ปรมัตถ์ ห้าหน้ากระดาษ
หากความทรงจำของเราถูกเก็บไว้ใน DNA แม้ DNA จะมีรหัสเป็นล้านๆๆๆๆ แต่ใช่ว่ามันจะไม่มีวันกลับมาซ้ำรหัสเดิมได้ ตามหลักความน่าจะเป็นนั้นเป็นไปได้น้อยมาก แต่ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น DNA จะจดจำอดีตแทนเราส่วนหนึ่ง และเวลาที่ใช้ในการหมุนรหัสกลับมานั้นอาจหลายกัปถึงเป็นอสงไขยทีเดียว นี่เป็นสมมติฐานว่า เราจะกลับมาระลึกชาติได้ไหม แล้วทำไมเวลาเจอหน้าใครบางคนก้รู้สึกเหมือนมีกรรมมีเวรแก่กัน การสังเคราะห์ DNA และการ แปรผันของรหัส DNA นั้นเปลี่ยนได้เนื่องมาจากผลกระทบจากสิ่งแวดล้อม เช่น แสงแดด สารเคมี รังสี ยา อาหาร ดังนั้น การเกิดใหม่ เมื่อเริ่มการปฏิสนธิ เราจะดึง DNA ครึ่งหนึ่งมาจากพ่อ และครึ่งหนึ่งมาจากแม่ เพื่อสร้างกายเนื้อ นั่นหมายความว่า มีโอกาสเป็นไปได้ที่รหัส มันจะวกกลับมาซ้ำเดิม หรือใกล้เคียงของเดิม เพราะมันมีแค่ A G C T ถามว่า แล้วทำไมมันถึงดึงจิตเดิมของเราลงมาในกายเนื้อของเรา ขอวกกลับไปที่เรื่องของ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ว่ากันว่า วิญญาณเป็นพลังงานในรูปนั้นนั่นเอง มันล่องลอยเป็นอิสระอยู่ในบริเวณที่มันสามารถจะไปได้ ไกลเท่าที่มันไม่หมดพลังงาน กระโดดกลับมาที่เรื่องของการจัดรหัส DNA การเรียงตัวหรือการสังเคราะห์ขึ้นของ DNA นั้นมีผลแปรเปลี่ยนได้เนื่องจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในจักรวาล คลื่นยาวกว่าจะเดินทางออกจากแหล่งกำเนิดไปไม่ไกล มันจะวนเวียนสะท้อนหักเหเลี้ยวเบนไปมาอยู่ใกล้ๆแหล่งกำเนิด กลับกันคลื่นสั้นกว่ากลับไปเดินทางไปได้ไกลกว่าคลื่นยาว เมื่ออนุภาคใดๆ ถูกเร่งให้มีพลังงานสูงแล้วหยุด มันคายพลังงานออกมาเรื่อยๆ พร้อมกับปล่อยรังสีออกมาด้วย สัมผัสของมนุษย์ก็รับรู้ได้บ้างไม่ได้บ้าง รังสีที่ปล่อยออกมามีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางฟิสิกส์ เคมี และชีวะ รังสีนั้นมีหลายแบบ ถูกเรียกต่างกันไปตามคุณสมบัติ เช่น รังสีเอ็กซ์ รังสีแกมม่า รังสีอะไรต่อมิอะไรก็ว่าไป แต่ส่วนใหญ่ที่อยู่ในโลกมีรูปแบบเป็นรังสีความร้อน รังสีความร้อน มีผลต่อ สสาร และสิ่งมีชีวิต แน่นอนเพราะมันใกล้ตัวเราที่สุด และเราสามารถรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ค่อนข้างชัดเจน DNA ที่เคยคงสภาพในสิ่งมีชีวิตนั้นสามารถแปรเปลี่ยนไปได้ เนื่องจากผลของรังสีที่ถูกปล่อยออกมาจากการเปลี่ยนแปลงในจักรวาล จากใกล้ตัวและไกลตัว ใกล้ก็มากหน่อย ไกลก็น้อยหน่อย แต่แน่นอนว่า ต้องมีมากในระดับหนึ่งถึงจะแสดงผลกระทบในระดับหนึ่ง ถ้าคิดถึงดวงดาว ก็ให้นึกถึงโลก ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ และดาวอื่นๆในระบบสุริยะ ด้วยระยะไกลใกล้นั่นเอง อาจเป็นเหตุผลให้อ้างได้ว่า ทำไมคนเราที่เกิดวันเวลาใกล้กันจึงถูกจัดไว้ในกลุ่มของคนราศีเดียวกัน ที่มีอุปนิสัยคล้ายๆกัน และจากที่อ้างมาทั้งหมดข้างบนนั้น ทำให้ผมเดาว่าว่า ทำไมเราเมื่อเราเกิดใหม่ รูปกายอาจเปลี่ยนไปบ้าง ดีขึ้น แย่ลง หรืออาจเหมือนเดิมก็ได้ เหตุเพราะ ลำดับ DNA เปลี่ยนไปบ้างคล้ายคลึงบ้าง จึงส่งผลต่อลักษณะทางพันธุกรรมไปด้วย ทำให้สิ่งมีชีวิตมีทั้งความเหมือนและแตกต่าง แล้วทีนี้มาดูกันว่าเมื่อเกิดการปฏิสนธิจะเกิดอะไรขึ้นต่อ เมื่อเริ่มเกิดการแบ่งเซลล์เพื่อก่อร้างสร้างรูปกาย แน่นอนความเปลี่ยนแปลงที่เกิดย่อมมาจากเหตุและปัจจัยเดิมอยู่ดี เมื่อเริ่มการเจริญเติบโต ร่างกายก็เปิดรับเอารังสี คลื่น พลังงาน และสสารจากภายนอกได้มากขึ้น เรียกว่าชีวิตเริ่มมีมลทินแล้วล่ะ เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงภายนอกจึงส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายใน เพื่อปรับตัวสู่สมดุลหรือปรมัตถ์นั่นแหละ สิ่งมีชีวติจึงแสดงการเปลี่ยนแปลงออกมาในรูปของพฤติกรรม และความคิด ทำให้เกิดการสร้างกรรมใหม่ และกรรมนี้เอง จะนำพาให้เกิดความเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ถูกผลักดันจากอดีตสู่อนาคต โดยมีรอยต่อของอดีตกับอนาคตอยู่ที่ปัจจุบัน สิ่งที่เร็วกว่าจะเคลื่อนไปก่อนนั่นคือ คลื่นความคิด หรือเรียกว่า มโนกรรม สิ่งที่วิ่งตามมา คือ เสียง หรือเรียกว่า วจีกรรม และ สุดท้ายคือการกระทำด้วยมวล หรือเรียกว่า กายกรรม และจุดที่เป็นปัจจุบันที่สุดคือ การที่ มโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม หลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แล้วถามว่า สิ่งมีชีวิตต่างๆจะก้าวไปในทิศทางใด ก็ขอยกตัวอย่างเช่น เรามีสิ่งมีชีวิตกระจายกันอยู่ในบริเวณต่างๆทั่วทั้งโลก ทั้งต่างระดับ ต่างพิกัดไปมากมายหลายหลาก เมื่อเหล่าสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าในเวลากลางวัน พวกมันจะเห็นสิ่งที่เด่นชัดที่สุดคือ ดวงอาทิตย์ แต่เนื่องจากมันอยู่ในตำแหน่งที่ต่างกันบนโลก มันก็จะเห็นดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าที่ตำแหน่งต่างกันเช่นกัน ยิ่งเมื่อโลกหมุนความยุ่งยากในเรื่องพิกัดตำแหน่งก็ยุ่งยากเช่นกัน เมื่อสิ่งมีชีวิตร้อนมันก็จะเคลื่อนหาที่เย็น เมื่อมันเย็นก็เคลื่อนหาที่อุ่น ดูเหมือนไร้ทิศทาง แต่กลับมีรูปแบบ นั่นคือมันกำลังหาจุดสมดุลของตัวมันนั่นเอง ณ จุดนั้นหากมันมีความสุข และถ้าเป็นสุขแท้ มันก็จะไม่เดินไปหาความสุขที่ไหนอีกเลย แต่ในความแปรเปลี่ยนของระบบ มันก็สามารถเดินตามรอยของความสุขไปเรื่อยๆก็ได้ เรียกว่า การเคลื่อนไหวเสมือนหยุดนิ่งนั่นเอง ขอกระโดดกลับเข้าสู่เรื่องทางวิทยาศาสตร์อีก ในศัพท์เทคนิคทางวิทยาศาสตร์คำหนึ่งที่จะนำมาอ้างต่อไป คือ Dynamic equilibrium ก็ขออ้างว่า สรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงเข้าสู่สมดุลแบบพลวัต หนึ่งเกิด หนึ่งดับ เกิดเปลี่ยนแปลงทดแทนกัน หนึ่งเซลล์ตายลง หนึ่งเซลล์เกิดขึ้น ถึงจะสมดุล เซลล์หญ้ากี่ตันเลี้ยงเซลล์โคกี่เซลล์ พลังงานอย่างหนึ่งเปลี่ยนแปลงเป็นพลังงานอีกอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการแปรสภาพแบบใด ล้วนขับเคลื่อนเข้าสู่สมดุลแบบพลวัตทั้งสิ้น ลองเริ่มจากการนึกถึงตาชั่งสองแขนที่สมดุลอยู่ มันจะนิ่งได้ตลอด หากไม่มีความเปลี่ยนแปลง นั่นคือสมดุลที่หยุดนิ่ง ในสัมผัสที่เรารับรู้ได้ แต่ในความเป็นจริงนั้นสมดุลที่เราสัมผัสได้หรือสัมผัสไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงที่เสมือนหยุดนิ่งต่างหาก ทางคติความเชื่อจะเรียกสมดุลแบบนั้นว่าอะไรก็ตามแต่ จะเป็น ปรมัตถ์ นิพพาน หรือ พรหมัน หรือแม้แต่พระเจ้า ผู้เขียนจึงอยากให้ผู้อ่านเปลี่ยนมานึกถึงให้นึกถึงภาพแกนกลางของลูกข่าง วงล้อ ลูกบอล หรืออะไรก็ที่เคลื่อนไหวหรือเคลื่อนที่หมุนอยู่ดูบ้าง มันจะมีจุดๆหนึ่งที่เป็นศูนย์กลางของการเคลื่อนที่แบบหมุนนั่นเอง ทีนี้ กระโดดมาอีกเรื่อง เจ้าอนุภาคในจักรวาลทั้งหลาย แท้จริงมันมิได้อยู่เรียงชิดติดกัน ระหว่างพวกมันมีช่องว่างอยู่ อนุภาคใดๆจึงมีบริเวณที่สามารถการเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระในบริเวณหนึ่ง นั่นทำให้เกิดความล่าช้าเมื่อถูกเบียดถูกกระแทก หรือถูกชน ทำให้เกิดเหลื่อมล้ำในการเกิดแรงต้านการกระทำนั้นๆที่ต่างกัน และความเหลื่อมล้ำในการเปลี่ยนแปลงนั้นทำให้เกิดมิติของ เวลา เมื่อเกิดมิติเวลาจึงมีลำดับและความต่างเกิดขึ้น แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงก็ยังคงอยู่ที่สมดุลเช่นเดิม สิ่งที่ผ่านเข้ามาก็วิ่งหาจุดสมดุล แล้วสิ่งที่ผ่านออกไปก็วิ่งหนีออกสมดุลจนหมดแรงเหวี่ยงแล้วจึงวกเข้าหาสมดุลอีก และเมื่อผู้เขียนคิดทบทวนว่า ใครเล่าเป็นคนโยนก้อนพลังงานหรือสสารเข้าไปในความว่างเปล่า มิใช่พระเจ้าหรอกหรือ คิดแล้วจึงตอบว่า สิ่งตรงกันข้ามกันนั้นมันมีอยู่แล้ว ไม่ได้มีใครโยนสิ่งใดใส่เข้าไปในความว่าง แต่ทั้งสองสิ่ง(ทั้งความมีและความว่าง)มีอยู่คู่กันตั้งแต่แรกเริ่มต่างหากเพียงแต่มันซ้อนทับกันอยู่ สิ่งไม่มีก็วิ่งหาสิ่งมี สิ่งมีก็วิ่งหาสิ่งไม่มี เหมือนไร้ระเบียบ ไร้ทิศทางแต่ก็มีแนวโน้มเข้าสู่สมดุลไปเรื่อยๆ และแกนกลางของสมดุลยังคงอยู่จุดเดิมนั่นเอง การเปลี่ยนแปลงในจักรวาลเช่นนี้ จะดำเนินไปตามกรอบของเวลา ตราบจนรหัสพันธุกรรมจะเปลี่ยนแปลงมาซ้ำเดิม อาจจะนานเป็นอสงไขยหรือมากกว่าก็ได้ และหนึ่งรอบที่DNAกลับมาซ้ำกันอีก ก็คือหนึ่งยุคของสมดุลหนึ่งนั่นเอง แล้วสมดุลหนึ่งคืออะไร สมมติฐานของผู้เขียนคือ เมื่อคลื่นทั้งหมดในจักรวาลสั่นพ้องกัน การกระทำอย่างหนึ่งกระทบอย่างหนึ่งจะส่งผลต่อไปเป็นลูกโซ่แล้วสะท้อนกลับมายังต้นกำเนิด นั่นทำให้สมดุลของพลังงานและสสารคงที่เสมือนไม่เปลี่ยนแปลง นั่นผมขอเรียกว่า เป็นการหลอมรวมที่แท้จริง (Fusion) ถ้าตีความเป็นเรื่องทางความเชื่อคือ การจะนี้เกิดเมื่อให้ความเชื่อทั้งหมดของสิ่งที่สามารถมีความเชื่อได้นั้นหลอมรวมกันเป็นหนึ่ง ณ ภาวะนั้น ด้วยพลังงานและความหนาแน่นที่มากและมีระเบียบมาก มันจะเสถียรอยู่ได้ไม่นาน มันจึงแตกตัวออกอีกครั้ง(Fission) และเกิดความหลากหลายขึ้นอีกครั้ง จักรวาลจะกลับมาไร้ระเบียบเช่นเดิม แล้วคนที่นับเวลาได้ก็เริ่มจับเวลาอีกโดยพร้อมเพรียงกัน ถ้าพูดในแง่ความเชื่อนั้น ใช้คำว่า "พร้อมใจกัน" เมื่อเริ่มความไร้ระเบียบไปเรื่อยๆ ก็จะเกิดรูปแบบแยกย่อยขึ้นมากมายตามลำดับขั้น จนแทบจะเรียกได้ว่าเสมือนไร้รูปแบบ แต่แท้จริงแล้วมันกำลังเข้าสู่ "สมดุลใหม่"ที่กำลังจะหลอมรวมอีกครั้งนั่นเอง เพียงแต่ต้องใช้เวลาเท่าไหร่นั้น ด้วยความสามารของผู้เขียนคงไม่กล้าไปกะประมาณได้ เหนือกว่านั้นแล้วผู้เขียนคงอธิบายด้วยคำพูดไม่ได้ เพราะผู้เขียนอับจนความรู้ทางภาษาและความรู้ทางวิทยาศาสตร์แล้ว คงแสดงได้แค่เพียงสัญลักษณ์ของ หยิน-หยาง ที่ดูเหมือนจะอธิบายได้มากกว่าคำพูด
"ปัจจุบันคือความจริง ที่สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นอนาคตได้ แต่เพียงพริบตามันก็จะกลายอดีตไป ปัจจุบันจึงเป็นความเปลี่ยนแปลงระหว่างความมีอยู่แล้วในอดีตและความไม่มีอยู่ในอนาคต มันเชื่อมต่อกันอยู่กันอยู่ และกำลังเปลี่ยนแปลงเข้าหากัน"
"ใครกันเล่าใส่พลังงานและมวลสารอะไรเข้าไปในความว่างในจักรวาล พระเจ้าหรือตัวเราเอง พระองค์กระทำหรือไม่ พระองค์มิได้ก่อกายกรรมใด วจีกรรมใด หรือแม้แต่มโนกรรมใด ณ จุดที่พระองค์สถิตอยู่ แต่คนที่อยู่ในตำแหน่งเสมือนสมดุลนั้นก่อนต่างหาก เรียกได้ว่าเขาเข้าใกล้พระเจ้าที่สุดแล้วก่อนใครๆ เขาใกล้จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระองค์ก่อนใคร และอนาคตเขาจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระองค์ สุดท้ายเขาก็จะเป็นพระองค์จริงๆที่ก่อ มโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม อย่างนั้นขึ้น"
"ทันทีที่เรา กำหนดสิ่งใด นึกถึงสิ่งใด คลื่นความคิดของเราก็แผ่ออกสู่ความว่างในอนาคตแล้ว"
"หากใครกำหนดให้ ปรมัตถ์ พรหมัน นิพพาน หรือพระเจ้า เป็นจุดหมายปลายทางแล้ว เขาย่อมมีทิศ ย่อมเปลี่ยนแปลงเข้าสู่สมดุลโดยง่ายกว่าคนที่ไม่มีจุดหมาย ไม่วนเวียนอ้อมไปอ้อมมา เขาจะรู้ทิศ และได้รับความเมตตากรุณาจาก ผู้ร่วมเดินทาง"
"เราอาจจะเดินรอบโลกแล้วกลับมายังตำแหน่งเดิมในโลก แต่มันจะไม่ใช่ตำแหน่งเดิมในจักรวาล และไม่ใช่ตำแหน่งเดิมในอดีต และเราก็จะไม่ใช่คนเดิมในวันและเวลาเดิมอีกเลยด้วย"
เขียนจบแล้ว คงโดนหาว่าเพี้ยนแหงๆเลย 555
Create Date : 09 มิถุนายน 2556 |
|
1 comments |
Last Update : 9 มิถุนายน 2556 7:28:33 น. |
Counter : 2947 Pageviews. |
|
|
|
แวะมาเยี่ยม
ไม่เพี้ยนหรอก ทุกอย่างเป็นเรื่องจริง
สุขสันต์วันหยุดค่ะ