เมืองน่าน ณ กาลครั้งหนึ่ง





เมืองน่าน....กาลครั้งหนึ่ง....


ก่อนถึงเมืองน่าน ต้องผ่านเมืองแพร่ก่อน
ก็ขออนุญาตขอแวะทักทายเพื่อนเก่าสักหน่อย
ว่ากันว่าเมืองแพร่นั้นเป็นเมืองคนดุ
แต่ผมเคยไปอยู่เมืองแพร่มาแล้วสมัยวัยกระเตาะ
ผมมีเพื่อนชาวเมืองแพร่หลายคน
ผมว่าคนเมืองแพร่รุ่มรวยอารมณ์ขันจะตายไป
(คนดุก็มีบ้าง ไม่ต่างจากเมืองอื่น ๆ ก็ล้วนมีคนหลากหลายปะปน
ดี-เลว ดุร้าย-ใจดี เราจะไปตีเหมาเอาว่าเป็นแบบนั้นแบบนี้ทั้งหมด ไม่ถูกต้องหรอก-จริงไหม)

อารมณ์ขันของคนเมืองแพร่นั้น ออกจะน่ารักน่าชัง
เขาว่าเดิมเขาชื่อเมืองแพร
ก็ดูแต่พระธาตุคู่บ้านคู่เมืองเขานั่นแหละคือพระธาตุ่อแฮหรือช่อแล ซึ่งหมายถึง ตุงหรือธงแพร
แต่ที่มากลายเป็นแพร่ เพราะพวกเขาสงสารคนเมืองง่าว

เมืองง่าวนี้คืออำเภองาวที่ขึ้นอยู่กับลำปางปัจจุบัน
คนเมืองนี้ถูกตีตราว่าเป็นเมืองคนโง่ ก็เพราะตัดไม้แล้วร้อยเป็นแพ
ถ่อลงดอยมา แทนที่จะใช้ช้างชักลากหรือให้ไหลลงห้วยไป
คนเมืองอื่นรู้เข้าก็หัวเราะเยาะเอาว่าเป็นพวกคนง่าว




นี่เป็นเรื่องเกทับบลัฟแหลกกันเล่นๆ คนเมืองงาวห้ามน้อยใจโกรธเคืองคนเมืองแพร่เขานะขอรับ
เขาว่าเขาช่วยเอาไม่เอกไปแบกไว้ด้วยรักและเห็นใจว่าเป็นบ้านใกล้เรือนเคียงกัน
และมีอาชีพทำป่าไม้เหมือนกัน
ซึ่งว่ากันว่าป่าไม้ที่เมืองงาวนั้น
ดกดื่นกว่าที่ไหนในภาคเหนือ
ขนาดว่าเวลาอยู่ในดงป่าสักแหงนหน้ามองฟ้าไม่เห็นเลยหละ

และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้ลำปาง-เขลางค์นครเป็นราชธานีของธุรกิจล้านนาในอดีต
มีนายห้างป่าไม้และบริษัทข้ามชาติมาทำมาค้าขาย
จนเจริญรุ่งเรือง จนต้องตัดทางรถไฟมาเพื่อขนส่งไม้
เรื่องป่าดกดงดิบนี้ คงไม่ใช่เรื่องโม้
เพราะปัจจุบัน คุณลองขับรถไปทางอำเภองาว
ผ่านประตูผาก็จะประจักษ์ตาว่ายังอุดมสมบูรณ์ด้วยป่าไม้สัก
เรียกว่าไม่แพ้แถวแก่งเสือเต้น เมืองแพร่เลยหละ หรือป่าสักที่เมืองน่านก็เช่นกัน






วกมาถึงเมืองน่าน
เห็นผู้คนพูดเนิบ ๆ เขายอมน้อยหน้าคนเมืองแพร่ที่ไหน
เขาว่าไม่ใช่คนเมืองแพร่ใจดีหรอก
คนเมืองน่านต่างหาก ที่ใจดีช่วยคนเมืองงาวให้พ้นง่าว เอาไม้เอกมาแบกไว้แทน
เพราะเดิมทีนั้นเขาชื่อเมืองนาน

ก็ว่ากันไปให้สนุกสนาน จริงๆแล้ว ชื่อเดิมของเมืองน่านคือนันทบุรี
ที่ว่าเมืองนานนั้นคง คนบางกอกนั้นแหละไปตั้งให้
เพราะเมืองน่านอยู่ไกล เต็มไปด้วยป่าไม้ขุนเขาสูงชัน
ใช้เวลาเดินทางนานมาก นาน-คนเหนือเขาไม่พูดว่านานหรอกครับ
นาน เขาพูดว่า เมิน



เมินมาแล้ว
สมัยผมยังทำงานเป็นคนเขียนคำโฆษณาอยู่บริษัทฝรั่งมังค่า
ผมเคยใช้ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วัดภูมินทร์เป็นฉากเอกในภาพยนตร์โฆษณาให้สถาบันทางการเงินแห่งหนึ่ง
ทางกองถ่ายร้องจ๊ากเลย บอกว่าไม่ไหวไกล
ใช้ภาพจิตรกรรมที่วิหารลายคำวัดพระสิงห์เชียงใหม่แทนไม่ได้หรือ กองถ่ายใหญ่ต้องไปถ่ายเชียงใหม่เป็นหลักอยู่แล้ว
ผมหัวชนฝาไม่ยอม เพราะผมชอบของผม
พวกเขาเลยแบ่งกองถ่ายเล็กนั่งรถกระบะไปเก็บเฉพาะภาพฝาผนังวัดภูมมินทร์
ส่วนการทอผ้าของชาวไทลื้อหนองบัวนั้นก็มาจัดฉากกันเองที่เชียงใหม่




นั่นมันเรื่องเมินมาแล้ว ปัจจุบันเมืองน่านก็ยังคงใช้เวลาเดินทางเมินนานเหมือนเดิม
แต่นั่นไม่ใช่ไม่ดีนะครับ เ
พราะป่าดิบดงดำนั่นคือสุดยอดปราการช่วยปกป้องให้เมืองน่านยังคงรักษาเอกลักษณ์ ศิลปวัฒนธรรมของไว้ได้
ชนิดคนเชียงใหม่เชียงรายค้อนควักๆ ใครจะเจริญเดินทางสะดวกอย่างไร
คนเมืองน่านส่วนใหญ่เขาไม่สนใจหรอกครับ
เขาอยู่ของเขาสงบ ๆงดงามและมีความสุขตามวิถีของเขา
เมื่อทางการไปยุงยงส่งเสริมการท่องเที่ยว
คนเมืองน่านบางส่วนก็เป๋ไปเหมือนกัน เ
กิดอาการตาโตเป็นไข่ห่าน เห็นเงินๆๆๆๆๆลอยมาเต็มบ้านเต็มเมือง



คนเมืองน่านกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ เขาไม่ชอบนะครับ
เขากลัวห้างใหญ่ใจดำมาครองเมือง
เขากลัวร้านแหลกหล่วน สะดวกลื้อตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงมาเข่นฆ่าร้านชำของพ่ออุ้ยแม่ป้า
เขากลัวฝรั่งตาน้ำข้าวเอาเงินมาฟาดหัวคนพื้นบ้านพื้นเมืองโน ขาย ขาย ขาย สิ้นทุกสิ่งจนไม่เหลือผ้าซิ่นลายน้ำไหลใส่

เขาเลยจัดโครงการ ถนนงามนามอนุรักษ์น่าน
คัดค้านการสร้างถนนสี่เลนทั้งในและนอกเมืองน่าน
โดยมีสมาคมศิลปินน่าน เป็นแม่งานใหญ่
รวมพลจัดกิจกรรมหลากหลาย เพื่อเปล่งเสียงจากเบื้องลึกของลูกหลานเมืองน่าน
ไม่ต้องการถนนสี่เลน และหากจะดื้อด้านที่จะสร้าง
พวกเขาก็ขอสิทธิ์ในการออกแบบถนนของพวกเขาเอง




ถนนที่ไม่ต้องตัดต้นไม้ใหญ่ ถนนที่ใช้เฉพาะรถเครื่องและรถถีบ
ภายใต้ร่มเงาไม้ที่มีอยู่ร่มเย็นมาแต่ดั้งแต่เดิม
น่าสนใจครับ นี่เป็นครั้งแรกที่คนในพื้นที่ลุกขึ้นมาบอกคนบางกอกว่า
ไม่เอาความเจริญแบบมาตรฐานบางกอก
ทำไมต้องเมดอินบางกอกทั้งประเทศ
ทำไมต้องทำลายอัตตลักษณ์ของชุมชนนั้นๆ
ทำไมต้องสี่เลน ทำไมและทำไม

ในวันที่๑๙-๒๐ พฤศจิกายนที่จะถึงนี้
ณ ถนนผากอง ข้างคุ้มเจ้าราชบุตร
เชิญชวนทุกท่านที่สนใจ รับฟัง หรือเข้าร่วมกิจกรรม วาดภาพ อ่านบทกวี แสดงดนตรี ภาพถ่าย และมุมเสวนาแลกเปลี่ยน
โดยไม่จำจัดเฉพาะคนเมืองน่าน
ท่านที่สนใจใคร่ร่วมกิจกรรม ไปพบกันที่เมืองน่านครับ




๑เส้นทางสายโรแมนติก เชียงคำ-ท่าวังผา น่าน

๒ ๓ ๔ ทิวทัศน์รายรอบ หอศิลป์ริมน่าน เขียนปี ๒๕๕๑ ครั้งที่ไปแสดงภาพเชียนที่นั่น







Create Date : 15 พฤศจิกายน 2553
Last Update : 26 พฤศจิกายน 2553 17:44:16 น. 25 comments
Counter : 2213 Pageviews.

 
แวะมาทักตอนย่ำรุ่งค่ะน้าปอน ^_^


โดย: meenna วันที่: 15 พฤศจิกายน 2553 เวลา:3:44:56 น.

หวัดดีมีนนา ยิป
ยินดีต้อนรับครับผม




งานหนังสือคราวที่ผ่านมานี้ ผมเห็น "บ้านดวงใจ" ของแพรว แบบไม่มีปกนอกเล่มนึงครับ
กับ สู่อ้อมแขนแผ่นดินล้านนา ปกฟ้า แบบเก่าและแก่เกินจะเปิดอ่านได้ใส่ห่อพลาสติกไว้ ทั้งสองเล่มอยู่ร้านหนังสือเก่าแถวหน้า อ่อ มีอีกเล่มนึงจำชื่อประมาณ " ฟ้ายังมีที่ว่างให้เธอวาด" หรือเปล่าครับ ที่เขียนกับคุณกุดจี่ เห็นสาวน้อยคนนึงถือใส่ถุงผ่านไป


โดย: พชร IP: 124.120.197.109 วันที่: 15 พฤศจิกายน 2553 เวลา:4:39:05 น.

หวัดดีพชร
ขอบคุณรายงานข่าววรรณกรรม
ฟ้ายังมีที่ว่างให้เธอวาด เป็นรสมบทกวีคัดสรร
โดยสำนักพิมพ์ไม่ยมก ของกุ๊ดจี่ครับ
บ้านดวงใจ ดีใจจังที่หมดจนได้ เล่มมันหนาราคาก็เลยหยิบจับลำบากหน่อย
สู่อ้อมแขนแผ่นดินล้านนา นั้นพิมพ์ครั้งที่สองคุณเห็นไหม
สำนักพิมพ์(ลืม) ที่ขายหนังสือเก่านั่นแหละเขาจัดพิมพ์
ป่านฉะนี้ น่าจะไม่มีให้รีรอและลังเลอีกแล้วนะ



พี่ปอน
รออ่านเรื่องที่นางเอกควงปืนไปปล้นดาวพลูโตค่ะ เดี๋ยวจะเป็นแม่ยก เชียร์นางเอกที่ดาวพระศุกร์


โดย: Love At First Click วันที่: 15 พฤศจิกายน 2553 เวลา:9:26:46 น.


จ้า จะเขียนอีกเรื่อง ผู้หญิงย้วยซ้าย ผู้ชายย้วยขวา
ต่างมาจากดาวโพรุง 555





สวัสดีค่ะพี่ปอน
ทุ่งดาวหนาวหรือยังคะ
วันนี้แอบไปเห็นภาพบรรยากาศม่วนชื่นของพี่ค่ะ
v
v

ตุ๊ แครี่ออน
ปอน มาชารี
ไวท์ มือนั้นสีขาว
แวะเยี่ยมบ้าน ต้นกล้า ม้าก้านกล้วย
หลังกลับจากอุดร ผ่านบ้านไผ่ ค่ำ ๑๒ พฤศจิก ๒๕๕๓

v
v

และตอนนี้ก็อยากเห็นหนังสือใหม่ของพี่ปอนแล้วค่ะ
ดีใจด้วยนะคะ อยากเห็น ๆ ปกชูมานใหม่เหมือนกัน
เชื่อมือแพรว สนพ. ต้องทำสวยหนังสือให้พี่ได้สวยแน่ ๆ เลยค่ะ

รักษาสุขภาพด้วยนะคะพี่ปอน


โดย: ภูเพยีย วันที่: 15 พฤศจิกายน 2553 เวลา:11:10:58 น.

สวัสดีภูเพยีย
ทุ่งดาวหนาวลม เป็นปกติ ตั้งแต่ข้าวตั้งท้องมาน
ป่านฉะนี้จวนคลอด

เห็นรูปที่เพซบุ้คไพหรือเปล่า
อุบาทว์ตาแหงมๆ
คราวก่อนที่เนชั่น มีคนส่งเมล์ไปให้
เห็นรูปใครไม่รู้ ตาก็ไม่ลืม แถมพลุ้ยซะ
อนิจจังไม่เที่ยงวัน ก็คือมื้อเช้า
บอกกล่าวใครจะเอารูปไปลง
กรุณาเลือกรูปที่ประจานเจ้าของรูปน้อยหน่อย เน้อ...



พี่ปอนคะ

ชูมานจะพิมพ์อีกครั้งหรือคะ

เป็นเล่มที่ชอบมากอีกเล่มนึง

ว่าไปแล้ว...ก็ชอบงานของพี่เกือบหมดนั่นแล

(เอ๊ะ เกือบหมด-หมายความว่าไงนะเนี่ย ? พี่คงสังสัยใช่มั้ย ^_^ )


โดย: หนอนฯ IP: 10.20.3.30, 202.28.180.202 วันที่: 15 พฤศจิกายน 2553 เวลา:11:47:17 น.

สวัสดีหนอน
ชูมาน พิมพ์อีกครั้งจ้า
ดีจังที่ยังชอบเธออยู่
ผมก็ยังรักมั่นเธอไม่เสื่อมคลาย
แม้มันจะเป็นรอยแผลแห่งวันวาน
แต่ก็ยังอุ่นความหมายสำหรับวันพรุ่งนี้เสมอ
ขอบคุณหนอนใจดี




โดย: ดาวส่องทาง วันที่: 16 พฤศจิกายน 2553 เวลา:1:21:58 น.  

 
สวัสดีค่ะ แวะมาชมผลงานด้วยคน


โดย: namfaseefoon วันที่: 16 พฤศจิกายน 2553 เวลา:12:38:53 น.  

 
สวัสดีค่ะ พี่ดาวส่องทาง
แวะมาชมผลงาน ภาพสวยใสหวาน
เดินทางสนุกสนาน รักษาสุขภาพนะคะ


โดย: โมโม่ (4leafwonder ) วันที่: 16 พฤศจิกายน 2553 เวลา:14:34:36 น.  

 
ขอบคุณค่ะ จะฝึกไปเรื่อยๆ ถ้าไม่ขี้เกียจซะก่อน
ภาพจากบ้านนี้ก็เป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจให้วาดรูปค่ะ


โดย: namfaseefoon วันที่: 16 พฤศจิกายน 2553 เวลา:21:12:46 น.  

 
พี่ปอน

ชอบภาพสีน้ำของพี่มากค่ะ

อาชีพคนเขียนคำโฆษณานี่อาชีพในฝันเลยค่ะ อยากทำงานด้านนี้ แต่ชีวิตพัดพามาทำงานบริษัท ก็เอาความชอบนี้มาดัดแปลงในการทำงานปัจจุบันแทน

แม้จะไม่ได้อยู่ในวงการโฆษณาแต่ก็หาโอกาส ทำงานให้ออกแนวนั้นเสมอเลย

น่าน เป็นเมืองที่ไปแล้วอยากอยู่น่าน นานนาน



โดย: Love At First Click วันที่: 17 พฤศจิกายน 2553 เวลา:8:45:49 น.  

 



เพิ่งได้อ่านในอ้อมกอดของขุนเขาและท้องทุ่ง(ตอนจบ)ค่ะ
แต่เหมือนไม่จบ เพราะตอนท้ายทิ้งท้ายเรื่องแอนนี่ งานเข้า..ซะงั้น
ยังไม่มีโอกาสไปเมืองน่านเลยค่ะ
ดูรูป อ่านเรื่องมาพอควรแล้ว
คิดว่าภาพที่ผนังโบสถ์คงไม่เก่าร่อนลอกก่อนที่ภูเพยียจะมีโอกาสไปเยือน..


โดย: ภูเพยีย วันที่: 17 พฤศจิกายน 2553 เวลา:9:03:31 น.  

 
สวัสดีครับพี่ปอน

ขอให้สนุกกับงานนะครับ

กระท่อมดิน เป็นไงบ้างครับ หนาวปล่าวครับ


โดย: ดอกหญ้า บนทางดิน วันที่: 17 พฤศจิกายน 2553 เวลา:9:53:56 น.  

 
ขอบคุณกวีหวาน
ที่จดจารจากใจ
ดาวสัญจรมาส่องทาง
หว่านความหวังให้สดใส


โดย: โมโม่ (4leafwonder ) วันที่: 17 พฤศจิกายน 2553 เวลา:10:08:44 น.  

 
สวัสดีครับ ภาพสวยมากๆเลยครับ


โดย: บูรพากรณ์ วันที่: 17 พฤศจิกายน 2553 เวลา:15:47:24 น.  

 
สวัสดี น้ำฟ้าสีฝุ่น
ยินดีที่ได้เป็นแรง(ดัน)ใจให้วาดภาพ

สวัสดีคุณน้ำอ้อย
ปลื้มที่มีคนชอบ(จริงเปล่าไม่อาจรู้)
เราทิ้งงานนี้มา ใช่ว่าจะไม่ชอบหรือเบื่อหน่าย
แต่กลัวว่าความฝันจะเหือดแห้ง
ตอนนั้นกำลังเขียนวัยฝันวันเยาว์ลงดิฉัน
เริ่มแห้ง ๆ คิดอะไรก็เป็นการเล็งผลเลิศแบบนักการตลาดไปหมด อ่านหนังสือพิมพ์ก็ อ่านแต่โฆษณา สินค้าคู่แข่ง อะไรแบบนั้น ประการสำคัญ รู้สึกไม่มีความสุข
ไม่อยากพูดความจริงแค่ครึ่งเดียว (บางทีก็นิดเดียว แต่ส่วนที่เป็นประโยชน์แก่ตัวสินค้า ส่วนผู้บริโภคช่างหัวมัน อะไรประมาณนั้น) พูดไปเหมือนไปว่าอาชีพโฆษณาเขา และยกตนวิเศษ เปล่าเลย มันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น เอาเป็นว่า เราไม่เหมาะกับงาน ช่างหมั่นไส้ ค่อนแคะ คิดมากว่างั้นเหอะ
ยุคนั้นเป็นยุคฟองสบู่ฟูฟ่อง เด็กหนุ่มสาวจบมา ใครๆก็อยากทำงานโฆษณา
เพราะโก้เหลือ เงินเดือนแพงมั่กๆ ยิ่งคนเก่งๆ ถูกซื้อตัวกันเป็นว่าเล่น เราเองก็เหลิง ๆไปพักใหญ่ ตีนชักไม่ติดดินทุกที ขณะที่งานเขียนที่รักชักตีบตัน ก็เลยตัดสินใจยื่นใบลาออก เพื่อนฝูง เจ้านายเป็นงง เพราะเราลาออกในช่วงที่กำลังดาวกำลังทอแสง ได้ถือโปรดักใหญ่ และได้ทำหนัง ทั้งที่อายุงานยังไม่ถึง และเพิ่งได้ขึ้นเงินเดือน
ใครๆก็หาว่าเราบ้า หนีออกมานอนผึ่งพุงกินบุญเก่าที่บ้านได้เดือนหนึ่ง อาการเบื่อๆอยากๆตีกันอีกแล้ว เพราะเจ้านายเดิมออกไปยึดรังใหม่ อยากได้เราไปเสริมทัพ เสนอเงินเดือนก้อนโต โอ มันเย้ายวนมาก ตะบะแตก กลับไปทำอีกครั้ง คราวนี้ได้ไม่ถึงสี่เดือน ไม่ไหวแล้ว เครียดมาก ๆ เพราะแรงกดดันจากที่ทำงานใหม่ ที่ต้องการช่วงชิงลูกค้า(ได้แอคเค้าท์ใหญ่ คือธนาคารที่เราทำหนังให้ตอนอยู่บริษัทเก่า) เข้าใจเลยว่าทำไมเขายอมให้เงินเดือนที่เราแกล้งเรียกไปงั้น ๆ ด้วยความไม่อยากกลับไป

โอ๊ย เรื่องมันยาว งานโฆษณานั้นมีแรงกดดันสูง มันซื้อเราทั้งชีวิต ทุกขณะจิต เดินนั่งยืนนอน เข้าห้องน้ำ ก็ต้องคิดๆๆ
คิดเพื่อเอาชนะคะคาน คิดให้เจ๋ง ให้เหนือกว่าคู่แข่ง ให้โดน และต้องให้สินค้าขายได้(เยอะ ๆด้วย)

งานมันสนุก ตื่นเต้น เร้าใจ ชิงไหวชิงพริบ
แต่ข้าพเจ้าโง่และเซื่อง555 ข้าพเจ้าขอกลับไปนอนเปล ไกวชิงช้า และฝันกลางวันดีกว่า ออกมาก็เอาเลย ฝันนักใช่ไหม
ทำหนังสือนี่ซะเลย สู่ฝัน

กวีล้วน ๆ
หนังสืออะไรฟะ มีเนื้อหาข้องเกี่ยวแต่กวี กวี กวี
เริองของเรื่องมันบ้าบอฉะนี้แหละหนูน้ำอ้อย
เล่าซะยืดยาว ทำไมก็ม่ายรุ
เอาเป็นว่าจะเขียนเล่าต่อไปถึงต้นกำเนิดของ หนังสือบทกวีเล่มแรก เล่มเดียว(ที่ล่องจุ๊งไปแล้ว)ของประเทศไทย
ไชชะโย) จะฟังไหม...

สวัสดีภูเพยีย
ได้ข่าวว่าไปอินตระเดียมา
วสันต์ สิทธิเขตต์ เพื่อนพ้องของผมบอกว่า
ถ้าไปอินเดียมาแล้ว ก็ไปได้ทุกที่ทุกแห่งในโลกนี้
ไม่ต้องกลัวอะไรอีก

ประสาอะไรกับเมืองน่าน ใกล้ไชยปราการนิดเดียว
ขับข้ามเขามาโผล่แม่สรวย เลี้ยวขวามาเข้าวังเหนือ
โผล่ปากทาง เข้าดอกคำใต้ -เชียงม่วน -น่าน
ภาพเขียนฝาผนังวัดภูมมินทร์งดงามรออยู่
และวัดในเมืองน่านนั้น สุดวิเศษศรี
วันเดียวไม่อิ่มใจ
ค้างสักคืน ไปเที่ยวหอศิลป์ริมน่าน ทางผ่าน ไปวัดหนองบัว
มีภาพเขียนสล่าคนเดียวกับวัดภูมมินทร์ และวัดต้นแหลง วัดที่ท่าวังผานี้ งามแบบสาวไทยลื้อ มีให้ยลไม่รู้เบื่อ

และภูเขางาม แถบอ.เฉลิมพระเกียรติ บ่อเกลือ ก็ยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง รับรองภูเพยียต้องชอบ นาขั้นบันไดที่นั่น
บาหลีก็บาหลีเถอะ เดือนพฤศจิกายน ข้าวเหลือง แดดอร่าม และหนาวพอดี มีสีสัน และอารมณ์กวีในสายลมเช้า
แค่เปิดม่านหน้าต่าง .....

อ้อ เรื่องในอ้อมกอดของขุนเขา จบแล้วครับ จบแน่ๆ

ตอนต่อมานี้
ไม่อยู่ในกลุ่ม เขียนถ่วงเวลาไว้ 555 หน้าไม่อาย
เพราะจะหาคอนเส็บใหม่ แต่ใช่ชื่อชุดเดิมนี่แหละ คลุมครอบ ต้องขออภัยนักอ่านเจ้าประจำ
ถ้ายังไม่ถูกใจ

ดอกหญ้าบนทางดิน
กระท่อมดินหนาวดาวครับ
โดยเฉพาะคืนเดียวดาย ที่ฟ้า(ดัน)ไร้ดาว 555
ขอให้สนุกกับงานเช่นกันครับ

สวัสดีโมโม่
ดาวสัญจร มาส่องทาง
ที่อ้างว้างและหวั่นไหว
ทางรถติดไม่เป็นไร
คุณตำหนวดช่วยกรวดกรา 555

ขอบคุณ บูรพากรณ์
ยินดีที่พบกันครับ


โดย: ดาวส่องทาง IP: 58.9.158.79 วันที่: 17 พฤศจิกายน 2553 เวลา:18:25:51 น.  

 
"...ข้าพเจ้าขอกลับไปนอนเปล ไกวชิงช้า และฝันกลางวันดีกว่า ออกมาก็เอาเลย ฝันนักใช่ไหม
ทำหนังสือนี่ซะเลย สู่ฝัน

กวีล้วน ๆ
หนังสืออะไรฟะ มีเนื้อหาข้องเกี่ยวแต่กวี กวี กวี
เริองของเรื่องมันบ้าบอฉะนี้แหละหนูน้ำอ้อย
เล่าซะยืดยาว ทำไมก็ม่ายรุ
เอาเป็นว่าจะเขียนเล่าต่อไปถึงต้นกำเนิดของ หนังสือบทกวีเล่มแรก เล่มเดียว(ที่ล่องจุ๊งไปแล้ว)ของประเทศไทย
ไชชะโย) จะฟังไหม..."

*****

พี่ปอนคะ

นั่งเท้าคางจ้องตา

รอเวลาพี่เล่าตำนานสู่ฝันให้ฟัง ด้วยใจระทึก

รีบเล่าโดยพลันเถอะ :)






โดย: หนอนเมืองกรุง IP: 10.20.3.30, 202.28.180.202 วันที่: 18 พฤศจิกายน 2553 เวลา:13:18:56 น.  

 
สวัสดีครับอ้าย


บทกวีพี่แป๋วเรียบ ง่ายและนิ่ง
แต่ถ้าทางหวานและโรแมนติก
ผมว่าใครก็เทียบอ้ายปอนยากครับ




หลังๆผมชอบไปงานศพครับอ้าย 555
งานแต่งถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยง

ชอบนั่งเงียบๆในงานศพ
ฟังพระสวด
ฟังพระเทศน์

เคยได้แง่คิดดีดีจากงานศพเรื่องตุงสามหางด้วยครับ

เสียดาย
พระเดี๋ยวนี้เน้นสวด
ไม่เน้นเทศน์
คนมานั่งในงานศพ
เลยได้แต่ความเศร้าสร้อย
แต่ไมไ่ด้ปัญญากลับบ้านไปด้วยนะครับ




โดย: กะว่าก๋า วันที่: 18 พฤศจิกายน 2553 เวลา:14:31:23 น.  

 
สวัสดีเจ้าอ้ายปอน
อ้ายสบายดีแม่นก่อเจ้า
แวะมาผ่อฮูปงามๆ
เป็นอันชื่นใจ๋
แต่ชื่นใจ๋กว่า เมื่อได้อ่านเรื่องเล่า
ของเมืองน่าน
บ่อยากหื้อเป๋นเหมือนตี้อื่นเจ้า
พอความเจริญเข้าไปก็เละหมดเลย
บ่เหลือดี บ่เหลืองาม
กึ๊ดเติงเน้อเจ้า


โดย: กวิสรา IP: 67.167.94.141 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2553 เวลา:0:17:09 น.  

 
"...ข้าพเจ้าขอกลับไปนอนเปล ไกวชิงช้า และฝันกลางวันดีกว่า ออกมาก็เอาเลย ฝันนักใช่ไหม
ทำหนังสือนี่ซะเลย สู่ฝัน"

...โมโม่เกิดทันด้วยละ หนังสือสู่ฝันนี่รักจะตาย ยิ่งมีรูปวาด มาร์ค ชากาล ฝันซะ..

..จะมีซักกี่คนน้อ ที่กินความฝันต่างข้าวได้อย่างนั้น..(มีพี่ดาวส่องทางคนนึงละ)

บนทางที่อ้างว้างและหวั่นไหว..
จริงๆ ที่กลับมาเขียนรูปอีกครั้ง..ก็รู้สึกได้ถึงหนทางอยู่ แต่หลอกตัวเองไปงั้นแหละ ว่าเป็นทางแห่งหวังอันสดใส ฮิฮิ ความสุขเล็กๆ กับถ้อยคำฝันๆ..

ขอบคุณพี่ดาวส่องทางที่ทักทายกัน..โมโม่เป็นหวัดไปแล้ว
พี่ไม่ต้องเป็นอีกนะคะ


โดย: โมโม่ (4leafwonder ) วันที่: 19 พฤศจิกายน 2553 เวลา:12:05:23 น.  

 
พี่ปอน
ก่อนอื่น ชอบภาพสีน้ำของพี่จริงๆค่ะ ตอนอ้อยเรียนที่กทม มักหาโอกาสไปชมภาพศิลปะที่หอศิลป์บ่อยๆ นั่งรถเมล์ไปนี่แหละค่ะ กระโดกกระดอน

เข้าใจพี่มากๆเรื่องบรรยากาศในวงการโฆษณา อ้อยชอบดูโฆษณา ชอบคิดคำโฆษณาเล่นๆ แต่ไม่ขอไปทำในวงการนั้น เพราะคิดว่าตัวเองนิสัยไม่เหมาะกับในนั้น

ตอนนี้ อ้อยทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ แล้วก็เขียนหนังสือเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิต แบบนั้นจริงๆ คืออยู่กับความจริง แต่ก็ไม่อยากทิ้งความฝัน ถึงงานประจำจะหนักเหนื่อย แต่พอได้พักด้วยการเขียนหนังสือ มันก็ทู้ซี้ชีวิตไปได้ค่ะพี่

เรื่องที่พี่เล่าข้างบน อ่านอย่างตั้งใจ ไม่ผิดหรอกที่พี่ตัดสินใจแบบนั้น ทุกคนมีวิถีทางของตนเอง

อ้อยกำลังเขียนต้นฉบับเล่มสามอยู่ค่ะพี่ ไว้แก่กล้ากว่านี้ จะขอให้พี่ปอนเขียนคำนิยม อาจจะเล่มหน้าๆ ( ถ้าบก เขายังสนใจงานเรา)

แต่ตอนนี้มิบังอาจเพราะเรามันแค่คนเขียนหนังสือตัวกระจ้อยร่อยค่ะพี่ เกรงใจ แหมเขียนได้แค่นี้ จะให้เจ้าชายโรแมนติกมาเขียนคำนิยม


โดย: Love At First Click วันที่: 19 พฤศจิกายน 2553 เวลา:15:02:53 น.  

 
แวะมาส่งกาแฟให้พี่ปอน
ป่านฉะนี้ หอศิลป์ริมน่าน คงครึกครื้น
และอบอุ่น
เสียดาย เสียดาย ..ไม่เคยได้ไปถึงน่านเลย
เพิ่งกลับจากเชียงใหม่ เชียงราย
ไปดูงาน และเที่ยวบ้างนิดหน่อย
ไปเยี่ยมอาจารย์ที่ป่วยอยู่โรงพยาบาลสวนดอก
คิดถึงจัง


โดย: หกพัน..ไมล์ IP: 180.180.216.45 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2553 เวลา:23:01:22 น.  

 
สวัสดีค่ะ

เมืองน่านเป็นความตั้งใจที่อยากจะไป แต่ว่าเพื่อนฝูงไม่มีใครยอมไปด้วย เหตุเพราะความไม่ศิวิไลซ์

แต่เพราะความไม่ศิวิไลซ์นี่หล่ะที่ทำให้โอ๋อยากไปมาก ๆ ยิ่งลำปางก็ยิ่งอยาก เพราะพ่อเล่าว่าสมัยหนุ่ม ๆ นั่งรถไปลำปางสองข้างทางมีแต่ต้นสักสูงใหญ่ อยากไปเห็นกับตาจังว่าต้นสักยังอยู่ดีมีสุขรึเปล่า

ถ้าหาใครไปไม่ได้จริงจะลองบินเดี่ยวดูซักตั้ง ว่าแต่ไปน่านกับลำปางเนี่ยท่าจะไกลกันโข ระหว่างทางจะแวะแพร่ได้มั๊ยค่ะ ลองศึกษาในกูเกิ้ล เพื่อนที่เชียงใหม่บอกว่าบางทีเส้นทางกับระยะเวลาในกูเกิ้ลก็คาดเคลื่อน เวลาไปก็น้อยนิดมีแค่ 4 วัน แล้วก็ดันอยากจะไปซะทุกที่ เหงื่อตกเลยเรา

เอ่อจริง ๆ ถ้าแค่เห็นภาพคงไม่รู้สึกอยากไปมากกว่าเท่ากับที่น้าปอนบรรยายเลยค่ะ น้าปอนบรรยายได้เห็นภาพมากกว่า ว่าผู้คนมีน้ำใจไมตรีและน่าเดินทางไปเยือน

แล้วจะแวะกลับมาดูบรรยากาศอื่น ๆ อีกนะค่ะ


โดย: oa (rosebay ) วันที่: 20 พฤศจิกายน 2553 เวลา:11:51:44 น.  

 

ไม่ได้ไปแพร่ น่าน มาหลายปีแล้วค่ะ
อ่านแล้วขำ ร้านแหลกหล่วน สะดวกลื้อ

ขอบคุณสำหรับความงามของภาพ
ที่ทำให้บ่ายวันร้อน เป็นความสบายตา สบายใจค่ะ


โดย: HoneyLemonSoda วันที่: 20 พฤศจิกายน 2553 เวลา:15:26:26 น.  

 
หวัดดีครับพี่ปอน
20ปีก่อนเคยไปอยู่น่านเหมือนกัน อยู่แถวน้ำเกี๋ยน ไปช่วยเพื่อน ทำสวนส้มสวนลำใย อ่านแล้วคิดถึง
แสงดาวบนภูเขาสวยกว่าในกรุงเทพเยอะเลย
อืม..แล้วยังทำให้คิดถึงใครบางคน

ในวันที่ไม่อาจหยั่งรู้
ฉันจะอยู่ที่ริมฝีปากเธอ
แตะแนบที่แก้ม
จมลึกในเงาตา..

ด้วยความรักของฉัน
จากเนิ่นนานแห่งความฝันทั้งมวล
ด้วยความทรงจำอันไม่อาจจบสิ้น
เธอจะได้ยินฉันเรียกเธอเสมอ
มันจะกระซิบแผ่วมาจากความหลัง.
.ธาธันยา.


โดย: ธาธันยา IP: 203.107.196.63 วันที่: 21 พฤศจิกายน 2553 เวลา:5:09:54 น.  

 
พี่ปอนคะ

นั่งเท้าคางจ้องตา

รอเวลาพี่เล่าตำนานสู่ฝันให้ฟัง ด้วยใจระทึก

รีบเล่าโดยพลันเถอะ :)

เหอะ เหอะ หนอน
(เพลง)
รอ ฉันเองก็รอ ด้วยใจวิงวอน....

เสียดาย
พระเดี๋ยวนี้เน้นสวด
ไม่เน้นเทศน์
คนมานั่งในงานศพ
เลยได้แต่ความเศร้าสร้อย
แต่ไมไ่ด้ปัญญากลับบ้านไปด้วยนะครับ
เห็นด้วยเลย
ล่าสุดนี้ไปงานศพที่วัดชลประทานฯมา
พระเทศน์ดี ทันสมัย ได้ประโยชน์ทางใจ
ท่านพยายามทำให้ร่วมสมัย ยกกลอนที่เราฟังแล้วอดยิ้ม ๆ
เพราะมันโหลมาก แต่ก็ดีกว่าที่อื่น ๆ ไปนั่งพนมมือ
เมื่อยก็วางลง(คุยกันเป็นนกกระจอกแตกรัง)
กินข้าวต้ม เหยะๆ กินน้ำหวาน ชากาแฟ และก็ทำหกเลอะเทอะ (วางแก้วจานไว้ใต้เก้าอี้ )ยัดซองใส่มือเจ้าภาพ
เห็นหน้าเห็นตา ปลอบโยนใจกันแล้วก็ดีหละนะ

จะเอาอะไรไปมากกว่านี้
แม้จะเป็นพิธีกรรมที่ว่างโหวง(แต่เต็มอิ่มสำหรับสัปเหร่อ มรรคทายก และคนขายพวงหรีด ผู้รับเหมาทำอาหาร ฯลฯ
ถือเป็นการทำบุญ แบบไทย ๆ ไม่ต้องคิดมาก

ถึงงานศพคุณไม่ชอบใจว่าพระเป็นแค่องค์หนึ่งทางพิธีกรรมมากกว่าผู้นำทางปัญญา ทางจิตวิญญาณ
คุณก็หามไปฝังเลย หรือไม่ก็เผา แล้วลอยเถ้าถ่านลงน้ำแบบแขก ไม่อีกทีก็อุทิศร่างกายให้โรงพยาบาลให้รู้แล้วรู้รอด(มีคนส่อเสียดเข้าหู)

อ้อ ขอบคุณก๋า อุตส่าห์หยอดคำหวาน

สวัสดีน้องเก๋
ไปอยู่ไกลยังส่งข่าวมา
ก็ยินดีล้ำเหลือแล้ว
กลับมาบ้านเฮา เมื่อใด
ไปแอ่วเมืองน่านเน้อ น่านยัง บ่ เน่าเตื้อ
มีตี้นึ่งงามขนาด
ไปตางบ่อเกลือ
มีนาข้าวและคนเลี้ยงแกะ ยังกะเมืองเนปาล
(ตี้อ้าย บ่ เกยไป ๕๕๕)

โมโม่เกิดทันด้วยละ หนังสือสู่ฝันนี่รักจะตาย ยิ่งมีรูปวาด มาร์ค ชากาล ฝันซะ..

..จะมีซักกี่คนน้อ ที่กินความฝันต่างข้าวได้อย่างนั้น..(มีพี่ดาวส่องทางคนนึงละ)

บนทางที่อ้างว้างและหวั่นไหว..
จริงๆ ที่กลับมาเขียนรูปอีกครั้ง..ก็รู้สึกได้ถึงหนทางอยู่ แต่หลอกตัวเองไปงั้นแหละ ว่าเป็นทางแห่งหวังอันสดใส ฮิฮิ ความสุขเล็กๆ กับถ้อยคำฝันๆ..

โมโม่
ความฝันกินต่างข้าวได้ แต่ต้องมีน้ำปลาพริกด้วย

ทำสิ่งใจสุขใจ นั่นแหละใช่แล้วทางเรา
ไม่ได้หลอกตัวเองหลอก
ในสังคมนี้นี้แต่ภาพหลอก ๆ เสมือนจริง กระทั่งในทีวี
ก็ยัง
มีชีวิตหลอกๆ หมอดูหลอก ๆ ทรงเจ้าเข้าผีหลอก ๆ
รักหลอก ๆ
มากมายพอแล้ว
เราอย่าหลอกตัวเองอีกคนเลย ต้องจริงกับตัวเองสิ
จริงในสิ่งฝัน

โอมาร์คัยยัมว่าไว้
"ชีวิตนี้สั้นนักควรรักกัน รวมความจริงกับความฝันเป็นสิ่งเดียว"

วงเล็บ ตอนนี้ เราไม่ค่อยโปรดชากาล์ลแล้ว

สวัสดีน้ำอ้อย
น้ำอ้อยเมืองชลนี้ช่างหวานสนิท
หนูหนะถ้าทำงานโฆษณา ก็ระดับเครียถีบบบบ ไดเร็คเตอร์หละ น่าไปทำนะ สนุก เหมาะกับนิสัยสร้างสรรค์ของหนู
อ่านเพลิน จัดอยู่ในหมู่เจ้าอารมณ์ขันตัวแม่ แฮ่ๆๆๆๆๆๆ

มีหนังสือเมื่อไหร่บอกเลยนะ
อยากๆๆๆๆๆ
อยากเขียนให้นักเขียนดาวรุ่งพุ่งแรง
ว่าแต่ว่า จาเอาน้ำยาอะไรมาเขียนล่ะ

หกพันไมล์
งานนี้จัดในตัวเมืองน่านจ้า
หนูไปอยู่ไหนมาล่ะนี่ ในบล็อกก็เงียบชอบกล
อาจารย์หนูออกจากสวนดอกรึยัง
หมู่นี้ต้องระวังเรื่องสุขภาพ
อากาศหนาว ๆร้อน ๆ พิลึกพิลั่น




สวัสดีoa (rosebay

ถ้าหาใครไปไม่ได้จริงจะลองบินเดี่ยวดูซักตั้ง ว่าแต่ไปน่านกับลำปางเนี่ยท่าจะไกลกันโข ระหว่างทางจะแวะแพร่ได้มั๊ยค่ะ ลองศึกษาในกูเกิ้ล เพื่อนที่เชียงใหม่บอกว่าบางทีเส้นทางกับระยะเวลาในกูเกิ้ลก็คาดเคลื่อน เวลาไปก็น้อยนิดมีแค่ 4 วัน แล้วก็ดันอยากจะไปซะทุกที่ เหงื่อตกเลยเรา

นั่งรถไฟ ไปสว่างที่ลำปาง กินโจ๊กหน้าสถานี อร่อยมั่ก นั่งรถสองแถวมาแถวหน้าศาลากลาง ขึ้นรถม้าชมเมืองหนึ่ง
รอบ ชมวัดปงสนุก วัดแสนฝาง วัดพระแก้วดอนเต้า ที่พลาดไม่ได้วัดลำปางหลวง ต้องเหมารถไป อยู่อ.เกาะคา
แล้วกลับมานอนในตัวเมือง มีเรือนโบราณริมน้ำวัง ยามเย็นมีถนนคนเดินกองต้า ดูสะพานกราไก่ในแสงไฟราตรี
สวยๆๆๆ

วันรุ่งค่อย(ขับรถไปเอง ก็เจ๋งเลย) จะไปดูภาพเขียนสีที่ประตูผา ทางสายสวยโรแมนติค เขาหินปูนที่งามสู่กระบี่ได้
แถบนั้นที่สถานที่โปรดของเรา แวะไหว้เจ้าพ่อประตูผา
ป่าไม้สักที่ลุงหนูเคยเล่า แถบนี้แหละที่ดกดื่นจนมองไม่เห็นฟ้า ไปโผล่ที่งาว เลี้ยวขวาไปทางอ.สอง จะเลี้ยวไปทางแก่งเสือเต้นก็ได้ ไปดูป่าสักทอง แล้ววกขวาเข้าน่านทางนี้เขาสูงวกวน แต่สวย อาจจะแวะดูหมู่บ้านผีตองเหลืองแถวๆนั้น เข้าไปไม่ไกล (ลืมช่อตำบล) แต่แปลงโฉมหมดแล้วนะ แถวนั้นเป็นชาวม้งส่วนใหญ่ ไม่ใช่ทางทัวร์ตัวฤทธิ์ ดิบและเถื่อนดี (ถ้าชอบของแปลก และไปหาที่กิน ที่พัก ที่เดี้ยง เอาดาบหน้า)

หรืออีกทางจากลำปาง ไปทางเด่นชัย แพร่ ตรงไปน่าเลย
แวะแพะเมืองผีก่อน
ผ่านหอศิลป์น่าน) เลยไปโนน่เลยเฉลิมพระเกียรติ
เขาสวยสุดบรรยาย หาดูในกูเกลิ้ล ประเมินเอาจากอาจารย์ท่านนะ ทางอ.เวียงสา นาหมื่น นาน้อยโน้น
ก็กิ๊บเก๋ วัดชาวลื้อ ชายไต สวยไปอีกแบบ

น่าสวยและมีให้เลือกมากหลาย
ขับวกมาสายโรแมนติค โผล่เชียงคำ ลงมาพะเยา
เข้าเชียงใหม่ ขึ้นรถไฟ นั่งรถกลับ ได้ทั้งนั้น
เที่ยวเมืองไทยไม่ไปไม่เสียเงิน ๕๕๕
(เดี๋ยวไปรับเงินค่าปชส.จากททท.ก่อนนะ)


HoneyLemonSoda สวัสดี
ขอโทษที่ไม่ค่อยได้ไปชิมอาหารที่บ้าน
เพราะอยู่ในช่วงพุงยื่น
ยินดีนะ ไม่ลืมกัน มายืมอมยิ้มแก้มตุ่ย
เอาใจช่วย

ในวันที่ไม่อาจหยั่งรู้
ฉันจะอยู่ที่ริมฝีปากเธอ
แตะแนบที่แก้ม
จมลึกในเงาตา..

ด้วยความรักของฉัน
จากเนิ่นนานแห่งความฝันทั้งมวล
ด้วยความทรงจำอันไม่อาจจบสิ้น
เธอจะได้ยินฉันเรียกเธอเสมอ
มันจะกระซิบแผ่วมาจากความหลัง.
.ธาธันยา.
บทกวีช่างไพเราะล้ำ

ใครคนนั้นอยู่ไหนหนอ เวลานี้
ความทรงจำดี-ดี รู้สึกได้
แม้จะเพียงภาพเลือนราง อยู่กลางใจ
หากแต่รอยอาลัยนั้นหวานล้ำ

ขอให้โชคดีในความรัก







โดย: ดาวส่องทาง วันที่: 23 พฤศจิกายน 2553 เวลา:11:11:32 น.  

 
มาอ่านพี่ปอนรำพึงรำพันถึงความหลังเมื่อครั้งทำหนังสือกลอน สู่ฝัน
ที่บ้านเก็บไว้ทุกเล่มเลยนะคะ วางเรียงไว้บนชั้นหนังสือ กับหนังสือเล่มอื่นๆ ที่พี่ปอนเขียน

อยากกลับไปเที่ยวน่านอีกเหมือนกัน เมื่อ 2 ปีก่อนไปมาแค่เช้าเย็นกลับ
แค่ไปธุระกับเพื่อนอย่างรีบด่วน ได้ไปกราบพระธาตุแช่แห้งเท่านั้นเอง
วัดอื่นๆ ฝากไว้ก่อน แต่ก็ไม่ได้กลับไปสักที

คนมีห่วงก็อย่างนี้แหละค่ะ ไปไหนมาไหนอย่างอิสระไม่ได้ อุ อิ งุ งิ




โดย: addsiripun วันที่: 23 พฤศจิกายน 2553 เวลา:21:49:05 น.  

 
สวัสดีป้าแอ๊ด
เมือคืนอยู่บนรถทัวร์
ไปงานศพมา งานนักเขียน ก็เจอะเจอแต่คนในวงการหนังสือ ออกจะเหงาๆหงอยๆในอารมณ์
เพราะตายกันถี่มาก
เฉกเช่นยุคทำสู่ฝันนั่นแหละ ก็ไปแต่งานวันเกิด งานแต่งงาน รื่นเริง
ป้าแอ๊ดเก็บไว้ให้ดี ๆนะ
วันหนึ่ง
หลานๆมันจะได้หยิบมาดู ยิ้มๆ
หรืออาจจะอ้าปากหวอ หยิบคืนมาจากกล่องกระดาษ
ที่โยนชั่งไว้บนรถซาเล้งแล้ว และบอกไม่ขายหละ
มีรูปคุณยายด้วย

อีกทีก็ปลวกได้ทำหน้าที่ของมันดีเยี่ยม
คืนสู่ธรรมชาติ
ยุคนั้นมีการวิเคราะห์วิจารณ์เกี่ยวกับบทกวี
ในห้วงทศวรรษหลัง ๑๔ ตุลา
เขาเบะปากนะฮะ ฮ่า....
ไม่เอ่ยถึงแม้สักบรรทัดเดียว
ทั้งที่มันเป็นหนังสือกวีเล่มเดียวเล่มแรก รวมผลงานของรุ่นใหญ่ถึงรุ่นใหม่
มันทำให้หนังสือที่เห็นบทกวี เป็นเพียงของทดแทนมุมเหลือๆตามหน้ากระดาษ ลงแบบเสียไม่ได้ ไม่มีอะไรลง
โฆษณาก็ไม่มี เลยลงบทกวีแหมะให้ งั้น-งั้น

ต่อมาก็มีหนังสือวัยรุ่นออกมาหลายหัว เน้นบทกวีคนหนุ่มสาว นิตสารการเมืองอย่างสยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ เปิดหน้าบทกวี สองหน้าเต็มๆ
เช่นเดียวกับรายปักษ์ ที่ขายดี และรายสัปดาห์
ขยายหน้าบทกวีกันเป็นทิวแถว
กระแสกวี มาแรงแซงโค้ง มีพ็อคเก็ตบุครวมบทกวี
ออกมาตามสำนักพิมพ์สู่ฝัน มากมายมหาศาล
เรียกว่าเป็นห้วงเวลาที่มีการพิมพ์บทกวีวางแผงมากที่สุด
มากกว่ายุคสายลมแสงแดด ยุคแสวงหา
แต่.....คคนทำหนังสือเล่มนั้นเขามองไม่เห็นแน่ะ
สงสัยหูตาฝ้าฟางและหูหนวกก็ไม่ทราบ
หรือไม่ก็ฟั่นเฟือน ไม่เขียน ไม่เอ่ย ไม่นับ
ไม่ให้ค่า-ให้เกียรติกันก็ไม่เป็นไร

แต่ ปมไหน หนอ กระทั่งนักเขียนหนุ่มคนไหน ที่มาเขียนลงสู่ฝัน ก็ถูกกันออกวงเพื่อชีวิต ก้าวหน้า
กลายเป็นพวกล้าหลัง โนะเนะ ฝันเฟื่อง
ตัดสินกันขนาดนั้น บางคนถึงห้ามคบกับบ.ก.เลยเชียว

เออหนอมนุษย์
เขาแสร้งลืมซะงั้นแหละ ว่า
สู่ฝันจัดอ่านบทกวีเป็นเรื่องเป็นราว ครั้งแรก(ในประเทศที่กระดาษเช็ดก้นฟูเฟื่อง แต่ไม่มีกระดาษพิมพ์บทกวี)ที่ศูนย์สังคีตศิลป์ ครั้งต่อมาอีก และอีก กระทั่งร้านเหล้าเราก็ไม่เว้น ป้าแอ๊ดคงจำบราวน์ชูก้าร์ได้ ร้านดังระดับแนวหน้าที่อยู่หลังสวน จัดกันถึงสองครั้ง และเป็นครั้งแรก ที่พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ มาอ่านบทกวีเล่นเพลงลิงทะโมน ผีเสื้อ ห้วยแถลง ชุดใหม่ ที่ยังไม่เป็นอัลบั้ม เพราะ
เพิ่งออกจากป่ามา หลบ ๆซ่อน ๆอยู่
พอเล่นดนตรีจบก็หายตัวไปเลย ไม่ทันได้ขอบคุณ
ไม่ทันได้ให้ค่าตัวกัน
มาร้องมาเล่นเพราะอยากมางานกวี รักคิดถึงกัน

เช่นครั้งที่เราจัดพบแฟนนักอ่านสู่ฝันที่ร้าน ธมบุ้คซาลอง
ของคุณเชิด ทรงศรี แถบสุทธิสาร
หงา คาราวาน ก็แอบย่องๆ หิ้วกีต้าร์มาเดี่ยวๆ
มาเล่นเพลงคนนอกคอก ที่เพิ่งแต่งเสร็จใหม่ ๆเลย
ป้าแอ๊ดได้ไปไหม บ.ก.ฟังน้ำตาไหล ยิ่งเมื่อได้เห็นนาฬิกาถูกๆเรือนนั้น ที่หงาใส่มา...

ขานี้ก็ย่องมาเล่นเหมือนน้าหมู เพราะเพิ่งออกป่ามาเหมือนกัน สถานการณ์ยังไม่เป็นที่น่าวางใจ ว่าเขาหลอกออกมา
เพิ่อจับเข้าคุกหรือเปล่า
กว่าจะกล้ามาสัมภาษณ์ลงสู่ฝันะ ก็คิดกันนาน
เราภูมิใจ ที่ได้สัมภาษณ์คาราวานเป็นเล่มแรก
หลังจากนั้นก็มีคอนเสิร์ตฟอร์ยูนิเซฟ จัดโดยไนท์สปอต
เป็นคอนเสิร์ตที่ยิ่งใหญ่เป็นตำนานแห่งตำนานในใจของผม
ขึ้นมาเพลงคนกับควาย เพลงเปิด สายกีต้าร์สายหนึ่งของหงา ก็ขาดผึง แต่เขาก็แก้สถานการณ์ได้อย่างมืออาชีพ
เปลี่ยนกันบนเวทีเลย เปลี่ยนไปบรรเลงไป
ที่ประทับใจยิ่งก็คือช่วงเพลง คืนรัง
เรียกน้ำตา โหยหา คิดถึงกัน ในหอใหญ่ธรรมศาสตร์เสียงปรบมือคืนนั้นและบรรยากาศอันอบอุ่น
ไม่เคยพบ เคยเห็นในคอนเสร์ตไหนจะเป็นได้แบบนั้น
ไม่มีเลย

นี่คือรอยเท้าของเวลา คาราวาน

หาก สู่ฝันเป็นเพียงฝุ่นละอองในสายลมกาลเวลา
(ที่พัดผ่านจักรวาลกวี)
แต่เราก็ภูมืใจ
อย่างน้อยเราก็ได้ทำตามฝัน
เราเชิญพี่เนาว์มานั่งเซ็นหนังสือให้แฟน ๆเป็นครั้งแรก
พร้อมกับประเสิรฐ จันดำ ในงานสัปดาห์หนังสือ
เรานำวงมาชารีไปเล่นในงานหนังสือ
เป็นการ แหกธรรมเนียมครั้งแรก อะไรกันงานขายหนังสือ
ทีดนตรีไปเล่นเรียกคน
ปีต่อมาดอกหญ้าก็จัดคนมาเคาะกระดาษ ปรบมือเรียกคน

ปัจจุบันการแสดงเป็นเรื่องขาดไม่ได้ นักเขียนไปนั่งเซ็นหนังสือ ฯลฯ

ไปรับทานอาหารก่อน หมอกฉาย แดดฉาน
ทุ่งนาหน้าบ้านแก่จัด เหลืองอร่ามงามจับใจ แต่ทิ้งกล้องไว้กทม. ๕๕๕ สวยๆๆๆๆๆๆ
ฟ้าพฤษจิกายน สวยจับใจ ฟ้าอมม่วงคราม ตัดกับเหลืองทอง เด่นมลังเมลือง
ขอตัวไปถีบจักรยานเล่น เดี๋ยวจะไปกินน้ำพริกน้ำผัก
แม่ตำไว้แล้ว จิ้นนึ่ง ผักสารพัด
หิวววว
ไปล่ะ
อ่านละเอียดเอาในจุดประกายวรรณกรรมนะ
ไม่นานเกินรอ

รอยเวลา
(ทางเดินของปลวกบนชั้นหนังสือ)

หรือ ละอองฝุ่นในสายลมเวลา

แฟนานุแฟน สู่ ฝั น ช่วยกันตัดสินใจหน่อยจ้า









โดย: ดาวส่องทาง วันที่: 24 พฤศจิกายน 2553 เวลา:8:41:53 น.  

 
สวัสดียามเที่ยงๆ ค่ะ
แวะเข้ามาฟังเสียงลมพัดผ่าน...
หวังว่าคุณคงได้รับ PC ที่ส่งไปหาบ้างนะคะ

นู๋นก


โดย: บรรณารักษ์789 วันที่: 24 พฤศจิกายน 2553 เวลา:12:46:22 น.  

 


... รีบมา รีบไป ยังไม่ได้อ่านเลยค่ะ ...

แต่ไว้จะตามมาเก็บอีกรอบแน่นอนค่ะ ...

... : ) ...


โดย: yourstarlight วันที่: 25 พฤศจิกายน 2553 เวลา:12:03:50 น.  

 
กำลังฟังเพลง จากไกลบ้านเกิด ที่คุณกุ้ง ขอจากพี่ปอนไปร้อง



โดย: addsiripun วันที่: 25 พฤศจิกายน 2553 เวลา:12:49:36 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดาวส่องทาง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2553
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
15 พฤศจิกายน 2553
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ดาวส่องทาง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.