ดาราถ่าย NUDE ทำบุญให้วัด กับ นางคณิกาบริจาคเงินทำบุญสร้างวัด : ความคล้ายที่แตกต่าง
[อ่านบทความอื่น]
เมื่อแรกที่ข้าพเจ้าทราบข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์ว่า จะมีการถ่ายแบบ NUDE ดาราและไฮโซ แล้วจะนำภาพไปประมูลขาย เพื่อรวบรวมรายได้ไปบริจาควัดพระบาทน้ำพุ (ซึ่งมีชื่อเสียงในการเยียวยาผู้ป่วย AIDS ระยะสุดท้าย) ในจังหวะนั้นเอง ข้าพเจ้าก็นึกไปถึงวัด ๆ หนึ่ง ซึ่งสร้างจากการทำบุญของบรรดานางคณิกาขึ้นมาทันที
นั่นคือ "วัดคณิกาผล" หรือ วัดใหม่ยายแฟง ย่านเยาวราช แต่ว่า ไม่ใช่ข้าพเจ้าจะยกเอาเรื่องราวของ "วัดคณิกาผล" มาเป็นเหตุผลเพื่อจะสนับสนุน การทำบุญด้วยการถ่าย NUDE การกุศลแต่อย่างใด เมื่อสหายอ่านถึงตรงนี้ ก็อย่าเพิ่งเข้าใจไปเชียวนะว่า ข้าพเจ้าเปรียบการถ่ายแบบ NUDE ดั่งเช่นการขายตัวแบบโสเภณี (คณิกา) หามิได้!! ข้าพเจ้ามิได้หมายความเช่นนั้น ทว่า กรณีนี้.. เป็นการยกมากล่าวเพื่อเปรียบเทียบและเสนอว่า มันมีความเหมือน และ ความต่างอยู่
แม้จะเกี่ยวเนื่องด้วยเนื้อหนังมังสาคล้าย ๆ กัน แต่นางคณิกาก็ยังสามารถบริจาคเงินที่หามาเพื่อสร้างวัดได้ ในขณะที่มีคนตั้งประเด็นว่า แล้วทำไมพระอลงกตจึงไม่รับเงินบริจาค NUDE การกุศลครั้งนี่ล่ะ มันต่างกันที่ไหน??
สหายลองคิดดูตามข้าพเจ้า ดังนี้
พ่อค้าหมูคนหนึ่ง เลี้ยงชีพด้วยการ ฆ่าหมูเอาไปขาย ได้เงินมาก็คิดจะทำบุญ เช่นนี้เป็นกรณีหนึ่ง กับ การขายเนื้อหนังมังสา เช่น ขายตัว กรณีของนางคณิกา แล้วเอาไปทำบุญสร้างวัด นั้นก็เป็นกรณีหนึ่งซึ่งคล้ายกัน กล่าวคือ การฆ่าหมู กับ การขายตัวนั้น ทำเพราะไม่มีทางเลือก ทำจนเป็นอาชีพไปแล้ว แม้รู้ว่าบาป แต่ก็จำต้องทำ เพราะมันหาทางเลือกอื่นได้น้อย ครั้นพอสบช่องทางที่จะเลี่ยงได้ หรือ หาช่องทางทำบุญได้ จึงตัดสินใจเดินตามทางบุญนั้น นับว่าเป็นการ พบทางสว่างในความมืด ซึ่งข้าพเจ้ามองว่า มันเป็นคนละประเด็นกับการบริจาคให้วัดพระบาทน้ำพุ การที่คนกลุ่มหนึ่ง ที่โดยปกติแล้ว สามารถเลือกได้ว่าจะทำอะไร สามารถประกอบอาชีพมีหน้ามีตาในสังคมได้ สามารถพูดชักจูงสังคมกลุ่มหนึ่งได้ด้วย (เช่นพูดว่าบริจาคเงินกันเถอะ) และสามารถบริจาคเงินเองก็ยังได้อีกด้วย แต่พวกเขากลับเลือกวิธีการถ่ายแบบ nude ที่แม้มองทางหนึ่งจะเป็นศิลป์ แต่มองอีกทางก็ยั่วยุกิเลส ยั่วยุตัณหากามารมณ์ นับเป็นการเดินทางมึด ทั้ง ๆ ที่มีชีวิตในที่สว่างอยู่แล้ว ดังนั้นกรณีวัดคณิกาผล กับ กรณีถ่ายนู๊ดครั้งนี้ เป็นความเหมือนที่แตกต่าง กล่าวคือ ต้องดูเจตนา และความจำเป็นด้วย อาจจะมีคนแย้งว่า ศิลปะกับอนาจารในภาพนู๊ดนั้น มันแยกกันด้วยเส้นบาง ๆ เพียงนิดเดียว ทำไมไม่มองให้เป็นศิลป์ เป็นความงาม ที่เหนือตัณหากามารมณ์เล่า จะไปหมกมุ่นยึดมั่นกับมัน (ซึ่งเป็นความคิดทางต่ำ) ด้วยเหตุอันใด สำหรับข้อนี้ ก็ต้องยอมรับความจริงว่า สัดส่วนของคนที่มองภาพดังกล่าวให้เป็นศิลปะด้วยใจบริสุทธิ์นั้น มันช่างน้อยเหลือ จิตคนที่คิดแต่ในเรื่องความใคร่ช่างมากกว่ากันนัก การถ่ายภาพแบบนี้ เมื่อคิดถึงสังคมโดยรวมแล้ว จะเป็นการกระตุ้นความมัวเมาในกามให้เกิดในสังคมได้ มากกว่าจะ เป็นการจรรโลงใจให้คนซึ้งในคุณค่าแห่งความเป็นศิลป์เสียอีก หากคนคิดโครงการนี้ ชักชวนนางแบบด้วยการบอกว่า นี่เป็นการทำบุญ การกระทำครั้งนี้ของเขา (คนคิดโครงการ) อาจจะทำให้เจตนาอันบริสุทธิ์ของนางแบบเหล่านั้น ต้องด่างพร้อยไป เพราะจะมีคนอีกมากที่จะมองการกระทำโดยรวมแบบนี้ในแง่ลบ (มากกว่าแง่บวก) และพร้อมจะกล่าวถากถางดูหมิ่น หากว่า ท่านไม่เห็นด้วยว่า ทำไมข้าพเจ้าต้องคิดเรื่องแบบนี้ ข้าพเจ้าจิตใจคับแคบเกินไปหรือไม่ หรือว่า ข้าพเจ้ามีอคติเกินไปใช่หรือไม่ ยึดกับศีลธรรมจนเกินเหตุใช่หรือไม่ เอาล่ะถ้าเช่นนั้น ลองมามองที่อีกมิติกัน คือ การมองอะไรแบบเป็นสัญลักษณ์ เมื่อท่านได้ยินคำว่าวัดพระบาทน้ำพุ ท่านนึกถึงอะไรอีกถ้าไม่ใช่ แหล่งที่พึ่งสุดท้ายของคนป่วยโรคเอดส์ (ที่ถูกญาติ ๆ ทิ้งขว้าง บางคนหลอกมาปล่อยที่วัดด้วยซ้ำ) ถ้าพูดถึงผู้ป่วยโรคเอดส์ ท่านจะนึกถึงอะไร แน่ล่ะ อาจจะนึกถึงว่าเป็นโรคที่ไม่หาย แต่ที่แน่ ๆ ท่านจะคิดว่า ไปติดได้อย่างไรมา ซึ่งหลัก ๆ ก็คือทางเลือด และ เพศสัมพันธ์ แต่เราก็มักจะคิดไปอย่างหลังมากกว่าอย่างแรก แล้วถ้าพูดถึงเพศสัมพันธ์ ท่านมองเห็นภาพอะไรต่อ ล่ะ สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้านึกถึงสิ่งยั่วยุต่าง ๆ เช่น ภาพโป๊เปลือย แม้ว่าจะเป็นศิลป์ แต่ก็กระตุ้นอารมณ์ได้ ดังนั้นถ้ามองตามการเป็นสัญลักษณ์แล้ว ภาพเหล่านี้ คือ สิ่งยั่วยุกามารมณ์ ชักนำให้เกิดเพศสัมพันธ์ ถ้าหากมีแต่กับคู่ของตนก็คงดี แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น ก็จะเพิ่มความเสียงต่อการติดเชื้อไวรัส HIV ซึ่งนำไปสู่ AIDS ในที่สุด มองแบบนี้แล้ว การถ่ายแบบ nude การกุศลนั้น ทางหนึ่งเขาว่าจะให้เงินสนับสนุนวัดที่เยียวยาโรค AIDS แต่อีกทาง ก็กระตุ้นโดยอ้อมให้เกิดความเสี่ยงที่จะเพิ่มคนติดโรคได้อีก (นี่ยังไม่นับว่าจะมีคดีข่มขืนกระทำชำเราเพิ่มมากขึ้นแค่ไหนด้วยนะ) ศิลป์ภาพนู๊ดนั้น เป็นศิลป์ในแง่หนึ่ง ข้าพเจ้าไม่เถียง แต่ว่าจะมีกี่คนกันที่มองได้อย่างบริสุทธิ์ใจ มั่นใจได้อย่างไรว่า คนในสังคม เด็ก ๆ รุ่นใหม่ จะมีภูมิต้านทานแล้ว สำหรับข้าพเจ้าแล้วมันเป็นดาบสองคม สำหรับในแง่ของนางแบบนั้น ข้าพเจ้าไม่ถือโทษพวกนางเลย พวกนางถ่ายแบบโดยไม่รับเงินค่าตัวแม้แต่บาทเดียว ข้าพเจ้าเชื่อว่าพวกนางเหล่านั้นทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ มองว่าเป็นเพียงการเรี่ยไรเงินเพื่อทำบุญวิธีหนึ่ง หากแต่คนที่สมควรถูกตำหนิที่สุดก็คือ คนคิดโครงการนี้ ท่านทำโดยไม่มีสำนึกเลย ซ้ำยังทำให้เจตนาบริสุทธิ์ของนางแบบเหล่านั้นต้องถูกมองในแง่ลบจากสังคมบางส่วน สรุปแล้ว...
ข้าพเจ้าคิดว่าสมควรแล้วล่ะ ที่พระอลงกตจะไม่รับเงินบริจาคนี้ ในแง่ของนางแบบข้าพเจ้าคิดว่าท่านผู้อ่านไม่ควรดูหมิ่นเจตนาอันบริสุทธิ์ของพวกนาง (เชื่อว่าพวกนางรู้เท่าไม่ถึงการณ์) และรายได้ที่เกิดขึ้นนี้ สมควรนำไปใช้เพื่อการอื่น ไม่ควรบริจาคให้วัดพระบาทน้ำพุ
หากว่ายังยืนยันที่จะใช้ในกิจกรรม AIDS แล้ว ข้าพเจ้าเสนอว่าควรมอบให้กับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องจะดีกว่า ด้วยความเคารพต่อเจตนาอันบริสุทธิ์ของนางแบบเหล่านั้น
ป.ล. ข้าพเจ้าไม่ได้ว่าแดกดันใครทั้งสิ้น ถ้าจะด่าก็ด่า ถ้าเห็นใจก็เห็นใจ
[อ่านบทความอื่น]
Create Date : 02 เมษายน 2550 |
|
19 comments |
Last Update : 2 เมษายน 2550 6:54:43 น. |
Counter : 5071 Pageviews. |
|
|
|
อย่าโกรธ อย่างอนนะ พระท่านอนุโมทนาต่อจิตอันก่อกุศลแล้ว เพียงแต่มีบริบทหนึ่งที่พวกคุณลืมคิดถึงน่ะ
จริงๆ ทราบว่ามีดารา คนดังไปทำบุญกับวัดนี้เรื่อยๆนะ เพื่อนๆก็มีการจัดโครงการ วันละบาท ช่วยพระบาทน้ำพุ ทุกเดือน ทุกคนจะมีเงินไปเข้าวัดแบบฝากประจำ แบบนี้กิ๊บเก๋ดีออก อีกวิธีก็ ไปช่วยพ่อครัวแม่ครัว "ด้วยแรงกาย" ทำอาหาร ตักอาหาร เสริฟอาหาร ซึ่งงานแต่ละวันก็หนักโข เวลามีคนไปช่วยเขาก็อนุโมทนาแล้ว สละเวลาแทนทรัพย์ ไปชวนคุย ให้กำลังใจอะไรแบบนี้