|
|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
|
สเต็มเซลล์ของระบบประสาทเป็นอย่างไร
นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าเซลล์สมองของหนู ในส่วนฮิปโปแคมปัสและอัลแฟคตอรีบัลบ์ สามารถแบ่งตัวเป็นเซลล์ประสาทตัวใหม่ได้ การค้นพบครั้งนั้นเกิดขึ้นมานานกว่าสามสิบปีแล้ว แต่ความเชื่อเดิมที่ว่าเซลล์ประสาทไม่สามารถแบ่งตัวได้ ทำให้แนวความคิดนี้ไม่ได้รับการยอมรับอยู่เป็นเวลานาน จนกระทั่งงานวิจัยพิสูจน์แน่ชัดว่าสเต็มเซลล์ของระบบประสาทสามารถแบ่งตัวและ พัฒนาไปเป็นเซลล์สำคัญของระบบประสาทสามชนิดคือ นิวโรนหรือเซลล์ประสาท เซลล์ชนิดแอสโตรซัยท์ และเซลล์ชนิดโอกิโกเดนโดรซัยท์
ปัจจุบันเป็นที่ทราบดีว่าสเต็มเซลล์ของระบบประสาท นั้นมีอยู่จริง ทั้งในเนื้อเยื่อ สมองของทารกในครรภ์และในสมองของผู้ใหญ่ สเต็มเซลล์เหล่านี้สามารถแบ่งตัวและพัฒนาไปเป็นเซลล์ชนิดต่างๆของระบบประสาท มากมายหลายชนิด ยกตัวอย่างเช่นเซลล์ต้นแบบของเซลล์ประสาท ที่เรียกว่า นิวโรบลาสต์ สามารถแบ่งตัวและพัฒนาไปเป็นเซลล์ประสาทหรือนิวโรนซึ่งมีหลายชนิดแตกต่างกัน ไปตามการทำหน้าที่ในส่วนต่างๆของสมอง ในขณะที่สเต็มเซลล์ที่ให้กำเนิดเกลียลเซลล์ มีความสามารถที่จะแบ่งตัวและพัฒนาไปเป็นเซลล์ชนิดแอสโตรซัยท์และโอลิโกเดน โดรซัยท์ แอสโตรซัยท์เป็นเกลียลเซลล์ชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่ช่วยเซลล์ประสาททั้งการคงรูป และเป็นหน่วยเมตาบอลิกที่สำคัญของเซลล์ประสาทหรือนิวโรน เซลล์ชนิดแอสโตรซัยท์มีมากถึงร้อยละ 70-80 ของเซลล์ในระบบประสาททั้งหมดส่วนโอลิโกเดนโดรซัยท์ทำหน้าที่สร้างสารมัยอีลิ น ซึ่งเป็นสารไขมันที่ห่อหุ้มแอกซอน ช่วยเพิ่มความสามารถในการนำกระแสประสาท
ในภาวะปกติ สเต็มเซลล์ชนิดนิวโรนอลจะไม่สามารถพัฒนาไปเป็นเกลียลเซลล์ได้เลย ในขณะเดียวกันเซลล์ต้นกำเนิดเกลียลเซลล์ก็จะไม่สามารถพัฒนาไปเป็นนิวโรนได้ เช่นกัน ในทางตรงกันข้ามสเต็มเซลล์ของระบบประสาทของทารกในครรภ์และของสมองผู้ใหญ่ สามารถพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปเป็นนิวโรน แอสโตรซัยท์ และโอลิโกเดนโดรซัยท์ได้ทั้งสามชนิด ทั้งนี้ขึ้นกับปัจจัยที่สำคัญสองประการ
* ประการแรก คือ สัญญาณที่สเต็มเซลล์เหล่านั้นได้รับ * ประการที่สอง คือ สภาพแวดล้อมภายในเนื้อเยื่อสมองซึ่งเป็นสภาพสามมิติ
ขณะนี้เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่าในเนื้อเยื่อสมอง ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดมีสเต็มเซลล์อยู่จริงแต่ที่ยังไม่ทราบคำตอบ ที่ชัดเจน คือ เรื่องของชนิดและปริมาณของกลุ่มสเต็มเซลล์หรือเซลล์ต้นกำเนิดที่มีอยู่ภายใน เนื้อเยื่อสมองของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมรวมทั้งความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันของ สเต็มเซลล์ในแต่ละกลุ่ม ตลอดจนการทำหน้าที่ของแต่ละกลุ่มที่มีความหลากหลายแตกต่างกันไป ข้อจำกัดในการศึกษาสเต็มเซลล์ของระบบประสาทประการหนึ่งคือยังไม่สามารถระบุ ชนิดของเซลล์ที่มีอยู่ในร่างกายได้ทางห้องปฏิบัติการยังจำเป็นต้องแยกเซลล์ และทดสอยในหลอดทดลอง ซึ่งวิธีดังกล่าวทำให้คุณสมบัติบางประการของสเต็มเซลล์เหล่านั้นเปลี่ยนไป
image
สเต็มเซลล์ของระบบประสาทถือ ว่าเป็นสเต็มเซลล์จากร่างกายที่ได้รับความสนใจมากที่สุดอย่างหนึ่ง สเต็มเซลล์จากร่างกายเป็นสเต็มเซลล์ที่ไม่ได้ทำหน้าที่เฉพาะเจาะจงที่พบใน อวัยวะต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วภายในอวัยวะแต่ละชนิดจะประกอบได้ด้วยเซลล์ของอวัยวะนั้นที่ ทำหน้าที่เฉพาะอย่างสเต็มเซลล์จากร่างกายที่อยู่ในอวัยวะนั้นๆ จึงยังคงสามารถแบ่งตัวเองขึ้นมาใหม่ และพัฒนาดิฟเฟอเรนชิเอทไปเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่เฉพาะเจาะจงได้บทบาทของสเต็มเซลล์จากร่างกายในร่างกายสิ่งมี ชีวิตที่สำคัญคือการซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอหรือเสียหายไป ข้อแตกต่างที่สำคัญระหว่างสเต็มเซลล์จากร่างกาย กับสเต็มเซลล์จากตัวอ่อนคือกำเนิดหรือที่มาของเซลล์เหล่านั้น โดยสเต็มเซลล์จากตัวอ่อนมีกำเนิดมาจากกลุ่มเซลล์ด้านในของบลาสโตซิสต์ ในขณะที่สเต็มเซลล์จากร่างกายนั้นยังไม่ทราบแน่นอนว่ามีกำเนิดมาจากที่ใด
งานวิจัยเกี่ยวกับสเต็มเซลล์จากร่างกายสร้างความ ตื่นเต้นให้กับวงการแพทย์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนักวิทยาศาสตร์เริ่มค้นพบสเต็มเซลล์จากร่าง กายในเนื้อเยื่อมากมายหลายชนิด ซึ่งมากกว่าที่เคยทราบกันมาก่อน และบางอย่างก่อนหน้านี้ไม่เชื่อว่าจะพบสเต็มเซลล์ด้วยซ้ำไป การค้นพบเหล่านี้ทำให้เกิดคำถามที่สำคัญเพื่อจะพยายามนำ สเต็มเซลล์จากร่างกายไปใช้ในการปลูกถ่ายเข้าสู่ร่างกายผู้ป่วย จริงๆแล้ว สเต็มเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด ถูกนำมาใช้ในการปลูกถ่ายตั้งแต่เมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว ระยะหลังมานี้ก็พบว่าสเต็มเซลล์จากร่างกายอีกหลายชนิดมีความสามารถพัฒนาดิฟ เฟอเรนชิเอทไปเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่เฉพาะได้เช่นกันสิ่งสำคัญคือ ต้องกำหนดเงื่อนไขหรือวิธีการที่ถูกต้องเหมาะสม เพื่อให้นักวิทยาศาสตร์สามารถควบคุมสเต็มเซลล์จากร่างกายที่เพาะเลี้ยงใน ห้องปฎิบัติการให้สามารถดิฟเฟอเรนชิเอทไปเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่เฉพาะเจาะจง ได้ตามที่ต้องการ ซึ่งเซลล์เหล่านั้นสามารถนำไปใช้ในการรักษาโรคต่างๆ ได้หลายชนิด โดยเฉพาะบรรดาโรคร้ายแรงที่พบได้บ่อยๆ
ประวัติความเป็นมาของงานวิจัยเกี่ยวกับสเต็มเซลล์ จากร่างกาย เริ่มต้นเมื่อประมาณ 40 ปีที่แล้ว นักวิทยาศาสตร์พบว่าภายในเนื้อเยื่อไขกระดูกประกอบไปด้วย สเต็มเซลล์อย่างน้อยสองชนิดด้วยกันสเต็มเซลล์ชนิดแรกเป็นเซลล์ต้นกำเนิดเม็ด เลือด ซึ่งจะพัฒนาไปเป็นเม็ดเลือดชนิดต่างๆ ได้แก่ เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด ส่วนสเต็มเซลล์ชนิดที่สองทีอยู่ภายในไขกระดูกเป็นชนิดสโตรมัลเซลล์ซึ่งถูก ค้นพบสองสามปีต่อมา สโตรมัลเซลล์ประกอบไปด้วยส่วนผสมของเซลล์ต้นกำเนิดกระดูก เซลล์ต้นกำเนิดกระดูกอ่อน เซลล์ต้นกำเนิดเซลล์ไขมัน และเซลล์ต้นกำเนิดเนื้อเยื่อเส้นใยประสานหรือไฟเบอร์ต่อมาไม่นานนักในช่วง ทศวรรษ 1960 เช่นกัน นักวิทยาศาสตร์อีกกลุ่มหนึ่งค้นพบสเต็มเซลล์ต้นกำเนิดเซลล์ประสาท โดยทำการทดลองศึกษาวิจัยในหนูทดลอง สามารถค้นพบส่วนของสมองหนู 2บริเวณที่มีสเต็มเซลล์ต้นกำเนิดเซลล์ประสาท การค้นพบครั้งนั้นขัดแย้งกับความรู้เดิมที่เชื่อกันว่าเซลล์ประสาทไม่สามารถ สร้างขึ้นมาใหม่ได้ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ก็ยังคงเชื่อว่าเซลล์ประสาทไม่สามารถสร้างขึ้น ใหม่ได้และดูเหมือนจะไม่ค่อยยอมรับกับผลงานวิจัยชิ้นนั้น จนกระทั่งราวสามสิบปีต่อมา ทฤษฏีว่าด้วยสเต็มเซลล์ต้นกำเนิดของเซลล์ประสาทถึงได้รับการพิสูจน์อย่าง ชัดเจนและเป็นที่ยอมรับในที่สุดปัจจุบันพบว่าสเต็มเซลล์ต้นกำเนิดเซลล์ ประสาทในระบบประสาทส่วนกลาง ประกอบไปด้วยเซลล์ต้นกำเนิดเซลล์ประสาท และเซลล์ต้นกำเนิดเซลล์ชนิดแอสโตรซัยท์และโอลิโกเดนโดรซัยท์
ที่มา นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ
Create Date : 16 กรกฎาคม 2553 |
Last Update : 16 กรกฎาคม 2553 8:23:08 น. |
|
0 comments
|
Counter : 277 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|