To sooth my soul
Group Blog
 
 
มิถุนายน 2554
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
25 มิถุนายน 2554
 
All Blogs
 
Bipolar Disorder ฤๅโรคนี้ไม่มีอยู่จริง?

ผมเขียนบล็อคนี้ขึ้นมาด้วยความรู้ทางการแพทย์อันกระจ้อยร่อย เพื่อระบายความอัดอั้นตันใจ

ผมป่วยด้วยโรค Bipolar Disorder หรือ โรคอารมณ์สองขั้ว ซึ่งเกิดจากสารเคมีในสมองที่ชื่อโดปามีน (Dopamine) มีปริมาณมากเกินปกติ ถ้าจำไม่ผิด Dope แปลว่าตื่น ชื่อ Dopamine จึงถูกใช้แทนสารเคมีที่หลั่งออกมาจากสมองของคนเราในยามตื่น และจะถูกทำลายลงในยามหลับอย่างสมดุล เป็นวัฏจักรตามธรรมชาติของร่างกายมนุษย์ หากวันใดสมองหลั่งสารโดปามีนออกมาในปริมาณมากหรือน้อยจนผิดปกติจะทำให้สมดุลของสารเคมีในสมองแปรปรวน ในกรณีที่สารโดปามีนหลั่งออกมามากจนเกินปกติจะส่งผลต่อกระบวนการคิดของผม เหตุผล ตรรกะ ความเชื่อมโยง ทางความคิดจะแปรปรวน ผิดบ้างถูกบ้าง ควบคุมได้บ้าง ควบคุมไม่ได้บ้าง และ อาจหนักถึงขั้นเกิดอาการ หูแว่ว ประสาทหลอน แบบเดียวกับผู้เสพสิ่งเสพติด ทั้งๆที่จริงๆแล้วผมไม่ได้เสพสิ่งเสพติดเลยแม้แต่น้อย

เมื่อตอนที่ผมอายุราวยี่สิบห้าปี ผมได้เดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยความมุ่งมั่นที่จะนำความรู้ความสามารถที่มีอยุ่ไปรับใช้ชาติบ้านเมืองในฐานะนักวิทยาศาสตร์ ผมจึงตั้งใจศึกษาเล่าเรียนอย่างสุดความสามารถ

จนกระทั่งถึงวันที่เครื่องบินชนตึก บรรยากาศของประเทศสหรัฐอเมริกาเปลี่ยนไป นักเรียนต่างชาติอย่างผมรู้สึกได้ถึงความหวาดระแวงในสายตาของคนท้องถิ่น แต่กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกท้อถอยในการศึกษาหาความรู้

ประมาณหนึ่งสัปดาห์หลังจากเหตุการณ์เครื่องบินชนตึก ผมนั่งทำรายงานอยู่ในที่พัก เป็นเวลาสองวันแล้วที่ไม่ได้เข้านอนเลย เมื่อทำรายงานจบยังรู้สึกว่านอนไม่หลับ จึงนั่งอ่านข่าวจากอินเตอร์เน็ต และอ่านกระทู้การเมืองในเว็บบอร์ดของ หนังสือพิมพ์ไทยยี่ห้อหนึ่ง

ในเว็บบอร์ดมีแต่การถกเถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ถึงขั้นยกเอาบุพการีมาด่าทอ และแจกของลับให้กันไปมาอย่างดุเดือด เพราะเหตุว่าความคิดเห็นทางการเมืองไม่ตรงกัน ผมอ่านข้อความต่างๆจนเริ่มเครียดและล้า

ผมปิดเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วเข้านอนในเวลาประมาณเกือบเที่ยงคืน แต่ก็นอนไม่หลับ เพราะยังคงมีความคิดตกค้างอยู่ในใจหลายๆเรื่อง ผมพยายามข่มตานอนให้หลับแต่ก็ทำไม่ได้ ความคิดต่างๆหลั่งไหลพร่างพรูออกมาไม่หยุด ผมตัดสินใจนั่งสมาธิเพราะหวังว่าจะทำจิตใจให้สงบลงและเลิกคิดถึงเรื่องต่างๆที่รบกวนจิตใจ

แต่ผลที่ออกมากลับไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง ผมเกิดอาการหูแว่ว ได้ยินเสียงที่ไม่รู้ที่มาก้องกังวาลอยู่ในโสตประสาท เสียงนั้นเชื้อเชิญให้ผมทำร้ายตัวเองจนถึงแก่ชีวิตเพื่อการหลุดพ้น

ผมต่อต้านมันอย่างสุดความสามารถ ส่งเสียงตะโกนตอบโต้ดังโหวกเหวก จนกระทั่งคนแถวนั้นได้ยินและเรียกตำรวจมาจับผม

นอกจากจะถูกหามส่งโรงพยาบาล เพื่อถูกตรวจเลือดหาสารเสพติดแล้ว ยังตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ก่อการร้ายอีกต่างหาก เพราะเหตุผลว่าผมตอบคำถามในวิชาภาษาอังกฤษว่า การโจมตีสหรัฐอเมริกาของผู้ก่อการร้ายครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะอเมริกาใช้อำนาจเข้าแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่นก่อน ทำให้เกิดกระแสความเกลียดชังต่อประเทศสหรัฐอเมริกา

แต่สุดท้ายแล้วตำรวจก็พิสูจน์ทราบได้ว่า ผมไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายและไม่พบสารเสพติดในกระแสโลหิต ผมถูกสง่ตัวเข้าบำบัดในแผนกจิตเวชของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ด้วยอาการที่หวาดระแวงอยู่ตลอดเวลาเพราะว่าไม่รุ้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง

ระหว่างที่อยู่ในห้องพักผู้ป่วย ผมนอนหลับๆตื่นๆและมีอาการประสาทหลอนเป็นระยะระยะ ได้กลิ่นคาวเลือด ฝันร้าย กล้ามเนื้อแข็งเกร็งร่างกายบิดงอไปมาและขยับไปไหนไม่ได้ จนพยาบาลคิดว่าผมตายแต่โชคดีที่ม่านตาของผมยังตอบสนองต่อแสงได้

รุ่งขึ้นอาการดังกล่าวก็หายไป ผมทั้งตกใจ และหวาดกลัวจนถึงขีดสุด ถึงกับพยายามหนีออกจากโรงพยาบาล เพราะกลัวว่าจะถูกขังอยู่ที่นั่นตลอดไป

ผมเริ่มแยกความเป็นจริงกับจินตนาการออกจากกันไม่ได้ แต่ก็รู้สึกดีขึ้นเมื่อได้คุยกับครอบครัวที่โทรศัพท์ติดต่อมาจากประเทศไทย

ห้าวันหลังจากการบำบัด (จะไม่ขอพูดถึงรายละเอียดในการบำบัด เพราะไม่อยากใช้ภูมิรู้อันน้อยนิดอธิบายให้ยืดยาว) ทั้งการบำบัดด้วยยา ศิลปะบำบัด ดนตรีบำบัด การเข้ากลุ่มสนทนา ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นบ้าง

จนกระทั่งวันที่เจ็ดของการบำบัด ญาติผมเดินทางมาจากประเทศไทยเพื่อมารับตัวผมกลับ เพราะทางโรงพยาบาลไม่อนุญาติให้ผมออกจากที่นั่นจนกว่าจะมีญาติมารับตัวไป

ผมได้อ่านรายงานทางการแพทย์ว่าที่ระบุว่าผมป่วยด้วยโรค Bipolar Disorder ซึ่งมีสาเหตุมาจากการที่สารเคมีในสมองไม่สมดุล สมองหลั่งสารโดปามีนออกมามากเกินปกติ เพราะอดนอนเป็นเวลานาน ทำให้เกิดอาการหูแว่ว ประสาทหลอน และหวาดระแวง

เมื่อกลับมาถึงประเทศไทยผมได้เข้ารับการรักษาที่คลินิกจิตเวชแห่งหนึ่ง ระหว่างการรักษาผมเกิดภาวะสมองเสื่อม บวกลบคูณหารเลขไม่ได้ สะกดคำศัพท์ผิดๆถูกๆ พูดจาไม่เป็นภาษา ไม่สามารถทำงานอย่างคนปกติได้ หวาดกลัวและหวาดระแวง เชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆด้วยตรรกะและเหตุผลที่เป็นไปไม่ได้ มีอาการซึมเศร้าต่อเนื่องและยาวนาน และอาการหูแว่วก็ยังคงอยู่

คนในครอบครัวต่างเข้าใจว่าผมช็อคและมีอาการทางประสาท เนื่องจากช็อคและตกใจที่ถูกจับกุมโดยตำรวจสหรัฐ ผมพยายามเล่าถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับผมให้คนอื่นฟัง แต่ก็มีส่วนน้อยที่จะเชื่อและรับฟังอย่างเข้าใจ ส่วนใหญ่มักพูดลับหลังว่า ผมเสียสติ

นานวันเข้าผมเริ่มมีอาการหงุดหงิดและก้าวร้าว เนื่องจากความทรมานในการรักษาและสิ้นหวังเพราะไม่รู้สึกว่าจะมีอาการดีขึ้นแต่อย่างใด ผมจึงแอบหยุดยาโดยที่ไม่มีใครรู้ และด่าทอบุพการีตนเองว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ผมป่วย ด่าทอคนในครอบครัวที่บีบบังคับให้ผมต้องเข้ารับการรักษา และด่าทอคนที่หาว่าผมเสียสติ

และแล้วอาการหูแว่วของผมก็เกิดขึ้นอีก ผมพยายามตามหาที่มาของเสียงนั้น ผมหนีออกจากบ้านเพื่อตามหาที่มาของเสียงปริศนาในโสตประสาท
เคราะห์ดีที่ยังมีสติพอที่จะรับโทรศัพท์จากทางบ้านเมื่อพวกเขาพบว่าผมหายตัวออกไปเป็นเวลานานแล้ว ในวันนั้นผมจึงถูกนำตัวส่งเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง ผมมีอาการชักและเกร็งไปทั้งตัวเมื่อเข้าพบหมอ

ด้วยสติที่เบาบางผมรู้สึกเหมือนได้พูดคุยกับครูฟิสิกส์สมัยมัธยมของผมที่เสียชีวิตไปแล้ว ผมถูกฉีดดยาระงับประสาท และเริ่มปวดหัวอย่างรุนแรง หลังจากนั้นก็หลับไปเป็นวันๆตื่นเป็นวันๆ

ผมขังตัวเองอยู่ในบ้านไม่กล้าออกไปไหน เพราะมีอาการหูแว่วประสาทหลอน ใครก็ไม่รู้กำลังพูดคุยกันอยู่ในสมองของผม ผมเกิดอาการหลอนสุดขีด เมื่อพบว่าตัวเองเปลี่ยนช่องโทรทัศนืได้โยไม่ต้องกดปุ่มรีโมท หรือปุ่มใดๆบนตัวเครื่อง ผมมองออกไปนอกหน้าต่างก็สามมารถเรียกเมฆบนท้องฟ้ามารวมกลุ่มกันอยู่เหนือศีรษะของผมได้ พอผมเล่าให้คนอื่นฟัง พวกเขาต่างก็หาว่าผมเสียสติ

วันหนึ่งพ่อระงับความโกรธไม่ไหวที่ผมเอาแต่นอน และหลบตัวอยู่แต่ในห้อง จึงเข้ามาทุบตีผม แม่ของผมทนไม่ได้จึงเข้ามาขวางไว้ แวบหนึ่งที่ผมได้สติ ก็เห็นแม่นั่งร้องไห้ ผมจึงตัดสินใจเข้ารับการรักษาอย่างเคร่งครัด และเริ่มฟื้นฟูสมอง หัดบวกลบเลข สะกดคำศัพท์และเขียนบันทึก

จนวันนี้แม้มีอาการหูแว่วอยู่บ้างในบางครั้ง ผมก็พอที่จะควบคุมมันได้ ผมจะปล่อยให้เสียงต่างๆผ่านไป และบอกตัวเองว่ามันไม่มีอยู่จริง แล้วทุกอย่างก็จะเข้าสู่สภาวะปกติ

ตอนนี้แม้ภายนอกผมจะดูเหมือนเป็นปกติ พูดจารู้เรื่องและมีเหตุมีผล แต่ในใจนั้นเต็มไปด้วยความสับสนและขัดแย้ง อยากรู้อยากพิสูจน์ ผมอ่านหนังสือและค้นคว้าข้อมูลในเรื่องนี้อยู่เสมอเท่าที่เวลาจะอำนวย

จนกระทั่งมีคนบอกว่า

“ไม่ว่าผมจะพบเจออะไรมา แต่จำไว้ว่าคนเราต้องมีชีวิตอยู่กับความเป็นจริง ไม่ใช่ในจินตนาการ”

ตอนนี้คงเหลือแต่ปมในใจที่ที่ยากจะแก้ไข อาการป่วยทำให้ผมกลายเป็นคนขาดความเชื่อมั่น และอ่อนไหวต่อเรื่องต่างๆ เพราะผมไม่มั่นใจในระบบตรรกะของตนเอง กลัวสิ่งที่คิดจะผิดพลาด มีหลายอย่างที่บอกไปก็ไม่มีใครเชื่อ พูดให้ใครฟังก็มักหาว่าผมเสียสติ บางคนบอกว่าทั้งหลายทั้งมวลนี้ไม่ใช่โรคแต่อย่างใด มันไม่มีอะไรมาตั้งแต่ต้นแล้ว ผมเพียงแค่คิดไปเอง หากทำใจได้ก็ไม่ต้องกินยาเลยด้วยซ้ำ

ผมก็ได้แต่คิดในใจว่า “พวกเขาไม่ได้เจออย่างที่ผมเจอ เขาก็ไม่มีวันรู้หรอก”



Create Date : 25 มิถุนายน 2554
Last Update : 25 มิถุนายน 2554 13:19:14 น. 9 comments
Counter : 6117 Pageviews.

 
ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้แต่อย่างใด

ก็หวังให้ผู้อ่านเข้าใจคนป่วยอย่างเราบ้าง

หากท่าเจอเหตุการณ์อย่างผมท่านจะทำอย่างไร

ทุกวันนี้คนจำนวนมากยังตราหน้าคนป่วยด้วยโรคนี้ว่าเป็นคนบ้า เป็นคนเสียสติ

ผมพบว่าคนส่วนใหญ่ที่เป็นโรคนี้มีปมปัญหาที่หนักหนาในจิตใจอยู่เป็นทุนเดิมก่อนแสดงอาการ

วอนให้สังคมจงอย่าซ้ำเติมคนป่วย อย่ากีดกันเขาออกจากสังคม อย่าดูถูกดูแคลนในความสามารถของคนป่วย

ขอให้ท่านผู้อ่านทุกคนคลาดแคล้วจากอาการป่วยด้วยโรคนี้

หากข้อมูลผิดพลาดหรือขาดตกบกพร่อง ต้องขออภัย ด้วยภูมิปัญญาที่มีอยู่ในตอนนี้ มิอาจอธิบายอะไรได้มาก ได้แต่เล่าเรื่องให้ฟังเท่านั้น


โดย: Polarbee วันที่: 25 มิถุนายน 2554 เวลา:13:08:09 น.  

 
อ่านแล้วเห็นใจ แต่ผมไม่มีความรู้อะไรในด้านนี้ที่พอจะช่วยได้ ถ้าท่านนับถือศาสนาพุทธ ผมขอแนะนำให้ท่านเข้าหาพระพุทธครับ ศึกษาอย่างถูกวิธี ไว้พระสวดมนต์ ทำบุญทำทานให้แก่เจ้ากรรมนายเวรของคุณ น้อยที่สุดก็คิดว่าจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้บ้าง สำหรับทางด้านจิตใจ ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามกรรม

ให้ยึดพระพุทธเจ้าเป็นที่ตั้ง ยามว้าวุ่นกังวลใจ ให้ระลึกถึงองค์พระพุทธเจ้า ขอบารมีของท่านช่วยปัดเป่าสิ่งต่าง ๆ ให้ผ่านพ้นไป

ผมก็ไม่ทราบว่าจะช่วยอะไรคุณได้บ้าง แต่เมื่อไม่มีทางจะรักษาแล้ว ลองรักษาด้วยธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าดูจะเป็นไรไป (สุดท้ายนี้ ขอให้คุณได้หลุดพ้นจากเคราะห์กรรมในครั้งนี้ด้วยดีโดยเร็วครับ)


โดย: yosa วันที่: 25 มิถุนายน 2554 เวลา:13:33:51 น.  

 
ขอบพระคุณคุณ yosa ครับ ผมเป็นพุทธศาสนิกชนครับ

ผมรักษาใจด้วยการก่อกุศลและรักษากายด้วยการแพทย์ควบคู่ไปด้วยกันครับ

ผมสวดมนต์อธษฐานจิตให้เจ้ากรรมนายเวรทุกครั้งเมื่อมีโอกาส

ผมไม่คิดหนีกรรมครับ แต่แอ่นอกรับด้วยความจริงใจ เพียงแต่หลายครั้งที่บอกใครไป ได้รับการตอบสนองที่น่าเสียใจ
เลยน้อยใจบ้างเป็นบางเวลา

ตอนนี้คิดว่าทำใจได้หลายส่วนแล้วครับ แต่ยังมีคนป่วยอีกหลายคนที่ไม่สามารถทนอยู่ในสภาวะเช่นนี้ได้ บางคนถึงขนาดดับลมหายใจตัวเอง เพราะความไม่เข้าใจของคนรอบข้างครับ

หากท่านผู้อ่านท่านใดได้รับรู้และสังเกตเห็นอาการของคนใกล้ชิดเป็นอย่างผม อย่าเพิ่งรีบกีดกันเขาออกจากสังคมนะครับ

ผมกำลังจะบอกว่าโรคนี้เหมือนหวัด หายได้ เป็นซ้ำอีกก็ได้ เพียงแต่เชื้อโรคไม่ใช่ไวรัสครับดังนั้นเราจะไปพบแพทย์เพื่อรักษาโรคจึงไม่ใช่เรื่องแปลก

ในทำนองเดียวกัน หลักธรรมของศาสนาต่างๆ ก็ช่วยได้เช่นเดียวกันครับ

ทั้งสองอย่างนี้ต้องคู่ขนานกันไป เพราะยามทีสมองทำงานบกพร่องจะให้หยิบยกธรรมะข้อใดออกมาแก้ไขก็เป็นไปได้ยากครับ ยามใดที่สมองเป็นปกติธรรมก็เหมือนเป็นภูมิคุ้มกันให้เราไม่เครียดและยึดติดกับโลก โอกาสที่จะแสดงอาการผิดปกติก็จะน้อยลงครับ


โดย: Polarbee วันที่: 25 มิถุนายน 2554 เวลา:14:09:59 น.  

 
เป็นกำลังใจให้ค่ะ

เพื่อนเราก็เป็นโรคนี้อยู่

และรู้ว่ามันมีอยู่จริงๆ


โดย: Monaiz วันที่: 25 มิถุนายน 2554 เวลา:16:00:11 น.  

 
//www.facebook.com/home.php#!/bipolarfc

หน้าเฟซบุ๊คสำหรับผู้ป่วยโรคไบโพลาร์


โดย: Polarbee วันที่: 25 มิถุนายน 2554 เวลา:17:58:39 น.  

 
หวัดดีครับคุณบี...

ผมว่าการได้ระบายอะรัยออกมาน่าจะทำให้รู้สึกดีขึ้น
ผมเคยมีลูกศิษย์เป็นโรคนี้เหมือนกัน กำลังรักษาตัว
ยาสมัยนี้ค่อนข้างพัฒนามากทีเดียว คืดว่าจะมีคุณภาพมากขึ้น
ผลข้างเคียงน้อยลง . . . แต่ยาใหม่มักราคาสูง
มีปัญหาอะรัยหรืออยากระบายอะรัย..ผมยินดีรับฟัง
อาจให้คำปรึกษาได้บ้างเพราะมีเพื่อนเป็น psychiatrist อยู่บ้าง
บอกที่หลังไมค์ได้เลยครับ . . . สู้ สู้ นะครับ ขอเป็นกำลังใจ


โดย: Dingtech วันที่: 25 มิถุนายน 2554 เวลา:23:12:57 น.  

 
อ่านแล้วนึกถึงเรื่อง "A Beautiful Mind" เลยครับ

คนใกล้ตัวเคยเป็นโรคนี้ อาการคือมีอารมณ์ฉุนเฉียว
คุมตัวเองไม่ได้บางครั้งเวลาโกรธและมีอารมณ์รุนแรง

อาการที่เล่าของคุณ polarbee น่ากลัวมากนะครับ
ไม่คิดว่าโรคนี้จะมีอาการถึงขนาดนี้

แม้ยังมีอาการอยู่บ้าง แต่ถ้ามีสติรับรู้ เท่าทัน
ก็สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้

ครอบครัวจะคอยเป็นกำลังใจที่ดี
ผมจะเป็นกำลังใจให้อีกแรงนะครับ


โดย: bayesian วันที่: 26 มิถุนายน 2554 เวลา:13:20:27 น.  

 
อย่างนั้นเลยครับคุณเบย์


โดย: Polarbee วันที่: 26 มิถุนายน 2554 เวลา:14:00:04 น.  

 
- - อจ.บี..คะ....
- - ฟาร์แวะมาอ่านสองครั้งแล้วค่ะ แต่นึกไม่ออกว่าจะคุยสั้นๆ หรือยาวๆดี
- - จะพูดให้กำลังใจ หรือ บอกว่าเข้าใจอจ. ก็พอ
- - วันที่ ๑๑ กันยา ปี๒๐๐๐ ฟาร์อยู่อเมกา..ค่ะ
- - เวลา ๑๑.๓๐ ต้องทานข้าวที่ World Tread Center
- - แต่ฟาร์ กลับแยกตัวในคืนวันที่ ๑๐ เพื่อไป ฟิลลาเดลเฟีย-คนเดียว-ไปหาญาติ
- - หลังจากนั้น ๑ ปี เกิดเหตุชนตึก-รีบหยิบรูปถ่ายมาดู
- - ตกใจ + ช๊อค - มาตลอดเป็นเดือนที่อีกลำไปตกที่เพนซิวาเนีย.
- - อะไรจะเกิดก็คงจะต้องเกิด...แต่...หน้าที่และความฝัน-ยังทำไม่สมบูรณ์เต็มที่
- - อจ.บี อยู่ที่นั่น...เจอปัญหา...ที่ต้องเผชิญเพียงลำพัง....
- - ฟาร์อ่านแล้ว...ความหวาดกลัวแบบนั้นก็เกิดขึ้นมาอีก.มันเหมือนจินตนาการตาม
- - จะไม่บอกว่า เสียใจในสิ่งที่เกิดกับ อจ. นะคะ
- - "มันคงจะเป็นเช่นนั้น"...เราต้องอยู่ร่วมกับมันได้ค่ะ...
- - แต่อจ.มีสติ...มีพื้นความรู้ที่ดี...อจ.ต้องควบคุมตนเองได้นะคะ
- - ดนตรี และ ศิลปะ จะช่วยอจ.บี ของฟาร์ได้
- - วาดรูป มาอวดฟาร์ด้วยนะ...เพลงจีนของอจ.เลือกมาลงให้ฟังอีกนะคะ

- - รัก-คิดถึง-เข้าใจ-และห่วงใย อจ.เสมอ
- - ฟาร์เป็นจินตนาการ หรือเป็นคนที่เป็นเพื่อนอจ.บี ได้เสมอ และจะเป็นเช่นนั้นตลอดไปค่ะ

...................................


โดย: go far far วันที่: 30 มิถุนายน 2554 เวลา:9:39:03 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Polarbee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




ไม่เขียน ไม่เลอะ
ไม่เปรอะ ไม่ผิด
ไม่เขียน ไม่คิด
ไม่ผิด ไม่จำ
New Comments
Friends' blogs
[Add Polarbee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.