หลังจากเสร็จสิ้นกับทริปเมืองบากัน เราก็อิ่มเอมเปรมกับทะเลเจดีย์ สมกับฉายา ทะเลเจดีย์ที่สุด ก็รู้อะนะว่าบางเจดีย์เป็นเจดีย์ใหม่ ที่เขาเพิ่งสร้าง แต่จะมีประเทศไหนในโลกอีกมั้ยหนอ ที่สร้างเจดีย์ได้ทั้งเมืองขนาดนี้ พม่าเมืองพุทธจริงๆ
เช้าตรู่เราก็ต้องเช็คเอาท์แต่เช้า เพื่อเตรียมตัวไปสนามบินจากบากันไปยัง
มัณฑะเลย์ ดีนะที่โรงแรมเปิดห้องอาหารให้เราทานบุฟเฟต์แต่เช้าได้ด้วยอะ ถ้าเป็นโรงแรมบ้านเรา อย่างมากก็ได้แค่ breakfast box เท่านั้น แต่ถ่ายรูปไม่ทันจริง รีบอิ่มกับอาหารเช้าแล้วรีบออกเดินทาง เดี๋ยวตกเครื่องออกเดินทางกันเลยดีกว่า ตามมาตามมา
ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงสนามบินมัณฑะเลย์ เหมือนสนามบินแกะกล่องเลย ทุกอย่างยังดูใหม่เอี่ยม แต่แบบว่าโล่งมาก ไม่คึกคักเหมือนที่ย่างกุ้ง มุ่งหน้าไปโรงแรมเพื่อเก็บกระเป๋ากันก่อน
อุตส่าห์รีบพุ่งตัวไปโรงแรม ว่าไปมันก็เป็นอะไรที่ยากนะ กับการไปอยู่ในจุดที่ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยว การนั่งรถแทกซี่ไปยังโรงแรมแต่คนขับรถฟังเราไม่เข้าใจ พี่ท่านก็พาเวียนไปทุกโรงแรม พอไปถึงเสมือนลงไปเช็คอินโรงแรมเค้าแต่เปล่าเลยลงไปถามที่ front ว่า ยูรู้จักโรงแรมนี้มั้ย เพราะต้องเข้าไปพึ่งพาคนที่เค้าฟังภาษาอังกฤษได้ให้ช่วยพูดกับคนขับรถให้เราให้ที ทำแบบนี้ไปแวะเวียนอยู่ 3 โรงแรมกว่าจะหากันเจอ ก็คิดนะถ้าซื้อ
แพคเกจทัวร์พม่า กับบริษัททัวร์ คงไม่ต้องมามั่วๆ แบบนี้
ว่าแล้วลุยเที่ยวเลยดีกว่า เวลามีน้อยเริ่มทริป
มัณฑะเลย์ ปะที่แรกกัน เจดีย์มิงกุน
การเดินทางไปมิงกุน ไปได้ทั้งทางบกและทางน้ำ แต่ที่นิยมกันจะไปทางน้ำ โดยล่องแม่น้ำอิระวดี เรามันคนโยเดีย ถ้าเป็นนักท่องเที่ยวจะต้องเหมาเรือเท่านั้น ไม่มีเรือเมล์ เค้าให้ไปเรือลำนี้จ้า มากัน 3 คน ก็ต้องเหมาเรือจ้า ราคา Round Trip อยู่ที่ 30,000 K ต่อลำ
บริการทุกระดับประทับใจ บริการราวไม้จับให้เดินขึนเรือ ฉันประทับใจมากกับราวไม้นี้
เจดีย์มิงกุน (ปาโตดอจี) แปลว่า เจดีย์ที่สร้างไม่เสร็จ เป็นเจดีย์ที่ดูแล้วมีมนต์ขลัง ดูมีพลัง ทั้งๆ ที่ยังสร้างไม่เสร็จ แต่เหมือนเคราะห์ซ้ำนะ ถูกสร้างมาก็สร้างไม่เสร็จแล้วยังมาเกิดแผ่นดินไหวเมื่อ พ.ศ. 2381 เข้าไปอีก ทำให้เจดีย์เกิดรอยร้าวขนาดใหญ่ ถ้าเป็นเมืองไทยคงให้ปรมาจารย์ทั้งหลายมาดูฮวงจุ้ย ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ อิอิ
แบบว่าแอบหิว เลยหาอะไรทานเล่น ทั้งๆ ที่ยอมรับว่าไม่ค่อยหาญกล้าทานอะไรสักเท่าไหร่ เจอเจ้าอันนี้มองดูแล้วเพิ่งทอดเสร็จใหม่ๆ คงได้น่า รสชาดก็น่าจะคล้ายๆ บ้านเรา อะลองดูแล้วมันก็รสชาดคล้ายๆ บ้านเราจริงๆ แต่ลืมว่าจ่ายไปกี่จ๊าต จากนั้นก็เดินต่อไปยังระฆังมิงกุน
ระฆังมิงกุน เป็นระฆังที่พระเจ้าปดุง โปรดฯให้สร้าง เพื่ออุทิศถวายแก่เจดีย์มิงกุน มีเส้นรอบวงถึง 10 เมตร สูง 3.70 เมตร น้ำหนัก 87 ตัน มันใหญ่มว๊าาาาก
วัดเชตตอยอ ( Settawya Paya ) ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำอิระวดี มีสิงห์คู่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงบันไดทางขึ้น ชอบที่นี่จังเหมือนอยู่ในฉากละครจักรๆวงศ์ๆ นี่ถ้ามีการดูแลบริเวณรอบนอกนะ คงเป็นสถานที่ที่สวยงามมาก
แบบว่าอากาศร้อนมาก&หมดแรง แพลนที่วางไว้ว่าจะไปเมืองสกาย ก็พับลงไป ตัดทิ้งแผนเหลือแค่ วัดชเวนันดอว์ (Golden Palace Monastery) สะพานอูเบ็ง พระมหามัยมุนี วัดกุโสดอว์ ร่างเราก็คงจะแหลกละ นั่งเรือกลับแล้วไปต่อกันเลยดีกว่า
วัดชเวนันดอว์ สร้างขึ้นมาจากไม้สักทองทั้งหลังและใช้ทองคำปิดตัววัดทั้งหลัง นั่นจึงทำให้วัดมีชื่อที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า Golden Palace Monastery แต่ปัจจุบันทองคำที่ปิดเอาไว้ได้หลุดลอกออกไปเกือบหมดแล้ว จะเหลือก็เพียงด้านในบางส่วนเท่านั้น แบบว่าอยากเข้าไปข้างในมาก แต่สภาพไม่เอื้อ ส่งตัวแทนเพื่อนเข้าไป แล้วเรากับเพื่อนอีกคนหาร้านนั่งพักหาของกิน เป็นอะไรที่เสียดายมาก เมื่อเพื่อนเอารูปภายในวัดแห่งนี้มาอวด สักวันจะกลับไปแก้ตัว เติมพลังละไปต่อได้
สะพานอูเบ็ง (U Bein Bridge) สะพานอูเบ็ง ได้ชื่อว่าเป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในโลก ด้วยขนาดความยาวที่มากถึง 1,200 เมตร โดยไม้ที่นำมาใช้ทำสะพานนั้นคือไม้สักที่มีอายุมานานหลายร้อยปี อยากจะร้องดังๆ ฉันใฝ่ฝันว่าจะได้เดินสวยๆ บนสะพานแห่งนี้ แบบวิวสะพานทอดยาวออกไป แต่ไปจริงแม้แต่หัวสะพานยังเข้าไม่ถึง เนื่องจากวันที่มา เป็นวันพระใหญ่ มีชาวพม่ามากมายเดินทางมาที่แห่งนี้ ชาวโยเดียอย่างเราเลยได้แต่เฝ้ามองดูสะพานอยู่ไกลๆ
พระมหามัยมุนี (Mahamuni Buddha) คือพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองมัณฑะเลย์ ชาวพม่าเชื่อกันว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีชีวิต จึงมีประเพณีล้างพระพักตร์ถวายพระมหามัยมุนี โดยทุกเช้าในเวลาประมาณ 04.00 น. พระมหาเถระและประชาชนที่ศรัทธา จะมารวมตัวกันเพื่อทำพิธีล้างพระพักตร์ด้วยน้ำอบน้ำหอมผสมทานาคา พร้อมกับใช้แปรงทองแปรงที่พระโอษฐ์เสมือนหนึ่งแปรงพระทนต์ถวายพระพุทธเจ้า ซึ่งประเพณีนี้นักท่องเที่ยวเองก็สามารถมาร่วมพิธีได้ ปกติไม่ค่อยอยากเรียกร้องสิทธิสตรี แต่พอมาที่นี่อยากจะเรียกร้องเลย เพราะการขึ้นไปปิดทององค์พระ จะอนุญาตให้ผู้ชายไปปิดทององค์พระแบบถึงตัวใกล้ชิดได้เท่านั้น สวนผู้หญิงอดไปนะคะ ก็เห็นว่าพระในพม่ายังจับมือผู้หญิงได้เลย ก็ว่ากันไปค่ะตามนั้น
วัดกุโสดอว์ (Kuthodaw Temple) มีเจดีย์ที่จำลองแบบมาจากเจดีย์ชเวสิกองแห่งเมืองพุกาม เราไปเจดีย์ชเวสิกองมาละ เราเลยขอตัดทิ้งเพราะด้วยสภาพและสังขารไม่เอื้อแล้ว ก่อนจบทริปมัณฑะเลย์ สิ่งที่ประทับใจไม่รู้ลืม คือไกด์ตัวน้อยของเราที่มิงกุน นางใช้ภาษาอังกฤษได้ดีเยี่ยม มีความน่ารัก สดใส ขยันจนเราอาย ด้วยแทนที่จะถามถึงประวัติความเป็นมาของสถานที่ แต่อดไม่ได้ที่จะถามประวัติของนางน้อยคนนี้ ว่าทำไมถึงพูดภาษาอังกฤษเก่งจัง นางบอกว่าตอนเย็นนางจะไปเรียนหนังสือ ตอนเช้าถึงบ่ายก็มาทำงานไปด้วย เลี้ยงน้องไปด้วย แต่ชื่อนางเรียกยากมาก ใครเคยได้ให้น้องคนนี้เป็นไกด์ คงจะรู้สึกเหมือนเรา พบกันแค่ไม่กี่ชัวโมง แต่นางทำให้ฉันคิดถึงเสมอ เมื่อได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับมัณฑะเลย์ และบอกกับตัวเองว่า ต่อไปจะตั้งใจเรียนภาษาให้มากกว่านี้ และมีทำงานให้มีความสุขเหมือนนาง จบทริปมัณฑะเลย์ พรุ่งนี้เราจะกลับไปย่างกุ้ง แล้วมุ่งไปทริปพระธาตุอินทร์แขวน แล้วพบกันใหม่จร้า
