จริงๆ แล้ว คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะใช้ชีวิตได้ (ครับ)
ได้มีโอกาศเข้าไปอ่านหนังสือ ประชาชาติธุระกิจมาครับ เป็นเรื่องเกี่ยวกับงานศพ กับงานแต่ง ซึ่งให้ข้อคิดมา ผมอ่านแล้วก็ พอจะได้ความเข้าใจกับชีวิตตัวเอง ก็เลยขอถือโอกาศเผื่อแผ่มาครับ ยังไงผมขออณุญาติ นำมาให้อ่านกันเต็มเลยละกันนะครับ
วันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 3971 (3171)
ไปงานศพ 3 แต่งงาน 1 - คอลัมน์ ประชาชาติปริทัศน์
คอลัมน์ ประชาชาติปริทัศน์
โดย ขุนสำราญภักดี
เริ่มต้นปี 2551 มาไม่นาน ผมไปงานศพมาแล้ว 3 งาน ไปงานแต่งงานมา 1 งาน อาจารย์ของผมสอนว่า งานแต่งงาน เจ้าภาพไม่เชิญอย่า (เสือก) ไป แต่ถ้าเป็นงานศพ ไม่เชิญก็ควรไป เพื่อไปไว้อาลัยคนตายครั้งสุดท้าย
คนเราตายได้เพียงครั้งเดียว ขณะที่แต่งงานจะสักกี่ครั้งก็ได้ ถ้ายังสนุกและมีเงินเหลือใช้
กล่าวกันว่า คนที่อายุเลยเลข 40 ปีไปแล้ว การ์ดเชิญงานศพจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้วายชนม์ส่วนใหญ่คือญาติผู้ใหญ่ที่ปลิดปลิวเหมือนใบไม้ร่วง ไม่ญาติของตนเองก็ญาติของเพื่อนฝูงในที่ทำงาน
พออายุหลัง 60 ปีไปแล้ว คราวนี้จะเป็นการ์ดงานศพของเพื่อนที่เรียนกันมา หรือเพื่อนร่วมงาน และเครือญาติทั้งสองสาย
ถัดจากนั้นก็อาจเป็นวันที่เราเป็นศพเสียเอง
จริงๆ แล้ว สำหรับผม งานศพจะให้สติและปัญญา ได้มากกว่างานแต่งงาน
งานแต่งงาน เรามักเจอแต่สิ่งสวยงาม ความเย้ายวนใจ แล้วเราก็ดื่มฉลองให้กับ คู่บ่าวสาว ...ไชโย ...ไชโย
คำอวยพรคู่แต่งงานที่ผมชอบมาก เขียนว่า "ขอให้ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร ขอให้มีชีวิตคู่ที่ยืนยาว ปรองดอง รักสมัครสมานสามัคคีกัน จะทำการใดขอให้เอาใจเขามาใส่ใจเรา อย่าถือเฉพาะความคิดตัวเองเป็นที่ตั้ง ขอให้พยายามเข้าใจกันและกัน ไม่เอาแต่ใจตนเอง อดทน อดกลั้น อดออม ถนอมน้ำใจ พยายามพบกันครึ่งทางให้ได้ แม้ว่าความคิดเห็นจะแปลกแยกแตกต่างกัน"
เมื่อเดินออกจากงานแต่งงาน เราแทบจำอะไรไม่ได้ อาจเป็นเพราะความสุข เหมือนสายลมเย็นที่พัดผ่าน จะเหลือไว้ก็เพียงของชำร่วยชิ้นเล็กๆ
แตกต่างจากงานศพที่มักทำให้เราเศร้าซึม เมื่อนึกถึงคนที่จากไป ยิ่งความตายของคนวัยทำงาน เพื่อนผมบอกว่า บางทีความตาย ก็อยู่ที่ปลายจมูก ไม่มีอะไรแน่นอน
งานศพมักทำให้ผมตาแดง วันก่อนผมไป งานศพของแม่ที่จากลูกชายลูกสาวไปใน วัยเพียง 53 ปี
หมวยตัวเล็ก บอบบาง ยืนหน้าศพแม่ เธอพูดว่า
"ลูกจะขอจดจำแบบอย่างของคุณแม่ที่ทำไว้ และสัญญาว่าจะเป็นคนดี ตามคำสอนของแม่ตลอดไป ลูกและทุกคนในครอบครัว จะขอ รักแม่ไปจนชั่วชีวิต ขอให้ดวงวิญญาณของแม่ จงไปสู่สุขคติ ณ แดนสรวงสวรรค์"
ผมเศร้าเสมอ เมื่อต้องไปงานศพ แต่คุณค่าของงานศพก็คือ มันทำให้เราได้คิดเกี่ยวกับชีวิตและความตายมากมาย หลังศพถูกเผามอดไหม้เหลือแต่เถ้าธุลี แต่ความทรงจำของผมเกี่ยวกับความตายยังไม่จางหายไปไหน
พระท่านสอนว่า การครุ่นคิดเกี่ยวกับความตาย ทำให้คนเราไม่ประมาทในการใช้ชีวิต
ทุกเช้า ผมดีใจเสมอที่ตื่นขึ้นมาได้อีกวัน ไม่ต้องนอนตัวแข็ง หรือไม่ต้องให้คนป้อนข้าวป้อนน้ำ แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว (ครับ) ไม่ต้องร่ำรวย ไม่ต้องขี่รถเบนซ์ ไม่ต้องกินอาหาร มื้อละแพงๆ
คุณค่าของงานศพ อีกอย่างก็คือ การได้รับแจกหนังสือธรรมะ และหนังสือปัจฉิมลิขิตของคนตาย
จริงๆ แล้ว คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะใช้ชีวิตได้ (ครับ)
หน้า 39
มาจาก link นี้ครับ
//www.matichon.co.th/prachachat/prachachat_detail.php?s_tag=02edi07310151&day=2008-01-31§ionid=0212
Create Date : 01 กุมภาพันธ์ 2551 |
|
4 comments |
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2551 18:31:30 น. |
Counter : 1064 Pageviews. |
|
|
|