|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
คุณกินยาก่อน-หลังอาหาร ผิดวิธีรึเปล่า?
ที่ผมเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพราะว่า ตั้งแต่ผมเรียนจบเป็นเภสัชกร ผมยังพบเจอคนเข้าใจผิดเกี่ยวกับการกินยามากมาย ทั้งคนใกล้ตัว คนไกลตัว คนไข้ หรือคนปกติ
ทุกคนคงเคยได้ยินกันใช่ไหมครับ? ยาก่อนอาหาร - หลังอาหาร ควรกินก่อน หรือหลังอาหาร อย่างน้อยครึ่งชั่วโมง แต่...ไม่ใช่อย่างนั้นทั้งหมดครับ
เคยได้ยินใช่ไหมครับ? "กินข้าวสิ จะได้กินยา" แป่ว...ไม่เสมอไปนะครับ บางตัว ไม่กินข้าว ก็กินยาได้นะ
เหตุผลหลักๆในเรื่องของการกินยา ก่อน หรือหลังอาหาร มีไม่กี่อย่างครับ ไม่เรื่องที่ว่าอาหารรบกวนการออกฤทธิ์ของยา ก็อาจเพราะยามีผลกับกระเพาะลำไส้ในด้านต่างๆ
ทีนี้...ที่คุณไม่ยอมกินยาเพราะไม่ได้กินข้าวนั่นน่ะ มันทำให้คุณอาจจะพลาดโอกาสดีๆในการรักษาตัวเองให้หายป่วยได้นะ เอาล่ะ ผมจะแนะนำเฉพาะที่เราเจอกันบ่อยๆก็แล้วกันนะครับ
กลุ่มแรก--ยาที่อาหารไม่มีผลอะไรเลยกับยา จะกินข้าว หรือไม่กิน ก็กินยาได้ตามปกติ พวกนี้เป็นยากลุ่มใหญ่มาก... มากจริงๆ เช่น พาราเซตามอล ยาแก้แพ้ แก้หวัด ยาแก้ไอ ยาละลายเสมหะ ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียบางตัว (เช่น อะม็อกซี่ซิลลิน) ซึ่งเวลาสั่งจ่ายยา แพทย์หรือเภสัชกรจะเขียนเป็นหลังอาหารไว้ก่อน เพราะถือว่าคนไข้จะสะดวกมากที่สุด แล้วก็ไม่จำเป็นด้วยว่าต้องกินหลังอาหารอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง บางทีก็ลืม กินข้าวเสร็จก็กินยาโลดครับ เอาเป็นว่า อาจจะไม่ต้องจำกลุ่มนี้ก็ได้ครับ (มันเยอะ)
กลุ่มที่สอง -- อาหารรบกวนการดูดซึม ควรกินยาตอนท้องว่าง อันนี้จำหน่อยก็ดีครับ แต่ก่อนอื่น เข้าใจคำว่า "ดูดซึมยา" ไหมครับ ผมอธิบายคร่าวๆก็ได้ว่า เวลาที่เรากินยาเข้าไปเนี่ย ที่เป็นเม็ดๆ หรือเป็นแคปซูล เมื่อโดนน้ำ มันจะละลาย (แคปซูลก็ละลายหมดเกลี้ยงเลยนะครับ ยกเว้นบางตัวที่มีการปลดปล่อยพิเศษ ปล่อยยาเสร็จจะถูกขับออกมา) พอละลายเสร็จ มันจะซึมผ่านลำไส้เข้าไปในเส้นเลือด ไปกับเลือดแล้วก็ไปทั่วร่างกายเลย ทีนี้ เจอความผิดปกติที่ไหน มันก็จับกับตัวรับของมันในที่นั้นๆ เช่น พาราก็ไปจับกับตัวรับของมันที่หัว ทำให้เราหายปวดหัว (แต่จริงๆยามันก็ไปทั่วตัวเรานั่นแหละ ที่ตับมันก็ไป ก็เลยเป็นพิษต่อตับยังไงล่ะครับ) ยากลุ่มที่ต้องกินตอนท้องว่าง หลักๆก็ได้แก่ - ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียส่วนใหญ่ (อ้อ...อย่าเรียกยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เช่น เพนิซิลลิน ว่า "ยาแก้อักเสบ" นะครับ เพราะยาพวกนี้ไม่ได้ต้านอักเสบโดยตรง คือเรามักจะเข้าใจผิด เป็นนั่นนี่หน่อยก็คิดว่าตัวเองอักเสบ เลยไปขอซื้อยาพวกนี้มากิน แล้วผลคือ ดื้อยากันจนกินตัวแรงแค่ไหนก็ไม่หาย) ทีนี้มีเรื่องแปลกเช่น ยานอร์ฟล็อคซาซิน ถ้าใช้แก้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ควรกินตอนท้องว่าง จะได้ดูดซึมดีๆ แต่ถ้าแก้ท้องเสีย จะต้องกินหลังอาหาร ยาจะได้ค้างอยู่ในลำไส้ ฆ่าเชื้อในลำไส้ได้ - ยาถ่ายพยาธิในลำไส้ อัลเบนดาโซล เพราะอาหารที่มีไขมัน จะทำให้ยาดูดซึมดีเกินไป (เราอยากให้มันค้างในลำไส้ จะได้ฆ่าพยาธิได้) แต่ยานี้ก็แปลกเหมือนกัน ถ้าอยากให้ฆ่าพยาธิในกล้ามเนื้อ เช่น ตัวจี๊ด จะให้กินพร้อมอาหารที่มีไขมันแทน จะได้ดูดซึมดีๆ - นอกจากนั้นก็จะมีพวก ยารักษาโรคกระเพาะ ยาแก้คลื่นไส้ ยารักษาโรคเบาหวานบางตัว ถ้าอธิบายเหตุผลคงยาวมาก....เอาพอเป็นกระสายแค่นี้ก่อนก็แล้วกันครับ
กลุ่มที่สาม -- ยาส่งผลต่อทางเดินอาหาร เช่น ยาแก้ปวด แอสไพริน ไอบูโปรเฟน ไดโคลฟีแนค พวกนี้จะกัดกระเพาะ ต้องกินหลังอาหารทันที หรือยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ดอกซี่ไซคลิน กินตอนท้องว่างจะคลื่นไส้มาก ต้องกินหลังอาหารทันทีเหมือนกัน อย่างนี้เป็นต้น
เห็นไหมล่ะครับ ยาแต่ละตัวมีวิธีกินที่แตกต่าง ดังนั้น ถ้าจะให้ดี ลองถามเภสัชกรคนจ่ายยาก็ได้ครับ ว่ากินตอนไหนดี ข้อมูลพวกนี้มันละเอียดมาก เภสัชกรได้เรียนเยอะสุดแล้วครับ ไล่ตั้งแต่กว่าจะเป็นเม็ดยา จนยาทำให้หายป่วยได้อย่างไร ดังนั้น อยากรู้อะไรเกี่ยวกับยา ถามเภสัชกรเลยครับ :)
สุดท้าย ถ้าอ่านแล้วงง มีข้อสงสัยเรื่องยาตัวไหน หรือเกี่ยวกับยาที่ตัวเองกินอยู่ก็ได้ อยากถามผม ก็ได้นะครับ ผมจะช่วยตอบให้ครับ :)
Create Date : 15 ตุลาคม 2555 |
|
3 comments |
Last Update : 24 ตุลาคม 2555 20:02:43 น. |
Counter : 6276 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: sailyacht (sailyacht ) 16 ตุลาคม 2555 0:51:01 น. |
|
|
|
| |
โดย: ลุงวิชญ์ บ้านแพะ IP: 182.53.18.134 17 พฤศจิกายน 2558 7:12:45 น. |
|
|
|
| |
|
|