นามปากกา...ปลายสี

enterstep
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2556
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
4 พฤษภาคม 2556
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add enterstep's blog to your web]
Links
 

 

ดาวปาฏิหาริย์ : บทที่ 34



สิตะพาร่างที่กระปลกกระเปลี้ยของตัวเองกลับมายังโรงพยาบาลอีกครั้ง ไม่มีความเจ็บปวดใดๆ ที่ร่างกาย แต่หัวใจของเขาในยามนี้กำลังอ่อนล้าอย่างเหลือเกิน

ประตูห้องพักผู้ป่วยถูกปิดอยู่ ในเวลาเกือบรุ่งสางไม่อนุญาตให้เข้าเยี่ยม แต่เขาก็ขอเป็นกรณีพิเศษ เพราะต้องการสะสางปัญหาทุกอย่างที่ยังคั่งค้างให้จบสิ้น

ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ยื่นแขนข้างที่ไม่ได้เข้าเฝือกไปผลักประตู ส่งสัญญาณให้อนณที่ยังคงอยู่เคียงข้างให้รอข้างนอก ก่อนจะก้าวเข้าไป ภายในยังคงเปิดไฟสว่าง หญิงสาวบนเตียงหลับอยู่ แต่เมื่อเขาย่างเท้าไปใกล้ เธอก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น

“คุณสิตะ...” เธอเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า เปลือกตาบวมเป่งเหมือนคนที่ผ่านการร้องไห้อย่างหนัก ขณะที่ดวงหน้าอิดโรยราวกับคนที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืน “ดีใจที่คุณมา ฉันอยากคุยกับคุณ”

“ผมก็มีเรื่องที่จะคุยกับคุณเหมือนกัน คุณเทียน”

ร่างสูงโปร่งบนเตียงที่เต็มไปด้วยบาดแผลผ่อนลมหายใจช้าๆ ก่อนจะเอ่ย “พูดเรื่องของคุณมาก่อนสิ”

“ผมรู้แล้วว่าคุณเป็นใคร เพราะผมทำให้คุณเสียแม่ไปใช่ไหม คุณถึงเกลียดผม” สิตะพุ่งตรงประเด็น พูดในสิ่งที่เตรียมไว้โดยไม่อ้อมค้อม

“คุณรู้แล้วเหรอ? ดาวประกายบอกคุณ?”

“เปล่า ผมให้อนณสืบเรื่องของคุณ…นี่ใช่ไหม ที่ทำให้คุณคิดร้ายกับผม คุณก็ต้องการแก้แค้นผมเหมือนกัน”

“ใช่ ฉันต้องการแก้แค้นคุณ เพราะฉันเกลียดคุณ... ฉันเป็นคนบอกชัชวาลเองว่าคุณอยู่ที่ไหนตอนไปเกาหลี แล้วก็เป็นคนลอบเข้าไปในห้องของคุณ เพื่อที่จะทำร้ายคุณ แล้วฉันก็ยังบอกดาวประกายด้วยว่าคุณเป็นคนขับรถคันนั้น อ๋อ แล้วก็...ขโมยโทรศัพท์ของคุณตอนอยู่บนเครื่องเพราะฉันได้ยินว่าคุณเริ่มสงสัยฉัน แล้วฉันก็หลอกให้ดาวประกายออกมาเพื่อที่คุณจะได้ตามมา ฉันเป็นคนวางแผนและทำทุกอย่างเอง เพราะฉันเกลียดคุณ”

เทียนแก้วเอ่ยยาวเหยียดด้วยใบหน้านิ่งเฉย ไม่ใช่แค่เขาหรอก แต่เธอก็เตรียมคำพูดทุกอย่างไว้แล้วเหมือนกัน

“ถ้าผมบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ คุณก็คงคิดว่าผมไม่รับผิดชอบ แต่ผมไม่รู้จริงๆ ว่าต้องชดใช้ให้คุณยังไง ถ้าคุณต้องการเงิน ผมพอมีเหลืออยู่บ้าง... แต่ถ้าคุณต้องการชีวิต คุณอาจต้องไปตกลงกับคนที่เกลียดผมอีกคน เพราะเขาก็ต้องการให้ผมชดใช้หนี้กรรมด้วยชีวิตที่เหลือของผมเหมือนกัน”

ท้ายประโยค สิตะหัวเราะอย่างเหยียดหยัน แต่ดวงตากลับหม่นหมองเหลือเกิน

“ฉันไม่ต้องการให้คุณชดใช้อะไรทั้งนั้น... ฉัน...ไม่อยากแก้แค้นคุณแล้ว”

สีหน้าคมสันแสดงความประหลาดใจ คนบนเตียงจึงเอ่ยต่อ

“ฉันรู้ ว่าคุณไม่ได้ตั้งใจ ฉันรู้ก่อนที่ดาวประกายจะบอกฉันเสียอีก ว่าคนที่บังคับพวงมาลัยตอนนั้นคือน้องชายของคุณ เพื่อจะหลบไอ้พวกที่ตามไล่ล่าคุณอยู่ ฉันรู้...แต่ฉันก็ทำเป็นไม่รู้ เพราะการโทษว่าเป็นความผิดของคนอื่น มันทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้น ว่าตัวเองไม่เกี่ยวข้องกับการตายของแม่”

“คุณหมายความว่ายังไง”

“ความจริงตอนนั้น ถ้าฉันไม่ทะเลาะกับแม่ แม่ก็คงไม่ไปยืนอยู่ตรงนั้น และก็คงไม่ถูกรถของคุณชน มันเป็นเพราะฉัน... แต่เวลาที่ฉันคิดว่ามันเป็นเพราะฉัน ฉันมักจะรับมันไม่ได้ ฉันก็เลยต้องโยนความผิดให้ใครก็ได้ เพื่อที่ฉันจะได้สบายใจ...เป็นนิสัยของพวกคนเลวใช่ไหม นี่แหละ ที่ฉันไม่อยากเป็น ฉันพยายามบอกตัวเองว่าฉันไม่ใช่คนเลว ฉันทำเพื่อความถูกต้อง แต่ว่าพอเห็นดาวประกายวันนี้ ตอนที่วิกฤต ดาวประกายกลับช่วยฉัน แทนที่จะหนีเอาตัวรอด ฉันก็เลยรู้เลย ว่าฉันไม่มีทางทำอย่างนั้นได้ ฉันไม่มีทางคิดถึงคนอื่นก่อนตัวเอง เพราะว่าฉันมันเลว”

เทียนแก้วพรั่งพรูความในใจออกมาพร้อมกับน้ำตาที่รินไหล ขณะที่สิตะเองก็สะเทือนใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่เรื่องของเธอ แต่เป็นทุกเรื่อง...

“ชีวิตมันยากเหลือเกิน” เขาเอ่ยเช่นนั้นก่อนหัวเราะในลำคออีกครั้ง และยามที่ดวงตาของหญิงสาวบนเตียงจ้องมองมา เขาก็แตะที่หลังมือเธอเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

“คุณจะบอกตำรวจ ให้มาจับฉันไหม”

สิตะผ่อนลมหายใจ ก่อนส่ายหน้า “ให้มันจบตรงนี้ดีกว่า ผมเหนื่อยมากแล้ว....แล้วต่อไป ถ้าคุณต้องการอะไร ก็ให้บอกอนณ เขาจะจัดการให้เท่าที่เขาทำได้ ถือเป็นคำขอโทษจากผม คุณไม่ต้องคิดมากแล้วล่ะ นอนพักซะเถอะ”

อาจเป็นน้ำเสียงนุ่มนวลที่สุดเท่าที่เขาเคยพูดกับเธอ เทียนแก้วหลับตา ก่อนที่ชายหนุ่มจะหมุนตัวจากไป

ช่วยไม่ได้เลยที่น้ำตาจะรินไหล แต่รอยยิ้มจางๆ ประดับที่ใบหน้า



เพราะความเกลียดชังนำมาซึ่งความทุกข์

เราไม่มีทางรู้เลยว่า หนึ่งการกระทำของเรานั้น สร้างความเจ็บแค้นในหัวใจของใครบ้าง ทั้งๆ ที่หลายครั้ง เราไม่มีเจตนาจะทำลงไป แต่ความโกรธเกลียดก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่ดี

แล้วทำอย่างไรความเกลียดถึงจะยุติ ต้องใช้มีดพร้าที่คมแค่ไหนถึงจะตัดสายป่านแห่งความอาฆาตให้สั้นลงได้ เขาเองก็ไม่รู้หรอกว่าต้องทำเช่นไร แต่ก็หวังว่าสิ่งที่เขากำลังจะทำต่อไป จะสามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องราวให้ดีขึ้นได้

และเพราะความตั้งใจนั้นเอง ที่ทำให้เขามายืนอยู่ตรงนี้...อีกครั้ง ต่อหน้าประตูที่ปิดสนิท แต่ไม่มีความกล้าหาญพอจะก้าวเข้าไป เนิ่นนานแค่ไหนที่เขายืนนิ่งอยู่เช่นนั้น จนกระทั่งบอดี้การ์ดหนุ่มที่มองดูอยู่ตลอดเอ่ยออกมา

“เข้าไปเถอะครับ คุณปลาดาวเอง ก็คงอยากเจอคุณ”

สิตะหันมองคนสนิท เห็นความเข้าใจในดวงตาคุ้นเคยที่ส่งมา ก็ทำให้เขามีกำลังใจมากพอจะผลักประตูบานนั้น ภายในห้องสว่างไสว แต่ร่างหนึ่งบนโซฟา และอีกร่างบนเตียงก็ยังคงหลับตาพริ้ม

ดาวประกาย.... เขาร้องเรียกเธอในใจขณะสาวเท้าเข้าไปใกล้ เพียงไม่กี่วันที่ไม่ได้มองหน้ากันอย่างนี้ แต่เขากลับรู้สึกว่ามันยาวนานนับปี ดาวประกาย...เธอตื่นมาคุยกับฉันหน่อยได้ไหม ให้สมกับเวลาที่เราเสียไป เขาวิงวอน แต่ก็ไม่ได้เปล่งเสียงใดๆ เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่เขาทำได้ คือการเฝ้ามองเธอยามหลับใหล จรดลึกทุกความรู้สึกลงในความทรงจำก่อนจากลา

หญิงสาวร่างบางยังคงเป็นดั่งวันแรกที่เห็น ดวงหน้ากลมเกลี้ยงกระจ่างใสที่ตรงมาหาเขาพร้อมกับดวงตาที่ระยิบระยับไม่ต่างจากดวงบนฟ้า เธอทำให้เขาเปลี่ยนไปตั้งแต่วันนั้นโดยที่เขาเองก็ยังไม่ทันตั้งตัว กำแพงสูงที่ก่อในใจทำให้เขาไม่พร้อมเปิดรับใคร แต่มันก็เป็นการผลักไสพร้อมๆ กับการขยับเข้าใกล้ โดยไม่รู้เวลาว่าพอถึงเวลาหนึ่ง ทั้งตัวและหัวใจของเขาจะอยู่แนบชิดกับเธอเสียแล้ว

ชายหนุ่มมองหน้าเธอ ก่อนเหลือบไปเห็นตุ๊กตาตัวน้อยที่อยู่ข้างหมอน...ตุ๊กตาที่เขาเคยมอบให้ ไม่รู้ว่าใครนำมาวางไว้ตรงนี้ เขาหยิบมันขึ้นมา แล้วทำเช่นเดียวกับที่เธอเคยทำ…ฝากรอยจุมพิตผ่านมัน แต่ไม่ใช่ที่แก้ม รอยจูบที่เขาไหว้วานถูกประทับลงบนริมฝีปากของเธออย่างแผ่วเบา ก่อนที่เขาจะวางมันลงที่เดิม

ดาวประกาย... เธอไม่ต้องตื่นขึ้นมาเพื่อล่ำลาฉัน แค่ขอให้ในความฝันของเธอ มีฉันอยู่ก็พอ

สิตะบอกด้วยหัวใจที่เจ็บช้ำ ก่อนจะหันหลังเพื่อซ่อนน้ำตาแห่งความปวดร้าวของตัวเอง ซึ่งในนาทีเดียวกันนั้น เสียงของเธอก็ดังขึ้น

“คุณสิตะ....” ต่อให้จะแผ่วเบาแค่ไหนแต่เขาก็ยังได้ยิน สิตะรีบหันมา ก่อนจะเห็นดวงตากลมใสจ้องมองอยู่

“เธอ...ไม่ได้หลับเหรอ”

“ฉันรอคุณอยู่”

คำพูดของเธอสร้างก้อนสะอื้นของแก่เขา ชายหนุ่มพูดอะไรไม่ออก อยากดึงตัวเธอมากอดไว้ แต่เพราะ ‘สัญญา’ ที่เขามี ไม่ใช่แค่แม่ของดาวประกายที่นอนอยู่ แต่กับใครอีกคน ทำให้เขาต้องกลั้นใจเอ่ยด้วยเสียงห่างเหิน

“ฉันแค่มาดูให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้เป็นอะไร จะได้ไม่มีใครโทษว่าเป็นเพราะฉัน ฉันต้องทำเพราะเป็นหน้าที่ ก็แค่มนุษยธรรมน่ะ เธอปลอดภัยก็ดี ฉันจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาที่นี่อีก” เอ่ยจบเขาก็เตรียมจะหมุนตัวจากไป แต่ดาวประกายก็ร้องไว้ พร้อมยื่นมือออกมา

“อย่า…”

“ฉันไม่อยากวุ่นวายเพราะเธออีกแล้วดาวประกาย ต่อไป เราอย่าเจอกันอีกเลย”

“อย่า... เย็นชากับฉัน เพื่อฉัน เพราะไม่ใช่แค่ฉัน แต่คุณก็เจ็บ”

“เธอกำลังพูดเรื่องอะไร”

“ฉันได้ยิน...ที่คุณ คุยกับแม่ คุณจะไป เพราะแม่ใช่ไหม” หญิงสาวเอ่ยเบาอย่างแสนเศร้า หลังบทสนทนาที่เธอบังเอิญได้ยิน ทำให้เธอเอาแต่ครุ่นคิดจนไม่สามารถหลับลงได้อีก “คุณจะไป นานแค่ไหน”

เธอถามพร้อมกับเฝ้ารอคำตอบ สิตะไม่อาจทนมองดวงตาของเธอได้ เพราะมันอาจทำให้เขาห้ามใจไม่ไหว

“ฉันสัญญากับแม่เธอ ว่าจนกว่าฉันจะแก้ปัญหาของฉันได้ ฉันจะไม่มาเจอเธออีก แต่ปัญหาของฉันมันซับซ้อนเหลือเกินดาวประกาย ฉันไม่คิดว่ามันจะจัดการได้ง่ายๆ ภายในวันสองวัน ฉัน...คงไม่ได้มาเจอเธออีก”

“ทำไมละคะ”

ความสงสัยที่ไม่ใช่การต่อว่า แต่เป็นแววตาของคนที่พร้อมจะฟังเหตุผล ทำให้สิตะไม่เห็นประโยชน์ที่จะปิดบัง เหตุการณ์ที่เขาไปหาชัชวาล จึงถูกเล่าออกมาอย่างละเอียด ตั้งแต่ต้น จนถึงตอนที่พ่อของเขาก้มกราบลงแนบพื้น

ดูเหมือนความสำนึกผิดครั้งนี้ของพ่อ คงช่วยทุเลาความเคียดแค้นลงได้ แม้ไม่หมดไป แต่อีกฝ่ายก็ลดปืนในมือลง พร้อมกับยื่นข้อเสนอสำหรับยุติการจองล้างจองผลาญ...

เอกสารสัญญาว่าจะยกกรรมสิทธิ์ของมหาคำให้ชัชวาล สิ่งใดที่เคยขโมยไปจะต้องถูกทวงกลับพร้อมดอกเบี้ยเป็นร้อยเท่า สาธิตทำท่าไม่ยอม แต่สิตะไม่ลังเลที่จะยกส่วนของตนให้ อย่างไรสมบัตินอกกายก็ไม่สำคัญเท่าชีวิตคนสำคัญ แต่เขาก็ต้องการคำมั่น ว่าหลังจากทนายร่างสัญญาและเขาจรดปากกาลงไป ชีวิตของพ่อและผู้หญิงที่เขารักจะปลอดภัย

สิ่งใดที่จะการันตีว่าไม่มีการลงมือซ้ำ ครั้นทวงถาม ชัชวาลก็เหมือนคิดอีกข้อเสนอขึ้นมาได้

‘เอาลูกสาวฉันไปเป็นตัวประกันสิ ลูกสาวฉันอยู่กับพวกแก ฉันไม่ทำอะไรพวกแกหรอก’

‘พ่อ!!!’ ช่อชมพูร้องออกมาเมื่อได้ยิน เธอมองพ่ออย่างไม่เชื่อสายตา นอกจากพ่อจะเคยเห็นเธอเป็นสินค้า ตอนนี้พอยังให้ราคาเธอเป็นเพียงเชลยเท่านั้น

‘ไม่ต้องมองหน้าฉันอย่างนั้น ก็ที่แกหายตัวไปตั้งหลายวัน ไอ้พิพัฒน์มันเลยไม่เอาแกแล้ว แกมีอิสระแล้วไม่ดีใจหรือไง ทีนี้แกก็แต่งงานกับไอ้สิที่แกรักนักรักหนาได้แล้ว’

‘แต่พู่ไม่ต้องการแบบนี้’

‘แต่ฉันต้องการ’ ชัชวาลประกาศลั่น เมื่ออำนาจทุกอย่างอยู่ในกำมือ เขาก็ไม่ต้องเกรงใจใครอีก ‘แกต้องดูแลลูกสาวของฉันให้ดี แล้วฉันจะไม่ยุ่งกับพวกแกอีก’

สิตะเล่า... แม้เขาจะไม่เห็นด้วยแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้

“แปลว่าคุณ ต้องแต่งงานกับคุณพู่” ดาวประกายถามด้วยเสียงขาดๆ หายๆ รู้สึกเลวร้ายกว่าตอนได้ยินแม่ออกปากไล่ชายหนุ่มมากนัก

“ใช่...”

“ไม่มีทางเลือกอื่นเลยเหรอคะ”

“ไม่...”

“แจ้งความละ คุณพ่อของคุณพู่เป็นคนไม่ดี.... ให้ตำรวจจับ ไม่ได้เหรอ”

“จับได้ แต่เงินก็ซื้ออิสรภาพได้เหมือนกัน” สิตะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน พร้อมเหยียดยิ้มทั้งที่แววตาไม่เห็นไปเรื่องตลกแม้แต่น้อย “เธอไม่เคยได้ยินเหรอ โลกเราวันนี้มันอยู่ยากขึ้นทุกวัน มันไม่ใช่นิยาย ที่ผู้ร้ายได้รับผลกรรม แล้วเรื่องก็จบ ชีวิตจริง ต่อให้เราต้องรอจนหมดลมหายใจ คนที่ร้ายกับเรา ก็อาจไม่รับบทเรียนใดๆ เลยก็ได้ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่าบางทีสิ่งที่เขาทำกับเราน่ะ มันเป็นเพราะว่าครั้งหนึ่ง เราก็เคยทำกับเขาเหมือนกัน”

ดาวประกายเงียบไป ก่อนเปรยเบาๆ “เหมือนฝอยขัดหม้อใช่ไหม”

“ฝอยขัดหม้อ?”

“มีคนเคยบอกว่าเวรกรรม มันอีรุงตุงนังเหมือนฝอยขัดหม้อ ชาติก่อน คุณคงเคยทำเขาไว้”

“ไม่ใช่ชาติก่อนหรอกดาวประกาย ชาตินี้นี่แหละ” แล้วสิตะก็เล่าเรื่องพ่อของเขาให้ฟัง ดาวประกายนิ่งงันแทบไม่เชื่อสิ่งที่ตัวเองได้ยิน

“ดาวประกาย ฉันให้เรื่องถึงตำรวจไม่ได้ เพราะนั่นก็เท่ากับว่าคดีที่พ่อเคยทำต้องถูกรื้อฟื้นขึ้นมา ฉัน...ขอโทษ ที่เห็นแก่ตัว แต่ฉันต้องการจบปัญหา ไม่อยากให้ใครเดือดร้อนเพราะฉันอีก ดาวประกาย เธอเข้าใจฉันใช่ไหม”

หญิงสาวเงียบไป น้ำใสปริ่มขอบตา

“ต่อให้ไม่เข้าใจ คุณก็ต้องไป...ใช่ไหม” เธอถามเสียงสั่น แต่สิตะก็ไม่สามารถตอบได้ ตอนนี้ลำคอของเขาตีบตันยิ่งกว่าครั้งไหนๆ จำต้องเปลี่ยนเรื่องไปก่อนที่ก้อนสะอื้นจะกลั่นเป็นน้ำตา

“เรื่องที่ฉันขับรถชนพ่อของเธอ เธอให้อภัยฉันได้ไหม”

“คุณไม่ตอบฉัน... ยังไง คุณก็ต้องไปใช่ไหม”

“ดาวประกาย...เธอก็รู้ว่าฉันไม่ได้อยากไปจากเธอเลย”

“แล้วทำไม...” เธอถามเสียงพร่า แต่ก็ชะงักอยู่แค่นั้น เขาให้เหตุผลกับเธอมาหมดแล้ว ต่อให้คาดคั้นมันก็ไม่มีทางเปลี่ยนไปจากเดิมได้ หญิงสาวจึงตั้งคำถามใหม่ ด้วยเสียงที่สั่นไหวกว่าเก่า “คุณสิตะ ถ้าฉันคิดถึงคุณล่ะ”

“เขียนถึงฉัน”

“แล้วคุณจะมาหาเหรอค่ะ”

“เปล่า แต่เธอจะคิดถึงฉันน้อยลง”

“คุณสิตะ...” ดาวประกายตัดพ้อเขาด้วยน้ำเสียง แม้จะพยายามเหลือเกินที่จะเข้าใจ แต่เธอก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงความเสียใจได้ “ต่อให้ฉัน...ใช้สมุด...ที่คุณซื้อให้จนหมด ฉันก็คง....คิดถึงคุณอยู่ดี”

แล้วน้ำตาของหญิงสาวก็รินไหล พร้อมเสียงสะอื้นไห้ที่ดังไปทั่วห้อง สิตะมองภาพนั้นด้วยหัวใจที่เจ็บปวด

“ดาวประกาย... อย่าร้องไห้อีกเลย อย่าทำให้คนที่รักเธอมากที่สุด ต้องทุกข์ใจเพราะฉัน” เขาเอ่ยขณะปาดน้ำตาให้เธอ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ระบุชื่อ แต่ดาวประกายก็รู้ว่าเขาหมายถึงใคร

“อย่าดื้อกับแม่ เหมือนที่ดื้อกับฉันนะ เข้าใจ?”

สิตะพยายามใช้น้ำเสียงแบบเดิมเพื่อให้สถานการณ์ดีขึ้น แต่ดาวประกายกลับร้องไห้หนักกว่าเก่า นาน... ที่เขาปล่อยให้เธอหนำใจกับน้ำตา ก่อนที่เธอจะเรียกสติกลับคืนมา และเอ่ยอีกครั้ง

“คุณสิตะ เรื่องพ่อฉัน ฉันไม่โกรธคุณแล้วนะ ฉันรู้แล้ว ว่าวันนั้น มันเกิดอะไร คุณสิทธาบอกฉันหมดแล้ว ฉันให้อภัยทั้งคุณ และก็คุณสิทธา”

“สิทธา?”

“ต่อให้คุณไม่เชื่อ แต่ฉันก็จะยืนยัน ฉันติดต่อกับน้องชายคุณได้ และเขาก็พาฉันไปเห็นเหตุการณ์ในวันนั้น.... บางทีเรื่องของเรา มันอาจจะถูกกำหนดไว้ให้เป็นอย่างนี้ เพื่อให้ฉันรู้ ให้เข้าใจ ใครบางคนจะได้ไปอย่างหมดห่วง”

“เธอพูดเรื่องอะไร”

“ถ้าอย่างนั้น ฉันก็ไม่ควรทำให้คุณเป็นห่วงสินะ” ดาวประกายพึมพำเหมือนกระซิบกับตัวเอง ก่อนจะมองหน้าเขา

ใบหน้าคมสันยังคงงดงามเช่นเดียวกับครั้งแรกที่เห็น เพียงแต่ร่องรอยแห่งความตึงเครียดและอ่อนล้าเพิ่มกว่าเมื่อก่อน แถมด้วยเฝือกหนึ่งข้าง และเสื้อผ้าที่มอมแมมไปด้วยฝุ่นและเขม่าควัน และถ้าเธอกับเขาดึงดันจะคบกัน เขาอาจจะต้องลำบากมากกว่านี้

“คุณยืนอยู่ตรงนี้ก่อนนะ ให้ฉันเห็นคุณ แล้วพอฉันหลับตา สักพัก... คุณค่อยไป ฉันไม่อยากเห็นตอนคุณไป ฉันจะได้ไม่ต้องร้องไห้ ให้คุณต้องห่วง”

เธอเอ่ยปนสะอื้นจนแทบฟังไม่รู้เรื่อง ซึ่งสิตะก็ไม่มีทางเลือกอื่น... แม้จะเจ็บแค่ไหนแต่เขาก็พยักหน้า ก่อนที่ดาวประกายจะหลับตาลงช้าๆ

เขายังคงยืนอยู่ตรงนั้น มองดูเธอ ไม่รู้ว่านานแค่ไหน ก่อนที่เขาจะตัดสินใจจากไป เสียงฝีเท้าที่กระทบกับพื้นกระเบื้องทำให้ดาวประกายใจหาย อดไม่ได้ ที่จะเอ่ยออกมา

“คุณสิตะ...”

ชายหนุ่มที่กำลังตรงไปยังประตูชะงัก ฝืนใจไม่หันกลับ เพียงแค่ขานรับสั้นๆ “มีอะไร”

“คุณคือแสงศศิใช่ไหม”

มาถึงตอนนี้คงไม่จำเป็นต้องโกหก “ใช่ ฉันคือแสงศศิ”

แล้วดาวประกายก็เงียบไป พักใหญ่ เขาจึงก้าวเดินอีกครั้ง จนกระทั่งเสียงประตูถูกปิดลง หญิงสาวบนเตียงที่ยังคงหลับตา จึงเอ่ยออกมา

“ฉันดีใจที่สองคนที่ฉันรัก คือคนๆ เดียวกัน...”

ถ้อยคำนั้นดังก้องอยู่ในหัวใจของชายหนุ่ม ไม่มีคำใดอีกแล้วที่จะเอ่ย นอกเสียงจากเสียงที่อื้ออึงอยู่ในหัว

“ฉันก็รักเธอเหมือนกัน...ดวงดาวของฉัน”








-------------------

มาเศร้ากันต่อ TT^TT




 

Create Date : 04 พฤษภาคม 2556
1 comments
Last Update : 4 พฤษภาคม 2556 0:08:32 น.
Counter : 662 Pageviews.

 


มาเยี่ยมชม มาทักทาย

มาลงชื่ออ่านครับ

อิอิ

 

โดย: อาคุงกล่อง 4 พฤษภาคม 2556 2:18:04 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.