Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2551
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
14 พฤศจิกายน 2551
 
All Blogs
 
โรคความดันน้ำในหูไม่เท่ากัน หรือ น้ำในหูไม่เท่ากัน

โรคความดันน้ำในหูไม่เท่ากัน หรือ น้ำในหูไม่เท่ากัน ฝรั่งเรียกว่า โรคมีเนีย (Meneire's disease) คำว่า มีเนีย เป็นชื่อของศาสตราจารย์ชาวฝรั่งเศส ที่ได้รายงานสถานการณ์ของผู้ป่วยเอาไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1861 ระยะแรกไม่ค่อยมีใครเชื่อถือนัก แต่หลังจากนั้นอีกประมาณ 100 ปีคนจึงเริ่มรู้จักกลุ่มอาการป่วยชนิดนี้ มากขึ้น

น้ำในหูไม่เท่ากัน เป็นโรคที่พบได้บ่อย เกิดจากความดันน้ำในหูชั้นในที่เรียกว่า Endolymph มากผิดปกติ ทำให้หูชั้นใน ซึ่งทำหน้าที่รับเสียง และรับการทรง ตัวไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ โดย Endolymph มีเกลือแร่สำคัญ คือ โปรแตสเซียม ถ้าไปปนกับน้ำส่วนอื่น ๆ หูจะทำงานไม่ได้ เยื่อต่าง ๆ ในหูชั้นในแตก พบมากในวัยทำงาน ไปจนถึงผู้สูงอายุ ผู้ชายและผู้หญิงเป็นพอ ๆ กัน แต่ดูเหมือนว่า ผู้หญิงจะเป็นมากกว่านิดหน่อย

อาการของน้ำในหูไม่เท่ากัน ประกอบด้วย อาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน อย่างน้อย 20 นาที ซึ่งอาการเวียนศีรษะทำให้เดินเซ เสียศูนย์ นอกจากนี้การได้ยินเสียงในหูข้างใดข้างหนึ่งลดลง มีเสียงดังรบกวนในหู และอาจมีอาการแน่น หนักในหูข้างเดียวกัน อาการมักจะเป็น ๆ หาย ๆ บางรายเป็นบ่อยแทบทุกวัน บางรายมีอาการมากจนต้องเข้าโรงพยาบาล เมื่อหายก็จะมีอาการทุกอย่างปกติ

ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้ อาการจะเป็นมากขึ้น อาจต้องหยุดงาน เนื่องจากอาการเวียนศีรษะที่รุนแรง หรือสูญเสียการได้ยินแบบถาวร และอาจลุกลามไปยังหูอีกข้างหนึ่งได้

สาเหตุที่แน่ชัดของโรคยังไม่ทราบ แต่มีปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการดำเนินโรค และการดูแลรักษา เช่น การติดเชื้อไวรัส ซิฟิลิส เป็นหัดเยอรมัน คางทูม และยังพบว่าอาหารที่มีปริมาณเกลือโซเดียมสูง คือ อาหารที่มีรสเค็ม สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการได้ เช่นเดียวกับ ความเครียดต่อร่างกาย และจิตใจ การสูบบุหรี่ ดื่มสุรา

ดังนั้นผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จึงมักได้รับคำแนะนำจากแพทย์ให้ดูแลสุขภาพ เช่น การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การลดความเครียด และการลดอาหารเค็ม

อาหารเค็มที่ผู้ป่วยน้ำในหูไม่เท่ากัน และผู้ป่วยโรคอื่น ๆ ควรหลีกเลี่ยงและบริโภคอย่างระมัดระวัง ประกอบด้วย
1.อาหารที่ปรุงด้วยน้ำปลา ซอสถั่วเหลือง เกลือ เต้าเจี้ยว และน้ำหมักต่าง ๆ

2.อาหารที่ลงท้ายว่าเค็ม เช่น ปลาเค็ม ปูเค็ม ไข่เค็ม เนื้อเค็ม หมูเค็ม บ๊วยเค็ม

3.อาหารที่ต้องจิ้ม น้ำซอส จิ้มเกลือ โรยเกลือ เช่น อาหารประเภทโต๊ะจีน ผลไม้จิ้มเกลือ มันทอด ถั่วทอดโรยเกลือ

4.อาหารหมัก ดอง มักมีส่วนผสมของเกลือในรูปต่าง ๆ เช่น ผักกาดดอง หัวไชเท้าดอง ขิงดอง

5.อาหารกระป๋องมักมีสารกันบูด ซึ่งเป็นเกลือรูปแบบหนึ่ง หรือแช่น้ำเกลือ เช่น ปลาซาดีนในน้ำเกลือ

6.อาหารแห้ง หรืออาหารรมควัน ก็มักจะหมักเกลือก่อนนำไปตาก รมควัน หรือในตัวของอาหารเองก็มีปริมาณเกลืออยู่แล้ว เช่น อาหารทะเล กุ้งแห้ง ปลาหมึกแห้ง

7.อาหารต่างประเทศบางชนิดจะระบุบนฉลากว่ามีเกลือปนหรือไม่ ปริมาณเท่าใด เช่น เนย เนยแข็ง จึงควรบริโภคตามที่ระบุไว้บนฉลาก อย่างเคร่งครัด

8.ผงชูรส ก็เป็นเกลือชนิดหนึ่ง มีสูตรทางเคมีว่า โมโนโซเดียม กลูตาเมต ซึ่งนอกจากจะทำให้มีอาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะแล้ว ยังอาจทำให้มีความผิดปกติทางระบบประสาทด้วย ทั่วไปจะใช้ในการปรุงอาหาร โดยเฉพาะอาหารจีน จึงมีชื่อเรียกกัน
เมื่อผู้ป่วยมีอาการดังกล่าวว่าเป็น Chinese Restaurant Syndrome

9.ผู้ป่วยที่มิได้ประกอบอาหารเอง แม้ว่าไม่ได้เพิ่มเติมสิ่งที่เค็มลงไป ก็ให้ถือว่าได้รับเกลือมากกว่าที่กำหนด เนื่องจากเมืองไทยเป็นเมืองร้อน เหงื่อจะออกง่าย คนไทยจึงติดนิสัยรับประทานอาหารเค็มมาตั้งแต่เล็ก โดยเลียนแบบผู้ใหญ่ และ

10.ผู้ป่วยที่รับประทานอาหารรสจัด โดยเฉพาะอาหารรสเผ็ด มักจะคู่กับเค็ม ส่วนรสเปรี้ยวจะคู่กับรสหวาน เช่นนี้ให้ถือว่าได้รับปริมาณเกลือมากกว่าที่กำหนดเช่นกัน

การรักษาโรคน้ำในหูไม่เท่ากันอยู่ที่ระยะของโรค ถ้าเป็นในระยะแรก สามารถที่จะหายได้เป็นปกติ โดยการดูแลร่างกายตามคำแนะนำของแพทย์ ระยะที่ 2 หูเริ่มเสื่อม มีเสียงในหู เวียนศีรษะ เป็น ๆ หาย ๆ แต่จะเป็นไม่มาก ระยะนี้อาจต้องรับประทานยาเป็นประจำต่อเนื่อง

ระยะที่ 3 และ 4 ใช้ยาฉีด หรือ ผ่าตัด โดยแพทย์จะฉีดยาเข้าไปที่หูข้างในโดยตรง เพื่อทำลายเซลส์ที่ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ ถ้าเซลส์ตายอาการ ดังกล่าวหายไป ก็ไม่ต้องผ่าตัด

ข้อมูลจาก เดลินิวส์


Create Date : 14 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2551 16:44:09 น. 0 comments
Counter : 2050 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

น้องลูกหมูสีชมพู
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]








Friends' blogs
[Add น้องลูกหมูสีชมพู's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.