>>>>> ถ้ายังรัก ก็ต้องยังไหว ...... แล้วตอนนี้ไหวหรือเปล่า <<<<<
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2551
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
242526272829 
 
16 กุมภาพันธ์ 2551
 
All Blogs
 
ตัวขโมยซีน "สมชาย ศักดิกุล"

โปรดจำ (และดูภาพประกอบ) เพื่อความมีอรรถรสในการอ่านบทสัมภาษณ์นี้
"เอี้ย" ให้อ่านออกเสียงโดยใช้ตัว "ห" แทน ตัว "อ"
"แม่ม" ให้อ่านออกเสียงโดยใช้ตัว "ง" สะกดแทนตัว "ม"
"กวนทีน, ส้นทีน,ทีน" ให้อ่านออกเสียงโดยใช้ตัว "ต" แทนตัว "ท"
และ "สิบหาย" ให้อ่านออกเสียงโดยแทน "ส" ด้วย "ฉ"

**********



เมื่อครั้งที่ภาพยนตร์เรื่อง "2499 อันธพาลครองเมือง" ออกฉายหลายคนคงจำภาพของผู้ชายมีหนวดมาดกวนๆ ที่มารับบทเป็น "หมู่เชียร" ได้เป็นอย่างดี เพราะลีลามาดเท่ๆ ของเขาที่รวมเข้ากับโยคเด็ดที่ว่า "...ปืน มันมีไว้ยิงคน ถ้าชักออกมาแล้ว มันไม่ตาย เราตาย..." ก็ส่งให้ชื่อของ หมึก อภิชาติ ชูสกุล กลายเป็นดาราที่หลายคนจำได้ พร้อมๆ กับบอกว่าเขา "ขโมยซีน" ดาราคนอื่นๆ จากหนังเรื่องนี้

จาก " 2499ฯ" หลายปีทีเดียวที่วงการหนังไทยหาคนที่จะมารับคำๆ นี้ไป จนกระทั่งภาพยนตร์ "มนต์รักทรานซิสเตอร์" ของเป็นเอก รัตนเรืองออกมาเมื่อปีที่แล้ว คำๆ นี้จึงได้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง โดยคราวนี้ผู้ที่เป็นเจ้าของฉายาใช้เพียง 1 คำ (2 พยางค์) คือ "สุดยอด..." เท่านั้นก็ทำให้เขาขโมยความเด่นของดาราคนอื่นๆ มา ก่อนที่เจ้าตัวจะมาตอกย้ำความเป็นจอมขโมยซีนอย่างสมบูรณ์แบบในภาพยนตร์เรื่อง "15 คำ เดือน 11"

เขาคือ สมชาย ศักดิกุล หรือถ้าคิดจะนับญาติ ด้วยวัย 49 ปีของเขา คงไม่น่าเกลียดเกินไปนักที่จะเรียกเขาว่า "พี่เล็ก" ผู้ชายที่สบถคำว่า "ไอ้เอี้ย..." ได้อย่างไพเราะและน่ารักน่าชังมากที่สุดในตอนนี้...



หลายคนอาจรับรู้เรื่องราวของเขามาบ้างแล้วว่าเขาคืออดีตนักดนตรีวง "เดอะบ๊องค์" วงดนตรีที่นำเอาทำนองเพลงฝรั่งมาใส่เนื้อไทยแบบกวนๆ, เขาคือนักดนตรีรุ่นแรกของวงดนตรี "เฉลียง" ที่ร้องเพลง "อยากมีหมอน" รวมทั้งเขาคนนี้คือเจ้าของเสียงพากย์เทนนิสทุ้มนุ่มทางช่องยูบีซีที่เราได้ยินกัน...

แต่ (เชื่อเถอะ) ผู้ชายคนนี้ยังมีเรื่องราวและประสบการณ์ชีวิตอยู่อีกมากมาย ซึ่งเมื่ออ่านจบแล้ว คุณอาจจะต้องบอกว่า...เขากวนทีน...

"ผมเป็นนักศึกษาคนหนึ่งที่อยู่ในช่วงเหตุการณ์ 14 ตุลาพอดี แต่ว่าผมเดินสายกลาง คือตามข่าวการเมืองบ้างเหมือนกัน แต่ไม่ได้เข้าปงเข้าป่าอะไร จะเป็นทางสายบันเทิงมากกว่า..." พี่เล็กกล่าวเปิดเผยพร้อมกับยกแขนเสื้อขึ้นปาดเหงื่อที่เป็นผลพวงมาจากการฝึกเล่นกอล์ฟ

"เรียนที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จบมาปี 2520 ก็เริ่มทำงาน ไปทำงานประกันชีวิต คือเพื่อนที่จบธรรมศาสตร์มาเขาทำอยู่ แล้วก็ชวนเราไปทำ ช่วงนั้นมันหางานยาก ผมก็เลยคว้าเอาไว้....ไม่ได้เป็นเซลล์ครับ ทำส่วนที่รับประกันชีวิตซึ่งก็ได้ใช้กฏหมายที่เราเรียนเป็นวิชาโทมาเหมือนกัน"

"ระหว่างที่ทำงานก็จะเล่นดนตรีไปด้วย เพราะตอนที่เรียนก็เล่นดนตรีในมหาวิทยาลัยรับงานเป็นจ๊อบๆ ไป พอเริ่มทำงาน ปี 2520 ก็มีเพื่อนที่เล่นดนตรีอยู่ที่โรงแรมมณเฑียร พอดีเขาขาดมือกีต้าร์ก็เลยชวนเราไปเล่นด้วย ก็ได้เข้าไปเล่น เลิกงาน 5 โมงโหนรถเมล์ไป 2 ป้ายถึงที่เล่นดนตรี เล่นจนถึง 3-4 ทุ่ม เป็นอย่างนี้ทุกวัน ตอนหลังๆ เราต้องเล่นรอบดึกด้วย ทำให้กว่าจะได้นอนก็ดึกมาก แถมตอนเช้ายังจะต้องตื่น 6 โมง มาทำงานอีก..."

กลางวันทำงาน กลางคืนเล่นดนตรี ทำอยู่ 3 ปี จนร่างกายเริ่มออกอาการไม่ไหว ประกอบกับมีเรื่องที่ต้องทำให้เจ้าตัวต้องเลือกเอาระหว่างการเป็นพนักงานประจำออฟฟิศ กับการเป็นนักดนตรีประจำโรงแรม เขาจึงจำเป็นต้องตัดสินใจ

"คือเราไปทำงานเวลาที่เขากินข้าวผมก็ไปแอบนอนตรงหลังตู้เอกสาร พอบ่ายปุ๊บ คนอื่นเขาเข้ามาทำงาน ผมก็ออกไปทานข้าวประมาณ 20 นาที แล้วก็กลับมาทำงาน เป็นอย่างนี้ทุกวัน จนหัวหน้าเขาเห็นแบบไอ้นี่มันอดหลับอดนอนเหลือเกิน ประกอบกับช่วงนั้นผมทำงานมาประมาณ 3 ปี แล้ว ก็คือกำลังที่หัวหน้าเขาจะโปรโมตให้เราขึ้นมาเป็นหัวหน้าแผนก"

"กลางวันก็แย่ กลางคืนพอจะไปเล่นดนตรีอารมณ์ก็ไม่ค่อยมีแล้ว โห....เหนื่อย ร่างกายไม่สดชื่นทำอะไรก็ไม่ค่อยดี หัวหน้าเขาก็จะบอก เฮ้ย...เอ็งต้องเลือกแล้วว่ะ ต้องตัดสินใจ ถ้าเราเลิกเล่นดนตรีเขาก็จะเลื่อนให้เราขึ้นเป็นหัวหน้า สมัยนั้นทำงานบริษัทระดับปริญญาตรีเนี่ยมันประมาณ 1,750 เต็มที่ประมาณ 2,000 กว่าบาท ซึ่งมันก็ดูหรูแล้วล่ะ ผมก็มานั่งคิด คิดอยู่ตั้งนานว่าจะเอาอย่างไร...สมชายต้องเลือกเอาสักอย่างแล้วนะ จะได้โปรโมตขึ้นมาเป็นหัวหน้า หัวหน้าก็จะคอยบอกกับเราแบบนี้"

"จนเราตัดสินใจได้ก็บอกหัวหน้า เขาก็เออ...เป็นไง เราก็...ผมตัดสินใจแล้วครับ ตัดสินใจแล้วว่าเลิก...พอบอกแค่นี้ หัวหน้าเขายื่นมือออกมาเลย เออ...ดีตัดสินใจถูก ดีๆ ตกลงสมชายเลิกเล่นดนตรีใช่มั้ย ...เราก็...เปล่าครับ ผมจะเลิกทำงาน..."

พี่เล็กบอกว่าสาเหตุที่เขาตัดสินใจเลือกเช่นนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าเหตุผลที่เขาชอบดนตรี
"ถ้าโปรโมตผมขึ้นมาเป็นหัวหน้า เงินเดือนผมก็อาจจะเลื่อนกระโดดขึ้นมา จาก 2 พันกว่า เป็น 3 - 4 พัน แต่คิดแล้วงานมันหนัก รับผิดชอบสูงก็เลยไม่เอา กลายเป็นนักดนตรีอาชีพเต็มตัวเลย ตอนปี พ.ศ. 2524"

มาเป็น "เดอะบ๊องค์" ได้อย่างไร? เจ้าตัวคงจะถูกถามคำถามนี้มามากต่อมากแล้ว เพราะฉะนั้นเราก็เลยไม่ถามออกไป แต่สำหรับคนที่ยังไม่รู้คำตอบเราจะเล่าให้ฟัง...
"เดอะบ๊องค์" เกิดขึ้นในวันหนึ่งของปี พ.ศ.2526 - 2527 เมื่อเจ้าตัวและเพื่อนนักดนตรีกำลังอยู่ในช่วงที่ "ตกงาน" และวันหนึ่งของปี พ.ศ.2526 - 2527 อย่างที่กล่าว เล็กและเพื่อนที่ชื่อโย (โยธิน ธีรานนท์) ได้เข้าไปหาวิรัช อยู่ถาวร นักดนตรีที่มีชื่อคนหนึ่ง ที่ห้องอัดแห่งหนึ่ง เพื่อยืมเครื่องดนตรีอะไรสักอย่างหนึ่ง

ขณะนั้นวิรัชกำลังทำเพลง (มีคนจ้างทำ) ที่มีเนื้อหาบ้าๆ บอๆ โดยจะเอาไปใส่กับทำนองดนตรีของเพลงต่างประเทศ ในตอนนั้นวิรัชเองก็ยังไม่รู้ว่าจะให้ใครร้องเพลงที่เขาทำนี้ แต่เขาก็เกิดไอเดียขึ้นมาทันทีเมื่อมองเห็นหุ่นของผู้ที่มาเยือนทั้งสองคน เป็นตัวเลข 1,0 ...
"เพราะตอนนั้นผมผอม แล้วเพื่อนที่ชื่อโยเนี่ยอ้วน พี่วิรัชแกก็เออ...โว้ยเลข 1 กับเลข 0 ได้เลยนี่หว่า แกก็ถามว่าเอามั้ย เราก็เอาสิไม่มีอะไรทำ..."

"ทำออกมาชุดหนึ่งไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าใดนัก แต่ที่เด็ดสุดก็ตอนที่เล่นคอนเสิร์ต คือตอนนั้นเราออกเทปกับรถไฟดนตรีช่วงนั้นรถไฟดนตรีเขามีวงฟรีเบิร์ด มีวงอะไรอีกเยอะแยะไปหมดเลย เขาก็จัดคอนเสิร์ตขึ้นที่โรงแรมดุสิตธานี เราก็ได้ไปโชว์ด้วย"

"ปรากฏว่าตอนนั้นวงของเล่าเนี่ยมันจะต้องมาคนที่มาเล่นรีวิวประกอบเพลง ก็ประมาณว่าหาคนมาเล่นตลก 2 คนประกอบเพลงกินกันเละละ ก็คือเอามาจากเพลง My Shrona นั่นแหละ ก็มีการซื้อข้าวเหนียว ซื้อลาบเลิบมานั่งกินกันบนเวทีเลย ตอนนั้นเราก็หาคนที่จะเล่นได้แล้วคนนึงเป็นน้องของพี่วินัยซึ่งเป็นนักดนตรีอยู่ในวงของเรา อีกคนหนึ่งปรากฏว่าเป็นใครรู้มั้ย...สันติสุข พรหมศิริ ครับ..."

มาได้อย่างไร?
"คือสันติสุขเนี่ยสมัยก่อนเขาจะเล่นดนตรีใกล้ๆ บ้านผม แล้วเขาก็เป็นเด็กสาธิตจุฬาฯ ซึ่งเพื่อนรุ่นน้องของผมเขาก็เป็นเพื่อนกัน เวลาจะซ้อมดนตรีพวกนี้ก็จะไปซ้อมห้องซ้อมที่เดียวกันกับวงของเราเนี่ยแหละ เวลาที่พวกผมไปเล่น วงของเขาก็จะขอตามไปดูด้วย ก็เจอเขา เราก็ไปถามว่า เออ..ตอนนี้พี่มีงานเล่นตลกอยู่ เอ็งจะเอากันมั้ยล่ะ เขาให้ 500...มันก็ถามแล้วเล่นอะไรบ้างพี่ เราก็เออ...เล่นตลกเนี่ย โดนพี่ถีบสักทีสองที ก็ได้ตังค์แล้ว ไอ้สันติสุขมันยกมือเลย สมัยนั้นมันยังไม่ได้เข้าวงการนะ...ผมเอาพี่ ไม่มีจะแดกอยู่...ผมเอา"

"ตอนซ้อมๆ ผมก็ไม่ค่อยได้เล่นอะไรมาก สันติสุขมันก็ถามต้องมีบทถูกถีบด้วยใช่มั้ยพี่ เราก็เออ...มันก็บอก พี่โยตัวใหญ่ สงสัยพี่โยจะทีนหนัก งั้นผมให้พี่ถีบดีกว่า พี่ตัวผอมๆ สงสัยจะทีนไม่หนัก...เราก็เออๆ พอเล่นเข้าจริงๆ ไอ้สันติสุขส่งตูดให้ ผมถีบแม่มซะตกเวทีไปเลย คนกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ มันก็ได้กันไปคนละ 500..."

"วันหนึ่งมันมาหาผมตอนที่เล่นเป็นนักดนตรีอาชีพกันแล้วนะ ก็พาจินตราไปด้วยคือตอนนั้นยังเป็นแฟนกัน ก็ไปหาผมที่ผับซึ่งผมเล่นดนตรีอยู่ มันก็บอกกับจินตราว่า เนี่ยๆ คนนี้พี่เล็ก ตัวเองรู้มั้ยแต่ก่อนเราได้เงินเป็นครั้งแรกเพราะไปให้พี่เล็กถีบมา 1 ที ได้มา 500...จินตราก็หัวเราะใหญ่" เจ้าตัวเล่าพร้อมกับทำสีหน้าอย่างมีความสุขที่เคยถีบก้นคนที่ชื่อ "สันติสุข พรหมสิริ"

นั่นคือที่มาและเรื่องราวบางส่วนของเดอะบ๊องค์ ส่วนเรื่องที่เข้าไปอยู่ที่ "เฉลียง" นั้นพี่เล็กบอกว่าเป็นเพราะตอนนั้นเขาได้พบกับจิก ประภาส ชลศรานนท์ ซึ่งได้มาชักชวนเขาเข้าไปเป็นสมาชิกคนหนึ่งของเฉลียง โดยก่อนหน้านั้นเล็กรู้จักกับเต๋อ เรวัติ พุฒินันท์ อยู่แล้ว เนื่องจากทั้งคู่ตีเทนนิสกันเป็นประจำ โดยเหตุผลของการเลือกเขาเข้าไปนั้นเป็นเพราะเจี๊ยบ วัชระ ปานเอี่ยม ยังมีประสบการณ์ไม่พอ...

"ผมก็เอาเดโมมานั่งฟังๆ เพลงมันก็กวนๆ ดีนะ เออ...เหมือนเดอะบ๊องค์นิดๆ ก็ตัดสินใจรับก็รับ ก็ออกมาอัลบั้มเดียวคือปรากฏการณ์ฝน มันก็เงียบๆ ไป แล้วตอนนั้นเป็นช่วงที่ผมไปอเมริกาด้วย..ไปทำอะไร (หัวเราะหึๆ)..คือตอนนั้นมีแฟนเป็นแหม่ม ก็วิ่งเข้าวิ่งอออกอยู่พักหนึ่ง ไปเล่นดนตรีตามร้านอาหารไทยอะไรแบบเนี้ย เราก็เลยออกจากเฉลียงโดยปริยาย"

จากนักดนตรี พี่เล็กก็กลายมาเป็นนักแสดง ในภาพยนตร์ "มนต์รักทรานซิสเตอร์" ของเป็นเอก รัตนเรือง โดยการชักชวนของเจ้าของโมเดลลิ่งซึ่งเป็นคนที่เล่นเทนนิสด้วยกันแนะนำให้ไปแคสฯ และกับงานแสดงเพียงเรื่องเดียว สมชายในบทลีลากวนๆ ของเสี่ยสุวัตรก็กลายเป็นนักแสดงหน้าใหม่ (รุ่นวัยกลางคน) ที่ใครๆ ได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้จะต้องจำลีลาการแสดงของเขาได้อย่างติดตา

โดยเฉพาะการลากเสียงอย่างยียวนว่า ..."สุดยอดดด...."

"ตอนนั้นคนที่ทำงานยูบีซีรู้นะ ฮือฮากันใหญ่ เฮ้ย...พี่เล็กไปเล่นหนังเหรอ...มันก็ถาม ใครเป็นนางเอกล่ะพี่...เราก็บอกอุ้ม...โห อุ้มสิริยากร เหรอ...เออ แล้วพี่มีบทปล้ำหรือเปล่า...เราก็บอกเออมีสิ มีบทปล้ำด้วย พูดแค่นี้นะ มันไปพูดกันเลยเดี๋ยวหนังเรื่องนี้เข้าไปดูกันนะโว้ยพี่เล็กได้ปล้ำอุ้ม...มันไปสรุปกันเอง เฉยเลย เราก็เออๆ ไม่ได้โกหกนี่หว่า.."

"พอไปดูมา มันบอกพี่เล็กแม่มหลอกผม ไหนบอกปล้ำ ปล้ำไอ้ต๊อกนี่หว่า...เราก็บอก แล้วกูโกหกมึงตรงไหนวะ เสือกมาถามต่อเนื่องกันเอง...แต่ช่วงนั้นคนเรียกป๋ากันใหญ่เลยนะ..."
หลังจากที่สร้างชื่อด้วยตราสัญลักษณ์ยี่ห้อแบบยียวน พี่เล็กตอกย้ำความกวนๆ ของเขาอีกครั้งใน "15 ค่ำ เดือน 11" ของเก้ง จิระ มะลิกุล ในบทของ "ดร.สุรพล" ดร.ที่อาจจะพูดคำหยาบมากที่สุด แต่แปลกที่คำเหล่านั้นกลับไม่ได้ทำให้ผู้ที่ฟังรู้สึกหยาบคายแต่อย่างใด แต่กลับเรียกเสียงหัวเราะออกมาได้อย่างมากมาย

และมันทำให้เขากลายเป็นคนที่พูดคำหยาบสมัยพ่อขุนรามฯ อย่าง เอี้ย, แม่ม,กวนทีน ฯ ได้น่ารักน่าเอ็นดูเป็นที่สุด

"จริงๆ ก่อนนั้นผมไปเล่นโฆษณาของหับ โห้ หิ้นมาเป็นโฆษณารองเท้าแพน ประมาณเกือบจะ 2 ปีแล้วมั้ง แล้วที่โฆษณานี้ก็มาจากคอนเสิร์ตเฉลียงครั้งสุดท้ายที่ธรรมศาสตร์ คือผู้กำกับโฆษณาเขาเขียนสตอรี่บอร์ดไว้แล้ว พอเขาเห็นผมในคอนเสิร์ตเฉลียง เขาก็บอกให้ทีมงานตามให้ได้ ตอนนั้นเขายังไม่รู้จักเบอร์ติดต่อผมเลย แต่เขามีความพยายามดีนะ ตอนที่โทร.ตามนั่นผมไปนอนเมาอยู่กับเพื่อนๆ ที่เชียงใหม่ เขาก็โทร.เข้าเครื่องเพื่อนผม เราก็งงเหมือนกันว่าได้มาได้อย่างไร ก็ถามเขา เขาก็บอกเขาโทร.ไปยูบีซี ซึ่งที่นั่นไม่ค่อยมีใครรู้จักเพราะผมเป็นฟรีแลนซ์ แต่เขาก็ได้เบอร์ที่บ้านไป เขาก็โทร.ไปที่บ้าน ที่บ้านบอกว่าผมมาเชียงใหม่ก็ให้เบอร์เพื่อนมา เขาก็โทร.ตามจนเจอ..."

"ทีมงานก็บอก เนี่ยผู้กำกับเขาจะเอาพี่แน่นอน เพราะในสตอรี่บอร์ดคนที่เขาเขียนไว้มันมีนงมีหนวด หน้าตาบุคลิกอะไรเนี่ยมันละม้ายคล้ายผมมากเลย เออก็ได้เล่น..."

ส่วนเรื่อง "15 ค่ำ เดือน 11" นั้น เจ้าตัวบอกว่าได้ยินชื่อหนังครั้งแรก คิดว่าเป็นหนังผี...

"เขาบอกเรื่อง 15 ค่ำ เดือน 11 เราก็ เฮ้ย...หนังผีหรือไงวะ ตอนแรกผมแคสเป็นบทเฮียที่เล่นเป็นเจ้าของโรงงานมะเขือเทศ แต่ว่ามันเป็นลักษณะที่เป็นคนจีนที่จะต้องพูดไทยไม่ค่อยชัด แล้วก็พูดอีสานได้ด้วย ซึ่งผมพูดไม่ได้ เขาก็ไห้แคสเป็นด๊อกเตอร์สุรพล เขาก็บอกพี่ต้องเล่นแบบกวนทีนเลยนะ เราก็เออ..มาเลย ถนัดนักกวนทีน...เนี่ย..."

ลีลาและลักษณะการแสดงของเล็กนั้นบ่งบอกถึงการ Improvise บท หรือถ้าจะเรียกแบบไทยๆ ก็คือการ "ด้นสด"...บทเขียนมา 100 เขาพูดแค่ 10 แต่บทที่ส่งมาแค่ 10 เขาอาจจะพูดไป 100 ...เล็กบอกว่าสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเป็นเพราะเขาไม่สามารถจะจำบทได้...

"ถ้าจะเอาบทให้ผมเยอะๆ เนี่ย ผมมานั่งท่องเป็นชั่วโมง ผมท่องไม่ได้หรอก ผมเล่นไม่ได้เลย แต่ถ้าให้ผมรู้เนื้อเรื่องแล้วให้ผมใส่คำพูดเองเนี่ย พอได้ ตอนมนต์รักเป็นเอกมันบอกว่าถ้าพี่ทำอย่างนั้นได้ ถ้าไดอะล็อกพี่ผ่าน ผมให้ผ่านเลย...พอมาทำกับเก้งเขาเห็นผมเล่นมนต์รักฯ มาแล้วเขาก็รู้แล้วว่า โหย...พี่เล็กนี่แม่มโชว์แอ็คน่าดู...(หัวเราะ) ผมก็บอกเก้ง เก้งรู้แล้วใช่มั้ย เก้งเขาก็บอก เออ...ผมรู้ครับเพราะว่าเป็นเอกเขาคุยกับผมว่าพี่น่ะมาแต่ละวันๆ มันจะค่อยๆ ทะลึ่งขึ้นไปทุกวันๆ..."

"เก้งเขาก็จะบอกพี่เป็นด๊อกเตอร์ด่าๆ ไปเลย ตอนแรกเราก็เฮ้ย...เป็นด๊อกเตอร์จะด่าได้ไงวะ เขาก็บอกพี่ด๊อกเตอร์สมัยใหม่แม่มเอี้ยจะตายห่า พี่ด่าแม่มไปเถอะ...เราก็เอางั้นเหรอ ก็เลยแบบต้องด่ามาก บางทีผมยังรู้สึกเลยว่าด่ามากไปแล้วมั้ง จะไปด่าอะไรมันขนาดนั้น...เก้งเขาก็บอกเนี่ยพี่ ผมต้องการให้พี่เล่นแล้วมีคนเขาพูดว่าพี่เนี่ย แม่มกวนทีนจริงๆ..."

แล้วกวนทีนจริงๆ หรือเปล่า? เราถามโต้งๆ...เจ้าตัวยิ้มก่อนที่จะบอกว่า อาจจะ...
"ปกติผมเล่นดนตรีในบาร์ผมก็จะพูดแซวคนโน้น คนนี้ไปเรื่อยๆ ตลกแบบแซวๆ แขกประจำที่เขาเห็นรู้แล้วว่าเราเป็นคนยังไง อย่างบางเดินเข้ามาในบาร์ตอนนั้นแขกเต็มโต๊ะเลย มันตะโกน...พี่ผมไปดูหนังพี่มา 15 ค่ำฯ เนี่ย พี่กวนทีนเหมือนที่เป็นอยู่นี่เลย..."

"จริงๆ เล่นยากนะ พูดคำด่าๆ เนี่ย...แต่มันอาจจะเป็นเพราะนิสัยผม อย่างผมด่าเพื่อนผมหรือด่าลูกน้อง ด่าไปก็ไม่มีใครโกรธ ทุกครั้งที่ผมด่า มันจะต้องหัวเราะทุกที เป็นเรื่องตลกไปเลย อย่างเราบอกไอ้เอี้ย แต่เราก็รู้ว่าเราไม่ได้หมายความว่ามึงน่ะเป็นเอี้ยอย่างนั้นจริงๆ แล้วคนเขาจะบอกกันว่าผมน่ะเป็นคนที่เล่าเรื่องลามกหรือพูดคำหยาบมันจะไม่หยาบ แต่เวลาที่คนอื่นมาพูดบ้าง เนี่ยมันจะไม่ได้เลย..."

"เป็นเพราะอะไร...คือธรรมชาติของผม ผมจะไม่อยากให้ใครเสียความรู้สึก อย่างจะปฏิเสธคนอื่นเนี่ย ผมจะคิดมากเลยนะ จะทำอย่างไรวะไม่ให้คนอื่นเสียใจ หรือว่าน้อยใจ แล้วผมไม่เคยด่าคนให้เจ็บช้ำน้ำใจ..."

กับความรู้สึกที่ได้รับฉายาว่าจอมขโมยซีน?
"ผมไม่รู้จักคำว่าขโมยซีนจริงๆ นะ ผมคิดว่าการขโมยซีนคือการไปจำบทของคนอื่นมา คล้ายว่าเราไปขโมยมุขคนอื่นมาเล่นหรือเปล่า จนผมไปถามคนที่เขาพากย์กีฬาในยูบีซีคนหนึ่ง เขาก็อธิบายให้ฟังก็เข้าใจ ก็ไม่ทราบนะ ผมก็เล่นตามที่ผมคิดว่าผมไม่ต้องเกร็งน่ะ เล่นไปแค่นั้นเอง ไม่ได้คิดอะไรมากมาย ..."

เจ้าตัวเล่นแบบไม่ได้คิดอะไร แต่คนอื่นที่เขาแสดงด้วย งงเต้ก...
"งง...อย่างมนต์รักไอ้ต๊อก (ศุภกิจ) มันงงจนแบบผู้กำกับต้องด่า ไอ้ต๊อกมึงงงทำเอี้ยอะไร ...มันก็จะ อ้าวก็บทของพี่ไม่ได้พูดแบบนี้นี่...เป็นเอกเขาก็จะบอกมึงก็ฟังเขาพูดสิ เขาพูดอะไรมึงก็รีแอคไปตามนั้น... บางทีเราเล่นไป ไอ้เราก็ไปรื่นเลย แต่ผู้กำกับบอก พี่เอาใหม่...เราก็ เอ้า..ทำไม ล่ะ...เขาก็บอกพี่ได้แต่ไอ้เอี้ยต๊อกแม่มแข็ง มันตามพี่ไม่ทัน"

"อย่างล่าสุดหนังยอดชายโลกตะลึงของไฟว์สตาร์ พระเอกเป็นดาราหน้าใหม่ ลูกครึ่งพูดไทยยังไม่ชัดเลยเขาจะฟังภาษาไทยลำบากอยู่แล้ว เวลาที่เขาท่องบทเขาจะต้องดูไดอะล็อกว่าจะต้องโต้ตอบกันอย่างไร แล้วเจอผมไม่ได้พูดตามนั้นเลย...จนผู้กำกับต้องตะโกน ไอ้ห่า มึงอ้าปากทำไม พูดไป...มันจะงง แต่พอตอนหลังๆ พอเล่นกันสักวันสองวันก็จะรู้.."

หลายคนอาจจะคิดว่าเล็กเพิ่งจะมาออกลักษณะอาการของคนกวนๆ นี้เมื่อได้มาแสดงภาพยนตร์ ทว่าในความเป็นจริงแล้วคนนี้นี่แหละคือต้นแบบของการแสดงที่เรียกว่าเดี๋ยวไมโครโฟนคนแรกที่ตลกหลายๆ คนต้องเรียกพี่...

"เมื่อก่อนผมเล่นที่ร้าน Blues Jass บางทีเล่นดนตรีไม่เท่าไหรหรอก แต่จะพูดมากกว่า...โอ้ย เมื่อก่อนคนจะมาฟังผมเดี่ยวไมโครโฟนเยอะมาก...พวกที่เล่นตลกๆ อย่างพวกซูโม่ นีนงนี่โน่ เขาจะไปเก็บมุขจากผมบ่อยๆ...พี่แม่มลามก แต่ฟังแล้วไม่หยาบ พี่ทำไงวะนี่...บางทีมันก็บอกกันตรงๆ เลยนะพี่ๆ เนี่ยผมจะไปขโมยมุขพี่แล้วนะ ใครนะ...จมูกโต ชื่ออะไรนะ เออ.. โน้ต เขาก็ไปตอนนั้นเขายังไม่ได้เดี่ยวไมโครโฟนเลย เขาก็ไปเห็นผมพูด เวลาผมพูดแล้วก็พูดไปเรื่อยไม่ค่อยหยุด แซวไปเรื่อย เขาก็บอกเนี่ยผมจะมาขโมยมุขพี่... พอมันพูดแบบนี้เราก็ไม่ค่อยกล้าพูด...(หัวเราะ)...มึงจะมาขโมยทำห่าอะไร...เปล่าไม่ได้หวง แต่มันทำให้เราเกร็ง เรากำลังทำในสิ่งที่เราไม่ได้หวังอะไร พูดตามอารมณ์เรา อยากให้คนสนุกแฮปปี้"

"สิ่งที่พูดมันก็สิ่งใกล้ตัวทั้งนั้นแหละ ผมไม่ได้มองอะไรที่มันลึกๆ เลย มองให้คนเข้าใจง่าย แต่ตอนหลังพวกที่บอกจะมาขโมยมุขเนี่ย ทำให้ผมเกร็งไปเลยแบบ เฮ้ย...ไอ้คนนี้มันจะมาดู มันจะเอาอะไรวะ...เออ ลืมบอกไป ที่เอ่ยชื่อมาอย่าไปออกชื่อเขานะมันไม่ดี ...(หัวเราะ)...."

นอกจากการเป็นหัวหน้าวงดนตรี "บางกอกคอนเนคชั่น" ซึ่งเล่นอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เป็นประจำทุกๆ วัน จันทร์ อังคาร และพุธ ที่ร้านแซกโซโฟนแถวอนุสาวรีย์ชัยฯ แล้ว งานประจำอีกอย่างหนึ่ง (ที่ไม่ประจำ) ของพี่เล็กก็คือการเป็นฟรีแลนซ์พากย์กีฬาเทนนิสอยู่ที่ "ยูบีซี" ซึ่งกับการทำหน้าที่ตรงนี้เอง เป็นงานที่ๆ พี่เล็กบอกว่าปล่อยความกวนของตัวเองได้ไม่ถนัด...

"...1 วินาทีหัวใจคนมันไม่เท่ากันหรอก มันเป็นอย่างนั้น (หัวเราะ) มีคนชอบผมก็มีคนไม่ชอบก็มี อะไรวะ...พากย์เทนนิสมาใส่มงใส่มุข แต่ผมก็ใส่นะ แต่จะไม่มาก อย่าง...ภราดรนำอยู่ 5 ต่อ 1 แล้วเขาออกมาเสิร์ฟ โดยมีถึง 3 แมทช์พอยท์ คือยังไงๆ ก็ต้องชนะ ผมก็บอกแบบนี้ผีถึงป้าช้าแล้ว...หรือเนี่ยวนรอบเมรุไปแล้ว 3 รอบ อย่างไรมันก็ต้องเผา...หรืออย่างกรณีเดียวกันนี่แหละคู่ที่พากย์กับเราบอกไปว่า...เตรียมเช็คบิลแล้วครับ...ปรากฏว่าภราดรเสิร์ฟเสีย ผมก็จะต้องบอกเนี่ย...เรียกเช็คบิลแล้วแต่บ๋อยดันไม่มา... เออ บางที มันก็ต้องมีบ้าง"

"ฝรั่งบางคนที่มันเคยเป็นนักเทนนิสแล้วมันมาพากย์เทนนิส มันพากย์ดุเดือดจะตาย ผมอยากจะทำแบบนั้นบ้าง แต่เราก็กลัวคนจะรับไม่ได้ ไอ้คนที่ชอบเราไม่ว่าอยู่แล้ว แต่เกิดไอ้คนที่มันไม่ชอบ มันโทรมาด่า ด่าไปด่ามา สมชายตกงานสิบหายแล้ว..."

นอกจากเทนนิสแล้ว อยากพากย์กีฬาอย่างอื่นบ้างหรือเปล่า?
"แต่ก่อนชอบมวย อยากจะพากย์มวยมาก เข้าไปดูมวยกับพิษณุ นิลกลัด เป็นประจำ ไปดูตั้งแต่สมัยรถยังไม่ติดพอรถติดผมก็เลิก ตอนนั้นรถไม่ติดดูมวยเสร็จก็กลับมาเล่นดนตรีทัน แต่ตอนหลังมันไม่ทัน ก็เลยเลิก...ผมเป็นคนที่ชอบมวยมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะที่บ้านเป็นยิมเล็กๆ คือพ่อเขาทำไว้ ก็มีเด็กๆ มาซ้อมบ้าง เมื่อก่อนตามมวยนะ แล้วก็รู้ด้วยว่าใครเป็นใคร..."

ไปพากย์มวยปล้ำกับน้าติง (สุวัฒน์ กลิ่นเกสร) เอามั้ย? เราถามเพราะคิดว่าอย่างพี่เล็กน่าจะพากย์ได้สนุก...
"แกทำแกดีอยู่แล้วอย่าไปยุ่งกับแกเลย น้าติงแฟนเยอะเด็กๆ ชอบ นักมวยปล้ำส่วนมากจะตัวใหญ่ๆ แกก็จะนั่นเลย โห...ขวบอวบ อะไรแบบนี้ อย่างผมเคยนะมันมีเทนนิสผู้หญิงรายการนึง คือตากล้องมันจงใจไปถ่ายหน้าอกผู้หญิง แล้วแบบเบ้อเร่อเลย พอดีเสื้อที่เขาสวมมันเป็นตัวมิคกี้เม้าส์ หูมิคกี้เม้าส์มันอยูตรงหน้าอกพอดีเลย พอกล้องแพนไปผมกำลัง พากย์เพลินๆ ...ก็เผลอไปว่าอู้หู...อู้หูแล้วทำไง ผมก็อู้หู...มิคกี้เม้าส์ตัวนี้ หูกลางจริงๆ นะเนี่ย...."

ก่อนการพูดคุยครั้งนี้ เรามีโอกาสได้เห็นลีลาการฝึกหวดลูกกอล์ฟของพี่เล็ก จนทำให้อดถามไม่ได้ว่าเจ้าตัวจะมาเอาดีทางด้านนี้หรือเปล่า? หรือพี่เล็กจะหันมาพากย์กอล์ฟก็เลยต้องมาฝึกเอาไว้บ้าง?

เจ้าตัวปฎิเสธทุกสมมุติฐาน...

"แต่ก่อนไม่เคยชอบเลยนะ แล้วก็จะนึกอยู่เสมอว่าไอ้กอล์ฟเนี่ย มันกีฬาคนพิการหรือเปล่าวะ...ตีต๊อกแล้วก็เดินตามต้อยๆ...ส่วนสาเหตุที่ทำให้หันมาตีมันเกิดจากมีอยู่ครั้งหนึ่งเพื่อน 2 คนมันพนันกัน คือใครตีแพ้แล้วต้องเลี้ยงอะไรแบบนี้แหละ 2 คน ตี เพื่อนอีก 3 คนรวมทั้งผมก็ไปดู ตอนนั้นก็คิดอย่างเดียว อย่างไรเราก็ได้กินอยู่แล้ว ก็เชียร์ให้มันสิบหายกันไปข้างนึงนั่นแหละ..."

"แต่ไปถึงสนามมันก็เอาไม้กอล์ฟมาให้เราตี วันนั้นเลยครับ....วันเดียว ติดเลย มันรู้สึกท้าทาย ทำไมวะ เดี๋ยวตีได้บ้าง ไม่ได้บ้าง บางทีตีไปลิ่ว บางทีตีอยู่แค่นี้ ทีเดียวติดเลย เข้าถ้ำกระบอกก็ไม่หายแล้ว ทั้งๆ ที่แอนตี้กอล์ฟมาโดยตลอด..."

พากย์กีฬา เล่นดนตรี เล่นหนัง ยังมีอะไรอีกหรือเปล่าที่สมชาย ศักดิกุล อยากจะทำ?

"จริงๆ ที่อยาก คืออยากเลิกงานแสดง ไม่อยากจะเล่นอะไรแล้ว...ผมว่ามันเสียเวลานะการที่ไปถ่ายวันๆ บางทีนัดผมไป 6 โมง ผมตื่นตั้งแต่ตีห้าแล้ว 6 โมง ก็ยังไม่ได้ทำอะไร เพราะต้องทำผม ทำอะไร กว่าจะถ่ายกัน 8 โมง 8 โมงนี่อย่างเร็ว บางทีก็ไม่ได้ เลยไป 10 โมง แล้วผมต้องมีงานพากย์เทนนิสด้วย เล่นดนตรีด้วย" "อีกอย่างก็คือเรื่องผม (บนหัว) ด้วย คือผมๆ เนี่ย มันไม่มีหงอกเลยนะ ทั้งๆ ที่เพื่อนร่วมรุ่นเดียวกันหงอกหมดแล้ว ซึ่งเป็นเพราะผมไม่เคยใช้ไดร์เป่าผม แต่พอต้องมาเจอไดร์เป่าผมในกองถ่ายก็เลยไม่ชอบ เพราะกลัวผมร่วง กลัวหัวล้าน แล้วเวลาทำผมเนี่ยมันนานมาก มันหงุดหงิด ทุกครั้งที่ผู้กำกับเรียกถ่าย เราก็จะเดี๋ยวๆ หงุดหงิด...ทำผมนาน เป่าหัวร้อน..."

"อีกเรื่องนึงก็คือเพราะเรื่องบุหรี่ เอาอย่างนี้ดีกว่าผมเลิกบุหรี่มา 20 ปี แต่ต้องมาติดบุหรี่อีกก็เพราะหนังเรื่องมนต์รักทรานซิสเตอร์ฯ เนี่ยแหละ ไม่รู้จะทำอะไร เห็นทีมงานดูด เราก็...น้องขอตัวได้มั้ย...ไถไปไถมา 2 - 3 ตัว ไม่ไหวโว้ย...เกรงใจ ซื้อมาดูดเอง ติดเลย คราวนี้เลิกยากทั้งที่แต่ก่อนผมเนี่ยใครดูดบุหรี่ใกล้ๆ ผมไล่ เลย แต่ตอนนี้ต้องมาดูดเสียเอง...เนี่ย...ด่ามนต์รักฯ ได้มั้ยเนี่ย..(หัวเราะ).."

ก่อนจะไปถึงคำถามสุดท้าย เรานึกขึ้นได้ว่าพี่เล็กเคยบอกไว้ตั้งแต่ต้นว่าเคยขึ้นไปเมาอยู่ที่เชียงใหม่กับเพื่อน คำบอกเล่าดังกล่าวประกอบเข้ากับการเป็นนักดนตรีกลางคืน รวมไปถึงหน้าตาของเขา ทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่าชายคนนี้น่าจะเป็นคอเหล้าคนหนึ่ง...เรื่องนี้เจ้าตัวรีบปฎิเสธทันที...

"..ไม่นะ ถ้าจะดื่มก็คือเบียร์ เหล้าไม่เลย แล้วเวลาที่จะเมาผมชอบไปเมาแบบขึ้นเขาขึ้นดอย ห่างไกลแสงสีไปเลย ขึ้นไปดื่มด่ำบรรยากาศนั่งกับเพื่อน 4 - 5 คน ตั้งวงเมาสนุกกันเองกับเพื่อนๆ ที่เรียนมาด้วยกัน จะไม่มีมาสำมะเลเทเมาอะไรกันเลยนะ.."

สุดท้าย ในฐานะที่พี่เล็กเป็นผู้คลุกคลีกับเรื่องของกีฬาประกอบกับในช่วงนี้มีเครื่องดื่มบำรุงกำลังออกมามากมายเหลือเกิน...
สำหรับคนที่เสียเหงื่อแบบเราๆ น่าจะดื่มอะไรเป็นที่สุด?
"ผมชอบน้ำเต้าหู้ เพราะฉะนั้นน้ำเต้าหู้ดีที่สุด..."


***********

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 2 ธันวาคม 2545 20:46 น.



Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2551 11:19:24 น. 2 comments
Counter : 4003 Pageviews.

 
เจิม แว๊บบบบ


โดย: Skyman (Analayo ) วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:10:48:10 น.  

 
ว้าว แจ่ม

จะหมั่นมาหาพี่ปิ๊ก บ่อยๆจ๊ะ


โดย: น้องแชงคูสฯ>คำอ้อฯ IP: 118.172.63.128 วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:18:56:31 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

picmee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ฝากให้เธอช่วยดูแล ช่วยดูแลเธอให้ฉัน
ในวันนี้ที่เราต้องไกลกัน คงทำได้แค่ส่งหัวใจ

ฝากให้เธอช่วยดูแล ไม่ว่าเธออยู่ที่ไหน
ให้คุณพระคุ้มครอง ให้ปลอดภัย
ในไม่ช้า เราคงได้กลับมาพบกัน

Emo น้องเพนกวิน
X
Friends' blogs
[Add picmee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.