ประตูบานที่หนึ่ง
เวลาหลังประตู ปลายแปรง
ฉันนั่งมองหนังสือ ฟ้าเมืองทอง ที่วางซ้อนอยู่บนหนังสือรวบรวมผลงานของตัวเองที่ชั้นหนังสือริมหน้าต่างชั่วอึดใจก่อนจะเอื้อมมือไปสัมผัสมันอย่างตั้งใจอีกครั้ง
ฟ้าเมืองทอง ฉบับเดือนตุลาคม พ.ศ.2530 หนึ่งในหนังสือไม่กี่เล่มที่ฉันพกติดตัวไปด้วยทุกแห่งหนไม่ว่าฉันจะเดินทางไปที่ใดๆก็ตาม ปีนั้นเป็นปีที่ฉันเริ่มส่งเรื่องไปตามสำนักพิมพ์อย่างจริงจัง และเป็นเล่มที่เรื่องสั้นเรื่องที่ 2 ได้รับการตีพิมพ์ ปีนี้ยังมีนิยายอีกเรื่องที่ผ่านการพิจารณาแต่ฉันเขียนไม่จบ ฉันอยากเขียนหนังสือโดยที่ไม่รู้เลยว่าการเป็นนักเขียนเป็นอย่างไร ฉันเพียงแต่อยากเล่าความคิด ความฝัน จินตนาการให้คนอื่นได้รับรู้ เพราะการเขียนบรรยายสิ่งต่างๆฉันทำได้ดีกว่าเขียนภาพ หรือมุขปาฐะบอกใครในเวลานั้น
ฉันเริ่มพิจารณาเวลาที่พ้นผ่านของตัวเอง หลังจากลุงบูลย์และเพื่อนๆนักเขียนกลับไปหลายวัน ลุงรำลึกความหลังถึงวันแรกๆของการเข้าสู่วงการราวๆปี 27-30 ลุงเขียนงานเก็บไว้นับสิบๆเรื่อง ทยอยส่งไปตามสำนักพิมพ์ต่างๆ ทำให้ฉันต้องมาย้อนคิดถึงความหลังของตนเองบางอย่างที่สอดคล้องกัน จึงย้อนกลับมาดู ฟ้าเมืองทอง เล่มนี้อีกครั้ง เล่มที่เรื่องสั้นของฉันกับลุงได้ตีพิมพ์ในเล่มเดียวกัน
นานเหลือเกิน วันนั้นถึงวันนี้ 18 ปีผ่าน ฉันไม่เคยคาดคิดเลยว่า หนังสือที่ร่วมเดินทางไปกับฉันเล่มนี้ คือประตูมิติ ให้ฉันก้าวข้ามเวลามาพบคนร่วมวิถีที่ต่างคนต่างไป
ลุงบูลย์เป็นใครสักคนที่ฉันไม่เคยรู้จัก และไม่คาดหมายว่าจะได้พบ นับแต่วันที่ฉันปิดประตูบานนี้แล้วหน้าเดินไปสู่ถนนสายต่างๆมากมาย ที่แปลก แตกต่างกันไป จนใครๆเลิกคาดหวังในชีวิตบนเส้นทางที่ฉันเลือกเดินด้วยตัวเอง
..ฉันได้เป็น ฉันได้ทำ เลือกเป็นทั้งครู นักประสานงาน เด็กเสริฟ แม่ครัว แม่ค้า ทุกคนประทับตราว่าฉันล้มเหลวในชีวิต
ฉันไม่เคยเสียใจในสิ่งที่ทำลงไปแม้จะไม่ประสบความสำเร็จเลยก็ตาม ทางที่เราเลือกเอง ต้องยอมรับผลการเลือกนั้นๆ มดตัวจ้อยทอดตนเป็นสะพานให้เพื่อนก้าวข้ามระหว่างใบไม้ไม่ได้คาดหมายให้เพื่อนพ้องยกย่องว่าเป็นผู้เสียสละสร้างฐานรากให้รังใหม่ เพียงได้ทำหน้าที่ของมัน วันหนึ่งข้างหน้ามดน้อยก็ต้องเดินไต่หลังเพื่อนเพื่อเก็บอาหารสะสมในรัง เพียงมดตัวจ้อยได้ใช้ชีวิตที่สุดเหวี่ยง ยืดตนเป็นสะพานสุดเส้นเอ็น ย่ำเท้าลงสุดน้ำหนัก
.เท่านั้นเอง
ในวันวานที่ฉันปิดประตูบานนั้น แล้วหันหลังเดินไปบนถนนของตนเอง ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีสายใยบางๆเส้นหนึ่งเชื่อมลอดประตูสู่คนร่วมวิถีที่ไม่รู้จักกัน ทอดยาวจากประตูบานนั้น สายใยของความผูกพันยาวไกลไปในอนาคต
เมื่อลุงบูลย์กลับเข้ามาเติมไฟให้ชีวิตหลังเกษียณของพ่อ สายใยในประตูเวลากระเพื่อมไหว หากแต่ฉันยังไม่อาจสัมผัสได้ถึงสัญญาณอันนั้น กระทั่งลุงกลับมาเป็นคำรบสอง พลางย้อนรำลึกความหลังนับแต่วันเริ่มเก็บกระเป๋าเดินทาง ตีตั๋วเข้าสู่ถนนคนเขียนหนังสือ
..วันเก่าๆของลุงกับฉันที่เป็นคนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน
บางสิ่งบางอย่างที่เคลื่อนกระเพื่อมในทำนบใจ คล้ายคลื่นแห่งความปิติเอิบอาบ ดั่งสายน้ำที่กักกั้นจนเปี่ยมปริ่มถูกปล่อยระบายไหลบ่ามาท่วมท้น ซึ่งในความเป็นจริงคือสายใยจากอดีตกระชากผลักประตูเวลาเชื่อมวันวาน วันนี้ เข้าหากัน
ฉันบรรจงอ่านหนังสือที่เดินทางข้ามเวลามากับฉันแต่ไม่เคยเปิดดูข้างในมาร่วม 20 ปี อ่านเรื่องสั้นของตัวเอง แล้วอ่านงานของลุง งานของเราเป็นสามเรื่องที่ได้รับคัดเลือกเข้าประกวดประจำรอบนั้น เรื่องราวของฉันคือมิติเวลาที่เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งหลงไปสู่ผลลัพภ์ในอนาคต แล้วย้อนกลับมาปัจจุบันกาลเพื่อถามตนว่าจะเป็นผู้ใหญ่เช่นไรดี ในขณะที่ลุงบูลย์เขียนเรื่องบ้านเข่า บ้านที่ลุงเสาะแสวงหาที่พำนักตนบนถนนสายนี้ ตะลอนหาบ้านเช่าอยู่ในวงการ ฝากผลงานไว้ตามบ้านหลังต่างๆสะสมทุนรอนเพื่อสร้างบ้านของตนเอง
ลุงบูลย์ก้าวเดินสู่โลกตัวหนังสือด้วยวัยและวุฒิที่เต็มเปี่ยม ดักแด้ถักทอสายใยพันห่อกายแตกตัวเป็นผีเสื้อตัวงามในโลกน้ำหมึก ย่างก้าวมุ่งมั่นผ่านหลายยุคสมัยจนล่วงมาถึงวันที่โลกปรากฏตัวอักษรไร้รอย วันนี้ลุงมีบ้านที่ปักป้ายชื่อเจ้าของด้วยชื่อของลุงเอง โดยที่ประตูบ้านของลุงยังดึงรั้งสายใยกับหนังสือแห่งวันเวลาของฉัน หนังสือที่ปิดตายนับสิบปี แต่แอบเก็บชีวิต บันทึกวันผ่านทางของฉันเอาไว้ตลอดมา
คนแปลกหน้าเดินทางข้ามเวลามาจากปี 30 ลังเลที่จะหยุดพักเมื่อเดินทางผ่านบ้านหลังนี้ ด้วยซ่อนตัวเองไว้ในเวลามานับ 20 ปี เวลาที่ฉันติดอยู่กับงานเขียนเก่าๆไม่กี่เรื่องของตัวเอง อ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก แม้จะมีพล็อตเรื่องมากมายวิ่งเวียนวุ่นวายอยู่ในสมอง แต่ไม่รู้จะลงมือเขียนตรงไหน อย่างไร
บ่อยครั้งที่จรดปากกาลงกระดาษ กางนิ้วบนแป้นพิมพ์หน้าจอคอมพิวเตอร์ เพียงสองสามบรรทัดก็เริ่มตีบตัน เมื่ออ่านซ้ำสำนวนล้าสมัย ไม่มีความงามในภาษาและตัวอักษร แล้วฉันก็หันหลังจากไป เคยนั่งพิจารณาตนที่ไม่อาจเขียนหนังสือได้อีกครั้งเพราะไม่มีสมาธิมากพอ อีกทั้งยังทำจินตนาการหล่นหายไปในการเดินทาง ผูกติดตัวเองไว้กับความเป็นจริงแห่งชีวิต กักขังตัวตนไว้ในโลกแห่งความจริงที่เจ็บปวด จนไม่อยากให้จินตนาการที่เหลืออยู่เกิดบาดแผลและริ้วรอย จึงทำได้เพียงซ่อนเก็บมันไว้ในกาลเวลา
ดังนั้น การพบกับลุงบูลย์จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เป็นการจัดวางของเวลา ที่แทรกซ่อนประตูบานต่างๆเชื่อมโยงกันไว้ต่างกรรม ต่างกาล สร้างปริศนาและเร้นนัยยะทิ้งไว้ให้ชีวิตขบคิด หากุญแจไขประตูเวลาบานต่างๆเหล่านั้น ประตูเวลาเชื่อมโยงใครๆ เรื่องราวใดๆขึ้นอยู่กับเจ้าของประตูไขนัยยะตอบปริศนาให้กับตนเอง บางคนค้นพบสิ่งที่หายไป เติมบางอย่างที่ขาดอยู่ และบางคนอาจสูญเสียหลายสิ่งหลายอย่างที่เคยมี เคยเป็น
สรรพสิ่งใดๆในโลกล้วนมิใช่ความบังเอิญ แต่ดำรงเนื่องด้วยกรรม ปัจจัย ด้วยเหตุสู่ผล ลุงจึงไม่ใช่แรงบันดาลใจเพราะแรงบันดาลใจใดๆของฉันอยู่หลังประตูเมื่อเวลา ณ พ.ศ.2530 แรงบันดาลใจที่ต้องการถ่ายทอดจินตนาการ สำแดงทิฐิของตนให้คนอื่นได้รับรู้
ครั้นลุงผลักประตูบานนั้นออกมาพบกันฉันจึงได้รับรู้ว่า สิ่งที่เราคล้ายกันคือเราต่างเป็นนักเดินทางท่องเวลา ทั้งการเดินทางเสาะหาบ้านของลุง และการเดินทางไปสู่อนาคตแล้วกลับมาหลงทาง ณ ปัจจุบันบนทางแยกที่หลากหลายของฉัน วันนี้ฉันเดินทางบนถนนที่เลือกเดินเป็นครั้งสุดท้าย ผ่านบ้านหลังหนึ่งจึงหยุดแวะพักใต้ร่มไม้ใหญ่ พลางสอดลอดเล็มสายตาดูรอยแยกของประตู ฉันเห็นเวลา ณ พ.ศ.2548 ของตนเคลื่อนไหวอยู่ในบ้านหลังนี้ บ้านที่ลุงเปิดประตูออกมาเชื้อเชิญเข้าบ้าน ซึ่งลุงไม่ได้คาดหวังใดๆ อาจหวังเพียงให้แวะเข้ามาพักเหนื่อย ดื่มน้ำ กินข้าว ร่วมสนทนา หรือจะชมสวน
ฉันเอื้อมมือรับแก้วน้ำเย็นแล้วหันกลับไปมองเส้นใยบางใสที่พาดผ่านประตูรั้วลุงแล้วอบอุ่นในใจ อยากบอกลุงเหลือเกินว่าชอบปลาในสระบัวของลุง วันพรุ่งฉันอาจเป็นปลาสักตัวที่ว่ายแวะเข้ามาทักทายในลำธารที่ไหลมาจากทุกทิศทางผ่านถนนหน้าบ้านของลุง.
@ แด่ ประตูเวลา ณ พ.ศ.2548 ลุงไพบูลย์ พันธุ์เมือง และกุญแจไขล็อคเวลา พ่อประสิทธิ์ ศรีหะรัญ @
Create Date : 15 มิถุนายน 2550 |
Last Update : 30 สิงหาคม 2550 8:44:59 น. |
|
16 comments
|
Counter : 1056 Pageviews. |
|
|