สิงหาคม 2560

 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
16
17
19
20
21
22
23
24
25
26
29
30
31
 
 
All Blog
ไปโตเกียว...เดี๋ยวก็กลับ - ตอนที่ 1 Summer ของญี่ปุ่นมันโหดร้าย








ไปโตเกียว...เดี๋ยวก็กลับ

ตอนที่ 1 Summer ของญี่ปุ่นมันโหดร้าย  



ย้อนกลับไปเมื่อสิบปีก่อน ญี่ปุ่นเป็นประเทศในฝันที่ใครหลายคนอยากไปเป็นอันดับต้นๆ แต่ค่าใช้จ่ายก็แพงเป็นอันดับต้นๆ เหมือนกัน ด้วยความที่ตอนนั้นยังต้องทำวีซ่า และแน่นอนว่าต้องมีเรื่อง statement เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เลยทำให้นักศึกษาที่ยังไม่มีรายได้เป็นของตัวเองแบบเราได้แต่ฝันและเก็บไว้ในใจลึกๆ


แต่ปัจจุบันญี่ปุ่น Free Visa 15 วัน แถมเงินเยนก็ยังเป็นใจลดลงมา เทียบกับสมัยก่อนที่เรทเงินอยู่ที่ 0.4x นี่ก็ยิ่งทำให้เราตัดสินใจแพ็คกระเป๋าเดินทาง และมุ่งหน้าไปสนามบินได้อย่างไม่ลังเล...อ่อ ก่อนหน้านั้นก็ต้องจองตั๋วเครื่องบินและโรงแรมก่อนน่ะแหละ


เมื่อปลายปีที่ผ่านมาก็เพิ่งจะไปถลุงเงินเยนที่เกียวโต ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าจะไปดูใบไม้แดง ท่ามกลางอากาศเย็นๆ แต่ผิดแผนเพราะยังไม่ใช่ช่วงพีค ใบไม้งี้เขียวปี๋อยู่เลย แต่รอบนี้ไม่ได้ตั้งใจอะไรทั้งนั้น รู้ตัวอีกทีก็มายืนอยู่ที่หน้าโคมแดงวัด Senjo-ji ด้วยอาการล้ินห้อยเรียบร้อยแล้ว....ซัมเมอร์ของญี่ปุ่นอุณหภูมิ 20 ปลายๆ แต่ช่างโหดร้ายกับเราจริงๆ





ทริปนี้เราเดินทางด้วยสายการบิน Scoot ซึ่งเป็นสายการบิน Low-cost ของสิงคโปร์ ราคาตั๋ว 10,1xx บาท และได้นั่ง Boeing 787 Dreamliner ที่ใฝ่ฝัน...แต่ลืมไปว่า Dreamliner ของสายการบิน Low-cost นั้นมันช่างว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลยแม้แต่น้ำเปล่าสักแก้ว มีดีอย่างเดียวคือบินตรงค่ะ ปรู๊ดเดียวถึงนาริตะ ปุ๊บปั๊บผ่าน ตม. ออกมาออกมารับกระเป๋า ซึ่งไฟล์ทเช้าแบบนี้ไม่ค่อยมีคนสักเท่าไร ก็เลยไม่ต้องรีบร้อน แต่เอาเข้าจริงไม่ง่ายอย่างนั้นเลย ด้วยความที่นี่เพิ่งทำสีผมมาใหม่เป็นสีชมพูแปร๊ดเลยจ้า แถมไปกับพี่ฝนก็หัวชมพูพาสเทลเหมือนกัน ผ่าน ตม. ออกมาได้ไร้ปัญหา แต่โดนเรียก decare กระเป๋าก่อนออกจากเกท ก็โอเคค่ะ ไม่มีอะไรอยู่แล้ว จนท.ให้เปิดกระเป๋าก็เปิด แต่อยู่ดีๆ ตัวล็อกกระเป๋าก็พังเปิดไม่ออกซะงั้น ทั้งๆที่ก่อนขึ้นเครื่องยังเปิดได้สบายๆ อยู่เลย โอ้โห! คราวนี้ความซวยมาเยือนทันที เจ้าหน้าที่มารุมกันสามคน ทั้งกดทั้งงัดยังไงก็เปิดไม่ออก ประเด็นคือคุณเจ้าหน้าที่ไม่ยอมสปีคอิงลิชด้วย รู้สึกผิดต่อประเทศนี้จริงๆ ที่ไม่ได้เรียนภาษาญี่ปุ่น *กัดฟันพูดแน่นมาก*


สุดท้ายเจ้าหน้าที่แก้ปัญหาด้วยการของัดกระเป๋าเลยละกัน ในใจนี่คิดว่าชิ*หายละ ต้องซื้อกระเป๋าใหม่ชัวร์ แต่ในความโชคร้ายยังหลงเหลือโชคดีอยู่บ้าง ด้วยความที่กระเป๋าเป็นซิบ นางก็เลยงัดหัวซิบออก แต่ตรงที่จับก็ยังล็อกคากับกุญแจอยู่ พองัดเสร็จนางล้วงลงไปสองที เจอที่หนีบผมก็บอก โอเค... โอเคไรคะ นี่ไม่โอเคนะ กระเป๋าพังไง กลับไปต้องซื้อใหม่แน่ๆ แต่ประเด็นคือไม่รู้กระเป๋าจะอยู่รอดถึงวันกลับไทยรึเปล่า เป็นการเริ่มทริปที่ไม่ดีเอาซะเลย แต่เจ้าหน้าที่ชายในเค้าเตอร์เหมือนจะเห็นถึงสายตาแห่งความสิ้นหวังของเรา นางก็เลยปลอบใจ (เป็นภาษาญี่ปุ่น) ประมาณว่า ‘อาโน.. ไม่เป็นไรนากั๊บ ใช้คลิปเกี่ยวซิบก็ปิดกระเป๋าได้นากั๊บ’ แล้วนางก็หยิบคลิปหนีบกระดาษสีเงินตัวเล็กๆ ออกมาชูให้ดูกลางอากาศ... แต่ไม่ได้ให้เรา... นังขี้งก!!! สุดท้ายก็ต้องเดินออกจากสนามบินพร้อมกับกระเป๋าที่ซิบห้อยติดอยู่กับตัวล็อก แต่ไม่สามารถปิดได้ ดีที่สายรัดกระเป๋ายังสามารถทำหน้าที่ของมันได้อย่างดีเยี่ยม ขอบคุณพระถังซัมจั๋ง


แต่คิดอีกแง่นึงก็ถือว่าเป็นโชคดีเหมือนกันนะ เพราะถ้าตัวล็อกมันพังแบบนี้ ไปถึงที่พักแล้วเปิดไม่ออก ตอนนั้นก็คงคิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะทำยังไง คิดแง่บวกสุดๆ เลยค่ะ



ต้องบอกว่าครั้งนี้เป็นโตเกียวเฟิร์สไทม์ของเรา เพราะฉะนั้น ไม่รู้ทางอะไรใดๆ ทั้งสิ้น ได้แต่เดินตามพี่ฝนออกจากสนามบิน ซึ่งพี่ฝนก็พาไปซื้อบัตร Suica และตั๋วรถไฟ ซึ่งกว่ารถไฟเข้าเมือง Skyliner จะมาก็อีก 15 นาที ด้วยความหิวที่ยังไม่ได้กินอะไรมาเลยตั้งแต่เย็นเมื่อวานนี้ แน่สิ..แม้กระทั่งน้ำเปล่าก็ไม่ได้กินสักอึก ก็เลยเดินหาตู้กดน้ำในสถานีรถไฟนั่นแหละ และก็พ่วงด้วยชูครีมอีกชิ้นนึงเป็นอาหารเช้าแบบโคตรรีบ พอกินเสร็จรถไฟก็มาพอดี ได้เวลาตะลุยโลกกว้างแล้วจ้า




ที่พักที่เราจองกันไว้ที่ย่าน Asakusa ใกล้ๆวัด Senjo-ji เลย นั่งรถไฟ Skyliner ไปลงที่สถานี Ueno ราคา 2470¥ แล้วต่อรถไฟไปสถานี Asakusa ไม่นานก็ยืนหอบแฮ่กที่หน้าโคมแดงพร้อมตะโกนในใจว่าร้อนโว๊ยยยย หิวข้าวด้วย เลยรีบจ้ำไปที่พักให้ไว แต่เนื่องจากเราไปถึงกันเช้า Staff แจ้งว่าสามารถเช็คอินได้หลัง 16.00 น. ก็โอเค ฝากกระเป๋าเดินทางไว้ก่อน แล้วออกไปหาอะไรกินดีกว่า



ตอนที่นั่งรถไฟจากสนามบินเข้าเมืองก็เห็น Tokyo Skytree มาตลอดทาง จากวิวลิบๆ ก็เริ่มชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อมองจากที่พัก ตั้งเด่นเป็นสง่ามาก ซึ่งจากที่พักก็สามารถเดินไป Tokyo Skytree ได้แหละ ถ้าอากาศไม่ร้อนแบบนี้ เราเลยตัดสินใจ นั่งรถไฟไปค่ะ พี่จะไม่เดินเด็ดขาด ขาเหยียบพื้นได้ไม่กี่ชั่วโมงแต่เหงื่อออกไปหลายลิตร




อาหารมื้อแรกของทริปนี้คือ ราเมงอะไรสักอย่าง ของ Ippudo Raman ที่ Food Court บน Tokyo Skytree นี่แหละ คำแรกคืออร่อยมาก น้ำตาไหล อาจจะเป็นเพราะหิวอยู่ด้วย น้ำซุปกระดูกหมูคือเข้มข้น เส้นเหนียวกำลังดี แต่พอกินไปคำที่ 3 เท่านั้นแหละ เริ่มเลี่ยนละ สำหรับเราราเมงซุปกระดูกหมูเป็นอะไรที่อร่อยแค่ไม่กี่คำแรกจริงๆ กินไปกินมาก็เริ่มเค็มด้วย เดินไปเติมน้ำหลายรอบมาก จนแทบจะยกถังมาตั้งไว้ที่โต๊ะ จะได้ไม่ต้องเดินไปเดินมา 





กินเสร็จก็ได้เวลาเดินย่อยกันใน Tokyo Skytree นี่แหละ ของจุ๊กจิ๊กเป็นอะไรที่ละลานตามาก ใจคอไม่ดีกลัวว่าจะหมดตัวตั้งแต่วันแรกของทริป เดินไปก็ได้แต่ยั้งใจเอาไว้ก่อน








เดินไปเดินมาก็เห็นว่าบ่าย 3 แล้ว เลยกะว่าไปนั่งพักขารอเช็คอินเลยดีกว่า แต่พอกลับไปถึง Staff ก็ใจดีให้เช็คอินล่วงหน้า 1 ชั่วโมงได้เลย


ที่พักที่จองไว้คือ ENAKA Asakusa Central Hostel ลักษณะเป็น Business Hostel แบบ Dormitory แบ่งเป็นชั้น หญิงล้วน และแบบหอรวม ชั้นนึงมีประมาณ 20 กว่าเตียง ซึ่งเป็นเตียงแบบ 2 ชั้นมีผ้าม่านปิดเพื่อความเป็นส่วนตัว เอาจริงๆก็ไม่ส่วนตัวสักเท่าไร แต่เราไม่ซีเรียส เพราะกะว่าเอาไว้เป็นที่เก็บของเท่านั้น ซึ่งที่พักนี้ไม่อนุญาตให้นำอาหาร และน้ำขึ้นไปกินบนห้องนอน แต่ชั้นล่างจะมีห้องโถงตกแต่งแบบ Cozy รับรองอยู่ มีครัวสามารถทำอาหารได้ ซึ่งเราคงไม่ทำ ฮา...


วางกระเป๋า จัดของเสร็จความง่วงก็มาเคาะประตูทันที ที่นอนก็นุ่มเป็นใจมาก แค่เอนตัวลงพิงหลังเท่านั้นแหละ ถึงกับหลับเลยจ้า ยังไม่ทันนับ 1-10 เลยด้วยซ้ำ กว่าจะออกมาจากที่พักอีกทีคือเกือบ 6 โมงเย็น เลยออกไปเดินเล่นที่วัด Senjo-ji ก่อน เดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึงโตเกียว แม้ว่าร้านค้าต่างๆ ที่ทางเข้าจะเริ่มปิดแล้ว แต่คนไม่ได้น้อยลงเลย จากในวัดก็สามารถมองเห็น Tokyo Skytree ได้ด้วย เลยขอรวบยอด ถ่ายรูปทีเดียวติดทั้งวิววัด และ Tokyo Skytree เลยจ้า






ครั้งที่แล้วมาตอนฤดูใบไม้เกือบร่วง ท้องฟ้ามืดเร็วมาก แต่รอบนี้มาแบบซัมเมอร์ 6 โมงกว่าฟ้ายังสว่าง แดดยังแยงตาอยู่เลย ทบต้นทบดอกกับทริปที่แล้วกันไป ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเดินเยอะไปหรือว่าอากาศมันร้อนเลยรู้สึกว่าใช้พลังงานไปเยอะมาก แป๊บๆ ก็หิวอีกแล้ว จริงๆ ก็ได้เวลาอาหารเย็นด้วยแหละ ในเมื่อท้องมันเรียกร้องมาก็จัดไปค่ะ



การเลือกร้านอาหารแต่ละมื้อ ไม่ว่าจะที่ไทยหรือญี่ปุ่น หรือที่ไหนๆ ก็ยังเป็นเรื่องยากตลอดมาและจะยากตลอดไป เอาจริงๆ มันก็ไม่ได้มีให้เลือกเยอะหรอก แต่ที่เลือกยากคืออยากกินมันทุกอย่าง สุดท้ายก็จบลงที่ร้านซูชิอะไรสักอย่าง


เวลาเข้าร้านอาหารแบบเป็นเรื่องเป็นราว ไม่ใช่ร้านรีบกินรีบไปเพราะคนรอต่อแถวยาวไปโลกหน้าที่ญี่ปุ่นทำให้เรารู้สึก Akward เสมอเลย และครั้งนี้ก็เช่นกัน ด้วยความที่เป็นวันศุกร์อีก ซารารีมังแดนปลาดิบก็เลยพากันออกมาปาร์ตี้เฮฮากันเต็มไปหมด ตอนนั่งอยู่ในร้านก็เลยต้องตะโกนคุยกับพี่ฝนแข่งกับโต๊ะข้างๆ มื้อนี้เราสั่งซูชิสารพัดหน้ากับซุปหอยตลับ และเบียร์สด 2 แก้ว ซึ่งคุณพ่อครัวถึงกับออกมารับออเดอร์ด้วยตัวเอง แต่ก็นั่นแหละ นางก็พูดอังกฤษปนภาษาญี่ปุ่น แต่ไม่มีปัญหาค่ะ สายกินแบบเรา ฝึกฝนภาษาญี่ปุ่นจากเมนูอาหารมาตั้งแต่ที่ประเทศไทยกันแล้ว เวลาสั่งก็ อิกะ ทามาโกะ แซลมอน เอบิ มากุโระ กันไป คำนวนราคาคร่าวๆ รวม Vat แล้วน่าจะตกคนละสองพันกว่าเยน และคาดว่าคงไม่อิ่มแน่นอน ระหว่างที่อาหารโต๊ะเราใกล้จะหมดแล้ว โต๊ะข้างๆเพิ่งได้เทมปุระที่เพิ่งสั่งไป หูยยยย มันน่ากินมาก กัดทีได้ยินเสียงแตกตัวของแป้งที่พันรอบกุ้งอยู่ในปากเค้า พี่ฝนก็ไม่รอช้าเรียกพนักงานจัดไป 1 เซ็ท 3 ตัว ราคา 990¥ พี่คะ...กุ้งจากแม่น้ำไนล์เหรอคะ







อย่างที่เคยได้ยินก่อนมาโตเกียวคือ ตอนนี้ที่ญี่ปุ่นกำลังคลั่งผักชีกันมาก ถึงขั้นมีร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ผักชีอ่ะคิดดู... ซึ่งเราเข้าใจว่ามันก็เป็นร้านที่ค่อนข้างเฉพาะกลุ่มแหละนะ แต่ก็ไม่คิดว่าซูชิโรลพี่จะพาดผักชีมาทั้งต้นแบบนี้อ่ะค่ะ



อย่างที่คิดเอาไว้ตั้งแต่แรก ว่าซูชิมื้อนี้ไม่กระเทือนกระเพาะพี่เลยสักกะติ๊ด แต่ก็ไม่ถึงขั้นจะต้องไปหาอาหารร้านอื่นมากระแทกปากแบบทันที ก็เลยเดินเล่นกันไปก่อนให้แซลมอนและหอยตลับแหวกว่ายอยู่ในกระเพาะเราแบบตายใจไปก่อน




Create Date : 15 สิงหาคม 2560
Last Update : 15 สิงหาคม 2560 22:57:31 น.
Counter : 889 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

หมีน้อยพุงพลุ้ย
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]