มิถุนายน 2554

 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
18
19
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
20 มิถุนายน 2554
ธรรมะปฏิบัติ 2
วิปัสสนากรรมฐาน

วันนี้จะมา up date ในเรื่องของการนั่งสมาธิ ครอบครัวเราก็ยังเพียรสม่ำเสมอไม่ได้ขาด ไม่ว่าจะเดินจงกรม การนั่งสมาธิ หรือการสวดมนต์ ใส่บาตร และให้ทาน พร้อมกับการรักษาศีล แต่รู้สึกว่าเวลาเราคุยกับใครๆ เขาไม่ค่อยจะเข้าใจไปในแนวทางเดียวกันกับเรา เวลาเราคุยกับใคร เขาจะคุยกันถึงเรื่องโลกภายนอก เรื่องยศ เรื่องตำแหน่ง เรื่องลาภสักการะ เราก็ไม่ยินดี และไม่อยากจะคุยกับเขา

เราก็อยากแต่จะคุยแตเรื่องธรรมะ ซึ่งคุยได้เป็นวัน เราก็มานั่งถามตัวเองว่าเราผิดปกติหรือเปล่า แล้วเราจะเข้าสังคมอยู่ได้อย่างไรให้ใจเป็นสุข พอถามเองและจิตก็ตอบเอง พร้อมกับนึกถึงคำสอนของหลวงพ่อ บอกว่าเราต้องรู้กาล รู้เวลา จะพูดคุยอะไรต้องคุยกับคนที่เข้าใจ คนที่ไม่เข้าใจเราก็ไม่คุยในเรื่องนั้นๆ และต้องอยู่กับโลกที่เปลี่ยนไปให้ได้ในระดับที่กายหยาบเราอยู่ได้ มีหน้าที่ก็ทำไป มีสิ่งที่รับผิดชอบก็ทำไป เดินทางสายกลาง

เราก็เลยได้ข้อคิดนำมาปรับกับการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ให้เพื่อนๆ หรือว่าคนรู้จักมองเห็นการเปลียนแปลงที่มากเกินไปจนพวกเขารับไม่ได้

มาพูดถึงการนั่งสมาธิ เราสังเกตุดูว่าน้องสาวเราเวลานั่งสมาธิเข้า ฌาน 2 จะเกิดอุเพงคาปติแรงมาก ร่างกายจะสั่นไหวอย่างรุนแรง(ตอนแรกๆ แต่ตอนนี้เขาจะคุมได้เรียกว่า วางอุเบกขาลงได้มากพอสมควร) แต่ยังเข้าสมาธิอยู่จนบางครั้งเรานั่งอยู่ข้างๆ ต้องลืมตามาสังเกตเขา มีอยู่ครั้งหนึ่งไปถือศีลปฏิบัติธรรมด้วยกัน และนั่งสมาธิด้วยกัน เรานั่งดูเขาเข้าสมาธิ 3 ทุ่มถึง ตี 5 ก็เคย และเขาจะมีการอุเพงฯ แบบปฏิหารย์มาก แต่ในขณะที่เราเอง ไม่มีอะไรเลยนั่งนิ่งเงียบ พอเข้า ฌาณ 2 ก็จะรู้สึกโยกนิดๆ พอขึ้นฌาณ 3 หัวใจก็จะเต้นแรงนิดนึงและก็เกิดสุขแบบนั้นเรื่อยๆ ไม่เห็นมีอะไร

และแล้วก็ไปถามพระอาจารย์ ท่านบอกว่าแต่ละคนเวลาเกิดอุเพงฯ จะไม่เหมือนกันแล้วแต่จริต คือจิตเดิมในหลายภพหลายชาติของตนเองเป็นเช่นไรก็จะเป็นเช่นนั้น ไม่แปลก ของพระอาจารย์ ยังมีลอยขึ้นจากพื้นเลย ไม่ต้องตกใจ แต่ระวังเวลานั่งวิปัสสนา หรือสมาธิ ให้นั่งห่างๆคนอื่นหน่อยละกัน ไม่งั้นเค้าจะตกใจกัน

แต่ว่าจากประสบการณ์อันน้อยนิดของเรา จะเห็นว่าพวกที่ปฏิบัติธรรมเหมือนกันจะรู้เรื่องนี้ดี และจะมองเห็นเป็นเรื่องธรรมดามาก บางคนปั่นจนเรากลัวว่าจะคอหักตายก็มี บางคนก็มีอิทธิฤทธิ์ สามารถมีญาณหยั่งรู้ เกิดจักษุทิพย์ หูทิพย์ เค้าเรียกว่า อภิญญา เกิด

มันจะเกิดเองถ้าใครปฏิบัติถึงขั้น พระอริยสงฆ์ของไทยที่บรรลุพระอรหันต์ก็มีอภิญญากันทั้งนั้น เพียงแต่มีแล้วท่านไม่ยึด ไม่ติด และก็ละเสีย จะใช้อภิญญาก็ต่อเมื่อเกิดภาวะคับขัน เพื่อช่วยเหลือคนอื่นเท่านั้น เพราะถ้าไม่ละ ก็จะไปติดอยู่ที่ฤทธิ์ ไม่ปราศจากอาสวะกิเลส ก็เข้าสู่พระนิพพานไม่ได้

อีกอย่างเรามีความคิดเดิมๆ ว่าเฮ้ย การนิพพานคือความว่างเปล่านะ และถ้าคุณหวังนิพพานแสดงว่าคุณมีกิเลส มีหวัง มันก็ไม่ใช่นิพพานนะสิ เราเคยเถียงกับน้องสาวมาตลอดถึงเรื่องนี้ และแล้วหลวงพ่อก็มีคำเฉลยว่า นิพพาน มันแปลว่าความว่างจริง ว่างจากกิเลสทั้งปวง แต่การนิพพานไม่ได้แปลว่าไม่มี ไม่ได้แปลว่าสูญเปล่า ฉะนั้น การตั้งใจแน่วแน่ว่าจะปฏิบัติให้ถึงซึ่งพระนิพพาน ไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่สิ่งผิด เพราะถ้าผิดพระพุทธเจ้าบัญญัติไว้แล้ว พระพุทธองค์จะกำหนดไว้แล้ว ว่าเราควรทำไม่ควรทำอะไร

ควรทำสิ่งใด ไม่ควรทำสิ่งใด เราก็เลยถึงบางอ้อเลย ว่าเราจะตั้งใจทำให้ดีที่สุดให้ถึงนิพพาน (คือความปรารถนาในใจแต่จะได้แค่ไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับความเพียร ความศรัทธา และบุญบารมี อย่างน้อยๆ เราฟาดฟันกับกิเลสปานนี้ จะตกนรกก็ให้มันรู้ไป) เราก็เลยคิดอย่างนี้ มันเลยมีกำลังใจในการลดทอนกิเลสในใจ และสามารถปลดทุกข์ในใจ ปลดโทสะ โมหะ ในใจให้ลดลงได้บ้าง ไม่รู้ว่าชั่วชีวิตนี้ของเราจะสามารถชะล้างให้หมดได้หรือเปล่า

หรือต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีกหลายๆชาติกว่าจะพ้น ก็ไม่รู้ แต่เราก็ถือว่าเราเริ่มแล้ว ดีกว่ายังไม่ได้เริ่มเลย ก็อยากให้เพื่อนๆ เริ่มเสียแต่วันนี้ มนุษย์นี้ชีวิตสั้นนัก อายุขัยมนุษย์ 100 ปี ไม่นานเลย เราจะมามัวหลงทางอยู่ทำไม ตัดอะไรได้ก็ตัด วางอะไรลงได้ก็วางมันลง อะไรที่วางง่ายก็วางมันลงก่อน ตัวเราก็จะเบายิ่งๆขึ้น

หลวงพ่อบอกว่า มนุษย์เราต่อให้เรียนแทบตายทางโลก เต็มที่เราก็เป็นได้แค่ดอกเตอร์ Dr. หัวชนอยู่กับโลกนี่แหละ รู้แต่เรื่องแคบๆ ยิ่งเรียนสูงขึ้นไปเราก็เรียนแต่เรื่องแคบ เรียกว่าเฉพาะทาง มนุษย์ไม่มีทางเรียนรู้ รอบรู้นอกจากโลกแคบๆ หรือต่อให้จักรวาลด้วยซ้ำ แต่ถ้าเราเดินรอยตามพระพุทธเจ้า เราจะรู้ถึงอนันตจักวาล ซึ่งมันเป็นสิ่งที่มหาศาลมาก

อย่าคิดว่าบางสิ่งในพระพุทธศาสนา ไม่มีจริงตราบใดที่คุณยังไม่ได้พิสูจน์ อย่าคิดว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าสั่งสอน เป็นสิ่งที่เพ้อฝัน เป็นนิยาย ตราบใดที่ปัญญาอย่างเรา ยังไปไม่ถึง เพราะเรื่องของจิต เป็นเรื่องที่นอกเหนือ อย่าลืมว่าจิตเดินทางเร็วกว่าแสง มนุษย์ไม่มีทางพายานอาวกาศใดๆ ที่เดินทางได้เร็วกว่าแสง ไปในจักรวาลอื่นๆ ได้

เราพูดมามาก ก็เพื่ออยากจะเตือนทั้งตนเอง และเพื่อนๆว่า อย่าประมาทนะ เริ่มออกเดินทางสายธรรมะ เดินตามรอยพระพุทธองค์ได้แล้ว ก่อนที่ชีวิตเราหรือกายหยาบของเราจะดับไป ปล่อยให้ดวงจิตล่องลอยไปตามยถากรรมโดยที่ไม่มีทิศทาง และก็จะพบกับความทุกข์อีกเรื่อยไป

อย่าลืมนะค่ะ ปล่อยวางแล้วจะรู้ว่า สุขเป็นอย่างไร




Create Date : 20 มิถุนายน 2554
Last Update : 24 ตุลาคม 2555 11:05:48 น.
Counter : 738 Pageviews.

2 comments
  


สวัสดีค่ะ แวะมาเยี่ยมค่ะ

//thailandtravel.bloggang.com/

สถานที่ท่องเที่ยว จองโรงแรม
โดย: nonguide วันที่: 20 มิถุนายน 2554 เวลา:10:23:06 น.
  
อนุโมทนาสาธุครับ
โดย: shadee829 วันที่: 20 มิถุนายน 2554 เวลา:19:21:49 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

pimiya
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



มิตรภาพเป็นสิ่งที่หายากมากในสังคม ถ้าเราเจอก็ต้องรักษามันไว้ บางครั้งการรอคอยก็เป็นสิ่งที่เราต้องทำใจกับมันอีกเช่นกัน

Welcome and Love ชีวิตไม่ใช่เป๊ปซี่ มันจึงไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด

lozocat
ชีวิตนี้ ได้มีโอกาสเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งมีสติปัญญาแต่มากบ้างน้อยบ้าง ตามแต่บุญแต่กรรมซึ่งเป็นเครื่องชี้แต่ละคน ได้มีโอกาสนับถือศาสนาพุทธ ซึ่งมีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระบรมศาสดา จากเกิดจนมีชีวิตอยู่ถึงปัจจุบัน มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าห้อยติดคอตลอดเวลา แต่โง่เขลาเบาปัญญานัก ไม่ได้ศึกษาคำสั่งสอนของพระองค์ บัดนี้จะขอเป็นบุตรที่ดีของพระพุทธองค์จะนำคำสอนไปปฏิบัติ และเผยแพร่เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเพื่อนๆ ทั้งทางโลกและทางธรรม สิงใดที่เป็นประโยชน์ กระตุ้นแรงบันดาลใจให้กับผู้คน ก็ขออนุโมทนา แต่ถ้าสิ่งใดเป็นข้อผิดพลาดที่เกิดจากประสบการณ์ หรือความไม่รู้ใดๆ ก็ขออย่าเก็บไปใส่ใจจำ ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันก็พอ..
New Comments