ชีวิต...คือความหลากหลาย
Group Blog
 
<<
เมษายน 2550
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
21 เมษายน 2550
 
All Blogs
 

วงจร โง่ - จน - เจ็บ

ตั้งแต่มาทำงานก็ตั้งอกตั้งใจทำงาน มีคนเคยบอกว่า
เป็นหมอรักษาคนจะอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน
เพราะได้รักษาคนดูแลคนที่เจ็บไข้ได้ป่วยเหมือนกัน

แต่ผมคิดค้านอยู่เสมอว่า คนป่วยเหมือนกัน
แต่คนป่วยในเมืองกับคนป่วยในอำเภอเล็กๆ อย่างนี้ ยังไงก็ไม่เหมือนกันแน่นอน

สิ่งที่ทำให้ต่างกันมีหลายปัจจัย
เรื่องแรกก็เรื่องความรู้ เพราะสังคมชนบทยังมีความเชื่อดั้งเดิมอยู่มาก
ใครเกิดอุบัติเหตุมีบาดแผล มีลักษณะที่ถูกชน ถูกกระแทก ตกที่สูง ถ้าเกิดขึ้นให้กินเหล้า+น้ำตาลทันที หลังจากนั้น ต้องไปย่าง

ไม่ต้องงงครับ ย่างจริงๆ ถ้าจะพูดให้ง่ายก็คืออบด้วยความร้อน
คนที่ไม่สบายจะต้องอยู่บนแคร่แล้วเอาเตาถ่านสุมข้างล่าง ให้ร้อนๆ พอเกรียมๆ
(รายละเอียดการทำอาจจะแตกต่างตามพื้นที่)

กระดูกหักก็ให้หมอเป่า + ใช้น้ำมันนวด เดี๋ยวก็หาย

อันนี้เป็นแค่ตัวอย่าง ใครที่เคยคิดว่าเมืองไทยศิวิไลซ์แล้ว
คงไม่มีความเชื่องมงายอีก ขอให้คิดใหม่
(จริงๆ แล้วอย่างปรากฏการณ์จตุคามรามเทพ ก็น่าจะบอกได้แล้วว่า เมืองไทยเป็นยังไง)

อยู่ในชนบทมาสามปี เวลาเจอคนไข้ก็ต้องคอยบอก คอยสอนปากเปียกปากแฉะ
คนที่เป็นความดันสูง ต้องรักษาประจำ ดูแลอาหารการกิน ห้ามขาดยา ให้มาตรวจตามนัด
ที่สำคัญห้ามหยุดกินยาเอง อย่าคิดว่าหายแล้วหยุดเอง
ให้มาหาหมอ ถ้าดีหมอจะให้หยุดเอง

เจอคนไข้ทีไรต้องพูดอย่างนี้ทุกที พูดๆ จนบางครั้งยังเบื่อตัวเอง
และก็มี คนไข้เกิดเส้นเลือดในสมองแตกจากความดันโลหิตสูงมาอยู่ดี
เปิดดูประวัติเดิม อ้าวขาดยาไม่ยอมมาเอายา

อย่างนี้จะโกรธใคร ?
.....................................................................................

สัปดาห์ก่อนก็มีคนไข้ไอเรื้อรัง มาหลายเดือน ตัวผมกะหร่อง
ดุแล้วเข้าข่าย วัณโรค แน่นอน เปิดดูประวัติเดิม อ้าวเคยรักษามาแล้ว แต่กินยาไม่ครบ
กินแค่ 3 เดือนแล้วก็หายตัวไปเลย มาครั้งนี้ก็เป็นขึ้นมาอีก

คราวนี้ก็โทรมมาก แล้วเชื้อก็มีสิทธิที่จะดื้อยา การรักษาก็ยากขึ้น จนถึงขั้นอาจจะรักษาไม่ได้เลยทีเดียว

ไปตามซักไซ้หน่วยที่ดูแลคนไข้วัณโรค ก็บอกว่าตอนคนไข้ไม่มาตามนัด ได้ไปตามแล้ว
ไปตามถึงบ้าน ก็ไม่มีใครอยู่บ้าน คนไข้หายไปไม่มีใครรู้
คนในบ้านก็ไม่มีใครอยู่ด้วย ถามคุณลุงก็บอกว่าไปทำงานหาเงิน

หาเงินเลี้ยงตัวเอง เมียทิ้งไปแล้ว ลูกก็แยกครอบครัวไปไม่มีใครสนใจ

อย่างนี้จะโกรธใครดี ?
......................................................................................

ไม่กี่วันต่อมา ก็เจอคนไข้ผู้หญิง แรกเห็นก็คือ
เป็นหญิงสาวผอม ศีรษะโล้น ขาวซีด ปากซีด ท้องบวมโตมาก หายใจเร็ว เหนื่อยมาก

เมื่อเข็นเข้ามาในห้องฉุกเฉิน คนไข้เห็นหน้าผม ก็
ยกมือไหว้บอกว่าจำได้มั้ย .... (ชื่อคนไข้) ไง
บอกตามตรงสภาพเธอตอนนั้น ผมนึกไม่ออกเลยว่าใคร
แต่ตอนนั้นก็บอกคนไข้ไปว่า จำได้ครับ

พอกลับไปดูประวัติก็พบว่า เธอเคยเป็นมะเร็ง
ผมได้ให้การรักษาและส่งตัวไปรับการรักษาต่อที่ ศูนย์มะเร็ง

จำได้ว่าครั้งนั้นเธอมีก้อนโตมากที่คอ
บวมโตเกือบทั้งคอบวมไปจนถึงตา เรียกว่าตาข้างหนึ่งปิดไปเลย
มีอาการปวดมาก กินอาหารไม่ได้ สภาพตอนนั้นเรียกว่าร่อแร่

ผมได้เจอเธอหลังจากไปรับการรักษาที่ศูนย์มะเร็งประมาณ 3-4 เดือน
เธอกลับมาแทบจะปกติ ก้อนที่คอยุบหายหมด ร่างกายแข็งแรง
จนแทบจะไม่รู้ว่าเธอป่วย และครั้งนั้นที่เจอก็มื่อ 2 ปีที่แล้ว

มาครั้งนี้เธอกลายเป็นคนล่ะคนและอาการหนักเกินกว่าจะเยียวยา
เธอบอกว่า ไม่ได้ไปรับการรักษาต่อเนื่องตามที่ศูนย์มะเร็งนัด
มีอาการขึ้นมาก็ไปซื้อยาสมุนไพร ยาหม้อกิน

3-4 เดือนนี้เป็นหนักขึ้นก็ตัดสินใจไปบวชเพื่อรักษาตัว จ
นไม่ไหวแล้วจึงได้กลับมาบ้าน แล้วก็มา รพ.
เธอเสียชีวิตในคืนแรกที่นอนใน รพ.

เธอบอกว่าที่ไม่ได้ไปรักษาตามนัด เพราะว่าไม่มีเงิน
ต้องไปทำงานหาเงินมาใช้หนี้เงินกองทุนหมู่บ้าน

อย่างนี้จะโกรธใคร ?
......................................................................................
ความรู้สึกผมมันบอกไม่ถูก
เมื่อปีแรก ที่ผมมาทำงานผมจะโกรธคนไข้มากที่ไม่ยอมฟังหมอ ไม่ยอมเชื่อหมอ ไม่มาตามหมอนัด

แต่เวลาที่ผ่านมา ก็เรียนรู้มากขึ้น นอกจากเรื่องเงินๆ ทองๆ
ถึงจะมี 30 บาทรักษาทุกโรค (ตอนนี้รักษาฟรีแล้ว)
แต่แค่ค่ารถเดินทางมารพ. ก็หาไม่ค่อยมีแล้ว โดยเฉพาะคนแก่
ที่ต้องคอยเอาเงินจากลูก

ยิ่งคนไหนต้องไปหาหมอที่จังหวัด ค่ารถ ค่ากินค่าอยู่
คิดไปคิดมาก็หลายตังค์อยู่

ยังไม่ต้องพูดถึงปัญหาอื่น
คนแก่จะมาหาหมอได้ ต้องรอให้ลูกว่าง หลานว่าง
ถึงจะมีคนพามา บางทีก็เกรงใจลูกหลานไม่กล้าบอก

ซ้ำร้ายบางคนก็อยู่แบบที่ไม่มีใครสนใจ
อย่างเธอที่เสียชีวิต ญาติพี่น้องก็ไม่ค่อยสนใจ
สังเกตจากที่พามาก็แทบจะไม่รู้อาการของคนไข้ ทั้งๆ ที่เป็นพี่น้องกัน

พอมาส่งแล้วก็หนีหายไปเลย พอเสียชีวิต
ก็ไม่ยอมเอาศพขึ้นรถ บอกว่าคนไข้เป็นโรคร้าย
โรคติดต่ออะไรหรือเปล่า ต้องให้รถ รพ.ไปส่ง
ถามไปถามมาถึงได้รู้ว่า จริงๆ แล้วญาติก็ไม่ยอมเข้าใจว่า
มะเร็วที่รักษาไปนั้น ต้องรักษาต่อเนื่อง

แต่นี่พอก้อนหายแล้ว ก็บอกให้เธอไปทำงาน
พอมีอาการท้องบวม ท้องโต ผอมลง ก็พาลคิดว่าเธอเป็นโรคอื่น
โรคติดต่อร้ายแรง จนไม่ยอมให้เอาขึ้นรถ
แถมคาดคั้นกับหมออีกว่า เป็นอะไรตายก็บอกมาตรงๆ

ถามว่า จะฉีดศพด้วย ฟอร์มาลีนหรือเปล่า ?
ถ้าจะฉีดก็ต้องซื้อน้ำยา ญาติบอกว่าไม่มีเงินซื้อ
แต่ไม่นานก็เห็นอีกคนไปซื้อเหล้าซื้อเบียร์มาเตรียมไว้กินแล้ว ?

จะโกรธหรือครับ ?
โกรธให้กับอะไรดี
?
ความโง่ของคนที่บอกแล้วไม่เชื่อ หรือเชื่อในสิ่งที่ไม่มีเหตุไม่มีผล
โกรธ ให้กับความยากจน
ใครล่ะที่ทำให้ชาวบ้านต้องดิ้นรน สังคม รัฐบาลหรือตัวเขาเอง ?

หนี้กองทุนหมู่บ้านไม่กี่หมื่นบาท ค่ารถไม่กี่ตังค์
ไม่มีใครช่วงได้เลยหรือ ? นี่หรือราคาค่าชีวิตของคน
ค่ารถไป-กลับอุดร 200 บาท แค่นี่เองที่ทำเหรอที่ทำให้คนไข้บางคนต้องตาย?

อยู่มาสามปี ถึงจะช่วยได้บ้างแต่อย่างไรวงจรเดิมๆ
ที่มีคนเคยพูดไว้ก็ยังคงมีอยู่ ไอ้ วงจรอุบาทว์โง่-จน-เจ็บ

ใครจะช่วยได้ หมอคนเดียวคงไม่ไหว
บางครั้งก็สู้จนท้อเหมือนกัน




 

Create Date : 21 เมษายน 2550
7 comments
Last Update : 21 เมษายน 2550 17:21:36 น.
Counter : 2418 Pageviews.

 

หมอดีดีมีมากมายครับ
และเป็นหมอที่ดีจนน่าสงสารและน่าเห็นใจมาก...

ต่างกับหมอในโรงพยาบาลจังหวัดหลายคนที่ดูถูกคนไข้
เพียงเพราะเขาพูดภาษาอีสาน หรือฟังภาษากลางไม่เข้าใจ
น่าอนาถแท้...

ขนาดในโรงพยาบาลประจำจังหวัดขอนแก่นยังแทบไม่ต่างกันเลยครับ ญาติๆมาก็ต้องทิ้งงานทิ้งบ้านทิ้งนาทิ้งไร่มานอนรออาการอยู่แถวสวนแถวเก้าอี้ที่เขาจัดไว้ให้ เรียกว่าเต็มโรงพยาบาลกันเลย...

แต่พออ่านเรื่องคนไข้ไม่มาตามนัดแล้ว... ได้แต่ถอนใจครับ...

สู้ต่อไปนะครับ

 

โดย: nanoguy 22 เมษายน 2550 10:40:38 น.  

 

เข้ามาขอ คารวะ ในน้ำใจของคุณหมอที่มีต่อคนยากไร้ในชนบทค่ะ
...สู้ ๆ ค่ะ
มองโลกในแง่ดีนะคะ
กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว งานของคุณหมอก็เช่นกันค่ะ...

 

โดย: redstar (ดาวสีแดง ) 23 เมษายน 2550 11:22:53 น.  

 

คุณ nanoguy : ครับหลายครั้งเวลาคนไข้ไม่มาตามนัดแล้ว
อาการทรุดหนักมา ผมก็ได้แต่ถอนใจ สงสารเกินที่จะต่อว่าได้

คุณ redstar : ครับมองโลกในแง่ดีกันดีกว่าครับ

 

โดย: pigletdora (pigletdora ) 23 เมษายน 2550 21:04:44 น.  

 

สวัสดีค่ะ คุณpigletdora
อีกครั้งแล้วนะ..
ไม่รู้ว่าครั้งที่เท่าไหร่ ที่เข้ามาในบ้านนี้
แล้วรู้สึกว่า ไม่ผิดหวังเลยสักนิดเดียว
ที่ได้อ่านบทความดีๆ ให้แง่คิด แล้วมองเห็นอีกมุมหนึ่งที่ไม่เคยเห็น
ชอบค่ะ..ชอบบทความต่างๆที่คุณได้เขียนลงใน Blog
อย่าง Blog นี้..

คนไข้ต้องตายด้วยเพราะไม่มีเงินเป็นค่ารถ ค่าใช้จ่ายเพื่อมา รพ. อีกทั้งขาดความเอาใจใส่จากคนรอบข้าง/คนในครอบครัว
ถ้าตายซะก็หมดภาระสำหรับพวกเขา
แสงตะวันรู้ว่า คนบางจำพวกคิดเช่นนั้น
เพราะเคยเห็นมาจากประสบการณ์จริง

แม่แสงตะวันเองก็ป่วยเหมือนกันค่ะ
คุณหมอที่รพ.ก็นัดตรวจอย่างต่อเนื่อง
แม่ของแสงตะวัน ไม่เคยขาดหรือผิดนัดเลยสักครั้ง
ยาก็รับประทานอย่างสม่ำเสมอ
แต่ก็มียาความดัน ที่แสงตะวันเห็นเหลืออยู่เยอะ
ก็สงสัย ว่าทำไมมีเต็มบ้านเลย
แม่ไม่ได้กินหรืออย่างกันนะ
ปรากฎว่า..ก็นั่นแหล่ะค่ะ แม่บอกว่าความดันไม่ได้ขึ้นเลยไม่กิน
เป็นซะอย่างงั้น...
มาอ่านเจอกรณีของคุณ Pigletdora ในนี้ก็คงต้องกลับไปเล่าให้แม่ฟังแล้งล่ะค่ะ ว่ามันมีผลตามมาอย่างไร

 

โดย: เเสงตะวัน 6 พฤษภาคม 2550 16:47:56 น.  

 

คุณแสงตะวัน : ชมซะตัวลอยอีกแล้ว กรณีคุณแม่ของคุณแสงตะวัน ให้คุยกับแม่ให้แน่นอนที่ว่าไม่กินนั้น ไม่กินเลย หรือว่ากินๆ หยุดๆ และให้บอกข้อมูลกับคุณหมอที่แม่ไปรับยาด้วย ครับ

บางทีคนไข้จะกลัวว่าถ้าบอกหมอว่าไม่กินยาแล้วหมอจะว่าเอา ก็เลยไม่บอกแล้วก็เอายามาเก็บไว้เรื่อยๆ ทั้งที่ความจริงแล้ว ถ้าสมมติคุณแม่ไม่ได้กินยาเลย แต่ความดันยังควบคุมอยู่ได้ หมออาจจะพิจารณาหยุดยาให้ได้ เพราะความดันนั้นหากเราควบคุมอาหารได้ดี ควบคุมเรื่องสุขภาพด้านอื่นได้ดี ไม่เครียด มันก็อาจจะอยู่ในระดับปกติได้ โดยที่ไม่ต้องกินยานะครับ

เพราะฉะนั้นให้คุยกับแม่ให้เคลียร์แล้วบอกคุณหมอในครั้งหน้านะครับ

 

โดย: pigletdora 6 พฤษภาคม 2550 18:37:39 น.  

 

วันก่อนนะ อยู่เวร resident นี่แหละ
เจอคนไข้มาจากนครศรีธรรมราช มาถึงที่นี่ตอนเช้าตรู่ สักตี 5 ได้
ด้วยอส. ปวดตาขวา
ปป. ถูกต้นไม้ทิ่มตาขวา เมื่อวานเช้า

...อ้าว..แล้วลุงทำไมมาจากนครฯมาถึงกทม.ล่ะ
ลุงตอบว่า..ลุงมีลูกอยู่กรุงเทพฯ ไม่มีใครอยู่นครฯเลย พอมีเรื่อง โทรบอกลูก ลูกก็บอกให้มาที่นี่
โห..เดินทางมาเกือบพันกิโล
แล้วลุงไม่ปวดตาหรอ...เราถามไป
ปวดสิ ปวดตลอดทางเลย...ลุงตอบ
แล้วลุงมาไงนี่....
ลุงตอบว่า..นั่งรถไฟ ชั้น 3 มา
...นั่งรถไฟ ชั้น 3 มาจากนครฯ ทั้งๆที่ ปวดตาทั้งคืน นั่งมากว่า 12 ชั่วโมง คนเดียว
โอ้โห...

ตอนจบของการเดินทางของลุงเป็นอย่างไรรู้ไหมครับ

...ลุงเป็น Penetrating injury เจ้ากิ่งไม้นั่นน่ะ ทิ่มจนตา ของลุงแกทะลุตั้งแต่เมื่อวานตอนเช้าแล้ว และตอนนี้แผลนั่นมันปิดไปแล้ว แต่เชื้อโรคยังไม่หมด
สุดท้ายเป็น Endophthalmitis คือตาติดเชื้อทั้งลูกตา

ตอนจบของการเดินทางคือ...ลุงต้องควักลูกตาขวาออก ครับ
ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดีครับ
ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้ลุง ได้รับการรักษาที่ล่าช้า
ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้ลุงต้องเดินทางมากว่าพันกิโล เพื่อมาควักลูกตาออกที่กรุงเทพฯ

 

โดย: jeafish 24 พฤษภาคม 2550 0:01:36 น.  

 

อืม... เคยเป็นเหมือนกันเลยค่ะ ตอนจบใหม่ ๆ เน้น หลักการมากไปหน่อย โกรธคนไข้ที่ไม่ทำตาม จริง ๆ แล้ว
มีปัจจัยหลายอย่างเลยที่ทำให้ไม่เป็นไปตามที่เราแนะนำ ตอนนี้
ก็เลย แนะนำ แต่ไม่คาดหวังว่าคนไข้จะทำตามทั้งหมด แต่เราก็
แนะนำในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดให้คนไข้ เลือกตัดสินใจเองดีกว่าเนอะ

 

โดย: ปิ๋ม (ใส่รองเท้าก้าวเดิน ) 23 มกราคม 2551 10:26:09 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


pigletdora
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add pigletdora's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.