Ploy Journey Journal.........Welcome to my world
Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2559
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
27 กรกฏาคม 2559
 
All Blogs
 
Indonesia #Yogya : Epi.2/2 ... บุโรพุทโธ



เมื่อมาถึงโรงแรม D’Omah 


ความรู้สึกแรก ....  


เป็นโรงแรมเล็กๆที่น่ารักมากๆ เกร๋ไก๋สไลด์เดอร์สุดๆ วิวหน้าโรงแรมเป็นนาข้าว รร.ชิคมากถึงมากที่สุด มีสระว่ายน้ำส่วนตัว ห้องพักน่ารัก เตียงอภิมหาใหญ่ มีกิจกรรมหลายสิ่งให้เลือกสรรทำในโรงแรม ไม่ว่าจะเป็นคอร์สบาติก, ทำอาหารชวา, สปา, ซาวน่า จากุซซี่, นั่งรถมาชมเมือง, ปั่นจักรยาน, ปั้นคราฟ, ตกปลา (ฟังไม่ผิดหรอกค่ะ.. ตกปลา) สารพัดสารเพ.. อ่อใครที่มีลูกเล็กมาด้วย ไม่ต้องห่วงที่นี่มีบริการ Baby Sitting... จะชิคไปไหน


โซน Library มีภาพยนต์ให้ยืมชมฟรีด้วย




เดินผ่านสระว่ายน้ำโรงแรม 



ทางไปห้องพัก




ฟิตเนสส่วนกลาง



ห้องพักเตียงใหญ่มากๆดีจัง



ตู้เย็นยังชิค Batik Refredgerator



ความชอบส่วนตัว



ที่โต๊ะหัวเตียง OH! God  ขอบคุณมากสำหรับความละเอียดละออ ใส่ใจกับลูกค้า เพราะทุกวันประมาณตี 5 เมืองมุสลิมเค๊าจะละหมาด ออกไมค์ ประกาศให้โลกรู้ แต่เราซึ่งตี 5 ที่ยังนอนไปได้ไม่กี่ชม. จะรู้สึกถูกปลุกให้ตื่นอย่างงงๆ



นั่งชิวที่โซฟาหน้าห้อง วิวหน้าห้อง มีโต๊ะทานอาหารส่วนกลางให้ใช้




สระว่ายน้ำส่วนตัว




ที่นั่งเล่นด้านข้างห้องนอน



ห้องทำงานหน้าห้องนอน



มีคอร์สบาติก และ แกลอรี่



คืนนี้พักผ่อน  เช้าวันใหม่เราจะไปบุโรพุทโธที่รอคอย ก่อนออกทานอาหารเช้าก่อน


ระหว่างรออาหารเช้ามาเสริฟ ดูวิวเพลินๆ






รวมรูปอาหารเช้า


 ยัยพลอยขอผลไม้ก่อนอาหาร 


ตามด้วยโปรตีนไข่ ทุกเช้า







ไป #บุโรพุทโธ Borobudor


*** มีประวัติยาวที่ท้ายบทความนะคะ***


ศาสนสถานของชาวพุทธ ที่เป็นอนุสรณ์สถานที่ใหญ่ที่สุดในโลก สร้างขึ้นในสมัยคริสศตวรรษที่ 850 ราวๆเดียวกับ Prambanan เมื่อตอนศาสนาพุทธแพร่มาจากอินเดีย เพื่อต้องการเผยแผ่พระพุทธศาสนาจึงสร้างบุโรพุทโธขึ้น ที่นี่เคยพังราบมาแล้วจากกาลเวลาและแผ่นดินไหวใหญ่ แต่คนอังกฤษมาเริ่มสร้างใหม่และเขียนแปลน ต่อมา พังเนื่องจากแผ่นดินไหวอีก ขณะนั้นชวาอยู่ภายใต้การปกครองของชาวดัชด์ ทางเนเธอร์แลนด์จึงรวบรวมข้อมูลและนำซากปรักหักพังมาประกอบขึ้นใหม่ ร่วมกับ UNESCO จึงได้เป็นบุโรพุทโธอย่างที่เห็นทุกวันนี้


Borobudor


ไปถึงก็สามารถใช้ตั๋วที่ซื้อมาเมื่อวานเข้าได้เลยและจ้างไกด์ที่นั่น แต่วันนี้รู้สึกไกด์ไม่ค่อยอธิบายนะ เราจ้าง 90 นาที แต่ฮีพาอธิบายแค่ 60 นาที ไหงทำงั้นหล่ะ 


เมื่อเดินเข้าไปจากประตู Lanscape สวยจัง



มีต้นไทรใหญ่อายุหลายร้อยปี ใหญ่ไม่ใหญ่ลองเปรียบเทียบกะตัวคน



ที่ด้านหน้า


Borobudor


เมื่อเข้ามาถึงด้านใน At the first sight

Borobudor




ที่กำแพงเป็นหินแกะสลักอธิบายในแต่ละช่วงชีวิตของพระพุทธเจ้า และคำสอนต่างๆ




มีพระพุทธรูปนั่งสมาธิ ที่ขอบกำแพงโดยรอบ


Borobudor



และซุ้มพระพุทธรูป


Borobudor


เรื่องราวความเชื่อที่ผนัง



ด้านบนมี 3 ชั้น 

ชั้นล่างสุด เป็น Nirvana สำหรับบุคคลทั่วไปที่มีศีล และปฏิบัติ มีสถูป 64 องค์ ชั้นที่2 Paree nirvada สำหรับ พระ นักบวช และผู้บำเพ็ญเพียร มี 32 องค์ ชั้นที่ 3 คือ Maha Nirvana สำหรับอัครสาวก มี 16 องค์ ตรงกลางเป็นพระพุทธเจ้าซึ่งนิพพาน


Borobudor



ชั้น 2-3 เป็น Diamond shape หมายถึงความไม่แน่นอนในชีวิต Uncertain life


Borobudor



ชั้น 1 เป็น Square Shape หมายถึงชีวิตที่แน่นอน มั่นคง (certain life)


Borobudor



ด้านบนสุดเป็นเจดีย์ ไร้รูปแบบ เพื่อแสดงถึง #ความว่าง  Emptiness เพื่อมุ่งสู่ #นิพพาน Enlighten 


Borobudor 



ทางเดินออก มีพิพิธภัณฑ์แสดงความเป็นมาต่างๆ ทั้ง indoor and outdoor



พระด้านหน้าพิพิธภัณฑ์




เมื่อชมโดยรอบเสร็จ เราจึงเดินทางออกจากที่นี่ เพื่อไปวัด Mendut


มีภาพแกะสลักหิน เทพเจ้าKuwera เทพแห่งความรุ่งเรืองอยู่ท่ามกลางเด็กๆ  ด้านขวาเป็นทรัพย์สิน  ,, ด้านซ้ายเป็นเทพ Hariti เทพแห่งความโชคดี  ด้านในมีพระพุทธ ศรีศากยมุนี ขนาบข้างด้วยพระโมกคัลลาน์ และพระสารีบุตร  จะเก่าแก่กว่า บุโรพุทธโธ (Borobudur) โดยภาพแกะสลักจะกล่าวถึงเรื่องราวของพระพุทธศาสนา ตั้งอยู่ห่างจากบุโรพุทธโธ (Borobudur) ไปทางทิศตะวันออก 3 กิโลเมตร เป็นวัดในพุทธศาสนาที่สร้างขึ้นในปี 824 โดยกษัตริย์ Indera ของ ราชวงศ์ Sailendra ภายในมีรูปปั้นขนาดใหญ่ 3 ชิ้น ได้แก่ 

1 พระศักยมุนี นั่งในท่าขัดสมาธิ โดยมืออยู่ในท่าหมุนพระธรรมจักร

2  พระอวโลกิเตวรา เป็นสัญลักษณ์ของผู้ช่วยเหลือสัตว์มนุษย์ สวมมงกุฎ ถือดอกบัวสีแดงวางลงบนฝ่ามือ

3 พระศรีอริยเมตไตร พระผู้ช่วยให้รอด 


แต่ยัยพลอยดูๆแล้ววัดนี้ดูค่อนข้างใหม่ในสายตานะคะ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเขียนบันทึกไว้ว่าเก่ากว่า


พระศรีศากยมุนี มีพระโมกคัลลาน์ ยืนไหว้ด้านข้าง






Enlighten






Paton Temple 


วัดทางพระพุทธศาสนา และห่างครึ่งกิโลเมตร ไปทางทิศตะวันตกจากวัดเมนดุด และไปทางทิศตะวันออกจากบุโรพุทธโธ รายละเอียดของประติมากรรมในวัดพาวอน เป็นจุดเริ่มต้นของประติมากรรมของบุโรพุทธโธ เป็นสถานที่สำหรับเก็บอาวุธของพระกษัตริย์ Indra ที่ชื่อว่า Vajramala วัดนี้สร้างขึ้นด้วยหินภูเขาไฟ สถาปัตยกรรมเป็นการการผสมผสานของศาสนาฮินดูเก่าของชวาและศิลปะอินเดีย วัดพาวอนเป็นจุดกลางของเส้นตรงทอดยาวจาก บุโรพุทธโธ ไปยังวัดเมนดุด


ต้นไทรใหญ่มากที่วัด






ออกจากวัดไป ภูเขาไฟ Merapi


วันนี้โชคไม่ดี เมฆหมอกมากมายเหลือเกิน เมื่อเราไปถึงจุดที่สามารถเช่ารถจี๊ปได้ แต่iBot บอกว่าไปก็มองไม่เห็นถ้าสภาพแบบนี้ สุดท้ายเราเลยตัดสินใจไม่ไป และเดินเล่นอยู่แถวนั้นสักพักเผื่ออากาศจะดีขึ้นแต่มันก็ไม่ดีขึ้นเลยกลับจะแย่ลงด้วยซ้ำ จึงตัดสินใจกลับยอร์คยาดีกว่า


Merapi Volcano


เดินเล่นบริเวณที่พักต่อรถจี๊ป




ระหว่างทางแวะจัดสละอิโดที่มีชื่อเสียงซะหน่อย กรอบ หวานน้อย หอมไม่เท่าของไทย แต่โดยรวมอร่อยค่ะ กินแล้วติด ต้องไปซื้ออีก  มีเฉพาะที่นี่นะคะ ที่บาหลีไม่เหมือนกันค่ะ


สละมี 2 แบบ  แบบ Honey สังเกตได้ว่าลูกจะอ้วนกลมกว่า และ แบบธรรมดา



ด้านล่างที่คุณป้าไม่ได้จับจะเป็นแบบธรรมดา ผอมยาวกว่า



iBot บอกเรามีเวลาสามารถแวะ Ullen Sentalu Museum ได้อีกที่หนึ่งในทางกลับยอร์คยา


Museum  ที่นี่มี 3 โชน ห้ามถ่ายภาพด้านในทั้งหมด ส่วนใหญ่แสดงภาพถ่าย ภาพวาด และชีวประวัติของสุลต่านชวา  หลายท่านท่านพร้อมครอบครัว รวมถึงจดหมายเหตุต่างๆ  มีแสดงผ้าบาติกของชวา ความหมายของบาติก ที่นี่เมื่อซื้อตั๋วแล้ว ตั๋วจะรวมค่าไกด์เรียบร้อย ไม่ว่าจะมากี่ท่าน จะให้ไกด์ท่านละ 1 กรุ๊ป ก่อนออกจบรายการ จะมีน้ำสมุนไพรให้ทาน ยัยพลอยชอบและติดใจมากๆ ตามรสสัมผัสบนลิ้นที่ได้มาคือ มี ขิง ซินามอน ลูกกระวาน หวานอ่อนๆจากน้ำตาลสีลำ และ น่าจะมี Spice อื่นๆ อีกสัก 2-3 อย่าง  อร่อยหอมชื่นใจมาก ขาออกมีร้านค้าของพิพิธภัณฑ์ ของกิ๊บเกร๋มากๆ ทั้งเสื้อผ้า ผ้าพันคอ กระเป๋า ของกระจุกกระจิก ทำเอายัยพลอยกระเป๋าเบาเลยทีเดียว  


ทางเดินระหว่าโซน ด้านในมิวเซี่ยม



จบการบรรยาย ที่ประตูทางออก



ออกจาก Museum ขากลับมาถึงยอร์คยา เลยต้องให้ iBot พาไปแลกเงินอีกครั้ง เพราะหมดไปกับร้านที่มิวเซี่ยม ช๊อปปิ้งต่อละกันที่ Malioboro  จัดสโล่งบาติกันซะหน่อย ไหนๆมาถึงที่แล้ว พอหอมปากหอมคอจึงกลับโรงแรม  แนะนำร้านที่เมื่อเดินมาจากลานจอดรถ เดินไปทางขวามือตรงไปทางเข้าตลาด มีร้านใหญ่ๆ อยู่ 1 ร้าน และเมื่อข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามก็มีอีก 1 ร้าน ร้านใหญ่มาก มี wifi บริการในร้าน ของเจิดมาก สามารถอยู่ในร้านทั้ง 2 นี้ทั้งวัน


กลับไปทานอาหารเย็นที่โรงแรม


สลัด



เมน=สปาเก็ตตี้



ของหวาน chocolate lava ภาพดูง่อยๆ จืดๆ แต่รสชาติไม่ง่อยเลยค่ะ แนะนำเลย ทุกออเดอร์ทำใหม่จานต่อจานค่ะ เลยต้องรอ 20 นาที คราวหน้าต้องสั่งพร้อมอาหารจะดีกว่าค่ะ 



อิ่ม ชิว นอน ตื่นเช้าพรุ่งนี้ขอใช้เวลาที่โรงแรมให้มันสาแก่ใจหน่อย


เช้าวันรุ่งขึ้นวันนี้มีแพลนที่จะต้องบินไปบาหลีตอนบ่าย เราก็ใช้เวลาชิในโรงแรมจนเที่ยงค่อยเช็คเอ๊าท์แล้วไปสนามบิน เครื่องบินดีเลย์อุตลุดค่ะ ไม่นานๆ ก็จะได้ยินเสียงประกาศ ให้มารับอาหาว่างไปกินรอ เพราะเครื่องบินดีเลย์  ...ทานซะจะได้ไม่บ่น 5555 เครื่องบินของพวกเราก็ดีเลย์ แต่สุดท้ายก็ได้ไปต่อ.....


พบกัน Episode 3 นะคะ ที่ Bali


ขอบคุณที่ติดตามนะคะ


พลอย


Itinerary ย่อๆ


Day 1: วังสุลต่าน, สระอาบน้ำสุลต่าน  บ่าย: พรัมบานัน ...แต่แนะนำให้สลับกัน

Day 2: บุโรพุทโธ วัดเมนดุส วัดพาวอน ภูเขาไปเมอราปี้ ถ้าไม่ขึ้นไปด้านใน ก็ไป พิพิธภัณฑ์  ช๊อปmalioboro

Day 3: อิสระ ชิวที่ โรงแรม  หรือ จะเปลี่ยนไปช๊อปปิ้งแทนก็ไม่ว่ากัน






ประวัติโดยสังเขป


พระราชวังสุลต่าน  (Karton Ngayogyakata)

พระราชวังสุลต่าน (เคยใช้เป็นที่ประทับของสุลต่าน) สร้างปี 1756-1790,, 14 sq.km by Saltan ฮาเมงกูบูโวโนที่ 1,, สร้างแบบฮินดู สมมุติว่าวังเป็นศูนย์กลางโลก และจักรวาล  มีประตู 9 ชั้น หมายถึงทวารทั้ง 9 ของมนุษย์  ใช้สถาปัตยกรรมแบบชวาผสมดัชต์   ภายโชว์เครื่องใช้ต่างๆ สุลต่านน่าจะเกิดปีมังกรนะ เพราะแสดงถึงปีเกิด       พระราชวังถูกสร้างขึ้นโดยหันหน้าไปทางทิศเหนือตรงกับภูเขาไฟเมอราปี และด้านหลังของพระราชวังตรงกับมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งมีความเชื่อเกี่ยวกับนาง Kanjeng Taru Loro Kidul ซึ่งเป็นราชินีแห่งทะเลทางใต้ และความลึกลับเกี่ยวกับสุลต่าน ถนนมาลิโอโบโร่ เป็นถนนสายหลักที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ เป็นถนนเส้นตรง ทอดยาวจากหน้าพระราชวัง ไปถึงภูเขาไฟเมอราปี     สนามหน้าพระราชวังนั้น เรียกว่า อะลุน อะลุน (alun alun) มีต้นไทรใหญ่อยู่ตรงกลาง และด้านข้างของพระราชวังก็มีสนามแบบนี้เช่นเดียวกันแต่เล็กกว่า เมื่อสุลต่านสิ้นพระชนย์ ขบวนพระราชพิธีจะออกจากประตูทางทิสใต้ไปยังสุสานของกษัตริย์ที่ Imogiri


ปราสาทสวนน้ำสุลต่าน (TAMAN SARI WATER CASTLE//Water Palace)


ชื่อของ Taman Sari มาจากภาษาชวา โดยคำว่า taman หมายถึง สวน หรือสวนสาธารณะ และ sari หมายถึง ความสวยงาม หรือดอกไม้ ดังนั้น ชื่อของ Taman Sari จึงหมายถึง สวนแห่งความสวยงามที่เต็มไปด้วยกลิ่นของดอกไม้ และ คำอธิบายดั้งเดิมที่หมายถึง ปราสาทน้ำนั้น (water castle –ภาษาดัชท์ เขียนว่า waterkasteel) อาจหมายถึง การปิดประตูทางน้ำ เพื่อป้องการน้ำท่วมหรือป้องกันน้ำเข้ามา โดยมีกำแพงสูงล้อมรอบ

การก่อสร้างปราสาทสวนน้ำ เริ่มตั้งแต่สมัย Sultan Hamengkubuwono I (1755–1792) หรือ สุลต่านองค์แรกของเมืองยอคยาการ์ต้า และเสร็จสิ้นในสุลต่านองค์ที่ 2 Sultan Hamengkubuwono II แต่ก่อนหน้านั้นสถานที่แห่งนี้ได้รู้จักกันในนาม Pacethokan Spring หรือ ที่สำหรับอาบน้ำ มาตั้งแต่สมัย Sunan Amangkurat IV (1719–1726)   ผู้อำนวยการก่อสร้างปราสาทสวนน้ำแห่งนี้ คือ Tumenggung Mangundipura โดยท่านได้เรียนรู้เกี่ยวกับสถาปัตยกรรมยุโรปจากเมือง Batavia ซึ่งท่านได้เดินทางไปที่นั้น เพื่อทำการศึกษาถึง 2 ครั้ง นั้นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมปราสาทสวนน้ำ ถึงต้องเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมยุโรป


ปราสาทสวนน้ำ ได้สร้างขึ้นหลังจากสนธิสัญญา Giyanti สิ้นสุดลงในสมัยสุลต่าน Sultan Hamengkubuwono I ปราสาทสวนน้ำประกอบไปด้วย 59 อาคาร รวมถึง มัสยิด ห้องสำหรับทำสมาธิ สระว่ายน้ำ สวนน้ำ 18 จุด และศาลารอบๆ ทะเลสาปเทียม ปราสาทแห่งนี้ถูกใช้งานได้จริงระหว่างปี 1765-1812     อังกฤษได้เข้ายึดครองเมืองยอคยาการ์ต้า และได้เห็นปราสาทสวนน้ำแห่งนี้บางส่วนพังทลาย และเสียหายเป็นอย่างมากในปี 1812 การบูรณะปฎิสังขรปราสาทสวนน้ำได้หยุดลงชั่วขณะ ในตอนที่สุลต่าน Hamengkubuwono I เสียชีวิต อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าการบูรณะค่อนข้างยุ่งยากเกี่ยวกับกับระบบไฮโดรลิก สวนดอกไม้ถูกละทิ้งและบางอาคารได้รับผลกระทบมาจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1825-1830 ประกอบกับในปี 1867 ได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งรุนแรง ทำให้บางคารได้พังลงมา และระบบระบายน้ำรอบปราสาทเกิดรอยรั่ว เมื่อเวลาผ่านไป ได้มีผู้คนเข้ามาตั้งถื่นฐานอยู่ภายในปราสาทสวนน้ำแห่งนี้ ในช่วงต้นปี 1970 การพยายามฟื้นฟูได้เริ่มต้นขึ้น มีเพียงเฉพาะที่สำหรับอาบน้ำเท่านั้นที่สามารถบูรณะเสร็จสมบูรณ์    


ปราสาทสวนน้ำ ได้แบ่งออกเป็น 4 ส่วนด้วยกัน คือ 


ส่วนที่ 1 ทะเลสาป Segaran อยู่ทางทิศตะวันตก 

ส่วนที่ 2 ที่สำหรับอาบน้ำ อยู่ทางทิศใต้ของทะเลสาป Segaran เรียกว่า Umbul Binangun 

ส่วนที่ 3 ได้สูญหายไปแล้ว คือ สระ Pasarean Ledok Sari และ สระ Garjitawati ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของที่อาบน้ำ ส่วนที่ 4 อยู่ทางทิศตะวันออก ของส่วนที่ 1 และส่วนที่ 2 ค่อนข้างห่างไปทางทิศตะวันออกไปทางทิสตะวันออกเฉียงใต้ของอาคาร Magangan


ทะเลสาปเทียม Segaran อยู่ที่ตัวอาคารหลักของปราสาทสวนน้ำ ซึ่งอาคารนี้ประกอบด้วยสระที่สร้างด้วยมือของมนุษย์ เรียกว่า Segaran แปลว่า “ทะเล” บางอาคารตั้งอยู่ตรงกลางของทะเลสาปเทียมเป็นเกาะเทียม ตัวอาคารเชื่อมต่อกับอุโมงค์ใต้น้ำ ซึ่งเป็นทางเรือสำหรับครอบครัวของสุลต่านเดินทางมายังปราสาทสวนน้ำแห่งนี้ ปัจจุบัน ทะเลสาปเทียม Segaran ไม่สามารถมองเห็นได้อีกต่อไป และน้ำได้รับการระบายน้ำออกไปหมดแล้ว และทะเลสาบเตียง (Lake bed) ได้กลายไปเป็นที่ตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ส่วนอุโมงค์ใต้น้ำซึ่งอยู่ใต้ดิน หลังจากระบายน้ำออกไปหมดแล้วยังคงมีอยู่และสามารถเข้าถึงได้      ตรงกลางของทะเลสาปเทียม Segaran คือ เกาะเทียม ที่ชื่อว่า Kenongo ซึ่งแปลว่า ดอกกระดังหงา เพราะเกาะชวาเป็นเกาะที่เต็มไปด้วยดอกไม้กระดังหงา ทางทิศใต้ของ Kenongo มีแนวของอาคารขนาดเล็ก เรียกว่า Tajug อาคารเหล่านั้นถูกใช้เป็นช่องระบายอาคารสำหรับอุโมงค์ใต้น้ำในสมัยก่อน อุโมงค์ใต้น้ำ สร้างขึ้นเมื่อปี 1761 เป็นช่องทางหนึ่งที่สามารถเข้าถึง เกาะ Kenongo ได้ และทางทิศใต้เช่นกันของ Kenongo เป็นเกาะเทียมอีกเกาะหนึ่ง ชื่อว่า Cemethi เป็นห้องห้องหนึ่งสำหรับสุลต่านนั่งสมาธิ หรือบางคนเรียกว่า พระราชวังลึกลับ  สำหรับหลบซ่อนขณะที่มีการปะทะทางทิศตะวันตกของของ Kenongo มีห้องเป็นรูปวงกลม ถือเป็นเกาะเทียมเกาะหนึ่ง เรียกว่า Gumuling สามารถเดินทางเข้าใดทางอุโมงค์เท่านั้น ใช้สำหรับเป็นมัสยิด ตรงกลางของห้องเป็นพื้นยกสูง มีบันไดรอบรอบสี่ข้าง ไปทางพื้นที่ตรงนั้น ข้างใต้พื้นที่ยกสูงนั้นเป็นสระขนาดเล็ก ใช้สำหรับพิธีทางศาสนาของชาวมุสลิม



พรัมบานัน (Prambanan)


สร้างขึ้นมาด้วยมือกว่า 1,100 ปีก่อน ในศตวรรษที่สิบ ในช่วงรัชสมัยของกษัตริย์สององค์ คือ Rakai Pikatan และ Rakai Balitung มีความสูง 47 เมตร (สูงกว่าบุโรพุทธโธ 5 เมตร) พรัมบานัน (Prambanan) ผู้ก่อสร้างต้องการสร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ที่แสดงให้เห็นถึงชัยชนะของชาวฮินดูในเกาะชวา พรัมบานัน (Prambanan) ห่างจากตัวเมืองยอคยาร์ต้าประมาณ 17 กิโลเมตร รัมบานัน คือ เทวสถานในศาสนาฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอินโดนีเซีย ตั้งอยู่ในเขตชวากลาง ห่างจากเมืองยอกยาการ์ตา ไปทางตะวันออกประมาณ 18 กิโลเมตร ตัววัดนั้นสร้างขื้นเมื่อราวปี พ.ศ. 1390 แต่หลังจากสร้างเสร็จได้ไม่นานตัววัดก็ถูกทอดทิ้ง และถูกปล่อยให้ทรุดโทรมตามกาลเวลา จนเมื่อถึงปี พ.ศ.2461(ค.ศ. 1918) จึงได้มีการเริ่มบูรณะวัดขึ้นมาการบูรณะของสิ่งก่อสร้างหลักสิ้นสุดลง เมื่อปี พ.ศ. 2496 (ค.ศ. 1953) ในปัจจุบันพรัมบานันถูกยกย่องให้เป็นมรดกโลก และนับได้ว่าเป็นหนึ่งในศาสนสถานในศาสนาฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์ 


ตำนานพื้นบ้านเกี่ยวกับเจดีย์ปรัมบานันกล่าวไว้ดังนี้   กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ แคว้นปรัมบานัน บนเกาะชวา มีอาณาจักรอินดู ที่มีอำนาจอยู่ 2 แห่งคือ อาณาจักรเปิงกิงและอาณาจักรโบโก อาณาจักรเปิงกิงเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรือง และมีความอุดมสมบูรณ์ปกครองโดยกษัตริย์ที่ฉลาดหลักแหลมผู้มีนามว่า ปราบู ดามาร์ โมโย ซึ่งมีโอรสเพียงองค์เดียวนามว่า เจ้าชาย ระเด่น บันดุง บอนโดโวโซ ส่วนอาณาจักรโบโก ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของณาจักรเปิงกิง ปกครองโดยพระเจ้าปราบู โบโก ผู้ยะโสโอหังและโหดเหี้ยมดังยักษ์มารชอบกินเนื้อมนุษย์เป็นอาหาร พระเจ้าปรา บู โบโก มีราชธิดาผู้มีความงดงามราวกับเทพธิดาจากสรวงสวรรค์นามว่าเจ้าหญิงโลโร จองกรัง  พระเจ้าปราบู โบโก มีความต้องการที่จะรุกรานและยึดอาณาจักรเปิงกิงไว้ในอำนาจ จึงสมคบคิดกับอำมาตย์คู่ใจผู้โหดเหี้ยมไม่ต่างกันชื่อว่า อำมาตย์กูโปโล ทำการเกณฑ์ชายหนุ่มมาฝึกให้เป็นไพร่พลทหาร และระดมทรัพย์สินของชาวบ้านเพื่อใช้ในการทำสงครามเมื่อเตรียมการจนพร้อมสรรพแล้ว จึงยกทัพเข้ารุกรานอาณาจักรเปิงกิง สงครามที่เกิดขึ้นสร้างความเสียหายแก่ทั้งสองฝ่ายเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะชาวเมืองเปิงกิง ต้องทนทุกข์ทรมารกับความยากจนและหิวโหย 


เมื่อพระเจ้าดามาร์ โมโย รับรู้ถึงความลำบากของประชาชน จึงมีรับสั่งให้เจ้าชายระเด่นบันดุงยกทัพเข้าต่อสู้กับพระเจ้าปราบูโบโกด้วยเหตุที่เจ้าชายระเด่นบันดุงเป็นผู้มีฤทธิ์เดช จึงสามารถสังหารพระเจ้าปราบูโบโกลงได้ อำมาตย์กูโปโลเมื่อเห็นกษัตริย์ของตนถูกสังหารจึงถอยทัพกลับเข้าเมือง พร้อมทั้งแจ้งกับเจ้าหญิงโลโรว่า พระราชบิดาของนางได้ถูกสังหารโดยเจ้าชาย ระเด่นบันดุง ทำให้เจ้าหญิงโลโร เสียใจเป็นอย่างมาก  หลังจากมีชัยชนะต่อพระเจ้าปราบูโบโก เจ้าชายระเด่นบันดุง ก็ยกทัพติดตามอำมาตย์กูโปโลไปจนถึงในเมือง เมื่อพบเห็นเจ้าหญิงโลโร ผู้งดงามราวกับนางฟ้า ก็เกิดหลงรักอยากจะรับนางเป็นภรรยา แต่เจ้าหญิงโลโร ไม่ต้องการเนื่องจากเจ้าชายระเด่น บันดุงเป็นผู้ที่สังหารบิดาของตน จึงกำหนดเงื่อนไขขึ้นมาสองข้อ หากเจ้าชายสามารถทำตามเงื่อนไขนางจึงจะยอมแต่งงานด้วย เงื่อนไขข้อแรก คือ ให้ขุดสระน้ำขนาดใหญ่ภายหลังได้ชื่อว่า ซูมูร์ จาลาตุนดา (sumur Jalatunda) เงื่อนไขที่สอง คือ จะต้องสร้างเจดีย์ 1,000 องค์ ให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งคืน เจ้าชายระเด่น บันดุงก็รับเงื่อนไขทั้งสองของนาง  เจ้าชายระเด่นบันดุง จึงสั่งการให้สร้างสระน้ำจนเสร็จอย่างรวดเร็ว แล้วจึงเชิญให้เจ้าหญิงโลโร ให้มาตรวจดู เมื่อมาถึงสระน้ำเจ้าหญิงโลโร ก็ออกอุบายให้เจ้าชายลงไปว่ายน้ำให้ดู แล้วแอบสั่งให้อำมาตย์กูโปโลนำก้อนหินมาถม เพื่อฝังร่างเจ้าชายระเด่นบันดุง ไว้ใต้สระน้ำ แต่เจ้าชายระเด่นบันดุง สามารถร่ายคาถาป้องกันตนเอง และหนีออกมาจากสระได้ได้อย่างปลอดภัย แล้วกลับไปหาเจ้าหญิงโลโร ด้วยความโกรธแค้น แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าอันงดงามของเจ้าหญิงก็ ทำให้คลายความโกรธลงเจ้าหญิงโลโร จึงทวงสัญญาข้อที่สองที่ให้เจ้าชายระเด่น บันดุง สร้างเจดีย์ 1,000 องค์ ให้เสร็จภายในคืนเดียว เจ้าชายจึงร่ายมนต์เรียก เหล่าภูติผีปีศาจ ให้มาช่วยสร้างเจดีย์ให้ทันเวลา แต่เจ้าหญิงโลโร ไม่ต้องการแต่งงาน กับเจ้าชายระเด่นบันดุง จึงสั่งให้นางกำนัลทั้งหลายนำฟางข้าวไปเผาทางทิศตะวันออก เพื่อให้ท้องฟ้ามีสีแดงสว่างเหมือนกับเวลารุ่งเช้า เพื่อทำให้ไก่ขันเหล่าภูติผีปีศาจปีศาจ เมื่อเห็นว่าถึงเวลารุ่งเช้าแล้ว จึงหยุดการทำงานแล้วกลับไปรายงานเจ้าชายระเด่นบันดุงว่า ไม่สามารถสร้างเจดีย์ 1,000 องค์ ให้เสร็จทันเวลาได้ แต่ได้สร้างเสร็จไปแล้ว 999 องค์ ยังขาดแค่เพียงองค์เดียวเท่านั้น   



มหาเจดีย์บุโรพุทโธ (Borobudur)


Middle of Chawa Island , near Progo river ,, 40km N/W from Yogyakarta,, built in พ.ศ.1293-1393 the biggest place of buddies Mahayan. was built by King of  สร้างโดยราชวงศ์ ไศเลนทร ,, สันนิษฐานว่าสร้างในสมัย คริสศตวรรษที่ 7-9 .,, สร้างด้วยหินภูเขาไฟ 2ล้านตารางฟุต บนฐานสี่เหลี่ยม ก้างด้านละ 121ม. สูง 403 ฟุต เป็นทรงปิรามิด มีลานลดหั่นกันไป 8 ชั้น (5ชั้นล่างเป็นลาน 4เหลี่ยม, 3 ชั้นบนเป็นลานวงกลม) สูงสุดมีมหาสถูปสูง 31.5 ม.  เชื่อว่าบุโรพุทโธ หมายถึง จักรวาล และ อำนาจ ของพระพุทธเจ้า  ได้แก่ พระพุทธเจ้าผู้สร้างโลกในนิกายมหายาน  ซึ่ง

แสดงด้วยสถูปที่กระจายอยู่บนยอดสุดแบ่งออกเป็น 3 ตอน 

  1. บนสุด- อรูปธาตุ 
  2. รองลงมา- รูปธาตุ 
  3. ต่ำสุด - กามธาตุ                                                                                                                                                                เจดีย์องค์ใหญ่ที่ยอดบนที่สุด แทน พระพุทธเจ้า  สถูปคว่ำทึบ เป็นสัญญลักษณ์ของ อรูปธาตุ (ไม่มีร่างกาย)  ฐานชั้น 1 มีรูปแกะอยู่ 160 ภาพ เกี่ยวกับคัมภีร์ธรรมวิวังค์ ว่าด้วยเรื่องกฏแห่งกรรม   มีภาพพุทธประวัติถึง 1,460 ชิ้น พระพุทธรูป 504 องค์รอบฐานองค์บุโรพุทธโธ


บุโรพุทธโธ (Borobudur) ถูกสร้างขึ้นโดยกษัตริย์ Samaratungga ซึ่งเป็นหนึ่งของราชอาณาจักรมาตารามเก่า ในราชวงศ์ Sailendra ตามจารึกของ Kayumwungan ในอินโดนีเซีย ที่ชื่อ Hudaya Kandahjaya กล่าวว่า บุโรพุทธโธ (Borobudur) เป็นสถานที่สำหรับสวดมนต์ที่มีความสมบูรณ์ที่สุด สร้างขึ้นเมื่อ 26 พฤษภาคม 824 เกือบ 100 ปี นับจากเวลาที่การก่อสร้างก็เริ่มขึ้น ชื่อของบุโรพุทธโธ (Borobudur) บางคนบอกว่าหมายถึง ภูเขาที่มีระเบียง (budhara) ในขณะที่คนอื่นๆ พูดว่า บุโรพุทธโธ (Borobudur) นั่นหมายความว่า พระอารามในสถานที่สูง


บุโรพุทธโธ (Borobudur) สร้างเป็นอาคารสิบระเบียง ความสูงก่อนที่จะปรับปรุงเป็น คือ 42 เมตร และหลังจากปรับปรุงแล้วเหลือ 34.5 เมตร เนื่องจากระดับต่ำสุดจะต้องใช้เป็นฐาน ฐานหกระเบียงแรกอยู่ในรูปแบบสี่เหลี่ยม สองระเบียงชั้นบนอยู่ในรูปแบบวงกลม และด้านบนเป็นระเบียงที่พระพุทธรูปหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ระเบียงแต่ละขั้นแสดงการเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตมนุษย์ ในวิถีทางเดียวกันกับลัทธิมหายาน โดยทุกคนที่ตั้งใจที่จะเข้าถึงระดับของพระพุทธเจ้าต้องไปผ่านแต่ละขั้นตอนของชีวิตเสียก่อน      


ฐานของ บุโรพุทธโธ (Borobudur) เรียกว่า Kamadhatu แสดงสัญลักษณ์ของความเป็นมนุษย์ ที่ถูกผูกไว้โดยยังคงแสดงถึงความต้องการทางเพศ บนชั้น แสดงไว้ 4 เรื่อง เรียกว่า Rupadhatu แสดงสัญลักษณ์ของความเป็นมนุษย์ที่มีการตั้งตัวเองเป็นอิสระจากความต้องการทางเพศ แต่ยังคงผูกพันกับรูปร่างหน้าตา บนระเบียงของชั้นนี้ พระพุทธรูปจะอยู่ในพื้นที่เปิดโล่งในขณะบนระเบียงที่สาม พระพุทธรูปอยู่อยู่ในเจดีย์ทรงคว่ำ มีแสงให้สองผ่านได้ เรียกว่า Arupadhatu แสดงถึงสัญลักษณ์ของมนุษย์ ที่ได้รับอิสระจากความปรารถนารูปร่างและหน้าตา ส่วนบนที่เรียกว่า Arupa แสดงถึงสัญลักษณ์ของนิพพาน ซึ่งเป็นที่ที่พระพุทธะเจ้าพำนักอยู่


ระเบียงแต่ละช่องมีภาพแกะสลักที่แสดงเรื่องราวของพุทธประวัติ หรือแสดงลักษณะของชีวิตมนุษย์ แสดงถึงฝีมือประติมากรรมที่แกะสลักไว้อย่างสวยงาม เพื่อให้เข้าใจถึงลำดับของเรื่องราวจะต้องเดินตามเข็มนาฬิกาเริ่มจากทางเข้าวัด ภาพแกะสลักได้บอกเล่าเรื่องราวในตำนานของรามายณะ นอกจากนี้ยังมีภาพแกะสลักที่อธิบายสภาพของสังคมในเวลานั้น เช่น ตัวอย่างของกิจกรรมของเกษตรกร สะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าของระบบการเกษตร และการแล่นเรือใบ ที่แสดงถึงการเป็นตัวแทนของความก้าวหน้าของการเดินเรือใน Bergotta (Semarang ในปัจจุบัน)   


Atisha, มีความประสงค์ที่ต้องการทราบเกี่ยวกับจารึกเรื่องราวหรือข้อมูลในแต่ละภาพแกะสลัก ซึ่งพระ Serlingpa (พระมหากษัตริย์ของ Sriwijaya) ได้ถ่ายทอดให้ Atisha ฟัง หลังจากนั้น  Atisha ก็กลับไปยังอินเดีย เพื่อปรับปรุงคำสอนของพระพุทธเจ้าและได้สร้างสถาบันศาสนาที่ชื่อว่า Vikramasila หลังจากนั้น Atisha ก็กลายเป็นผู้นำทางศาสนา และสอนศาสนาให้กับชาวทิเบตจากการฝึกธรรม จารึก 6 คำสอนของพรุพุทธเจ้าจาก Serlingpa สรุปแล้วเป็นหลักของการเรียนการสอนที่เรียกว่า “แสงไฟสำหรับเส้นทางการตรัสรู้” หรือที่รู้จักกันดีว่าเป็นเส้นทาง Bodhi Pradipa


Unesco ได้ขึ้นทะเบียนบุโรพุทโธเป็นมรดกโลกปี 2534


cr. Wikipedia, Website: mthai.com










Create Date : 27 กรกฎาคม 2559
Last Update : 27 กรกฎาคม 2559 11:19:13 น. 0 comments
Counter : 625 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

สมาชิกหมายเลข 3271775
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




Hi guys, I'm "Ploy" who always have full of bucket list. It is because the world is gigantic, so step out 'n explore its. I write, i-dive, i-trek, i-run, i-yoga, i-blog, and I love good food. Let's follow the dream. สวัสดีค่ะ ชื่อ"พลอย"ค่ะ เป็นพวกชีวิตมีแต่บวก ไม่มีลบ Bucket list เต็มตลอดเวย์ อะไรๆก็เป็นลิสต์ที่ต้องทำก่อนตายสำหรับยัยพลอยทั้งนั้น (ก็โลกนี้มันกว้างใหญ่จะตายไป!) ไหนๆก็ได้เกิดมาบนโลกสวยงามใบนี้แล้วหนิ คิดแล้วจะรออะไร...เก็บกระเป๋า ก้าวเท้าออกมา โลกรอเราอยู่ (หรือความอยากรอเราอยู่) พลอยชอบขีดๆเขียนๆ, วิ่ง, โยคะ, ดำน้ำ, เทรค, และทุกทริปจะขาดไม่ได้เลยคือ อาหารอร่อย. มาออกเดินทางตามความฝันกับ "พลอย เจอนี่ เจอนั่น" ด้วยกันนะคะ... : )
New Comments
Friends' blogs
[Add สมาชิกหมายเลข 3271775's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.