...ไหว...ไหว...ยอดหญ้าส่าย ในป่าฝน....เพียงยอดหญ้าไหว ที่บ้านปลายฟ้า.......
ประตูบานที่หนึ่ง


เวลาหลังประตู
“ปลายแปรง”


ฉันนั่งมองหนังสือ ”ฟ้าเมืองทอง” ที่วางซ้อนอยู่บนหนังสือรวบรวมผลงานของตัวเองที่ชั้นหนังสือริมหน้าต่างชั่วอึดใจก่อนจะเอื้อมมือไปสัมผัสมันอย่างตั้งใจอีกครั้ง



“ฟ้าเมืองทอง” ฉบับเดือนตุลาคม พ.ศ.2530 หนึ่งในหนังสือไม่กี่เล่มที่ฉันพกติดตัวไปด้วยทุกแห่งหนไม่ว่าฉันจะเดินทางไปที่ใดๆก็ตาม ปีนั้นเป็นปีที่ฉันเริ่มส่งเรื่องไปตามสำนักพิมพ์อย่างจริงจัง และเป็นเล่มที่เรื่องสั้นเรื่องที่ 2 ได้รับการตีพิมพ์ ปีนี้ยังมีนิยายอีกเรื่องที่ผ่านการพิจารณาแต่ฉันเขียนไม่จบ ฉันอยากเขียนหนังสือโดยที่ไม่รู้เลยว่าการเป็นนักเขียนเป็นอย่างไร ฉันเพียงแต่อยากเล่าความคิด ความฝัน จินตนาการให้คนอื่นได้รับรู้ เพราะการเขียนบรรยายสิ่งต่างๆฉันทำได้ดีกว่าเขียนภาพ หรือมุขปาฐะบอกใครในเวลานั้น



ฉันเริ่มพิจารณาเวลาที่พ้นผ่านของตัวเอง หลังจากลุงบูลย์และเพื่อนๆนักเขียนกลับไปหลายวัน ลุงรำลึกความหลังถึงวันแรกๆของการเข้าสู่วงการราวๆปี 27-30 ลุงเขียนงานเก็บไว้นับสิบๆเรื่อง ทยอยส่งไปตามสำนักพิมพ์ต่างๆ ทำให้ฉันต้องมาย้อนคิดถึงความหลังของตนเองบางอย่างที่สอดคล้องกัน จึงย้อนกลับมาดู “ฟ้าเมืองทอง” เล่มนี้อีกครั้ง เล่มที่เรื่องสั้นของฉันกับลุงได้ตีพิมพ์ในเล่มเดียวกัน



นานเหลือเกิน วันนั้นถึงวันนี้ 18 ปีผ่าน ฉันไม่เคยคาดคิดเลยว่า หนังสือที่ร่วมเดินทางไปกับฉันเล่มนี้ คือประตูมิติ ให้ฉันก้าวข้ามเวลามาพบคนร่วมวิถีที่ต่างคนต่างไป


ลุงบูลย์เป็นใครสักคนที่ฉันไม่เคยรู้จัก และไม่คาดหมายว่าจะได้พบ นับแต่วันที่ฉันปิดประตูบานนี้แล้วหน้าเดินไปสู่ถนนสายต่างๆมากมาย ที่แปลก แตกต่างกันไป จนใครๆเลิกคาดหวังในชีวิตบนเส้นทางที่ฉันเลือกเดินด้วยตัวเอง…..ฉันได้เป็น ฉันได้ทำ เลือกเป็นทั้งครู นักประสานงาน เด็กเสริฟ แม่ครัว แม่ค้า ทุกคนประทับตราว่าฉันล้มเหลวในชีวิต

ฉันไม่เคยเสียใจในสิ่งที่ทำลงไปแม้จะไม่ประสบความสำเร็จเลยก็ตาม ทางที่เราเลือกเอง ต้องยอมรับผลการเลือกนั้นๆ มดตัวจ้อยทอดตนเป็นสะพานให้เพื่อนก้าวข้ามระหว่างใบไม้ไม่ได้คาดหมายให้เพื่อนพ้องยกย่องว่าเป็นผู้เสียสละสร้างฐานรากให้รังใหม่ เพียงได้ทำหน้าที่ของมัน วันหนึ่งข้างหน้ามดน้อยก็ต้องเดินไต่หลังเพื่อนเพื่อเก็บอาหารสะสมในรัง เพียงมดตัวจ้อยได้ใช้ชีวิตที่สุดเหวี่ยง ยืดตนเป็นสะพานสุดเส้นเอ็น ย่ำเท้าลงสุดน้ำหนัก….เท่านั้นเอง



ในวันวานที่ฉันปิดประตูบานนั้น แล้วหันหลังเดินไปบนถนนของตนเอง ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีสายใยบางๆเส้นหนึ่งเชื่อมลอดประตูสู่คนร่วมวิถีที่ไม่รู้จักกัน ทอดยาวจากประตูบานนั้น สายใยของความผูกพันยาวไกลไปในอนาคต



เมื่อลุงบูลย์กลับเข้ามาเติมไฟให้ชีวิตหลังเกษียณของพ่อ สายใยในประตูเวลากระเพื่อมไหว หากแต่ฉันยังไม่อาจสัมผัสได้ถึงสัญญาณอันนั้น กระทั่งลุงกลับมาเป็นคำรบสอง พลางย้อนรำลึกความหลังนับแต่วันเริ่มเก็บกระเป๋าเดินทาง ตีตั๋วเข้าสู่ถนนคนเขียนหนังสือ…..วันเก่าๆของลุงกับฉันที่เป็นคนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน

บางสิ่งบางอย่างที่เคลื่อนกระเพื่อมในทำนบใจ คล้ายคลื่นแห่งความปิติเอิบอาบ ดั่งสายน้ำที่กักกั้นจนเปี่ยมปริ่มถูกปล่อยระบายไหลบ่ามาท่วมท้น ซึ่งในความเป็นจริงคือสายใยจากอดีตกระชากผลักประตูเวลาเชื่อมวันวาน วันนี้ เข้าหากัน



ฉันบรรจงอ่านหนังสือที่เดินทางข้ามเวลามากับฉันแต่ไม่เคยเปิดดูข้างในมาร่วม 20 ปี อ่านเรื่องสั้นของตัวเอง แล้วอ่านงานของลุง งานของเราเป็นสามเรื่องที่ได้รับคัดเลือกเข้าประกวดประจำรอบนั้น เรื่องราวของฉันคือมิติเวลาที่เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งหลงไปสู่ผลลัพภ์ในอนาคต แล้วย้อนกลับมาปัจจุบันกาลเพื่อถามตนว่าจะเป็นผู้ใหญ่เช่นไรดี ในขณะที่ลุงบูลย์เขียนเรื่องบ้านเข่า บ้านที่ลุงเสาะแสวงหาที่พำนักตนบนถนนสายนี้ ตะลอนหาบ้านเช่าอยู่ในวงการ ฝากผลงานไว้ตามบ้านหลังต่างๆสะสมทุนรอนเพื่อสร้างบ้านของตนเอง


ลุงบูลย์ก้าวเดินสู่โลกตัวหนังสือด้วยวัยและวุฒิที่เต็มเปี่ยม ดักแด้ถักทอสายใยพันห่อกายแตกตัวเป็นผีเสื้อตัวงามในโลกน้ำหมึก ย่างก้าวมุ่งมั่นผ่านหลายยุคสมัยจนล่วงมาถึงวันที่โลกปรากฏตัวอักษรไร้รอย วันนี้ลุงมีบ้านที่ปักป้ายชื่อเจ้าของด้วยชื่อของลุงเอง โดยที่ประตูบ้านของลุงยังดึงรั้งสายใยกับหนังสือแห่งวันเวลาของฉัน หนังสือที่ปิดตายนับสิบปี แต่แอบเก็บชีวิต บันทึกวันผ่านทางของฉันเอาไว้ตลอดมา



คนแปลกหน้าเดินทางข้ามเวลามาจากปี 30 ลังเลที่จะหยุดพักเมื่อเดินทางผ่านบ้านหลังนี้ ด้วยซ่อนตัวเองไว้ในเวลามานับ 20 ปี เวลาที่ฉันติดอยู่กับงานเขียนเก่าๆไม่กี่เรื่องของตัวเอง อ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก แม้จะมีพล็อตเรื่องมากมายวิ่งเวียนวุ่นวายอยู่ในสมอง แต่ไม่รู้จะลงมือเขียนตรงไหน อย่างไร

บ่อยครั้งที่จรดปากกาลงกระดาษ กางนิ้วบนแป้นพิมพ์หน้าจอคอมพิวเตอร์ เพียงสองสามบรรทัดก็เริ่มตีบตัน เมื่ออ่านซ้ำสำนวนล้าสมัย ไม่มีความงามในภาษาและตัวอักษร แล้วฉันก็หันหลังจากไป เคยนั่งพิจารณาตนที่ไม่อาจเขียนหนังสือได้อีกครั้งเพราะไม่มีสมาธิมากพอ อีกทั้งยังทำจินตนาการหล่นหายไปในการเดินทาง ผูกติดตัวเองไว้กับความเป็นจริงแห่งชีวิต กักขังตัวตนไว้ในโลกแห่งความจริงที่เจ็บปวด จนไม่อยากให้จินตนาการที่เหลืออยู่เกิดบาดแผลและริ้วรอย จึงทำได้เพียงซ่อนเก็บมันไว้ในกาลเวลา



ดังนั้น การพบกับลุงบูลย์จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เป็นการจัดวางของเวลา ที่แทรกซ่อนประตูบานต่างๆเชื่อมโยงกันไว้ต่างกรรม ต่างกาล สร้างปริศนาและเร้นนัยยะทิ้งไว้ให้ชีวิตขบคิด หากุญแจไขประตูเวลาบานต่างๆเหล่านั้น ประตูเวลาเชื่อมโยงใครๆ เรื่องราวใดๆขึ้นอยู่กับเจ้าของประตูไขนัยยะตอบปริศนาให้กับตนเอง บางคนค้นพบสิ่งที่หายไป เติมบางอย่างที่ขาดอยู่ และบางคนอาจสูญเสียหลายสิ่งหลายอย่างที่เคยมี เคยเป็น



สรรพสิ่งใดๆในโลกล้วนมิใช่ความบังเอิญ แต่ดำรงเนื่องด้วยกรรม ปัจจัย ด้วยเหตุสู่ผล ลุงจึงไม่ใช่แรงบันดาลใจเพราะแรงบันดาลใจใดๆของฉันอยู่หลังประตูเมื่อเวลา ณ พ.ศ.2530 แรงบันดาลใจที่ต้องการถ่ายทอดจินตนาการ สำแดงทิฐิของตนให้คนอื่นได้รับรู้

ครั้นลุงผลักประตูบานนั้นออกมาพบกันฉันจึงได้รับรู้ว่า สิ่งที่เราคล้ายกันคือเราต่างเป็นนักเดินทางท่องเวลา ทั้งการเดินทางเสาะหาบ้านของลุง และการเดินทางไปสู่อนาคตแล้วกลับมาหลงทาง ณ ปัจจุบันบนทางแยกที่หลากหลายของฉัน วันนี้ฉันเดินทางบนถนนที่เลือกเดินเป็นครั้งสุดท้าย ผ่านบ้านหลังหนึ่งจึงหยุดแวะพักใต้ร่มไม้ใหญ่ พลางสอดลอดเล็มสายตาดูรอยแยกของประตู ฉันเห็นเวลา ณ พ.ศ.2548 ของตนเคลื่อนไหวอยู่ในบ้านหลังนี้ บ้านที่ลุงเปิดประตูออกมาเชื้อเชิญเข้าบ้าน ซึ่งลุงไม่ได้คาดหวังใดๆ อาจหวังเพียงให้แวะเข้ามาพักเหนื่อย ดื่มน้ำ กินข้าว ร่วมสนทนา หรือจะชมสวน

ฉันเอื้อมมือรับแก้วน้ำเย็นแล้วหันกลับไปมองเส้นใยบางใสที่พาดผ่านประตูรั้วลุงแล้วอบอุ่นในใจ อยากบอกลุงเหลือเกินว่าชอบปลาในสระบัวของลุง วันพรุ่งฉันอาจเป็นปลาสักตัวที่ว่ายแวะเข้ามาทักทายในลำธารที่ไหลมาจากทุกทิศทางผ่านถนนหน้าบ้านของลุง.


@ แด่ ประตูเวลา ณ พ.ศ.2548 ลุงไพบูลย์ พันธุ์เมือง และกุญแจไขล็อคเวลา พ่อประสิทธิ์ ศรีหะรัญ @


Create Date : 15 มิถุนายน 2550
Last Update : 30 สิงหาคม 2550 8:44:59 น. 16 comments
Counter : 1056 Pageviews.

 
ดีจัง มาอ่านเป็นคนแรกเลยหรือนี่


โดย: สัญจร ดาวส่องทาง IP: 125.24.46.132 วันที่: 15 มิถุนายน 2550 เวลา:10:35:20 น.  

 
ชอบวิธีการเขียนเล่าเรื่องจริงๆเลยค่ะ


โดย: ตอง (Kazalong ) วันที่: 15 มิถุนายน 2550 เวลา:12:19:07 น.  

 
การจะได้พบหรือจักใครสักคนไม่ใช่เรื่องบังเอิญจริงๆ
อ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกเป็นสุขและซาบซึ้งกับความรู้สึกระหว่างปลายแปรงกับพี่บูลย์


และตอนนี้ประตูแห่งมิติมหัศจรรย์มาพบกันในบล็อกแก๊งอีกแล้ว

เชิญเสวนากันได้เลย

ด้วยความยินดีที่เห็นคนเราเป็นแรงบันดาลใจซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะด้วยรูปแบบใดก็ตาม




โดย: พ่อพเยีย IP: 124.121.22.114 วันที่: 15 มิถุนายน 2550 เวลา:12:25:12 น.  

 
ปลายแปรง ลุงว่าจะส่งหนังสือเล่มนี้คืนให้เธอ มันยังอยู่ที่ลุงอีก ๑ เล่ม กุญแจไขประตูเวลาที่ทำให้เรามาพบกัน สรุปว่ากุญแจของเธอมี ๒ ดอก ดอกหนึ่งยังอยู่ที่ลุง ไม่เป็นไรไม่หายหรอก แล้วจะส่งคืนให้ ส่วนของลุงเองก็มีกุญแจดอกนี้ กุญแจดอกแรก ๆ ที่ทำให้ลุงก้าวเข้ามาสู่ถนนนักเขียน

คุณนิรันศักดิ์ บุญจันทร์ ลงให้ลุง ๓ เรื่อง มี "จิตรกรข้างโลงศพ" (คุณนิรันดร์ชอบเรื่องนี้มาก) ต่อมา "บ้านเช่า" และ "อบายมุข" คุณนิรันศักดิ์ เป็น บก.ที่เยี่ยมมาก เคยเขียนถึงลุงในสยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ ที่คุณไพลิน รุ้งรัตน์ สัมภาษณ์ ในเชิงชื่นชม แต่ทว่าท่านอาจจะมาผิดหวังก็ได้ ที่พอระยะต่อ ๆ มาลุงหลงทาง เขียนเรื่องหลัง ๆ ไม่ค่อยเอาอ่าว

ลุงดีใจที่ทำให้ปรายแปรงได้หันหลังกลับมาพบตนเองในมิติที่เกือบจะทิ้งไปแล้ว เธอเป็นคนที่น่ากลัว ปรายแปรง เพราะนอกจากจะเขียนหนังสือดีมาตั้งแต่เรื่องหุ่นยนต์นั่นแล้ว เธอยังเป็นคนเก็บงำความจริงไว้ ลุงไปบ้านเธอหลายครั้ง เพื่อจะปลุกเพื่อนรักคนหนึ่ง ที่เคยเขียนเรื่องสั้นลงในวิทยาสาร และฟ้าเมืองทอง ในยุคแรก ๆ ในนามปากกา สิงขร บรเพ็ด และ มานพ เอ๊ะ มานพอะไรนะ ช่างเถอะลืมเสียแล้ว

เขาเขียนหนังสือดีคนหนึ่ง ในยุคที่ลุงยังเขียนแต่การ์ตูนเล่มละ ๑ บาท ขาย สิงขร บอระเพ็ด เกิดและยังเขียนเรื่อง "จิตรกรข้างโลงศพ" โดยเอาลุงเป็นตัวเอกของเรื่อง ปีนั้น พ.ศ.๒๕๑๗ หรือ ๑๘ ที่พ่อพี่นุของเธอเป็นนักเขียนดัง ในขณะที่ลุงปล้ำอยู่แต่การ์ตูนอย่างเดียว เพราะได้เงินดี

ตอนลุงไปเรียนปริญญาตรี ที่ มศว.ประสานมิตร ก็เพราะได้เพื่อนคนนี้แหละชี้ทาง ให้กำลังใจมาตลอด ถ้าเล่าจะยาวมาก แต่จะเล่าเพื่อเธอปลายแปรงว่า "ลุงย้ายจากโรงเรียนบ้านบางครั่ง คุระบุรี และตลาดคุระบุรี โดยยอมทิ้งร้านค้าที่กิจการกำลังดี ลุงกำลังจะได้เป็นเถ้าแก่ เพราะเมียลุงค้าขายเก่ง เราเซ้งร้านขายสมุดดินสอจากเจ้าของคนสุราษฎร์ธานี และสามารถซื้อที่ห้องแถวในตลาดคุระบุรีไว้แล้ว ๒ คูหาและร้านที่เซ้งก็กำลังจะเป็นของเรา แต่...

แต่อะไรรู้ไหม ลุงเป็นครูแต่สินค้าในร้าน ที่ภรรยาเอามาขาย (เพิ่มจากพวกสมุดดินสอ ปากกา...) คืออะไรรู้ไหม
ลูกอม สลากจับเบอร์ การพนันที่แฝงมาในรูปแบบขนมกินเล่น ที่หลอกล่อให้เด็กมาเข้าร้านวันละ ๔๐-๕๐ คน เมียลุงมีรายได้เฉลี่ยวันละเป็นพันบาท ในขณะที่เงินเดือนลุงตอนนั้น ๑๐๕๐ บาท

ลุงกู้เงินซื้อมอเตอร์ไซค์ แต่ละเดือนสหกรณ์ครูหักไป รวมทั้งค่าผ่อนมอเตอร์ไซค์ ลุงเหลือแค่ ๓๐๐ บาทต่อเดือน แต่ค่าเช่าร้าน ๔๐๐ บาทต่อเดือน ลุงเอาอะไรจ่ายค่าเช่าบ้าน คำตอบอยู่ที่ร้านค้า...

แต่ลุงทนพฤติกรรมของภรรยาต่อไปไม่ไหว (เปล่าไม่ได้หย่าร้าง) แต่...บอกเซ้งร้านให้ลูกจีนจากตะกั่วป่า ชื่อนายลุกไป แล้วย้ายตัวเองมาอยู่ ร.ร.วัดควรนิยม ที่พ่อพี่นุของเธอสอนอยู่ ตอนนั้นพี่นุของเธออายุเพิ่งสัก ๗ ขวบ ผลอะไรเกิดขึ้นกับลุงรู้ไหม ลูกสาวคนแรกของลุงเคยกินนมผง เอช ๒๖ มีของเล่นราคาแพง ๆ เพราะเกิดมาเป็นลูกเถ้าแก่เจ้าของร้านชำ และขายสมุดดินสอ

แต่ที่นี่ ตะกั่วป่า ลุงเช่าห้องแถวของครูละมัย ธีรนิตยภาพ อยู่ในซอยข้างกำแพงวัดใหม่ เสนานุชรังสรรค์ ค่าเช่าเดือนละ ๑๕๐ บาท เช้าขี่มอเตอร์ไซค์มาสอนโรงเรียนที่พ่อพี่นุของเธออยู่ พ่อพี่นุของเธออยู่บ้านพักครู ลุงมีลูกชายคนที่สอง เงินจะซื้อนมให้ลูกไม่มี ลูกลุงต้องกินนมข้นหวานตราหมี แม้กระนั้นก็เถอะ เงินเดือนที่เหลือเดือนละ ๓๐๐ บาท ๑๕๐ บาทต้องซื้อนมให้ลูกก่อน ที่เหลือเปแนค่าเช่าบ้าน แล้วเราก็อดกัน

แต่ลุงพอจะได้ค่าน้ำมันรถมาบ้าง จากงานวาดรูปเหมือนรับจ้าง ลุงทิ้งร้านค้าจากคุระบุรี มาตะกั่วเพราะฝันอยากมีร้านวาดรูปและเขียนป้าย ซึ่งพอมีบ้างไม่มีบ้าง แต่มันรันทดมากจากการตัดสินใจทำร้ายครอบครัวของตนเอง จากคุณธรรมข้อที่ว่า ขอเป็นครูที่ดี แม้ภรรยาจะค้านว่า "ฉันเป็นแม่ค้าไม่ใช่ครู ครูของพี่อยู่ที่โรงเรียนบ้านบางครั่งโน่น อยาพากลับมาบ้านซี"

มันรันทดจนน้ำตาไหล ท้ายสุดลุงขอมาอยู่บ้านพักที่โรงเรียนวัดควรนิยม ก็พอดีสอบเรียนต่อปริญญาตรี ที่ มศว.ประสานมิตรได้ ตอนเรียนปริญญาญาตรี เงินเดือนของลุง ๑๘๖๐ บาท แต่เหลือรับจริงราว ๖๐๐ บาท ลุงไม่เอาไปเรียนแต่มอบให้ภรรญาไว้ซื้อนมให้ลูก และตอนนั้นต้องพาเมียไปฝากบ้านพ่อตาไว้ที่ ปะทิว ชุมพร

ตอนเรียนปริญญานี่เองลุงพบทางใหม่ เนื่องจากตอนแรก ๆ เขียนการ์ตูนตลกลงในวิทยสาร แต่มีข้อที่จะพูดถึงเพื่อนรัก อาจารย์ประสิทธิ์ ศรีหะรัญ พ่อของพี่นุของเธอว่า

เขานี่แหละที่ทำให้ลุงได้เป็นนักวาดการ์ตูน และเขานี่แหละที่ทำให้ลุงได้ไปเรียนปริญญาตรี ขอเล่าย้อนกลับ...

ความที่ว่า พ่อพี่นุของเธออ่านวิทยาสารเป็นประจำ ในวิทยาสารมีการ์ตูนตลกของอรุณ วัชระสวัสดิ์ แต่รับการ์ตูนจากทางบ้านด้วย มีครูจากอีสานเขียนการ์ตูนไม่เป็น แต่ส่งไปลงในวิทยาสารได้ลงบ่อย พ่อพี่นุของเธอเอาหนังสือมาให้ลุงดูแล้วพูดว่า

"เขาเขียนไม่เอาไหนเลยยังได้ลง แล้วพี่บูลย์ ทำไมไม่เขียน"

ฟังคำเขาแล้วลุงก็เขียนเลย และได้ลงประจำในวิทยาสารมาแต่บัดนั้น ควบคู่กับเรื่องสั้นของ สิงขร บรเพ็ด... พ่อพี่นุของเธอ

ส่วนเรื่องเรียนต่อมาจาก พอมาอยู่ ร.ร.วัดควรนิยม ลุงถูกพวกครูผู้หญิงในโรงเรียนดูถูกเรื่องเขียนหนังสือผิด ผิดมากขนาดคำว่า ประสบการณ์ โครงการ ยังเขียนไม่ถูก(พวกนักวาดรูปมักอ่อนภาษาไทย) ลุงเจ็บใจรีบไปสมัครสอบชุด พม. สอบได้ ๓ ชุด ภาษาไทยนี่ลงทุนอบรมที่ วค.ภูเก็ต หวังจะให้ได้ความรู้เท่ากับพวกเรียนเอกไทย พอได้ภาษาไทยลุงจะมาอบรมบรรณารักษ์ศาสตร์ ชุดสุดท้ายที่จะได้วุฒิ พม. ที่ กทม. พ่อประสิทธิ์รู้เข้ารีบมาพูดอีก

"พี่จะบ้าไปกับเขาทำไมนักหนา" หมายถึงครูใน ร.ร. "พี่จะอบรมเอาวุฒิ พม.ทำอะไร พี่จบวาดเขียนเอก พี่ไปสอบเรียนปริญญาตรีดีกว่า เรียนจบเงินเดือนก็เพิ่มขึ้น"

แค่นั้นแหละลุงทำตามพ่อมหาประสิทธิ์ทันที ปีนั้นมีครูที่ไปจากพังงา - ตะกั่วป่า ๙ คน ไปสอบได้ ๒ คน ครูผู้หญิงที่กะปงสอบได้เอกภาษาไทย ส่วนลุงศิลปะ

ปริญญาตรีเปลี่ยนชีวิตลุงจากหน้ามือเป็นหลังมือ ตอนแรกเขียนการ์ตูนลายเส้นแข็ง เพราะไม่รู้เทคนิก พอไปอยู่ มศว.ป.มีนักเขียนการ์ตูนดัง ๆ อยู่ ๔-๕ คน เรียนเอกเดียวกัน เรามีโอกาสได้ทำหนังสือ "ขายขำ" ออกมา ๒-๓ เล่ม รายได้แบ่งกันเดือนละสี่พัน โอ้โฮมากทีเดียวสมัยนั้นเทียบสี่หมื่นสมัยนี้(พ.ศ.๒๕๑๘)

แต่ขายขำขายไม่ดีเลยเลิกไป ลุงหันมาเขียนเล่มละบาทก็ยังรุ่ง มีรายได้เดือนละราวสี่พันบาทเหมือนเดิม เพื่อน ๆ ในห้องเรียนกินข้าวราดแกงกับ ๒ อย่าง ๕ บาท ลุงกินไก่เป็นตัว ๆ และซดเบียร์ล้างคอเป็นขวด ว่าง ๆ ชอบชวนเพื่อนชื่อเดียวกับลุง (ไพบูลย์ ชนะมา) มานั่งซดเบียร์ในร้านอาหารแถว ๆ มักกะสัน ถนนเพชรบุรีตัดใหม่

เฮ้อ เล่ามายาวจนได้ ขอต่ออีกนิดนะชักติดลม... พอจบจาก มศว. ปริญญาตรีทั้งจังหวัดมี ๒๒ คน ลุงถูกขอตัวไปช่วยราชการจังหวัด ไปทำหนังสือพิมพ์วารสารพังงา เขียนเองหมดทั้งบทกวี การ์ตูน บท บก. บรรณาธิการตัวจริงคือปลัดจังหวัด แต่ไม่ค่อยได้มาเขียน

ลุงมีรายได้นอกเงินเดือนราวเดือนละ ๔๐๐๐-๗๐๐๐ บาท (กินเงินจากรายได้เหมืองแร่ที่บ้านน้ำเค็ม เป็นงบพิเศษเข้าจังหวัด)

ปี ๒๕๒๐ การประถมศึกษาโอนเข้า สปช. งบจากจังหวัดถูกตัด แต่ลุงถูกองค์การบริหาร จว.จ้างพิเศษให้ทำวารสารอีก ๒ ปี ปี ๒๕๒๕(ปีโลกาวินาศ) ลุงขอย้ายกลับโรงเรียนแต่ไปชุมพร ไม่มาลงวัดควรนิยม จะมาเขียนการ์ตูนต่อ เพราะตอนทำวารสารไม่ได้เขียนขายโรงพิมพ์เลย

กะจะมาเขียนการ์ตูนขายให้มันส์หยดติ๋ง เพราะเป็นงานที่รักมาก ย้ายมาลงในป่า นั่งรถไฟไปสอนระยะทาง ๕๐ กิโล นั่ง ๒ แถวอีก ๖ กิโล ทว่า สนพ.ส่งต้นฉบับการ์ตูนคืนหมด เขาบอก คุณทิ้งมานาน แฟน ๆ ของคุณไม่มีใครรู้จักแล้ว

เสียใจหันหน้าเข้าสวนปลูกทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง ทว่า ปี พ.ศ. ๒๕๓๒ พายุเกย์เข้ากวาดไปสิ้น แต่โชคดีว่าราวปี ๒๗ ลุงเขียนเรื่องสั้นส่งฟ้าเมืองไทย

เรื่อง "จิตรกรนอกทำเนียบ" บก.อาจินต์ชมว่า "เขียนได้เข้าขั้นนักเขียนอาชีพ" จากนั้นมาลุงก็เป็นนักเขียน แต่พอลุงมาเป็นนักเขียน พ่อพี่นุของเธอวางปากกาเด็ดขาด หันไปแบกโรงเรียนอนุบาลพังงาไว้ทั้งหลัง ในตำแหน่ง ผอ.๘ ตอนเกษียณออกมา หน้าตาพ่อพี่นุของเธอแก่กว่าลุง ๔-๕ ปี ไม่เชื่อดูรูปในหนังสือที่แกทำแจกเป็นอนุสรณ์วันเกษียณ

และมาวันนี้แม้จะเอารถยกชนิดร้อยตันมาลากขึ้นจากหล่มโคลน ผอ.ซี๘ ก็ดูดไม่ขึ้น ส่วนลุง อาจารย์ ๓ ระดับ ๘ ที่ได้มาจากการเขียนหนังสือเด็ก ลุงโยนมันลงถังขยะตั้งแต่ ปี พ.ศ.๒๕๔๒ เพื่อมาเป็นนักเขียนให้เต็มตัว ตอนนี้ผลงานหลังเกษียณออกมาติด ๆตั้งแต่ เมืองผีดิบ โจรปล้นหมอ ม่ายแน่...มานอาจจะลีก็ล่าย พรายสึนามิ และ แผ่นดินปิศาจ เล่มหลังนี้เสร็จไป ๙๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว และยังจะออกมาอีก แต่กลุ่มเป้าหมายของงานเขียน ลุงไม่เขียนให้พวกนักเขียนอ่าน...

เป็นไงถึงบทให้ร่ายยาวลุงก็ร่ายยาวเลย สไตล์ดการเขียนลุงยังชอบแบบของครูอาจินต์ ใครจะว่าโบราณก็ตามใจ ลุงอยากขายความคิดมากกว่าขายความอลังการของตัวอักษร แต่อ่านแล้วง่วงนอน เชิญเขียนกันเข้าไปเถอะพ่อนักเขียนสร้างสรรค์แนวซีเรียสทั้งหลาย...


โดย: lungboon IP: 125.27.234.76 วันที่: 15 มิถุนายน 2550 เวลา:14:02:54 น.  

 
ปลายแปรงจ๊ะ
หนอนฯ อ่านเรื่องนี้ของปลายแปรงแล้ว
อยากคราง...อื้อ...ฮือ
เยี่ยมนะ...จะบอกให้
เป็นเรื่องราวเล็ก ๆ
แต่บอกเล่าเรื่องราวได้อย่างมีชั้นเชิง
ชวนติดตาม ไม่น่าเบื่อ
(นี่เป็นเพียงตัวอย่างงานเขียนในบล็อกเท่านั้นเองนะ
ยังน่าสนใจ
ยิ่งถ้าเป็นเรื่องที่ส่งไปเพื่อรอการตีพิมพ์ในหนังสือต่าง ๆ
ความพิถีพิถันก็ต้องเพิ่มขึ้นมากกว่านี้แน่นอน)
รีบเขียน...รีบสร้างผลงานเถอะ
ไฟฝันวันนี้กำลังโชน
อย่าให้วันเวลาและโอกาสล่วงเลยไปเปล่า ๆ
เป็นกำลังใจให้ด้วยใจจริงจ้า

อาบูลย์
หนอนฯ มาฟังผู้อาวุโสเล่าเรื่อง
อาบูลย์เป็นคนมีเรื่องราว
เหมือนเช่นนักเขียนอื่น ๆ พึงมี
เล่ากี่ครั้งกี่หน...ก็ยังมีรสชาติความสุข ความขมขื่น ความภาคภูมิใจ...อยู่ด้วยเสมอ
นับถืออาบูลย์เรื่องความมานะพยายามจริง ๆ
ยิ่งเวลาผ่าน...ผลงานเขียนก็ยิ่งเพิ่มพูน
อาบูลย์นับเป็นอีกบุคคลหนึ่ง
ที่ได้ติดตามไล่ล่าฝันของตนเอง
และทำฝันนั้นเป็นจริง (มานานแล้ว)
ก็อยากให้อาบูลย์ทำในสิ่งที่รักต่อไป
แต่ขอให้ทำงานที่บอกว่ารักอย่างมีความสุขนะจ๊ะ
อย่าเป็นทุกข์กับการงานที่รักก็แล้วกัน


โดย: หนอนเมืองกรุง IP: 202.28.180.201 วันที่: 15 มิถุนายน 2550 เวลา:17:32:11 น.  

 
ชอบทั้งวิธีการเล่าของปลายแปรงและของลุงบูลย์ครับ
ปลายแปรง...บอกเล่าเรื่องราวของตัวเองอย่างเหนียมอาย ประณีต

ส่วนลุงบูลย์ ยังคงสไตล์เรียบง่าย ซื่อ เปิดเผยและงดงาม


โดย: ธารดาว IP: 203.146.63.185 วันที่: 16 มิถุนายน 2550 เวลา:4:52:50 น.  

 
สวัสดีค่ะทุกคน

วันนี้วันเสาร์..วันพักผ่อนของหลายคน
รีบมารีบไปค่ะ....จะไปตัดเงาะก่อน เดี๋ยวอีก 2-3 วันเงาะสุราษฎร์ออกของเราจะราคาตก
ปฎิบัติภารกิจคนสวน(สมัครเล่น)แล้วจะรีบมาคุยด้วยค่ะ


โดย: ปลายแปรง วันที่: 16 มิถุนายน 2550 เวลา:7:37:14 น.  

 
เข้ามาอ่านระหว่างเจ้าของบ้านไม่อยู่ ฟังว่าไปตัดเงาะแล้วอยากกินเงาะ ช่วยส่งาพเงาะพวงใหญ่ มาให้ดูสักพวงได้ไหม ทีเจ๊กไหว้เจ้าเขายังทำกงเต๊กได้ แฮ่ ๆ


โดย: lungboon IP: 125.27.234.191 วันที่: 16 มิถุนายน 2550 เวลา:11:03:58 น.  

 
ขนาดคอมเม้นท์ยังไม่ทิ้งลายนักเขียนจริงๆ


แหม...ตอนจบ มีหักมุม แต่คนละแบบกับหักมุมของอาจินต์ ปัญจพรรค์

หักแบบขบเล็กๆถึงนักเขียนที่ต่างแนว

ไม่ธรรมดา อื้อฮื้อ ไม่ธรรมดาจริงๆ พี่บูลย์

อ่านไปแล้วก็ยิ้มไป

แต่ว่าจะหาหลักฐานที่ว่าหน้าพี่บูลย์อ่อนกว่าหน้าพี่สิทธิ์ดูได้ที่ไหนล่ะครับ ?



โดย: พ่อพเยีย IP: 124.121.17.43 วันที่: 16 มิถุนายน 2550 เวลา:22:01:02 น.  

 
มาเจอนักเขียนตัวจริงเข้าแล้ว
นักอยากเขียนก็เลย
มาชวนไปดูบรรยากาศ
งานประกาศรางวัลนายอินทร์อะวอร์ดค่ะ

มีนักเขียนในบล็อกไปกัยเยอะเลยค่ะ
เช่นพี่ปอน พิบูลย์ศักดิ์ ละครพล คุณโดม วุฒิชัย ฯลฯ
แต่เสียดายมาก....
พี่ชายช่างภาพตัวดี
ไม่ยอมถ่ายรูปนักเขียนรุ่นพี่ทั้งหลาย
ขณะที่นั่งรวมกลุ่มกัน
เพราะเกรงว่า...
จะไปทำลายความเป็นส่วนตัวของพี่ๆเค้าค่ะ


โดย: สเลเต วันที่: 16 มิถุนายน 2550 เวลา:22:18:57 น.  

 
เจ้าของบ้านสงสัยเมาคอมเมนท์แบบไม่เกรงอก เกรงใจของลุงกระมัง อย่าเชื่อนะ จงใช้หลักกาลามสูตร คนแก่ก็ทิฐฐิยังงี้แหละ ปล่อยไว้ไม่นานก็กงเต๊กแล้ว

ตั้งใจว่าจะมอบร่งกายตอนไร้ชีวิตให้โรงพยาบาลที่ไหนสักแห่ง อยากไปเป็นอาจารย์ใหญ่ และอยากเอาอย่างท่านผู้หญิงภรรยาท่านปรีดี พนมยงค์ ที่ประกาศไม่ให้ตั้งสวดศพ ไม่ให้ทำบุญใส่ซอง เพราะสังคมเดี๋ยวนี้ ที่ชุมพรคนเป็นเอาคนตายมาขายหาเงินเข้ากระเป๋ากันตรึม ๆ ลูก ๆ ขายศพพ่อแม่

คนข้างตัวลุงนี่ก็อันดับหนึ่ง ที่ต้องจ่ายค่างานเดือนละสองสามพันบาท คงกะเอาคืนตอนลุงตาย

ฉันจึงอยากจะทำเหมือนท่านผู้หญิง... เอ๊ะลืมชื่อ ขี้เกียจไปพลิกหา ลงข่าวในจุดประกายวรรณกรรมเมื่อไม่นาน ชอบมากคนที่กล้าทำแบบนี้

ใครจะทำดีกับใคร ควรรีบทำให้เห็นกันก่อนตาย มาร้องไห้คร่ำครวญ ทำบุญเล่นไพ่ ไว้ศพ ๑๐ วัน อบายมุขหรือนรกแท้ ๆ ทำอย่างไรจึงจะให้หมดไปเสียที


โดย: lungboon (pantamuang ) วันที่: 17 มิถุนายน 2550 เวลา:0:58:07 น.  

 
สวัสดีวันอาทิตย์ค่ะคุณปลายแปรง
เป็นเรื่องคลาสสิคมาก ที่คนสองคนสองวัยมีจุดก้าวร่วมกัน ณ จุดหนึ่ง แล้วเดินคู่ขนานมานานแสนนาน..สะพานเชื่อมคือสายใยอันบอบบางทว่ามั่นคงอยู่ในซอกมุมอันเร้นลี้ของหัวใจดวงหนึ่ง...

ดั่งนิยายแต่ไม่ใช่

ประทับใจค่ะคุณปลายแปรง
ดีใจที่มีโอกาสรับรู้เรื่องราวอันอ่อนหวานของคุณและลุง

ถนอมหัวใจดวงน้อยที่ชื่อปลายแปรงเอาไว้ให้ดีนะคะ
ถ้ายังหนาว..อ้อมกอดพี่สาวคนหนึ่ง..จะห่มให้

แล้วจะมาเยี่ยมอีกค่ะ


โดย: นกแสงตะวัน วันที่: 17 มิถุนายน 2550 เวลา:12:20:46 น.  

 
นามสกุล ศรีหะรัญ คุ้น ๆ จัง

คุณปลายแปรง อยู่กะปงเหรอคะ??



โดย: ดุสิตา (ดุสิตา ) วันที่: 7 กรกฎาคม 2550 เวลา:20:42:36 น.  

 
คิดถึงสมัยเด็กๆ
ดีใจที่มีโอกาสได้อ่านทั้งฟ้าเมืองทอง ฟ้าเมืองไทย และฟ้าอาชีพ
และดีใจมากกว่าที่ได้เข้ามาอ่านอะไรดีๆที่ blog นี้ด้วยคะ


โดย: ฝน (Childcraft ) วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:3:32:46 น.  

 
ไม่แน่ว่าเราเคยมีช่วงชีวิตทีทาบทับ ตัดผ่าน กันอยู่ในวัยเด็กที่โรงเรียนประถมแห่งนั้น "วัดควรนิยม" รึเปล่า แต่รู้จัก 2- 3 ชื่อในนั้น ลุงบูลย์ ประสิทธิ์ ศรีหะรัญ และพี่นุ


โดย: ตาเตบูญ่า IP: 118.173.63.253 วันที่: 15 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:15:36:19 น.  

 
กาลเวลาไม่มีมิติ... ตามหาหนังสือนี้ ด้วยความคิดถึงเพื่อนเก่าที่ไม่รู้จัก.


โดย: วิชัย เดชดี IP: 118.173.209.11 วันที่: 25 มิถุนายน 2557 เวลา:14:01:55 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ปลายแปรง
Location :
พังงา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สุดปลายของแปรง
อาจป้าย...ได้ภาพเขียนงาม
อาจปาด....ได้ภาพสะเทือนขวัญ

แปรงสุดปลาย....วาดในอากาศ
สูญญากาศของสีที่ว่างเปล่า

เพียง "ใจ" ผู้ป้ายแปรง
ว่างเปล่า....ไร้แปรง....ปราศจากปลาย
สรรพเรื่องราว...ว่างเปล่าในกาลเวลา
Group Blog
 
 
มิถุนายน 2550
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
15 มิถุนายน 2550
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ปลายแปรง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.