|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
เที่ยวปายเท้าเปล่า
ฝนโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย พรางยอดฉัตรสีทองอร่ามของพระธาตุดอยสุเทพให้เห็นเป็นเพียงเงาเลือนรางสูงเสียดฟ้า แต่นักท่องเที่ยวทั้งไทยฝรั่งก็ยังคงเดินชื่นชมความงามในบรรยากาศสงบๆ ของวัดพระธาตุดอยสุเทพแห่งนี้ใต้ร่มคันน้อยหลากสีอย่างไม่ยั่นต่อสายฝน ร้านรวงขายของที่ระลึกก็ยังคงคึกคัก โดยเฉพาะร้านที่มีบริการให้เช่าร่มเห็นจะกิจการดีเป็นพิเศษภายใต้ฝนพรำอย่างนี้ ชีพจรแห่งดอยสุเทพยังเต้นอย่างมีชีวิตชีวาแม้ฟ้าครึ้มฝน ของเราก็เช่นกัน นั่นเป็นเพราะเป้าหมายที่แท้จริงแห่งการเดินทางของเรามิได้อยู่บนยอดดอยอันเลื่องชื่อของเชียงใหม่ หากแต่แอบซ่อนอยู่ในหุบเขาซับซ้อน ณ ดินแดนแห่งเมืองสามหมอก จังหวัดแม่ฮ่องสอน เราสี่คนนัดพบรวมกลุ่มกันที่เชียงใหม่ อาศัยเหมารถสองแถวของเชียงใหม่ที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า “รถแดง” ตามสีแสบสันของตัวรถ ฝ่าสายฝนขึ้นไปสักการะพระธาตุดอยสุเทพ เพื่อไม่ให้เสียเที่ยวที่ได้มาเยี่ยมเยียนเมืองแม่ปิงแห่งนี้ พอตะวันคล้อยบ่ายไกด์เฉพาะกิจชาวเชียงใหม่ของเราก็ขอตัวอำลา โดยไม่ลืมจัดการต่อราคารถแดงด้วย “กำเมือง” คล่องแคล่วอย่างเจ้าถิ่น เพื่อให้พวกเราสามคนต่างถิ่นได้อาศัยเดินทางต่อไปจนถึง “อาเขต” หรือสถานีขนส่งจังหวัดเชียงใหม่ในราคากันเอง เพื่อโดยสารรถตู้ประจำทางไปยังเป้าหมายปลายทางของเรา อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน รถตู้โดยสารเที่ยวสุดท้ายของวันพาเราออกจากเชียงใหม่ วิ่งไปบนถนนคดเคี้ยวอันเลื่องชื่อมุ่งสู่จังหวัดแม่ฮ่องสอน รถตู้ไต่โค้งหักศอกขึ้นเขาจำนวนนับไม่ถ้วนอย่างไม่ลดละ คุณลุงคนขับไม่มีอาการหวาดหวั่นต่อหนทางเลยแม้แต่น้อย แต่ฉันที่โดยสารอยู่หลังสุดอดหวั่นๆ ในใจไม่ได้ ต้องใช้มือจิกที่นั่งด้านหน้าแน่น กันลื่นไถลตกเบาะ หนึ่งในชาวคณะกินยาแก้เมารถไปเรียบร้อยตั้งแต่รถยังไม่ออก สามชั่วโมงที่ไม่นานและไม่เร็วเกินไปเราก็ได้เห็นปายเป็นครั้งแรก เป็นปายยามหลังอาทิตย์ตกมีฉากหลังเป็นท้องฟ้าไล่สีฟ้าเข้มไปถึงชมพูสดใส ตัดกับภาพถนนในเมืองปายที่คึกคักและสว่างไสวอย่างไม่น่าเชื่อ...
ปาย มีอะไรมากกว่าที่คุณคิด ...
รถตู้ของเราแล่นผ่านถนนสายหลักของเมืองปายก่อนเข้าจอดที่สถานีขนส่ง สองข้างทางยามหลังอาทิตย์ตกนั้นยังคงคลาคล่ำไปด้วยผู้คน มีร้านรวงขายเสื้อผ้าของที่ระลึกจากชาวเขาที่ดูแลโดยคนเมืองปายเอง และยังมีชาวเขาตัวจริงเสียงจริงหอบลูกหลานมาจากหมู่บ้านไหนเราก็ไม่อาจบอกได้ แต่งกายในชุดพื้นเมืองชาวเขาแท้ๆ สีสันเจ็บจ้านเห็นได้ชัดแม้ในยามค่ำ ปูเสื่อเอาของมาวางเรียงขายสลอนสองข้างถนน ตึกรามมีประตูบานกระจกประดับไฟหลากสีสัน เคาน์เตอร์แลกเงินสำหรับชาวต่างชาติยังคงเปิดทำการอย่างพร้อมเพรียงและมีให้เลือกหลายจุดจนน่าขนลุก จากทุกธนาคารในประเทศไทย ร้านแว่นตาและนาฬิกาชื่อดังของเมืองไทยก็ถึงกับแตกกิ่งก้านสาขามาเปิดที่ปายเป็นที่เรียบร้อย ผู้คนทั้งชาวไทยแต่ส่วนใหญ่เป็นฝรั่งเดินขวักไขว่เลือกซื้อสินค้าและหาร้านนั่งทานอาหารเย็นกันอย่างไม่หวั่นต่อฝนที่ตั้งเค้าเตรียมโปรย
ฉันได้แต่คิดว่า หน้าฝนที่แล้วที่ฉันได้มีโอกาสมา “ผ่าน” ปายแล้วครั้งหนึ่งนั้น เธอยังไม่สว่างสดใสเท่านี้ ...
เราตัดสินใจเข้าที่พักก่อนแล้วจึงค่อยออกมาทานอาหารเย็นเพราะรู้ดีว่าปายไม่ใช่เมืองใหญ่ สอบถามได้ความว่ารีสอร์ทของเราอยู่ห่างจากตัวเมืองสองกิโล เราตัดสินใจได้ทันทีว่าจะเดินไปเพื่อสำรวจเมืองไปด้วย เพราะถ้าอยู่ฝรั่งเศสเราคงเดินระยะทางสองกิโลนี้ได้อย่างสบายๆ แต่บังเอิญที่นี่คือแม่ฮ่องสอน ดินแดนแห่งขุนเขา บางทีหน่วยวัดระยะทางนั้นอาจไม่ใช่กิโลเมตร..
การเดินทางไปที่พักของเราจบลงด้วยความล้มเหลว สองกิโลที่นี่มันทั้งไกลทั้งมืดจนเราต้องโทรไปถามย้ำกับทางรีสอร์ทเรื่องเส้นทาง เจ้าของรีสอร์ทใจดีตะลึงอยู่สักพักเมื่อรับรู้ว่าเราเดินมา แล้วจึงรีบขับรถออกมารับพวกเราสามคนที่ยืนรออยู่ข้างถนนอย่างสิ้นหวัง เย็นนี้ เพียงสบตาครั้งแรกกับปาย เราได้เรียนรู้แล้วว่าชาวเมืองปายมีน้ำใจแค่ไหน และได้รู้ว่าสำนวน “กิโลแม้ว” นั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ...
คืนนั้นเรากลับเข้าเมืองและเลือกได้ร้านอาหารที่มีผู้คนคับคั่งร้านหนึ่งเป็นที่ฝากท้องในมื้อเย็น อาหารที่นี่รสชาติจัดจ้านได้ใจคลอกับดนตรีกีต้าร์อคูสติกมึนๆของศิลปินเมาๆ ที่ฝีมือเด็ดขาดขนาดสามารถเล่นดนตรีไปจิบเบียร์ไปและสูบบุหรี่ไปด้วยได้อย่างไม่เสียจังหวะแม้แต่น้อย บรรยากาศในร้านสบายๆซะจนน่านอน เมื่อเติมพลังเสร็จเราก็แบกท้องหนักๆ และกระเป๋าเงินที่เริ่มเบาโหวงของเราออกจากร้าน พอดีกับที่คุณศิลปินเล่นเสร็จก็จูงจักรยานเก่าคู่ใจคันหนึ่งเตรียมกลับบ้าน คุณศิลปินผมยาวอยู่ในชุดเสื้อหม้อฮ่อมกางเกงขาก๊วยดูกลืนกับความมืดแต่สะดุดตาฉันอย่างประหลาด ผมของเขาเกล้ามวยสูง มือซ้ายยังคงกำขวดเบียร์รัก มือขวาบังคับคันจักรยานค่อยๆปั่นไปบนถนนคอนกรีตจนลับหายไปที่มุมเลี้ยว
นี่คงเป็นหนึ่งในวิถีชีวิตแบบปายปาย ... เช้าวันรุ่งขึ้นเราเช่ารถจักรยานยนต์สองคันเพื่อการตะลุยสำรวจเมืองปายอย่างหมดไส้หมดพุง เมื่อศึกษาแผนที่และระยะทางทั้งหมดแล้ว เราก็เริ่มออกเดินทางไปยังจุดหมายแรก มุ่งหน้าสำรวจฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของเมือง ไฮไลท์สำคัญเห็นจะเป็น “วัดน้ำฮู” ซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่าถูกสร้างโดยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช สวยสะดุดตาด้วยศาลากลางสระบัวอันเป็นที่ประดิษฐานของพระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชและพระสุพรรณกัลยาที่เพิ่งสร้างเสร็จเมื่อปีที่แล้ว และภายในวัดยังมีเจดีย์พระสุพรรณกัลยาซึ่งภายในบรรจุพระเกศาของพระสุพรรณกัลยาด้วย ในพระอุโบสถของวัดน้ำฮูเป็นที่ประดิษฐานของ “พระอุ่นเมือง” พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองปาย หลวงพี่ใจดีผู้ดูแลอุโบสถยังได้พูดคุยกับเราอย่างเป็นกันเองและเล่าถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธรูปองค์นี้ ว่าภายในพระเศียรนั้นมีลักษณะกลวงมาแต่เดิมตามแบบการหล่อ แต่วันหนึ่งทางวัดก็ได้พบว่ามีน้ำซึมออกมาขังอยู่ในแอ่งพระเศียรโดยไม่ทราบที่มา ทั้งๆ ที่พระอุ่นเมืองก็ทรงประดิษฐานอยู่แต่ในร่มอุโบสถ มิได้ตากฝนที่ไหน นับแต่นั้นทางวัดก็ได้ทำการตักน้ำในพระเศียรนั้นออกมาผสมเป็นน้ำมนต์แจกจ่ายให้ชาวบ้านเพื่อเป็นสิริมงคลเรื่อยมา เรากราบสักการะพระอุ่นเมืองเสร็จแล้วออกเดินทางต่อ ไกลออกไปจากตัวเมืองบนถนนเส้นเดิมสู่หมู่บ้านจีนยูนาน ที่ที่บ้านเรือนจำนวนหนึ่งยังคงถูกรักษาไว้ในแบบดั้งเดิม ทำด้วยดินปั้นสีส้มอิฐ ประตูหน้าต่างแบบโค้งมนเรียบง่าย ชาวบ้านยังคงพูดภาษาจีนยูนานควบคู่ไปกับภาษาไทยและยึดอาชีพทำไร่ทำสวน โดยเฉพาะปลูกชา ที่นี่มีชาหลากหลายให้แวะซื้อแวะชิมและยังมีอาหารจีนแบบดั้งเดิมด้วย เราจึงฝากท้องมื้อกลางวันของวันนี้ไว้กับขาหมูหมั่นโถรสชาติได้ใจ (อีกครั้ง) และก๋วยเตี๋ยวยูนาน เสริฟพร้อมกับชาจีนร้อนๆ ในร้านอาหารที่ตัวอาคารเป็นดินปั้น ได้บรรยากาศแบบโรงเตี๊ยมโดยแท้ ช่วงบ่ายเราแวะเที่ยวน้ำตกหมอแปงซึ่งอยู่ในเส้นทางเดียวกันก่อนที่จะวกกลับผ่านเมืองปายไปทางตะวันออกเฉียงใต้ แวะเที่ยววัดพระธาตุแม่เย็นที่ตั้งอยู่บนภูเขาตามแบบวัดของชาวเหนือ รถจักรยานยนต์ของเราทะยานขึ้นดอยแบบอืดๆ อย่างน่าหวาดเสียว แต่สุดท้ายก็พาเราไปถึงวัดซึ่งมีระเบียงชมวิวหันไปทางทิศตะวันตกเห็นเมืองปายทั้งเมือง นับว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่พลาดไม่ได้ทีเดียวหากอยากชมภาพงามๆ ของเมืองปายอาบด้วยแสงอาทิตย์อัสดง จากนั้นเราก็มุ่งหน้าต่อไปสู่โป่งน้ำร้อนท่าปายทางตะวันออกเฉียงใต้ โป่งน้ำร้อนนี้ตั้งอยู่บนถนนเชียงใหม่-ปายและเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดังที่กินดินแดนระหว่างสองจังหวัด ตัวโป่งน้ำร้อนที่อยู่ห่างจากเมืองปายราวเก้ากิโลเมตรทำเอาพวกเราต้องขี่รถต้านลมจนผมฟูแทบจำหน้ากันไม่ได้ทีเดียว โป่งน้ำร้อนเป็นแหล่งน้ำร้อนที่ผุดขึ้นมาเองตามธรรมชาติ ณ จุดผุดน้ำมีอุณหภูมิสูงสุดถึง 80 องศาเซลเซียส ทางอุทยานได้ทำการกั้นรั้วไว้เป็นบ่อสำหรับให้นักท่องเที่ยวต้มไข่ และยังมีบ่อสำหรับอาบน้ำแร่กลางแจ้งที่อุณหภูมิน้ำราว 40 องศาที่พวกเราสามคนพากันส่ายหน้าอย่างขยาด เพราะในช่วงบ่ายของปลายเดือนกรกฏาอย่างวันนั้น แค่อุณหภูมิอากาศที่เรายืนกันอยู่ก็คงจะต่ำกว่า 40 แค่ไม่กี่องศา สำหรับฉันแค่เดินเฉียดเข้าไปในกลุ่มควันที่ลอยคุมาจากบ่อน้ำร้อนก็เหงื่อแตกพลั่ก อยากจะหาน้ำตกหรือลำธารใกล้เคียงแล้วโดดตูมลงไปให้เย็นฉ่ำใจเป็นที่สุด เราออกจากโป่งน้ำร้อน ผ่านแค้มป์ช้างหลายแค้มป์ที่มีบริการขี่ช้างเที่ยวป่า ผ่าน “กองแลน” หรือปายแคนยอน บริเวณป่าที่ถูกน้ำกัดเซาะจนเป็นเหวลักษณะคล้ายแพะเมืองผีที่จังหวัดแพร่ และผ่านสะพานประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สองที่ก่อสร้างโดยกองทัพญี่ปุ่น แต่เพราะฝนเม็ดไล่ช้างเทหนักลงมาเราจึงได้เพียงขี่รถผ่านสถานที่เหล่านี้ไปด้วยความเร็วสูงอย่างน่าเสียดาย เราจบวันด้วยการเดินเที่ยวถนนคนเดินเมืองปาย หรือความจริงมันก็คือถนนสายหลักสายเดิมของตัวอำเภอปายที่เราเห็นมีชาวเขามาตั้งขายของตั้งแต่เมื่อคืนก่อน ไม่ลืมที่จะแวะร้านงานศิลปะ โปสการ์ดแบบศิลป์ๆ ที่ขึ้นชื่อของเมืองปาย ซื้อเสื้อผ้าและของที่ระลึกสารพัดที่เจ้าของร้านจะออกแบบมาได้ นี่อาจเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของปาย ที่ตรึงคนชอบโปสการ์ดอย่างฉันอยู่หมัด โปสการ์ดและของที่ระลึกที่นี่ไม่เหมือนสถานที่ท่องเที่ยวที่ไหนๆ ในไทย งานทุกชิ้นมีเอกลักษณ์ ไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าเป็น “งานโรงงาน” แบบที่อื่น รูปทุกรูปที่ถ่ายเองทำเองขายเองโดยเจ้าของร้านดูจะถูกเลือก ตั้งแต่สถานที่ แสง มุม และการตกแต่งหลังถ่าย ผลผลิตออกมามันแสดงถึงความเป็น “ปาย” อย่างแท้จริง
ของที่ระลึกจากที่นี่ จึงมีคุณค่าแท้ๆ และเป็นคุณค่าที่เกิดจากการถ่ายทอดของคนทำ ที่ทำมันด้วยใจ ...
ฉันเคยพยายามหาคำตอบอยู่เสมอ ว่า “เขา”และ “เรา” มาทำอะไรกันที่ปาย ?
ครั้งแรกที่ฉันมาผ่านปายฉันตอบคำถามนี้ไม่ได้ เพราะตอนนั้นฉันถูกกั้นไว้ไม่ให้ไปสัมผัสกับตัวตนของปายด้วยกระจกบางๆ แผ่นหนึ่ง ของรถยนต์คันใหญ่ที่ “ปลอดภัยและสบาย” ครั้งที่สองฉันเหยียบดินของปายเต็มแรงด้วยเท้าเปล่า สูดอากาศในป่านั้นเข้าเต็มปอด เดินแหวกผ่านทุ่งหญ้าทักทายกับสารพัดแมลงอย่างคุ้นสนิท ปลดเปลื้องเปลือกและข้อจำกัดเพื่อตั้งใจซึมซับบรรยากาศ และนั่นทำให้ฉันได้ทำความรู้จักกับปายอย่างจริงจังเสียที
ปายไม่ได้มีสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลก หรือแปลกพิสดารชนิดที่หาที่อื่นไม่ได้ แต่ในปัจจุบันอำเภอ ปายกลับเป็นจุดหมายของการท่องเที่ยวที่คนจำนวนมากทั้งไทยและฝรั่งฝันถึงอย่างปฏิเสธไม่ได้ สำหรับฉันเหตุผลที่ผู้คนหลั่งไหลมาที่ปาย คือเสน่ห์อันร้อนแรงของเธอ ในสายตานักท่องเที่ยวต่างชาติ เสน่ห์ของปายอาจเป็น ความเป็นอิสรเสรี ความรู้สึกนอกกฎหมายในวิถีชีวิตของปาย การแสวงหาการหนีจากกรอบสังคมภายนอก มาใช้ชีวิตแบบง่ายๆ และไร้กฎเกณฑ์คล้ายกับในภาพยนตร์เรื่อง The Beach (2000) ที่นำแสดงโดยลีโอนาโด ดิคาปริโอ ในสายตาคนกรุงเทพ ปายอาจสะท้อนเสน่ห์ของชนบท ที่ความเจริญในเมืองกรุงทำให้พวกเขาหลงลืมไป ในสายตาฉัน เด็กต่างจังหวัดที่โตมาพร้อมกับการเติบโตของตัวจังหวัด และเข้ามาโตอีกหน่อยในแสงสีของกรุงเทพ เสน่ห์ของปายคือกลิ่นของอดีต อดีตที่เคยเป็น วิถีชีวิตที่เคยคุ้นเคยเมื่อหลายปีมาแล้ว ความสดชื่น เรียบง่าย ความสบาย ชีวิตดำเนินไปอย่างช้าๆ ไม่รีบร้อนและไร้กังวล ถนนกลางเมืองที่เงียบฉี่หลังสองทุ่มและท้องฟ้ามืดสนิทจนเห็นดาวกระจ่างฟ้า ปายยังเป็นอย่างนั้น แต่จะเป็นไปอีกนานเท่าไหร่ ไม่มีใครรู้ เพราะหน้าฝนที่แล้วที่ฉันได้มีโอกาสมา “ผ่าน” ปายแล้วครั้งหนึ่งนั้น เธอยังไม่สว่างสดใสเท่านี้
ปายคือกลิ่นของอดีตที่กำลังจางหาย สองวันที่เราขี่รถจักรยานยนตร์ตะลุยปาย ทุ่งนาเขียวขจีสุดลูกหูลูกตาคือภาพทิวทัศน์ที่เราคุ้นชิน แซมไปด้วยรีสอร์ทใหญ่บ้างเล็กบ้างที่ขึ้นเคียงราวจะพยายามทำตัวกลมกลืนไปในทิวทัศน์นั้น ฉันสังเกตได้ว่าน้ำในแม่น้ำปายน้อยลง ที่ดินเริ่มแห้งแล้ง ชาวบ้านขายที่ และมีรีสอร์ทใหม่ๆ ถูกปลูกขึ้นแทนที่นาเขียวขจีที่ฉันเคยเห็นเมื่อปีก่อน รีสอร์ทเหล่านี้ชุกชุมขึ้นแต่มีความกลมกลืนน้อยลง ...
ฤาเสน่ห์อันร้อนแรงของเธอจะฆ่าเธอในวันหนึ่ง... ภายใต้ความหวังทั้งมวล ขอให้เพื่อนๆ ได้เดินเที่ยวปายด้วยเท้าเปล่า ให้ได้สัมผัสกับเสน่ห์ที่แท้จริงของเธอ ก่อนที่มันจะจางหายไป
Create Date : 26 กรกฎาคม 2550 |
|
0 comments |
Last Update : 26 กรกฎาคม 2550 23:43:35 น. |
Counter : 597 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
|
|