Group Blog
 
<<
มีนาคม 2549
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
21 มีนาคม 2549
 
All Blogs
 

Invisible Waves : ตัวตนของคนทำ กับคำพิพากษาของคนดู มองไม่เห็นแต่มีอยู่ รับรู้และสัมผัสได้



คำเตือน นี่ไม่ใช่ review ภาพยนตร์ ผมแค่อยากพูดถึงมันตามที่ผมเห็น และนึกออกเท่านั้น

แต่มี spoil


ที่จริงสัญญาไว้สองอาทิตย์ ในแนะนำหนังสือแล้วกระมังว่าจะมา spoil เรื่องนี้อีกที แต่ก็ยังไม่มีเวลา (ที่จริงก็จะนั่งเขียนแล้วล่ะ แต่ก็เผลอหลับไปก่อน)

ถ้ายังไงผมแนะนำว่า ถ้าจะดูหนังเรื่องนี้ให้สนุก น่าจะอ่านหนังสือชื่อ บันทึกกลางกองถ่าย "คำพิพากษาของมหาสมุทร" ด้วยครับ

ผมดูหนังเรื่องนี้สองรอบนะครับ รอบแรกผมดูที่ Century The Movie Plaza เพราะว่าใกล้ที่ทำงานผม รอบนี้เป็นพากษ์ไทยครับ ซึ่งผมยอมรับว่า เสียอารมณ์ไปมาก



ก็เลยไปดูรอบสองเป็น soundtrack ครับ ... หนังเรื่องนี้จึงเป็นหนังที่กำกับโดยคนไทย (คือคุณเป็นเอก รัตนเรือง) เขียนบทโดยคนไทย (คือคุณปราบดา หยุ่น) แต่นักแสดงมาจากหลาย ๆ ชาติ (ตามแนวคิด Pan Asia) ก็เลยพูดกันหลายภาษาหน่อย

จะดูหนังให้ได้อารมณ์ ก็น่าจะต้องฟังจากเสียงของนักแสดงเอง ซึ่งการพากษ์ไม่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ได้ (แต่ทว่า การไม่ได้พูดภาษาของตัวเอง เราก็รู้สึกได้เหมือนกันว่า ม้นไม่เป็นธรรมชาติ)

ผมได้มีโอกาสชมภาพยนตร์ของคุณเป็นเอก 4 เรื่องจากทั้งหมด 5 เรื่อง คือผมได้ดู ตลก 69, มนต์รักทรานซิสเตอร์, Last Life in the Universe, แล้วก็เรื่องนี้เลยครับ Invisible Waves (ขาดก็แต่เรื่องแรก หาดูไม่ได้สักที ฝัน บ้า คาราโอเกะ)

แต่เท่าที่ดูมา 4 เรื่อง ผมก็พอจะเห็น"ตัวตน"ที่ผู้เขียนบท ผู้กำกับ ทีมงาน ได้ (ถ้าผมไม่ได้เข้าใจผิด เพราะรู้สึกไปเอง)



อย่างน้อยที่สุดพวกเขาชอบเล่นกับอารมณ์ มากกว่าเนื้อหา ชอบเล่นกับภาพ มากกว่า การดำเนินเรื่อง (อันนี้อาจจะต้องพูดไปก่อนว่า การดำเนินเรื่องมันขึ้นกับคนตัดต่อด้วย ไม่ใช่คนเขียนบท)

ตัวตนของพวกเขาในแผ่นฟีล์ม มีมากกว่านี้ มองไม่เห็น แต่ว่าคุณสัมผัสได้ ถ้ามีประสบการณ์ในเรื่องนั้น ๆ มาก่อน ที่สำคัญ คนดูก็จะตัดสินผลงานของพวกเขาอีกที

ปัญหาคือ บรรดาคนดูจะรู้สึกได้ถึง "สิ่งที่มองไม่เห็น" เหล่านี้หรือไม่ก่อนที่จะพิพากษาว่า "หนังของทีมงาน เป็นเอก-ปราบดา-คริสโตเฟอร์" มีคุณค่าหรือไม่อย่างไร

ผมไปดูสองรอบ ผมก็เลย Oh!.... ผมเห็น (สัมผัสรับรู้ได้) แล้วล่ะ ตั้งเยอะตั้งแยะ ที่มันไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อหา หรือ ภาพ ก็มีให้รู้สึกถึงสิ่งที่มองไม่เห็นเหล่านั้น

ผมเชื่อว่า หลาย ๆ คนดูหนังเรื่องนี้แล้ว คิดว่า invisible waves และ ชื่อหนังภาษาไทยว่า คำพิพากษาของมหาสมุทร คงหมายถึง ผลกรรม หรือ เป็นสิ่งที่อยู่ในจิตใจ ที่ทำให้พระเอกของเรามีความทุกข์ หาความสุขไม่ได้ โดยคำว่ามหาสมุทร ก็เป็นเพียงคำที่ทำให้ waves ดูเป็นสัญลักษณ์ทางนามธรรม ที่ เหมือนกับเป็นรูปธรรมมากขึ้น

ยิ่งที่มีบทพูด ราวกับว่า พระเอกคิดว่า มหาสมุทรได้ตัดสินเขาตลอดเวลา

ผมว่ามันก็น่าจะใช่นะ แต่ถ้าเราตัดคำว่า ลืมไปว่ามันมีชื่อภาษาไทยด้วย เหลือแต่เพียง invisible waves คำ ๆ นี้อาจจะหมายถึง"แรงดลใจ" หรือ "ความประทับใจ" ได้ด้วย



อะไรนะ ที่ทำให้ เป็นเอก-ปราบดา-คริสโตเฟอร์-อาซาโน่ ซึ่งร่วมงานกันใน Last Life in The Universe กลับมาร่วมงานกันอีก

แล้วทำไมพี่น้อง น้อย นิด (จาก Last Life ซึ่งชื่อไทยคือ เรื่อง รัก น้อย นิด มหาศาล) จึงกลับชาติมาเกิดเป็น แม่ลูกัน ใน Invisible Waves

ห้องพักในเรื่องของพระเอกคือห้อง 96M (สลับตัวเลข 69)

เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นระหว่างการชุลมุนในห้องพักที่ภูเก็ต เป็น sex phone เหมือนในเรื่องตลก 69 อืม ตรงนี้เสียงเบามากนะครับ ต้องตั้งใจฟังนิดนึง และไม่ได้ยินในโรงที่พากษ์ไทยนะครับ จะได้ยินใน soundtrack (เห็นทีต้องซื้อ DVD แล้ว)

หรือแม้แต่ Lizard ตัวละครที่จะมาสังหารพระเอกของเรา ก็เหมือนจะปรากฎตัวอยู่ในหนังสือที่ถือโดยอาซาโน่ตอนแสดงใน List life เช่นกัน

คุณปราบดาซึ่งเป็นคนเขียนบทมีแรงดลใจอะไรกันนะ

ที่จริงยังมีอีกเยอะนะครับ ที่สามารถมองย้อนไปในอดีตของหนังเรื่องก่อน ๆ ราวกับพวกเขาอยากจะฝากตัวตนในอดีตลงไปในปัจจุบันด้วย ผมว่าการมองสิ่งเหล่านี้ให้ออกได้ มันเป็นความสนุกอย่างนึงนะครับ



นอกจากสิ่งที่ตามมาจากอดีตแล้ว เรื่องปัจจุบ้นที่อยู่ในฟิล์ม ก็มีอะไรบางอย่างที่น่าจะเป็นตัวตนของนักแสดงอยู่เช่นกัน อย่างหลวงจีนทุศิลรูปนี้ โพกหัวเพราะไม่ยอมโกนหัวเข้าฉาก และเรื่องนี้ขาดความสมจริงไปมากก็ที่ฉากนี้เหมือนกัน กล่าวคือ เรายังพอทำใจกับสำเนียงอังกฤษแปลก ๆ ของตัวละครได้ โดยคิดว่า เพราะพวกเขามาจากคนละประเทศกัน เวลาคุยกันก็ควรคุยกันเป็นภาษาอังกฤษ

แต่ฉายที่ว่านี้ พระเอกพูดภาษาอังกฤษ หลวงจีนตอบภาษาจีน คุยตอบโต้ไปมานี่แหละ มันเป็นไปได้อย่างไรกัน ถ้าเปลี่ยนเป็นพระเอกพูดญี่ปุ่น พระพูดจีนตอบ ก็เป็นอะไรที่แปลกไปอีกอย่าง

คือถ้าพระเอกฟังภาษาจีนรู้เรื่อง ก็น่าจะพูดจีนไปเลย หรือว่าถ้าพระฟังภาษาอังกฤษออก ก็น่าจะพูดอังกฤษไปเลยด้วย

อย่างว่าครับ เขาเป็นดารา-ผู้กำกับใหญ่ คงอยากทำอะไรตามใจ



หรือฉากนี้ก็เหมือนกัน ผมไม่รู้ว่า จะเอามาใส่ไว้ทำไม ผมไม่เข้าใจ แถมตัวแสดงก็แสดงอารมณ์ได้เวอร์ไปหน่อย

อันนี้แสดงถึงตัวตนของทีมงานได้เหมือนกัน ที่อาจจะอยากหลุดโลกไปบ้าง ขอให้ฉันได้ใส่อะไรตามใจฉันเถิด แต่อย่างไรก็ตาม มองอีกแง่นึง เป็นไปได้ไหมที่พวกเขาตั้งใจจะกระตุ้นให้คนดูตั้งคำถามว่า นี่มันอะไรกัน ผู้สร้างต้องการย้ำว่า อย่าคิดว่าจะไม่มีคนจำเอ็งได้นะ ไม่ว่าจะหนี่ไปไหนก็ตาม หรือเปล่า

ก็ลองดูกันครับว่า ผู้ชมจะตัดสินยังไง คือไม่รู้ว่าจะตีความไปได้ยังไงบ้าง

ถ้าจะให้พูดแบบตรงๆ เลยก็คือว่า เนื้อหาในหนังเรื่องนี้มันน้อยมาก ๆ กล่าวคือ เป็นเรื่องของชายคนหนึ่ง ซึ่งเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน สามีก็เลยว่าจ้างชายคนนั้นให้ฆ่าภรรยาที่นอกใจ แล้วก็ส่งลูกน้องอีกคนตามไปเก็บชายคนนั้น

พอมันน้อยมันเลยต้องเล่นกับอารมณ์ ภาพ แล้วก็อะไร ๆ ที่เรียกว่าเป็นภาษาหนัง และ ระบบสัญลักษณ์มาก ๆ หน่อย ซึ่งบางอันผมก็ว่ามันจงใจไปหน่อยหรือเปล่า ทำให้ดูแข็ง ๆ ไม่เป็นธรรมชาติ แล้วก็ พาลคิดไปว่า ไม่เป็นเอก ก็ ปราบดา ไม่ก็ คริสโตเฟอร์ ไม่ก็คนอื่น ๆ ต้องเป็นพวกย้ำคิดย้ำทำ (OCD - Obsessive-Compulsive Disorder) ไม่ก็มีแนวโน้มจะเป็น ไม่มากก็น้อย



อย่างเช่นฉากนี้ จะเห็นกะละมังไม้ แล้วมีเชือกสีเขียวขึงอยู่ด้านหลัง พระเอกใส่มีดไว้ในนี้ครับ แล้ว "ชักรอก" เพื่อเก็บหรือเพื่อเอามีดมาใช้ ซึ่งฉากชักรอกนี้ มีหลายฉากทีเดียว ในบ้านพระเอกก็มีออีกฉากนึง คือชักรอกเอาเสื้อขึ้นไปแขวนไว้ ฉากแลกเงินที่ภูเก็ต ก็ชักรอกเอาจากบ่อน้ำ หรือแม้แต่ฉากที่ Lizard ร้องคาราโอเกะ ไมโครโฟนก็ถูกชักรอกลงมา

ฉากในเรือก็มีอะไรที่ทำซ้ำไปมาเช่นกัน ฉากเปิดน้ำแล้วตัวเปียก ก็รู้อยู่แล้วว่าเปิดก๊อกล่าง ฝักบัวจะปล่อยน้ำ ถ้าเปิดก๊อกบน ที่อ่างน้ำจะมีน้ำ ก็ยังผิดซ้ำไปซ้ำมา แต่ยอมรับว่าอาซาโน่ แสดงตรงนี้ได้ดี เหมือนกับว่าเขาไม่ได้จงใจทำผิดซ้ำ แต่อาจจะเผลอจริง ๆ (โทษคนเขียนบทมัน )

ฉากในห้องพักในเรือนี่ก็เหลือเกิน เตียงที่เหมือนเล่นตลก แกล้งเคียวจิ รู้ทั้งรู้ว่าเป็นแบบนั้น ก็ยังทำซ้ำไปซ้ำมา

แต่ไอ้ที่ตลกและน่าสมเพชโชคชะตาของตัวละคร (ตามท้องเรื่องนะ ไม่ใช่สมเพชหนัง) ก็คือ การพูดซ้ำไปซ้ำมา จนคนดูอย่างผมยังรู้สึกโมโหแทนเลย



ฉากที่พระเอกติดอยู่ในห้อง แล้วโทรศัพท์ไปบอกว่าให้ช่วย Operator ก็ถามย้ำไปย้ำมา ซ้ำไปซ้ำมาว่า คุณอยู่ข้างในห้องแล้วออกไม่ได้ หรือคุณอยู่ข้างนอกห้องแล้วเข้าข้างในไม่ได้ ขนาดพอช่างมาแล้ว ยังถามคำถามเดิมอีกทั้ง ๆ ที่ก็ได้ยินเสียงเคียวจิจากในห้อง

หรือฉากที่เพิ่งยกตัวอย่างไปว่า ใส่มาทำไม ก็พูดถามซ้ำไปซ้ำมาเหมือนกัน คุณคือเคียวจิเพื่อนผมใช่หรือไม่ เราเคยไปโรงเรียนด้วยกันหรือเปล่า

อันนั้นอาจจะเป็นการย้ำคิดย้ำทำของคนเขียนบทนะ แต่มีฉากนึงที่น่าจะแปลว่าผู้กำกับกับตากล้องของเรา (คริสโตเฟอร์) ก็น่าจะเป็นพวกย้ำคิดย้ำทำไม่น้อยกว่ากัน แต่บังเอิญ... แกคงไปตีประเด็นว่า มันคือความสวยงาม

ก็ฉากที่เคียวจิไปสั่งนมในเรือไงครับ บาร์เทนเดอร์ที่บังเดิญหน้าเหมือนพ่อของเคียวจิ เปิดตู้เย็น เอาของ ปิดตู้เย็น เปิดตู้เย็น เก็บของ ปิดตู้เย็น เปิดตู้เย็น เอาของ ปิดตู้เย็น แบบนี้ แล้วคริสโตเฟอร์ก็ถ่ายภาพจากมุมนี้ ผ่านประตู้ตู้เย็นแบบใส มองผ่านไปที่เคียวจิที่นั่งดื่มนมอยู่

ได้ข่าวว่า คุณคริสโตเฟอร์ แกชอบฉากนี้มากเลยนะ

เรื่องภาษาหนังเรื่องนี้ถือว่าเยอะกว่าเรื่องอื่น ๆ ไหม หรือว่า เยอะไปไหม น้อยไปหรือเปล่า หรือว่า ก็อยู่ในเกณฑ์ อืม... อันนี้ไม่ขอวิจารณ์เพราะว่าดูหนังไม่ได้มากพอ แต่ขอมองว่า ของบางอย่างมันดูจงใจมากไปหน่อย

เช่น การสั่งนม นมดูสีขาว ขาวหมายถึงความบริสุทธิ์ ผมคิดว่าถ้าผมทำชั่วมากแล้วผมอยากล้างบาป หรืออยากชำระจิตใจ ผมก็ไม่คิดว่าผมจะสั่งนมนะครับ ผมอาจจะสั่งน้ำชา น้ำเปล่า เพราะมันดูธรรมดา ไม่จงใจเท่ากับ"นม" แต่ก็แล้วแต่คนนะครับ



การใช้ฉากเป็นภูเก็ต กับ มาเก๊า กล่าวคือ บ้านเมืองมีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบ Chino-Protuguese กล่าวคือผสมกันระหว่างจีนกับโปรตุเกสคล้ายกัน (มาเก๊าเป็นอนานิคมของโปรตุเกส) เหมือนกับว่า จากที่นึงมา ก็ยังเจอเรื่องเหมือน ๆ เดิม บ้านเมืองคล้าย ๆ เดิม



ที่ผมพยายามเล่ามา คือ มุมมองเกี่ยวกับ Invisible Waves ในหลากมิติ ไม่ว่าจะเป็นมุมมองในมิติเกี่ยวกับผู้สร้างหนัง มิติเกี่ยวกับหนังที่ผู้ชมอาจจะสัมผัสได้

แล้วถ้ามองในมิติของตัวละครในเรื่องล่ะ Invisible Waves นี้ เคียวจิสัมผัสมันได้หรือเปล่า

แน่ล่ะ เขาคงไม่คิดมากหรอกว่า ท้องทะเลจะมีอะไร แม้เขาคิดว่าท้องทะเลตัดสินเขาอยู่ตลอดเวลา เพราะนั้นเป็นรูปแบบหนึ่งของการคิดเอาเอง เป็นวิธีคิดของคนที่รู้สึกผิดอยู่แล้ว พร้อมที่จะโทษตัวเองอยู่แล้ว

เวลาเห็นคนรอบ ๆ หรือใครคนอื่น พูดอะไร หรือทำอะไร เขาก็คิดไปก่อนแล้วว่า คนอื่น ๆ นั้น กำลังพูดวิจารณ์การกระทำของเขาอยู่ และแน่นอน คนเหล่านั้นกำลังพิพากษาว่า เขาผิด

เคียวจิน่าจะรับรู้และรู้สึกได้ว่า มีอะไรบางอย่างแปลก ๆ เกิดขึ้นกับตัวเขา ซึ่งก็อยู่ที่การตีความของเคียวจิเองแล้วล่ะว่า สิ่งเหล่านั้น (ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง) จะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขาทำไว้หรือไม่ (ฆ่าคุณนายเซโกะ)

แต่ท่ามกลางเรื่องร้าย ๆ เคียวจิก็เจอเรื่องเล็ก ๆ ให้ได้ชื่นใจบ้าง ก็คือการได้พบกับ น้อย และ นิด ความเหงาที่ไม่มีเพื่อนก็ถูกขจัดไป เพราะการเดินทางบนเรือมันช่างยาวนานเหมือนกัน แต่สิ่งเหล่านี้เป็นไปตามบทที่ boss วิวัฒน์วางแผน (invisible waves ผ่านคำสั่ง) ไว้แล้วหรือไม่ ในหนังไม่ได้เฉลยไว้



หรือเป็น invisible waves ในแง่ของดวง บุญเก่า กรรมเก่า นั่นแหละที่ชักนำให้คนต่าง ๆ เหล่านี้ต้องมาเกี่ยวกัน เพียงแต่เราก็ไม่รู้ว่าเคียวจิสัมผัสมันได้มากน้อยเพียงใด



อย่างไรก็ตาม การที่เคียวจิได้พบน้อยกับนิดนี่แหละ ทำให้เคียวจิไม่กล้าลั่นไกปืนยิ่งเจ้านายของเขา ผู้ซึ่งเป็นคนที่น้อยรัก

เคียวจิไว้ชีวิตวิวัฒน์ เขาไม่กล้าทำลายความสุขของคนอื่น และคงรู้ว่า ถ้าเขาฆ่าได้อีกคน ตัวเคียวจิเองก็คงไม่ได้มีความสุขมากขึ้น น้อยคงไม่ให้อภัยเขา



บ้านของ Boss วิวัฒน์กับน้อยอยู่บน The Peak ฮ่องกง อยู่บนที่สูง มีชีวิตในแบบของเขา และกำลังจะมีความสุขกับน้อย แต่ตัวเขาอยู่บนที่ต่ำกว่า คือระดับน้ำทะเล เป็นไปได้ไหมว่า เขาเริ่มรับรู้และคิดได้แล้วว่า ในสังคมนี้ มันไม่ได้เท่าเทียมกัน แต่มันจะเป็นจากอะไรกันนะ เป็นเพราะเราเป็นทุนนิยม วัตถุนิยมกันเกินไปหรือเปล่า

นี่เป็นความสูงต่ำ เปรียบเทียบเชิงสัญลักษณ์

ทว่า "มิตรภาพ" น่าจะเป็นสิ่งที่อยู่เหนือกว่าอะไรทั้งหมดสำหรับเคียวจิในตอนนี้ เหนือกว่าความสูงต่ำแบบที่ว่านั้น ด้วยความที่เขาหักหลังชู้รักของเขา แล้วก็ถูกเจ้านายหักหลัง เขาจึงไม่ไว้ใจใคร แต่ด้วยความที่น้อยมอบมิตรภาพให้ เคียวจิจึงไม่อยากทำลายมิตรภาพที่มีต่อน้อย

แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ความสูงต่ำทางสัญลักษณ์แบบนี้ ไม่อาจ มีอิทธิพลเหนือเขาได้ ตอนที่เขาเดินลงมาจากข้างบนนั้น คงไม่ได้รู้สึกแล้วหรอกว่า เขาต่ำกว่าคนที่อยู่ข้างบน

เพราะอย่างน้อย เขาก็เพิ่งไว้ชีวิตของเจ้านายเขา




ไม่เพียงมิตรภาพที่มีให้คำน้อย แต่ก็ยังมีให้กับ Lizard มือสังหารที่จะมาปลิดชีวิตเขาด้วย พวกเขาคุยกันเหมือนไม่มีอะไร สบายใจขนาดมานั่งกินไอศกรีมก่อนที่จะอนุญาตให้ Lizard ยิงเขาได้

สีหน้าของเคียวจิก่อนจะถูกยิง ไม่เหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก แต่เหมือนคนที่ปลง และคิดอะไรได้ การที่ให้ lizard ยิงเขาได้ เพราะคิดว่า lizard ก็ทำตามหน้าที่เช่นกัน (เพียงแต่สุดท้ายแล้ว lizard จะต้องมาพบกับเรื่องร้าย ๆที่คอยหลอกหลอนเคียวจิเหมือนกันหรือไม่ ไม่มีใครรู้)

แล้วทำไมต้องเลือกมาตายที่ทะเลด้วยนะ เคียวจิเลือกเอง หรือว่า ผู้กำกับกับคนเขียนบทเลือก บางทีอาจจะอยากให้พ้องกับ Wave และ มหาสมุทร ก็ได้ จึงไม่ได้ตายบนเขา เพราะก็จะกลายเป้น invisible mountian หรือ คำพิพากษาของหุบเขาไป (มุขอันนี้ได้จากหนังสือเบื้องหลัง)

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ชีวิตของเคียวจิคงผูกพันกับการเดินทาง จากญี่ปุ่นซึ่งเป็นเกาะ (ในหนังไม่มีฉากญี่ปุ่น แต่พระเอกเป็นคนญี่ปุ่น) มาที่เกาะ"มาเก๊า" ไปเกาะฮ่องกง ไปเกาะภูเก็ต แล้วก็กลับไปฮ่องกง เคียวจิก็คงโดยสารทางเรือเป็นส่วนใหญ่ด้วย



อาจเป็นจิตใต้สำนึก(invisible waves ก็ได้นะนี่)ของเขานี่เอง ที่เลือกจบชีวิตแบบนี้

ผมสัมผัสสิ่งที่มองไม่เห็นได้ดังนี้ครับ แล้วก็มาเล่าสู่กันฟัง (อ่าน) ผมเชื่อว่าหลายคนดูหนังเรื่องนี้แค่ครั้งเดียว และไม่เคยดูหนังเรื่องเก่าของคุณเป็นเอก

ผมพิพากษาว่า คุณเป็นเอก-คุณปราบดา-คุณคริสโตเฟอร์ มีความตั้งใจกับงานชิ้นนี้มากครับ และผมชอบมันมากครับ

คุณจะชอบมันมากน้อยแค่ไหน ขึ้นกับคุณสัมผัสสิ่งทีมองไม่เห็นเหล่านี้ได้มากเพียงใด

แม้ผู้สร้างจะตั้งใจทำภาพยนตร์เพียงใด ก็ต้องผ่านการพิพากษาจากผู้ชมภาพยนตร์ด้วย







พิพากษาบท spoil "Invisible Waves" ที่ผมเขียนหน่อยสิครับ



ชอบมาก
ชอบ
เฉย ๆ
ไม่ชอบ
ไม่ชอบมาก



ผลการ Vote

Power by Thaimisc.com







 

Create Date : 21 มีนาคม 2549
6 comments
Last Update : 21 มีนาคม 2549 20:16:37 น.
Counter : 6047 Pageviews.

 

มาคุย ๒ ฉากแล้วกันนะคะ

ฉากความผิดพลาดในห้องพัก มีคนไปคอมเม้นท์ตอนรีวิวหนังเรื่องนี้ว่า จริงๆ ของมันอาจปกติก็ได้ แต่ความผิดที่อยู่ในใจของเขา ทำให้มองทุกอย่างเป็นการลงโทษเค้าไปหมด (เพราะท้ายที่สุดเตียงก็กลับมาดีดังเดิม)

ฉากการพูดคุยกับบาร์เทนเดอร์ ฉากเปิดปิดตู้เย็น เรามองตรงช็อตสุดท้ายที่ตรงบาร์เทนเดอร์ถามพระเอกว่า คิดว่าตัวเองเป็นคนดีมั้ย แล้วประตูในช่วงนี้จะเปิดค้างไว้ ทำให้คนดูเห็นพระเอกผ่านฉากกระจกอันพร่ามัว (ทั้งที่กระจกควรเป็นการสะท้อนความจริง แต่ครั้งนี้มันกลับอำพรางความจริง) น่ะค่ะ

การเปิดปิดหลายๆ รอบ ก็เพื่อให้ฉากการเปิดประตูค้างไว้ดูมีเหตุมีผลน่ะค่ะ เพื่อเค้าจะสื่อให้ตรงกับบทสนทนา

คิดว่าอย่างนั้นนะคะ


มาแลกเปลี่ยนความเห็นกันนะคะ

 

โดย: สาวไกด์ใจซื่อ 22 มีนาคม 2549 9:44:20 น.  

 

อืม สงสัยผมต้องดูรอบสามแล้วมั้งนี่

คือผมว่าเรื่องนี้มันมีรายละเอียดของภาพ กับสัญลักษณ์เยอะมากเลยนะครับ

คิดได้ไปต่าง ๆ นานา เลย

แต่ว่า กระจกสะท้อนความจริง มันเป็นกระจบที่ฉาบปรอทไว้ เป็นกระจกที่มองทะลุไม่ได้นี่นา

กระจกที่มองทะลุได้ มันเป็นกระจกอีกแบบนะ

ถ้าจะเปรียบเทียบว่า เป็นกระจกที่พร่ามัว ก็น่าจะเทียบกับกระจกใส หรือ เลนส์แว่นขยาย หรือ กล้องถ่ายรูป มากกว่ากับกระจกเงานะ

ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมครับ

 

โดย: Plin, :-p 22 มีนาคม 2549 12:11:39 น.  

 

๕๕๕

อันนั้นน่ะเข้าใจค่ะ

แต่สำหรับความหมายของเราเนี่ย

กระจก (ที่ต้องฉาบปรอทไว้) คือ ถ้าพูดคำว่ากระจก ก็มักจะหมายถึงกระจกที่สะท้อนความจริงไงคะ หรืออย่างน้อยก็ต้องมองเห็นได้ (เพราะกระจกจะใสไงคะ)


แต่พอถามเรื่องความดีของพระเอก มันกลับกลายเป็นว่ากระจกที่พร่ามัวกลับมาบดบังไว้น่ะค่ะ


ไม่รู้เหมือนกันแฮะ

แต่เราก็รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ต้องดูหลายๆ เที่ยวเหมือนกัน

 

โดย: สาวไกด์ใจซื่อ 22 มีนาคม 2549 14:30:50 น.  

 

อยากให้spoilเรื่อง ตลก 69 จังเลย ฟางหาดูไม่ได้เลย

อยากดูมาก แต่ฝัน บ้า คาราโอเกะดูจากช่อเคเบิ้ลไปแล้ว

เพิ่งรู้ว่าเป็นงานของคุณต้อม ทั้งๆที่ตอนนั่งดูไม่รู้ว่าเป็นงาน

คุณต้อม แต่ก็คิดในใจว่ามันเหมือนกับเคยสัมผัสอะไร

แบบนี้มาจากหนังของคุณต้อม และก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ

 

โดย: forefang IP: 124.120.226.155 25 กันยายน 2549 6:24:17 น.  

 

ไม่ชอบหนังอย่างนี้เลย
ดูแล้วไม่มีความสุข
ไม่ดูดีก่า

 

โดย: หอมกร 7 ธันวาคม 2549 8:11:03 น.  

 

อ่านแล้วได้มุมมองที่มีต่อหนังเพิ่มขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ

 

โดย: renton_renton 17 มีนาคม 2550 13:36:04 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Plin, :-p
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]









Instagram






บันทึก ท่องเที่ยว เวียดนาม


e-mail : rethinker@hotmail.com


Friends' blogs
[Add Plin, :-p's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.