Group Blog |
[เรื่องเก่าเอามาเล่าใหม่] ตะลอนทัวร์ญี่ปุ่นภาค ๑ (หุ่นทหารจิ๋นซีฮ่องเต้ ซูโม่? นิกโก้) เรื่องเก่าอีกแล้ว เขียนเมื่อปี ๒๕๔๙ ปิ่นลดา ศิษย์ศักดิ์เกษมพรีเซนต์ ---ซีรี่ส์นักปั่น(กระทู้) ๑๕ ตะลอนทัวร์ญี่ปุ่นภาค ๑ (หุ่นทหารจิ๋นซีฮ่องเต้ ซูโม่? นิกโก้) ตั้งชื่อว่าภาค ๑ เพราะว่ายาวค่ะ ดังนั้นคงมีภาค ๒และ๓ ตามมาเรื่อยๆในอีกไม่ช้าก็เร็วนี้แหละค่ะ [b]เหตุที่ทำให้ได้เที่ยว[/b] น้องสาวบอกมานานแสนนานแล้วว่า ได้วันลาหยุดพักร้อนสองอาทิตย์และหาที่ไปพักผ่อนสักหนึ่งอาทิตย์ ด้วยความที่เธอทำงานหนักมาตลอดทั้งปี พี่สาว พี่ชายและน้องชาย (ที่รวมหัวตั้งแก๊งค์กันอยู่ที่โตเกียว) จึงบอกว่า มาญี่ปุ่นเหอะ มาเที่ยวด้วยกัน น้องสาวมาก็เหมือนเป็นข้ออ้างที่ดีที่จะได้พาเธอเที่ยว และ ... แน่นอน คนที่มีภาระติดเรียนติดทำงานที่นี่ก็ใช้เป็นข้ออ้างหนีงานไปเที่ยวได้อย่างไม่รู้สึกสำนึกถึงความผิด ทว่าตามประสาคนที่มีงานต้องทำ วันที่น้องสาวเลือกมา เป็นวันหลังพรีเซนต์กลาง(กลางอะไรดี... อธิบายง่ายๆว่า เหมือนพรีเซนต์ว่าทำงานวิจัยไปถึงไหนแล้ว เป็นพรีเซนต์ใหญ่ที่ต้องพรีเซนต์ต่อหน้าอาจารย์ทั้งภาควิชาและต่อหน้าชาวบ้านที่มาเข้าฟัง) ไปสองสามวันพอดี อากาศตอนช่วงนั้นก็เลวร้ายมากๆ ฝนตกทุกวัน โดยเฉพาะวันศุกร์ก่อนที่เครื่องของน้องสาวจะมาลงในเช้าวันเสาร์ถัดมา ไต้ฝุ่นเข้าญี่ปุ่น ลมพัดแรงมาก ฝนตกหนักมาก ขนาดที่ได้ฟังจากพี่คนไทยที่อยู่หอเดียวกันว่า เห็นคนเดินถนนโดนพัดร่มเหลือแต่ก้านร่มคาตา ชักเป็นห่วงคุณน้องสาวว่าจะมาเที่ยวท่ามกลางสภาพอากาศเช่นนี้ได้อย่างไรเหลือเกิน สาวน้อยของเรามาถึงโตเกียวอย่างสวัสดิภาพค่ะ พร้อมพาอากาศแจ่มใสมาให้โตเกียวด้วย ราวกับเธอเป็น เทพธิดาแห่งอากาศดี ตามคำของพี่ชายของเธอเสียเหลือเกิน ว่าที่ ดร.พี่ชายจัดแจงทำงานสะสมไว้เพื่อให้หยุดยาวสามวันของญี่ปุ่นมีเวลาพาน้องสาวไปเที่ยว ส่วนพี่สาวนั้น อาจารย์ไปดูงานต่างประเทศพอดี ดังนั้นจึงกระโดดเหยงๆหนีงานหนึ่งสัปดาห์ (แน่นอนว่าตอนที่แอบมานั่งเขียนอยู่นี่กลับมาทำงานแล้ว แต่ยังขี้เกียจตัวเป็นขนอยู่ค่ะ เลยใช้เวลารอไปเรียนเขียนบันทึกเดินทางแทน) [b]เรียวคกขุ เยือนถิ่นซูโม่[/b] ถ้าถามคนญี่ปุ่นว่า คำว่า เรียวคกขุ (Ryokoku両国) หมายถึงอะไร แทบทุกคนคงนึกถึง ซูโม่ หรือคกขุงิกัง (Kokugikan国技館) หรือสเตเดี่ยมที่ใช้จัดการแข่งขันซูโม่เป็นแน่แท้ ก่อนอื่นแนะนำเกี่ยวกับซูโม่สักนิดนึงก่อนก็แล้วกันนะคะ กีฬาอย่างที่เราเรียกว่าซูโม่นั้น อันที่จริงแล้ว ซูโม่เป็นคำเรียกการเข้าต่อสู้กันโดยเข้าปะทะใครหลุดออกไปนอกวง (เป็นพื้นดินวงรอบด้วยเชือกขนาดใหญ่) หรือล้มลงกับพื้นก็แพ้ ใครจะสู้กันด้วยวิธีนี้ก็ได้ค่ะ ส่วนภาพที่เราคุ้นตาที่มีนักซูโม่ (ญี่ปุ่นเรียก ริกิชิRikishi 力士แปลว่า ผู้มีพลัง) ตัวใหญ่ๆสู้กันนั้น เรียกว่า โอซูโม่ ค่ะ โอซูโม่มีการแข่งขันใหญ่ๆหลายครั้งในหนึ่งปี แข่งสลับกันระหว่างโตเกียว (ที่คกขุงิกัน) กับเมืองใหญ่ๆ คือ โอซาก้า นาโกย่า ฟุกุโอกะ และยังมีการโชว์การสู้ (ไม่ใช่แข่ง) ตามเมืองใหญ่ๆอีกด้วยค่ะ รูปค่ะ รูปถ่ายเองก็มีแต่เอาไปไว้ไหนแล้วไม่รู้ค่ะ ปกติที่นี่จะเปิดให้เข้าชมฟรีในวันที่ไม่มีแข่งถึงสี่โมงครึ่งค่ะ ใครอยากเข้าไปดูสนามแข่งอันอลังการของโอซูโม่ก็เชิญได้เลยนะคะ ถัดไปข้างหลังคกขุงิกังพอดีเด๊ะคือ พิพิธภัณฑ์เอโดะโตเกียว ไฮไลท์ของการท่องเที่ยววันนี้ค่ะ [b]การปะทะระหว่างวัฒนธรรม เก่า-ใหม่[/b] สิ่งก่อสร้างหน้าตาประหลาดพิสดารราวหุ่นยนต์ขายาวๆที่โผล่หน้ามาให้เห็นกันในสตาร์วอส์อย่างไรอย่างนั้น หน้าตาประหลาดอย่างที่พวกสถาปนิกมาเห็นอาจชอบก็ได้นะคะ ญี่ปุ่นเป็นประเทศอนุรักษ์นิยมก็จริง แต่ว่าสำหรับงานศิลป์นี่เขาเปิดกว้างน่าดูชมทำให้เรามีโอกาสเห็นตึกหน้าตาแปลกๆหน้าตาไม่เข้ากับบรรยากาศมากมาย อย่างที่ใครเคยไปโอไดบะมาก่อนก็จะเคยเห็น ในขณะที่บอกว่าไม่เข้ากัน ที่จริงแล้วสิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนบทสรุปเล็กๆของการปะทะกันทางวัฒนธรรมของวัฒนธรรมดั้งเดิมกับวัฒนธรรมสมัยใหม่ที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตกจนได้รับบทสรุปที่ว่า วัฒนธรรมใหม่กลายเป็นวัฒนธรรมตามแบบญี่ปุ่นได้อย่างน่าทึ่ง หน้าตาของพิพิธภัณฺฑ์ค่ะ ปกติแล้วที่นี่จะจัดการนิทรรศการหลักคือ การแสดงเกี่ยวกับเอโดะและโตเกียว แสดงวิวัฒนาการจากเมืองเอโดะก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นโตเกียวในภายหลัง เอโดะนั้นก็คือเมืองที่เป็นเมืองสำคัญในสมัยโชกุนโตคุกาวะเรืองอำนาจ ช่วงก่อนที่ญี่ปุ่นจะปิดประเทศจนกระทั่งเปิดประเทศเพราะการข่มขู่จากสหรัฐโดยเรือดำ(เรือรบ)นำโดยพลเรือจัตวาแพร์รี่ในช่วงก่อนสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลงเมจินั่นเอง (สมัยเมจิตรงกับสมัยรัชกาลที่ ๕ของเรานั่นเอง) เอโดะไม่ให้เมืองหลวงของญี่ปุ่นนะคะ เมืองหลวงของญี่ปุ่นคือ เกียวโต มาจนถึงรัชสมัยเมจิค่ะ (นับตามที่ประทับจักรพรรดิ์ค่ะ) ดังนั้นไม่ว่าญี่ปุ่นจะอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลทหารตั้งแต่คามาคุระ (1192-1333 ศูนย์กลางอยู่ที่เมืองคามาคุระปัจจุบันอยู่ที่จังหวัดคานากาวะใกล้โตเกียวค่ะ) มุโรมาจิ (1338-1573กลับมาที่เกียวโต) อาสุจิ-โมโมยามะ (1573-1603 ปราสาทอาสุจิเมืองโอมิและปราสาทโอซาก้า เมืองโอซาก้า) รวมทั้งเอโดะ เมืองหลวงก็ยังนับว่าคือเกียวโตจนกระทั่งสมัยเมจิ เมื่อจักรพรรดิเมจิทรงย้ายไปประทับที่โตเกียวค่ะ รายละเอียดเรื่องประวัติศาสตร์ยังมีอีกแยะค่ะ ใครอยากอ่านเข้าใจง่ายแต่เป็นภาษาอังกฤษ ไปอ่านกันได้ที่นี่ค่ะ เขียนเข้าใจง่ายดีค่ะ [url]//www.japan-guide.com/e/e641.html[/url] ปกติแล้วพิพิธภัณฑ์เอโดะโตเกียวจัดการแสดงนิทรรศการหลักคือ เรื่องราวเกี่ยวกับเอโดะและโตเกียวค่ะ แต่นิทรรศการที่เรียกให้คนมาพิพิธภัณฑ์ได้เป็นอย่างมากก็คือ นิทรรศการพิเศษที่จัดทั้งปีโดยเปลี่ยนหัวข้อไปเรื่อยๆค่ะ [b]หุ่นทหารจิ๋นซี อลังการข้ามกาลเวลา[/b] นิทรรศการพิเศษในช่วงที่พาน้องสาวไปดู เป็นนิทรรศการที่พี่สาวน้ำลายหกน้ำลายไหลอยากไปดูให้จงได้มานานแล้ว นั่นคือ นิทรรศการพิเศษเรื่อง สุสานใต้ดิน จิ๋นซีฮ่องเต้ (始皇帝-ชิโคเทหรือตรงกับซีฮ่องเต้ จิ๋น-秦เป็นชื่อราชวงศ์ค่ะ)กับหุ่นทหารหลากสีสัน และโลกหนังสือประวัติศาสตร์(สื่อจี้)ของซือหม่าเชียน (史記 司馬遷ญี่ปุ่นเรียกว่า ชิคิและชิบะเซ็นค่ะ) สิ่งที่อยากดูเพราะว่าดูในรายการทีวีที่ออกมาเสมอๆก็คือ หุ่นทหารที่เพิ่งค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ เป็นข้อพิสูจน์ว่า หุ่นทหารของจิ๋นซีน่ะมีสีนะจ๊ะ อย่ามาดูถูกช่างฝีมือสมัยก่อน เขาไม่ทำงานแบบสุกเอาเผากิน สมจริงๆมากๆ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มีการนำหุ่นที่มีสีเผยแพร่ออกนอกจีนค่ะ (ญี่ปุ่นกับเยอรมันเปิดตัวพร้อมกันค่ะ) แม้กระทั่งในจีนเองยังไม่มีการนำมาจัดนิทรรศการนะคะ (ตามคำโฆษณาของนิทรรศการ) สำหรับคนที่เคยไปเมืองซีอัน (西安)มณฑลซานซี (陝西省) ก็คงเคยได้ชมของจริงและสัมผัสกับพลังที่เข้ามากระแทกจิตใจของเราให้รู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของจีนภายใต้อุ้งพระหัตถ์จิ๋นซีฮ่องเต้กันมาแล้ว แม้กระทั่งเป็นนิทรรศการที่ไม่ได้ใช้พื้นที่มากมายนัก มีหุ่นมาแสดงเพียงไม่มากนัก (ประมาณห้าตัว) แต่ก็ทำให้การเบียดคนญี่ปุ่นที่มากมายราวกับคลื่นมหาชนที่ไม่เคลื่อนไปข้างหน้าง่ายๆเสียด้วยเพื่อเข้าไปชมเป็นของที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง อย่างที่ไม่ต้องเจาะเวลาหาจิ๋นซี แต่ว่าพระราชอานุภาพของจิ๋นซีฮ่องเต้กลับเป็นฝ่ายเจาะเวลามาให้เราสัมผัสถึงแก่นของหัวใจ สำหรับคนที่สนใจประวัติศาสตร์แล้ว นี่คือสุดยอดของสุดยอดของสุดยอดอีกที ทำให้ซาบซึ้งขึ้นมาว่า ไอ้สุสานจักรพรรดิ์ที่ไปตามหากับในหนังจีนที่ดูเมื่อเด็กๆช่างกระจอกมาก(ฉากนะคะที่กระจอก) ของจริงน่ะเขาสุดยอดอย่างที่สมควรไปตามหาจริงๆ ประวัติของจิ๋นซีฮ่องเต้ อ่านได้ที่ผู้จัดการออนไลน์ [url]//www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9490000004971[/url] อย่างไรก็ตาม จนถึงเดี๋ยวนี้ ก็ยังไม่มีการเปิดสุสานของจริงเลยนะคะ ไม่ว่าจะชี้ได้แล้วว่าอยู่ที่เขาชื่อ 驪山 (เป็นภูเขาสร้างด้วยแรงงานมนุษย์ หรือที่เรียกว่า 始皇帝陵) แต่ว่าภายในมีแม่น้ำที่สร้างด้วยการนำสารจำพวกปรอทใส่แทนน้ำ เพราะฉะนั้นเป็นอันตราย เปิดมาคนเปิดอาจตายได้ ดังนั้นสมบัติอันมีค่าจำนวนมหาศาลคงเป็นปริศนาต่อไปอีกนานเท่านานค่ะ การชมนิทรรศการวันนั้นเริ่มที่นิทรรศการจิ๋นซี เดินย้อนมาดูคกขุงิคัง แล้วกลับมาดูนิทรรศการเอโดะโตเกียว (ถ่ายรูปได้ แต่ว่ารูปอยู่ในกล้องน้องสาวค่ะ) ก่อนที่จะไปเดินหาจังโกะนาเบะ (อาหารยอดนิยมของนักซูโม่) แล้วสรุปกันว่า จะกลับไปทานผัดไทยที่น้องสาวแบกมาจากเมืองไทยดีกว่าตามประสาคนงกเหมือนเคย [b]โฆษณาตอนหน้า[/b] ไปนิกโก้เมืองมรดกโลก ทัวร์สุสาน(อีกแล้ว)ของโทคุกาวะ อิเอยาสุ โชกุนผู้สร้างโตเกียว ท่ามกลางนักท่องเที่ยวยั้วเยี้ย(แต่มีระเบียบวินัยตามประสายุ่น)และรถติดของวันหยุดสามวันค่ะ [b]โฆษณาตอนต่อจากตอนหน้า[/b] ครึ่งแรกพาเที่ยวโยโกฮามะ เมืองที่วัฒนธรรมนานาชาติไหลวนมาผสมรวมกัน ไปดูเชิดสิงโต(อาจแข่งกับตี๋ตระกูลซ่งไม่ได้) และไชน่าทาวน์โยโกฮามะ ครึ่งหลังพาไปขึ้นรถหัวจักรไอน้ำ SL (Stream Locomotive) ที่มีให้ขึ้นทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการที่ชิซูโอกะและลงแช่ออนเซ็นเพื่อความงามและสุขภาพ ตอนหน้าและตอนต่อๆไปจะเป็นภาพชุดที่ถ่ายด้วยกล้องในมือถือค่ะ ฝีมือดิฉันเองเจ้าค่ะ |
pinlada
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] 知恵者一人馬鹿万人---คนมีความรู้คนเดียวเท่ากับคนโง่หมื่นคน ---สงสัยว่าต้องมีขงเบ้งเป็นเพื่อนสถานเดียวถึงได้เท่าสุภาษิตนี้ Friends Blog
|