กุมภาพันธ์ 2555

 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
12
13
14
15
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
 
 
WWOOF Japan : Day 14 ตะลุยเกียวโต I

Day 14


.


เช้านี้ Koji ทำมื้อเช้ามื้อสุดท้ายให้พวกเราค่ะ


เป็นขนมปัง 3 แผ่น 3 ไส้


ไข่กวน, ทูน่ากับผัก, และแฮมชีส


Koji เป็นพ่อครัวที่เก่งระดับหาตัวจับยากจริงๆค่ะ แม้แต่ขนมปังง่ายๆยังทำออกมาได้อร่อยมากๆ


 พวกเราคงได้นอนคิดถึงอาหารฝีมือพ่อครัวคนนี้ไปอีกนาน Smiley


.



 (ยังแอบบอกพวกเราด้วยนะคะว่า ถ้ากินไม่หมดก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องฝืน Smiley หึหึ..เรื่องแค่นี้เอง ดูถูกกันชัดๆ!!)


.


หลังจากขนมปังทั้งสามลงท้องไปแล้ว พวกเราก็ออกมายืนร่ำลากันที่หน้าบ้าน


Yuji พูดแค่สั้นๆว่า "Mink...Dow...Jamata."


แล้ว Mari ก็ให้ของขวัญชิ้นหนึ่งกับเรา มันคือขนม Sobabooro ที่พวกเราช่วย Mari ทำเมื่อหลายวันก่อน ใส่ถุงซิปล็อกอย่างดี ด้านหน้าถุงขนม มีกระดาษ post-it แผ่นหนึ่งเขียนไว้ว่า



Mink  Arigatoo!


มีความสุข to see you!


     โคจิ ซาโตโนะ


มาลี  *_*  


 .


 ภาษาไทยถูกเขียนด้วยลายมือตลกๆเหมือนเด็กหัดเขียน แต่พอมิ้งอ่านแล้วกลับหัวเราะไม่ออกค่ะ น้ำตาคลอจวนจะหยดลงมาอยู่รอมร่อ


ไม่มีคำพูดใดๆออกจากปากมิ้งกับน้องดาวมากไปกว่าการขอบคุณและรอยยิ้มที่พยายามทำอย่างเต็มความสามารถ


.


แล้ว Koji กับ Mari ก็ไปส่งพวกเราที่ป้ายรถเมล์สถานีOomachi และยืนรอจนกระทั่งเรานั่งรถจากไปพร้อมกับโบกมือให้จนพวกเราไม่สามารถมองเห็นกันและกันผ่านกระจกได้


Smiley


.


ครอบครัว Satono ไม่ได้มีฐานะร่ำรวย เป็นแค่ครอบครัวชาวนาธรรมดา แต่พวกเขาก็ดูแลเด็กต่างด้าวสองคนนี้อย่างดี ซึ่งในตอนนั้นพวกเรายังเด็ก ไม่เคยห่างจากพ่อแม่ไกลขนาดนี้ สิ่งที่ครอบครัวนี้ทำให้พวกเราจึงเหมือนกับเป็นการทดแทนอะไรบางอย่างในใจที่พวกเราขาดหายไป


ขอบคุณนะคะ Smiley



การเดินทางของมิ้งกับน้องดาวยังไม่จบเพียงเท่านี้


ก่อนที่จะ WWOOF บ้านต่อไป พวกเราแวะเที่ยวในตัวเมืองเกียวโต 2 วันค่ะ


หลังจากเช็ดน้ำตาเรียบร้อยและมั่นใจว่าพร้อมที่จะลุยต่อ พวกเราก็เดินทางไปที่ Guesthouse ที่ได้ติดต่อจองที่พักทางอินเตอร์เน็ตไว้ก่อนหน้านี้แล้ว โดยนั่งรถไฟมาลงที่สถานีเกียวโต จากนั้นก็ขึ้นรถเมล์ต่อมายัง Guesthouse


Guesthouse ของเรามีชื่อว่า "Tonbo" ค่ะ เป็น Guesthouse เล็กๆ อยู่ติดกับทางรถไฟ ถึงขนาดที่ว่า แค่เปิดหน้าต่างออกไป และชะโงกหน้าดู ก็จะมองเห็นรางรถไฟอยู่ตรงหน้า เวลาที่รถไฟวิ่งผ่าน คือสามารถเอื้อมมือไปแตะได้เลยค่ะ(ถ้าไม่กลัวมือขาด) Smiley



เจ้า้ของที่นี่เป็นผู้หญิงร่างเล็กค่ะ ทำงานอยู่คนเดียว ลูกค้าที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ และก็มีนักศึกษาที่เช่ารายเดือนอยู่บ้างเล็กน้อย เป็น Guesthouse ราคาถูกค่ะ เหมาะสำหรับคนงบน้อยอย่างพวกเรา ห้องพักราคาประมาณ 2500 เยนต่อคืน ห้องอาบน้ำรวมซึ่งมีอยู่ห้องเดียว และห้องส้วมสองห้อง ชาย1 หญิง1 ค่ะ


ส่วนเตียงนอนก็เป็นเตียงสองชั้น ห้องนึงจะมีสองเตียง ซึ่งจริงๆแล้วจะเรียกว่าห้องก็คงไม่ถูก เพราะเขาใช้แค่ผ้าหนาๆกั้นไว้ให้ดูเหมือนเป็นห้องๆเท่านั้นเองค่ะ


คือถ้าไม่ซีเรียสเรื่องนอนมากเท่าไหร่ เท่านี้ก็ถือว่าใช้ได้ค่ะ แค่อาศัยนอนคืนละไม่กี่ชั่วโมง ตื่นเช้ามาก็ออกเที่ยว เช่าที่พักถูกๆถือว่าช่วยเซฟเงินได้เยอะทีเดียว 




การเที่ยวในเกียวโตนั้นง่ายนิดเดียวค่ะ เพียงแค่มีแผนที่เมืองเกียวโตและแผนที่เส้นทางรถเมล์อย่างละชุด ก็สามารถเที่ยวเองได้อย่างสบายๆแล้วค่ะ


ซึ่งแผนที่ที่ว่านี้ก็ขอได้จาก Information center ที่สถานีรถไฟ Kyoto Station ค่ะ


ส่วนการเดินทางด้วยรถเมล์ก็ง่ายมากๆ การคมนาคมที่นี่เขาเป็นระเบียบมากกว่าบ้านเราเยอะค่ะ


พวกเราซื้อบัตร One Day Riding Bus Ticket ราคา 500 เยน ซึ่งเป็นบัตรที่ใช้โดยสารรถเมล์ในเมืองเกียวโตไม่จำกัดครั้งตลอดทั้งวัน (1 วันต่อบัตร 1 ใบ) หาซื้อที่ Information Center ในสถานีรถไฟ หรือจะซื้อที่คนขับรถเมล์ก็ได้ค่ะ


.


สถานที่แรกที่เราไปคือ Ginkakuji Temple หรือวัดกินคะคุจิ(วัดเงิน)ค่ะ


โดยลงรถเมล์ที่หน้าถนนเส้นหนึ่งซึ่งต้องเดินผ่านถนนเส้นนี้ไปยังวัด สองข้างทางถนนจะเต็มไปด้วยต้นซากุระที่กำลังออกดอกสะพรั่ง


บอกได้คำเดียวว่าค่ะว่าสวยมาก!! Smiley


ทำเอาพวกเราหลงเสน่ห์เมืองนี้ขึ้นมาทันที



.



.



บริเวณนี้จะมีร้านค้าตั้งอยู่เรียงรายตลอดแนว เป็นเหมือนด่านทดสอบจิตใจมากๆ เกือบวูบไปตั้งหลายครั้ง Smiley



วัดที่ญี่ปุ่นจะต่างจากบ้านเราตรงที่ต้องเสียเงินเข้าชมนี่แหละค่ะ  แต่เมื่อเทียบกับสิ่งที่รอเราอยู่ข้างในก็ถือว่าคุ้มนะคะ Smiley


.



.



.



.



.


วัดที่นี่จะเน้นความสวยงามของการตกแต่งสวนและธรรมชาติ รวมถึงความร่มรื่นของบรรยากาศมากกว่าบ้านเราเยอะค่ะ บวกกับเรื่องสภาพภูมิอากาศของที่นี่แล้วยิ่งทำให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆ Smiley


เดินไปเรื่อยๆ เห็นคนอื่นเค้าโยนเหรียญทำบุญกัน จิตสำนึกส่วนดีก็เรียกร้องหน้าที่ขึ้นมาบ้าง


สุดท้ายเลยต้องหยิบเหรียญโยนไป 1 เยน แล้วยืนอธิษฐานไปประมาณ 2 นาที


Smiley


หลังจากที่เดินชมและเก็บภาพจนอิ่มหนำสำราญแล้ว


เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา พวกเราขึ้นรถเมล์ต่อไปยัง Kyomizu Tera ทันทีค่ะ


เป็นอีกวัดที่มีชื่อเสียงและสวยงามมากๆเช่นกัน


แต่กว่าจะเดินไปถึงวัดได้ก็เล่นเอากระเป๋าฉีก ด่านทดสอบที่นี่น่ากลัวมาก ใครใจไม่แข็งพอ แนะนำว่าให้เดินตรงอย่างเดียว อย่ามองซ้ายขวา Smiley




(เบียดเสียด) 



.



.



.



.



.



.


กว่าจะออกมาจากวัดนี้ ก็ปาเข้าไปเกือบเย็น


รู้ตัวอีกทีก็สำนึกได้ว่ายังไม่ได้กินอะไรเลย ขนมปังสามแผ่นของ Koji ก็ย่อยไปหมดแล้ว มีแค่น้องดาวคนเดียวที่ฟาดไอติมชาเขียวแก้หนาวไปแล้ว 


ตอนแรกว่าจะเก็บท้องไว้ไปกินที่ Gion เป้าหมายการเดินทางสุดท้ายของวันทีเดียวเลย


แต่รอไม่ไหวแล้วค่ะ ต้องแวะหาอะไรเติมท้องซักหน่อย


หลังจากที่เดินเล็งอยู่หลายร้าน สุดท้ายก็มาลงเอยที่ร้านอุด้งแห่งหนึ่ง


ไม่รู้ว่าอร่อยจริงๆหรือว่าเป็นเพราะหิวกันแน่



พอกินอิ่ม แบตเตอรี่เต็ม ก็ได้เวลาไปตะลุย Gion กันอีกครั้งค่ะ


คราวที่แล้วเดินเที่ยวย่านนี้ตอนกลางวันก็ว่าสนุกแล้ว พอมาเดินตอนกลางคืนยิ่งสนุกเข้าไปอีก ดูเป็นย่านที่มีสีสัน และคนก็ยังคงพลุกพล่านเหมือนเดิม 


ระหว่างที่กำลังเดินไปเพลินๆ พวกเราก็สังเกตุเห็นว่า มีนักท่องเที่ยวรวมตัวกันอยู่ในซอยแห่งหนึ่งเยอะมาก


แต่ละคนก็ถือกล้องไว้ในมือกันทั้งนั้น


ด้วยความสงสัย ก็เลยขอเข้าไปสังเกตุการณ์ซักหน่อย


เห็นพวกเค้ายืนรอคอยอะไรซักอย่าง พวกเราก็เลยทำตัวเนียนๆยืนรวมกลุ่มกับเค้าด้วย


ไม่กี่นาทีผ่านไป


เราเห็นไมโกะคนหนึ่งเดินอย่างเร็วไปตามถนนในซอย แล้วเลี้ยวเข้าไปยังร้านๆนึง


ทุกคนต่างพยายามวิ่งตาม เพื่อถ่ายรูปไมโกะคนนี้ไว้ แต่คาดว่ารูปที่ทุกคนจะได้ก็คงไม่ต่างกับรูปที่มิ้งถ่ายมาหรอกค่ะ


.



.


แล้วปฎิบัติการล่าเกอิชาก็เริ่มขึ้น Smiley ในเมื่อถ่ายรูปไม่ได้ ขอแค่เห็นตัวจริงชัดๆก็ยังดี เมื่อกี้ยังไม่ทันตั้งตัว เจ๊แกก็เดินจากไปซะแล้ว


มิ้งกับน้องดาวเริ่มเดินเข้าออกทุกตรอกซอกซอยในบริเวณนั้นจนไปเจอไมโกะกลุ่มนึงกำลังเดินออกมาจากตึกแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นบ้านพักรึเปล่า โชคดีมากที่ได้มีโอกาสหยุดยืนดูสาวกลุ่มนั้นอยู่อย่างเงียบๆ Smiley


.


หลังจากนั้น มิ้งกับน้องดาวก็เดินเล่นอยู่แถวนั้นอย่างไม่รีบร้อน ก่อนจะกลับไปที่ Guesthouse เมื่อสำเหนียกตัวเองแล้วว่าไปต่อไม่ไหวจริงๆ


.


พอกลับไปถึง Guesthouse ก็ต้องไปต่อคิวใช้ห้องน้ำอีกค่ะ อย่างที่บอกไปว่าทั้ง Guesthouse มีห้องอาบน้ำอยู่ห้องเดียว


กว่าจะได้อาบ ก็ปาเข้าไป 5 ทุ่ม Smiley



พรุ่งนี้เราก็จะได้เที่ยวเกียวโตกันอีกวัน ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังบ้านโฮสคนที่ 2 ที่จังหวัด Nagano


ตอนนี้คงต้องพักเก็บแรงกันซักหน่อย Smiley


.


อันนี้แถมค่ะ เดินผ่านพอดี


อยากรู้จังว่าข้างในมันเป็นยังไง Smiley ใครรู้ ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยสิคะ



.






Free TextEditor



Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2555 22:18:53 น.
Counter : 1455 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Newbie Traveller
Location :
นครปฐม  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



Yoroshikune~