย์ด้านโรคหัวใจเด็กที่ มอ.ได้ไม่เท่าไหร่
ก็มาได้ข่าวดีว่าจะได้เป็นพ่อคนแล้ว

ต้องมาตัดสินใจกันอีกว่าจะไปเรียนต่อที่ ILLINOIS, USA
ดีหรือเปล่า เพราะ "ผบทบ." กลัวหนาวมาก เลยลาออกมาซะเลยดีกว่า

ตอนนี้ สบายๆกับงานที่คลินิก 2 แห่ง
ว่างๆก็เล่นกับลูกสาว(น้องพลอย)และ ลูกชาย(น้องเพชร)จอมซนน้อยๆ และ หาเรื่องไปเที่ยวกับครอบครัวบ้างตามสะดวก

New Comments