14. อุ่น
14. อุ่น


ศุภรุจรู้สึกตัวตื่นแต่เช้ามืด เค้าค่อยๆ ปลดแขนขาเล็กที่กอดก่ายอยู่บนลำตัวออก เอื้อมมือไปลูบศีรษะหนูริทที่ยังหลับพริ้มอยู่เบาๆ ร่างสูงเดินลงมาหน้าตึก ยืดเหยียดลำตัวไล่ความเมื่อยล้า พลันสายตาก็เหลือบไปเห็น ร่างของใครบางคนค่อยๆ ปีนป่ายโรยตัวลงมาจากระเบียงชั้นสอง ร่างนั้นร่วงลงมาหล่นตุ๊บก่อนจะถึงพื้น นอนแน่นิ่งอยู่กับที่สักพัก ค่อยผงกหัวขึ้นช้าๆ ไล่ความมึนงง ยันร่างกายเดินโซซัดโซเซกลับบ้านเล็กริมน้ำ

“โตโน่?”

ร่างสูงแหงนมองขึ้นไปที่ระเบียงชั้นสองด้วยความสงสัย

“ห้องนอนหนูริท?”

ศุภรุจเดินเลยไปทางเรือนแม่บ้านเพ็ญ ร่างโปร่งบางของใครบางคนกำลังเดินข้ามสะพานไม้ที่ทอดผ่านจากบ้านของเค้าไปยังฝั่งตรงข้าม

“เซน?”

ร่างสูงเดินต่อไป ในหัวเต็มไปด้วยคำถามมากมาย...โตโน่? หนูริท? เซน?

แม่บ้านเพ็ญตื่นนอนแล้ว เอ่ยทักขึ้น

“วันนี้ใส่บาตรคนเดียวเหรอคะคุณรุจ”

“ครับ”

แม่บ้านเพ็ญจัดสำรับใส่บาตรยื่นให้ ศุภรุจจะตื่นมาใส่บาตรทุกวันเป็นประจำสม่ำเสมอ ส่วนหนูริทมักจะใส่บาตรในวันพระ และโอกาสสำคัญต่างๆ นางรู้สึกแปลกใจที่วันนี้วันพระ แต่ไม่เห็นหนูริทลงมาใส่บาตรเช่นเคย

“แม่บ้านเพ็ญเตรียมของไว้เยอะเลย เดี๋ยวผมไปชวนโตโน่” ศุภรุจเอ่ยขึ้น เดินตรงไปยังบ้านหลังเล็กที่อยู่ห่างออกไปหลังซุ้มม่านบาหลี ใจอยากตามไปถามให้หายสงสัยด้วย

.................................................................



(TONO part)

เสียงเคาะดังเป็นจังหวะเร้าใจเหลือเกิน

ผมพยุงร่างตัวเองออกไปเปิดประตู คุณรุจยืนอยู่หน้าบ้าน มองผมด้วยสายตาสงสัยอะไรบางอย่าง ผมทักทายอรุณสวัสดิ์สั้นๆ รู้สึกว่าเสียงตัวเองสั่นเครือ คุณรุจชวนผมไปใส่บาตร ผมกอดอกเดินตามออกไป รู้สึกสะบัดร้อนสะบัดหนาว

“...นายไม่สบาย?” คุณรุจหันมาถามผม

“ฮะ อะไรนะครับ?” มือเรียวแตะหน้าผากผม บ่นว่าตัวร้อนจัด

“นายเป็นไข้ ใส่บาตรเสร็จแล้วก็กลับไปนอนพัก ฉันจะให้แม่บ้านเพ็ญเตรียมยากับข้าวต้มไว้ให้”

“แต่ผม...”

“ฉันจะไปส่งหนูริทที่มหาลัยเอง”

ภาคินคิดถึงใบหน้าหวานซึ้งของคนตัวเล็กแล้วนึกโกรธตัวเอง ทำไมเค้าต้องไม่สบายวันนี้ด้วยนะ อยากอยู่ใกล้ๆ อยากขับรถไปรับส่งที่มหาลัย

.................................................................




(RIT part)

ผมรู้สึกสบายใจที่รู้ว่าวันนี้คุณรุจจะไปรับส่งที่มหาลัย คุณรุจมีสีหน้ายุ่งยากใจเล็กน้อย แต่ผมไม่กล้าถาม กลัวว่าถ้าเค้าเปลี่ยนใจ แล้วผมต้องไปกับพี่โน่ ภาพของเค้ากับเซน ยังตามกวนใจผมไม่หยุดหย่อน แค่คิดถึงภาพนั้น ความรู้สึกสบายใจที่มีก็เริ่มหดหายไปทันที ผมเอื้อมมือไปเด็ดกลีบดอกตะวันที่ปลูกอยู่หน้าตึก ขว้างทิ้งอย่างเซ็งๆ

“รอ..เอ่อ พี่ภาคินอยู่เหรอครับหนูริท คนอะไรไม่รักษาเวลาเลยนะครับ” ผมหันไปตามเสียง กันนั่นเอง

“ริทไม่ได้รอเค้าซะหน่อย วันนี้คุณรุจจะไปส่ง” ผมหน้างอ มือเด็ดกลีบทานตะวันขยี้ทิ้ง

“งั้น...ขอตัวก่อนนะครับ” กันเอ่ยเสียงเบา ก้มหน้าทำท่าจะเดินเลี่ยงออกไป

“กัน...ไปพร้อมริทก็ได้ เดี๋ยวคุณรุจก็ลงมาแล้ว” ผมยิ้มให้ เดินไปจูงมือเค้าให้มายืนรออยู่ข้างๆ รถด้วยกัน รู้สึกได้ถึงแรงบีบเบาๆ ที่มือ ผมหันไปมองหน้า

“ดีใจจังครับ ดีใจที่สุดเลย” กันยิ้มเอียงอาย ใบหน้าหล่อคล้ำของเค้าแดงระเรื่อขึ้นจนผมนึกขำ

“อะไรของกัน ดีใจอะไร ริทงง” ผมแกล้งถาม คิดถึงรอยยิ้มหวานหยาดเยิ้มของเค้าเมื่อวาน มันหวานจนเลี่ยนจริงๆ

“ว่าไงล่ะ ดีใจอะไร?” ผมยื่นหน้าไปใกล้จนชิด ยั่วเค้าเล่น

เราโตมาด้วยกันก็จริง แต่ผมก็ไม่สนิทกับกันนัก เค้าเป็นนักกิจกรรมตัวยง ทั้งร้องเพลง เล่นกีฬา ขับเสภา อ่านทำนองเสนาะ เค้าทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดได้ดีมาก แต่ผมไม่ได้เรื่องเอาซะเลยนอกจากเอาดีด้านการเรียน กิจกรรมต่างๆ นานาของเค้า ทำให้เราเข้า-ออกบ้านคนละเวลา ถึงแม้จะเรียนที่เดียวกันมาตลอดจนถึงมหาวิทยาลัย เซนซะอีกที่สนิทกับเค้ามากกว่าผม นึกภาพงานกีฬาที่ผมถูกเกณฑ์ไปร้องเพลงเชียร์ เซนไปเต้นเชียร์ลีดเดอร์ให้กำลังใจกันที่ข้างสนามฟุตบอล ก็เหมาะสมกันดีแล้วนี่นา เซนจะมายุ่งกับพี่โน่ของผมทำไม

ฮึ! อายุยืนจริงๆ ร่างโปร่งบางของเซนเดินตรงมาที่เรา เค้าเหลือบมองมือของกันที่จับมือผมอยู่ ทำท่าจะเดินเลี่ยงออกไป ไม่ทักเราซักคำ อย่างที่ใจผมคิดว่าจะต้องได้ยินแน่ๆ

“เซน ขึ้นรถสิ” เสียงคุณรุจทักขึ้น ขายาวกำลังก้าวลงมาจากบันไดหน้าตึก

ผมมองคุณรุจหน้างอ ยืนนิ่งไม่ยอมขยับ

“พี่เจอเซนตอนลงมาใส่บาตรเมื่อเช้า เลยชวนเค้าไปด้วยกัน” ผมเจ็บจี๊ดขึ้นมาในใจ หมายความว่าเซนอยู่กับพี่โน่ถึงเช้าเลยงั้นเหรอ ผมบีบมือหนาที่จับอยู่แน่น

“กันขึ้นรถสิ นั่งกับริทนะ” กันเปิดประตูรถให้ผม ส่วนตัวเค้าอ้อมไปนั่งหลังคนขับ

ผมแปลกใจที่เซนไม่เจื้อยแจ้วเจรจาอย่างเคย เค้าตอบคำถามสั้นๆ ตามที่คุณรุจชวนคุย คงไม่สบายมั้ง หรือพักผ่อนน้อย ใช่สิ! กลางคืนไม่หลับไม่นอน แค่คิด ผมก็เจ็บจี๊ดขึ้นมาอีกครั้ง

กันซะอีกชวนผมคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ จนรู้สึกแปลกใจว่าเค้าก็คุยเก่งเหมือนกันนะ ปกติเคยเห็นเค้านิ่งๆ
เค้าพูดถึงเรื่องไปสอบใบขับขี่ แล้วขออาสาคุณรุจขับรถรับส่งผม ผมฟังเค้าเพลินจนเริ่มคล้อยตาม เห็นดีเห็นงามไปด้วย คุณรุจจะได้ไม่ต้องเหนื่อย แล้วผมจะได้ไม่ต้องนั่งรถกับพี่โน่ให้ลำบากใจ คุณรุจไม่หือไม่อือ จนผมเริ่มงอแง กันสีหน้าสลดลง ผมบีบมือเค้าเบาๆ ให้กำลังใจ เซนเหลือบมามองเราสองคนไม่พูดอะไร มือหนากุมมือผมไปไว้ที่ตักของเค้า ส่งสายตาอ้อนวอนจนผมอ่อนใจ

คุณรุจจอดส่งกันกับเซนหน้าประตูทางเข้ามหาวิทยาลัย ผมกำลังจะลงด้วย แต่คุณรุจดึงแขนผมไว้ เซนยกมือไหว้ขอบคุณคุณรุจ แล้วรีบเดินจ้ำอ้าวจากไป กันยืนส่งรถเรา เค้ามองผมด้วยสายตาอาวรณ์จนรู้สึกตะขิดตะขวงใจ

คุณรุจขับรถไปส่งผมถึงหน้าคณะ มาร์คยืนรออยู่ที่นั่น ผมรู้สึกว่าคุณรุจอารมณ์ดีขึ้นมาทันที แต่เพื่อนรักของผมกลับทำหน้าเซ็ง

“อย่าลืมบอกมาร์คเรื่องที่เราจะไปทำบุญนะ” ผมมองเมินหน้าระรื่นของคุณรุจที่สายตาจับจ้องอยู่ที่เพื่อนของผมไม่วางตา เจอเค้าแล้วก็บอกเค้าเองสิ ผมยื่นกระเป๋าให้มาร์ค เดินหน้างอเข้าตึก

.................................................................

หลังเลิกเรียนผมเดินทอดน่องลงจากตึก เพื่อนๆ ส่วนใหญ่ทยอยกลับบ้านกันหมดแล้ว มองซ้ายขวาหามาร์คไม่เจอ กันฉีกยิ้มกว้างวิ่งมาหาผม

“ดีใจจัง ที่เจอหนูริท กันนึกว่ากลับไปแล้วซะอีก” เค้าจะแปลกใจทำไมนะ ถ้าคุณรุจมารับ ผมก็กลับเย็นมากแบบนี้ทุกที

“ไปหาอะไรกินกันมั้ยครับ” ผมชั่งใจว่าจะรอมาร์คดีมั้ย แต่วันนี้เจอแล็ปทั้งบ่าย กระดิกกระเดี้ยไปไหนไม่ได้เลยชักหิวเหมือนกัน ผมพยักหน้า กันยื่นมือมารับ ผมส่งกระเป๋าให้ เค้าเอากระเป๋าผมไปสะพาย แล้วยื่นมือส่งมาให้อีก ผมเอียงคอ อมยิ้ม ก่อนจะยื่นมือออกไปให้ แอบขำในใจ กันนี่ก็ตลกดีนะ ทำเป็นเด็กๆ ไปได้ ตอนประถมผมชอบเดินจูงมือกับเพื่อนสนิท จะไปปลดทุกข์หนักเบา ก็ต้องไปด้วยกัน เพราะกลัวผีก๊อกน้ำ คิดถึงเรื่องเปิ่นๆ วัยเด็กแล้วก็เผลอยิ้มออกมา กันหันมามองนัยน์ตาหวานฉ่ำ ไหนๆ ก็ถนัดเพลงลูกทุ่งแล้ว ผมว่าเค้าน่าจะหัดร้องลิเกเพิ่มอีกอย่างนะ เค้าจะรู้มั้ยสายตาเค้าเหมาะเอาไว้อ้อนแม่ยกจริงๆ

“กัน... ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย” เซนเดินออกมาจากมุมตึก ผมแปลกใจกับท่าทางของเค้า ใบหน้านิ่งอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน เค้าไม่แสดงความรู้สึกใดๆ จนผมรู้สึกขนลุก ถ้าเซนจะแสดงความรู้สึกอะไรออกมาบ้าง จะดูน่ากลัวน้อยกว่าที่เป็นอยู่

“ฉันไม่มีเรื่องอะไรจะคุยกับนาย” กันฉุดมือผมให้รีบเดิน ผมสะบัดมือ เห็นท่าทางของเซนแล้ว อยากให้เค้าสองคนคุยกันให้รู้เรื่องมากกว่าเดินหนีแบบนี้

“ริท” เสียงมาร์คร้องเรียกผม ในมือถือแก้วน้ำดื่มกับถุงขนมร้านสะดวกซื้อวิ่งเข้ามาใกล้

“เอ่อ ริทว่ากันคุยธุระกับเซนก่อนก็ได้” ผมหยิบถุงขนมกับแก้วน้ำยื่นให้กันแบ่งไปกิน เค้าไม่รับ ชักสีหน้าบูดบึ้ง มาร์คจ้องหน้ากัน ดึงแก้วน้ำกับถุงขนมคืน จับมือผมกึ่งเดินกึ่งลากกลับไปหน้าคณะ

“ริทไปกับมันได้ยังไง?” มาร์คตะคอกถาม จนผมตกใจ

“พี่ชายริทไม่เตือนบ้างเหรอ ว่ามันเป็นคนยังไง” ผมงงกับคำถามมากมาย และคำพูดกำกวมของมาร์ค

“คุณรุจ? ทำไมเหรอ” พี่ชายของผมเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้

“มาร์คหมายถึง พี่ภาคิน” ผมไม่เข้าใจเรื่องที่มาร์คพูด พี่โน่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วยเหรอ หรือมาร์คจะหมายถึงเซน? พี่โน่กับเซน ทำไมสองคนนี้ถึงได้ตามมากวนใจผมอีกแล้วนะ

“มันไม่ใช่คนดี” ผมเห็นมาร์คทำท่าโมโห ไม่สิ เค้าโมโหจริงๆ หน้าสีเข้มขึ้นด้วยความโกรธ

“มาร์คมีอคติอะไรกับกันรึเปล่า” หรือเค้าไม่พอใจที่เห็นผมเดินจูงมือกับกัน ใช่สิ ผมคงลืมความรู้สึกของมาร์คที่มีต่อผม

“ยังไงก็แล้วแต่ ริทไม่ชอบที่มาร์คทำแบบนี้ เอาเป็นว่าเราจะไปเคลียร์เรื่องนี้กัน ยังไงริทกับกันก็โตมาด้วยกัน อยู่บ้านเดียวกัน ริทไม่อยากให้มาร์ครู้สึกแบบนี้ ริทเป็นคนกลางริทลำบากใจนะ” ผมเดินย้อนกลับไปทางเดิมที่เดินไปกับกัน มาร์คพ่นลมหายใจด้วยความหงุดหงิด แต่สุดท้ายก็เดินตามผมมา

.................................................................

ผมยืนนิ่งอึ้ง ตกตะลึงกับภาพที่เห็นอยู่ต่อหน้า ร่างบางของเซนถูกตบจนล้มคว่ำ ก่อนจะถูกดึงให้ลุกขึ้น ผลักไปติดกำแพง มือหนากระชากเสื้อนักศึกษาจนกระดุมขาดกระเด็น หน้าคล้ำเข้มซุกลงไปที่ซอกคอขาวอย่างบ้าคลั่ง เซนยืนหลับตาแขนตกลงไปข้างลำตัว ผมไม่รู้ว่าเค้ายังมีสติอยู่หรือเปล่า

“เฮ๊ย!!” เสียงมาร์คร้องขึ้น ทันทีที่ตามมาถึงและเห็นภาพน่าสะพรึงกลัวตรงหน้า กันหันควับมาตามเสียง ย่างสามขุมเข้ามาหาเราด้วยสีหน้าโกรธจัด

“หยุดนะกัน ทำไมทำแบบนี้” ผมร้องเรียกเซนวิ่งเข้าไปหาเค้าด้วยความตกใจ ทันทีที่เห็นร่างของเค้าร่วงลงไปกองกับพื้น มาร์คหันหลังกลับจะวิ่งหนี เค้าคว้าผมที่วิ่งเข้าไปหาเซนไว้ไม่ทัน มาร์คกลับวิ่งเข้ามาขวางกันที่กำลังเดินเข้ามาหาผม

ผมประคองเซนลุกขึ้น ก่อนจะหันไปตามเสียง “พลั่ก!!”

“เชี่ยกัน มึงเตะซ้ำแผลกู” เสียงมาร์คสบถ ร่างเล็กของเค้าร่วงลงไปกองกับพื้น ผมปล่อยเซน วิ่งเข้าไปกางแขนขวางไว้ไม่ให้กันทำร้ายมาร์ค

“หลีกไป หนูริท หรืออยากโดนมั่ง อยากได้แบบเซนหรือมาร์คล่ะ กันจะได้จัดที่ถูกใจให้” ผมยืนจ้องหน้าสู้สายตา ปากสั่งให้เค้าหยุด สองขาก้าวถอยหลังเรื่อยๆ

มือหนาเงื้อขึ้น กำลังจะฟาดลงมาที่หน้า ผมตกใจกลัวหลับตาปี๋ เสียงร้องโอ๊ย! ดังลั่นขึ้น ผมลืมตาขึ้นมามอง มาร์คล้มกลิ้งไปอีกทาง กันเดินตามไปเตะซ้ำ

“หยุด!!” เหมือนเสียงสวรรค์มาโปรด คุณรุจตรงเข้าไปกระชากกันออกจากมาร์ค ปล่อยหมัดไปที่ปลายคาง คุณรุจไม่หยุดแค่หมัดเดียวหรอก แต่เป็นเพราะเซนร้องห้ามไว้ ร่างบางตะเกียกตะกายคลานเข้ามากราบคุณรุจให้ปล่อยกันที่ฉวยโอกาสรีบเก็บข้าวของ แล้ววิ่งหนีไป

ผมร้องไห้โฮสะอึกสะอื้น วิ่งเข้าไปกอดคุณรุจแน่น ผมตกใจมากจริงๆ ไม่เคยเจออะไรที่รุนแรงต่อหน้าต่อหน้าแบบนี้มาก่อน เราพาร่างสะบักสะบอมของมาร์คกับเซนขึ้นรถ

คุณรุจขับรถไปส่งมาร์คถึงหน้าบ้าน สุดท้ายมาร์คก็ไม่กล้าลง เห็นสารรูปเค้าตอนนี้ คุณลุงคุณป้าคงตกใจแล้วกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ ผมกดโทรศัพท์เข้าเบอร์บ้านของมาร์ค พยายามข่มเสียงสั่นเครือของผมให้เป็นปกติที่สุด เอ่ยขออนุญาตให้มาร์คไปค้างที่บ้านของผม มาร์ครับโทรศัพท์จากผมไปพูดเพียงสั้นๆ เพราะเจ็บแผล คุณรุจรับต่อไปคุยให้เหตุผลที่น่าเชื่อถือและรับรองความประพฤติของเราสองคน ก่อนจะวางสายแล้วพยักหน้าบอกว่าคุณลุงคุณป้าอนุญาต

ผมมองร่างบางของเซนที่นั่งนิ่ง แววตาเลื่อนลอย เสื้อที่ถูกกระชากขาด เผยให้เห็นร่องรอยบาดเจ็บทั้งใหม่เก่ากระจายอยู่เต็มหน้าอกและตามลำตัว ผมไม่กล้าเอ่ยถามคำใดกลัวจะเป็นการทำร้ายจิตใจ คุณรุจถอดเสื้อสูทของเค้ามาคุมให้เซน มาร์คมองตามก่อนจะเบือนหน้าหนี ผมไม่เคยเห็นคุณรุจมีสีหน้าเครียดขนาดนี้มาก่อนเลย

.............................................................

แม่บ้านเพ็ญยืนร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่หน้าบ้าน ขอโทษที่ไม่สามารถกักตัวกันไว้รอชำระความตามที่คุณรุจโทรมาสั่งไว้ ผมพยุงมาร์คขึ้นตึก เซนแยกตัวกลับบ้าน รู้จากคุณรุจทีหลังว่า กันกลับมาเก็บเสื้อผ้าไปค้างที่หอเพื่อนก่อนหน้าเราจะกลับมาถึงบ้านไม่นาน

คุณรุจเตรียมหยูกยามากมายมาวางไว้ให้เรา แล้วก็หายตัวไป มาร์คนั่งหน้างอไม่พูดไม่จา ผมพยายามป้อนข้าวต้มให้มาร์ค โชคดีที่ถูกตบไปแค่ครั้งเดียว นอกจากมุมปากที่แดงช้ำแล้วก็ไม่มีตรงไหนบวมปูดให้เสียโฉม แต่บริเวณลำตัวกับสะโพกโดนไปเยอะเหมือนกัน ก็กันเล่นเตะไม่ยั้งเลยนี่นา ผมเพิ่งรู้ว่าวันที่พี่โน่ไปรับเรา มาร์คก็มีเรื่องกับกัน พี่โน่นะ ไม่บอกผมให้ระวังตัวซักคำ หรือต้องรอให้ผมถูกเค้าทำร้ายก่อนงั้นเหรอ

...................................................................




(TONO part)


ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นในตอนหัวค่ำ กึ่งนั่งกึ่งนอนเอนหลังพิงเบาะอยู่บนเตียง คุณรุจถือชามข้าวต้มเข้ามาหาถามไถ่อาการ

“ยังไม่ตาย...?” คุณรุจทักทายหน้ายิ้มๆ ลากโต๊ะเล็กๆ มาวางชามข้าวต้มข้างๆ เตียง

“ตายไม่ได้ครับ ยังไม่มีเมีย” ผมตอบกลับไปกวนๆ ยังรู้สึกสลึมสะลือ คุณรุจกำหมัดทุบกำปั้นลงบนหัวผมเบาๆ

“กินซะสิ หรือจะให้ป้อน ชั้นต้มเองกับมือนะ” ผมชะงักมือที่ยื่นไปหยิบชามข้าวต้ม ทำหน้าล้อเลียนพี่ชายว่าจะกินลงมั้ยแบบเหนื่อยๆ หยิบชามข้าวต้มมาละเลียดกินด้วยความหิว ตั้งแต่เช้ามีข้าวต้มของแม่บ้านเพ็ญตกถึงท้องแค่ชามเดียว แล้วไม่เห็นแวะมาดูผมอีก คนบ้านนี้หายไปไหนกันหมดนะ จะให้ลุกไปเอง ก็เพลียเหลือเกิน

แล้วผมก็ได้รับคำตอบ คุณรุจนั่งปรับทุกข์กับผมถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น ระหว่างที่ผมนอนป่วยอยู่ ผมเสียใจกับการกระทำของกัน นึกถึงใบหน้าช่างฉอเลาะของคนแก้มป่องรู้สึกสงสารเซนจับใจ

“มาร์คค้างที่นี่เหรอ” ผมมองคุณรุจด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ เอานิ้วเขี่ยๆ สีข้างพี่ชาย แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองเพลี่ยงพล้ำทันทีที่พี่ชายตอบกลับมาด้วยสายตาที่รู้ทัน

“แล้วนายนึกยังไงไปนั่งตากยุงตากน้ำค้างอยู่ระเบียงห้องหนูริทจนเป็นไข้” ผมลุกหนีคำถามตอบยาก ไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ คุณรุจยังเดินตามมาตอแย เห็นแล้วเฉยไม่ได้รึไง จะพูดทำไมเนี่ย คิดบ้างมั้ย เห็นแบบนี้ ผมก็อายเป็นนะ

“เสียใจด้วย เมื่อคืนหนูริทนอนที่ห้องฉัน นายสารภาพมาซะดีๆ ว่าทำอะไรให้ไอ่ตัวเล็กของฉันร้องไห้ฟูมฟาย”

ผมงงกับสิ่งที่ได้ฟังจากคุณรุจ หนูริทร้องไห้งั้นเหรอ เกิดอะไรขึ้นนะ ผมเดินไปส่งเค้าที่ตึกหน้า...ภาพเมื่อคืนย้อนกลับมาทีละฉาก หรือแววตาเย็นชาวูบหนึ่งที่ผมระแวง...


“คุณรุจ” เสียงใสเรียกพี่ชายคนโตอยู่หน้าบ้าน ผมรีบเดินกลับมาที่เตียงไถลตัวลงนอน ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุม แกล้งหลับ

............................................................................




(RIT part)

ผมเดินตามหาคุณรุจจนทั่วบ้านแต่ไม่เจอ รู้สึกไม่สบายใจอยากปรึกษาเรื่องที่เกิดขึ้น สงสารแม่บ้านเพ็ญที่คงเสียใจกับพฤติกรรมของลูกชายคนเดียวมาก ไม่อยากให้คุณรุจเอาเรื่องเอาราวอะไรอีก ผมตั้งใจจะไปปลอบโยนให้หายกลุ้มใจ แต่ก็ไม่รู้จะสรรหาคำพูดใด สุดท้ายก็เดินเรื่อยเปื่อยไม่รู้ว่าใจหรือขาที่พาผมมาที่นี่ รู้ตัวอีกทีก็ยืนอยู่หน้าซุ้มม่านบาหลีแล้ว หลังจากเก้ๆ กังๆ ชั่งใจอยู่นาน ก็แก้เก้อทำทีเป็นตามหาพี่ชาย แต่ผมก็กำลังตามหาคุณรุจอยู่จริงๆ นี่นา

“คุณรุจ” ผมเรียกออกไปด้วยใจตุ้มๆต่อมๆ แล้วก็เป็นคุณรุจที่เดินมาเปิดประตู อยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย
ผมเดินเข้าไปในบ้าน รู้สึกแปลกใจที่เห็นพี่โน่นอนหลับอยู่บนเตียง

“เป็นไข้” คุณรุจคลายความสงสัยให้ผมสั้นๆ

“ตั้งแต่เมื่อไหร่” ผมจ้องหน้าพี่ชายคนโตคาดคั้นเอาคำตอบ

“เมื่อเช้า” คุณรุจไม่คิดจะบอกผมซักคำว่าพี่โน่ไม่สบาย ผมมองสภาพคนป่วยแล้ว นอนซมคลุมโปง หน้าตาซีดเซียว แล้วนี่มีใครดูแล กินข้าวกินยาบ้างหรือยังนะ ผมร้อนใจ หยิบขวดยาขึ้นมาดู เห็นชามเปล่าในมือคุณรุจ

ศุภรุจเหลือบไปมองคนป่วยที่แกล้งหลับ และดูท่าทางแล้วคงแกล้งป่วยเพิ่มขึ้นด้วย นอนห่มผ้าหนาวสั่นดูน่าเวทนาจริงๆ เชียว

“พี่เอาข้าวต้มมาให้มัน แต่มันหลับ พี่เลยจับกรอกปาก แล้วกรอกยาตาม อร่อยนะ หนูริทกินมั้ย เดี๋ยวพี่ต้มให้อีกชาม เอาข้าวต้มหมูสับ หรือข้าวต้มกุ้งดี หรือจะเอาข้ามต้มปลาหมึกที่หนูริทชอบ”

คุณรุจร่ายยาวเมนูข้าวต้มให้ผมฟัง อะไรกัน น้องชายนอนป่วยอยู่ทั้งคน ยังมีอารมณ์มาพูดกวนผมอยู่ได้ ไม่ตลกนะ

ผมไม่สนใจคำพูดยืดยาวของคุณรุจ จัดแจงหาผ้าขนหนูกับกาละมังเล็ก เตรียมจะเช็ดตัวให้พี่โน่ คุณรุจออกไปยืนดูอยู่ห่างๆ คงกลัวรังสีอำมหิตของผมจะแผ่ไปถึงเค้า

“มาร์คล่ะ?” เสียงคุณรุจถามขึ้น ผมชะงักมือที่กำลังจุ่มผ้าผืนเล็กลงในกาละมัง หันไปตอบคุณรุจเสียงห้วน

“อาบน้ำ”

คุณรุจพยักหน้ารับ ลุกเดินออกไป

“จะให้ตามหมอหรือนิมนตร์พระก็บอกนะ พี่จะขึ้นตึกล่ะ” ผมมองค้อน ยังไม่ทันจะเอ่ยคำพูดใด ประตูก็ปิดลงซะก่อน

ผมแตะมือเบาๆ ที่หน้าผาก ตัวอุ่นๆ แต่ทำไมถึงดูหนาวสั่นแบบนี้นะ

ลองเขย่าแขน เรียกชื่อเค้า “พี่โน่ พี่โน่ครับ”

ร่างแกร่งนอนนิ่ง ผมใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำบิดหมาดๆ เช็ดไปตามใบหน้า ซอกคอ แกะกระดุมเสื้อนอนของเค้าออกทีละเม็ด แหงนหน้ามองเพดาน ค่อยๆ เช็ดไปทีส่วน ถึงเค้าจะไม่รู้สึกตัว แต่ผมก็ไม่กล้ามอง...พยายามไม่ให้มือสัมผัสออกมานอกผ้าขนหนูผืนเล็ก รู้สึกสองแก้มของตัวเองร้อนผ่าวขึ้นเรื่อยๆ

“หนะ...หนาว” เสียงครางเบาๆ ของพี่โน่ ดึงสายตาให้ผมต้องก้มลงมอง มือของผมวางอยู่บนอกแกร่ง สายตาสะดุดกับมัดกล้ามแข็งแรง รู้สึกอายจนต้องรีบชักมือกลับ

“หนาว” หน้าขาวหลับตาคิ้วขมวดมุ่น บิดกายหาความอบอุ่น ส่งเสียงคราง เป็นระยะๆ

ผมลูบเบาๆ ที่แก้มพี่โน่ ความสงสารแล่นขึ้นมาจับใจจนน้ำตารื้นออกมา นิ้วเรียวเล็กค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อชุดนอนของตัวเองออก ทอดกายทาบทับอกเปลือยเปล่าของผมลงไปที่อกแกร่งของเค้าจนแนบชิดเพื่อถ่ายทอดไออุ่น

.......................................................................




(RUJ part)

ร่างสูงของศุภรุจยืนนิ่งอยู่บนสะพาน แหงนมองพระจันทร์ดวงกลมโตส่องกระจ่าง...ยกสองแขนกอดตัวเองให้อุ่น “แม่พิมครับ หวังว่าไอ้สองแสบของผมคงจะคืนดีกันได้ซะทีนะครับ”

ขายาวก้าวเดินกลับไปที่ตึกหน้า เค้าหยุดยืนมองขึ้นไปที่ระเบียงชั้นสองห้องนอนของหนูริท เจ้าของห้องยังอยู่ที่บ้านเล็กริมน้ำ...ประตูกระจกบานเลื่อนค่อยๆ เปิดออก มาร์คเดินกะเผลกออกมารับลมเย็น ร่างเล็กแหงนหน้ามองพระจันทร์สวยเด่นบนท้องฟ้า จะรู้บ้างมั้ยว่ามีใครอีกคนที่เบื้องล่างกำลังแหงนมองดูเค้า

ศุภรุจถอนหายใจเดินกลับเข้าตึก ร่างเล็กก้มมองตามแผ่นหลังของคนร่างสูง ถอนหายใจยาวเดินกลับเข้าห้อง

...................................................................

เสียงเคาะดังขึ้น ผมวางหนังสือในมือลง เดินไปเปิดประตู มาร์คยืนมองผมนิ่ง ในมือมีตะกร้าใส่ยาชนิดต่างๆ ที่ผมเป็นคนจัดไว้ให้เอง

มาร์คเดินเข้ามานั่งลงบนเตียง

“ผมไม่รู้ว่าต้องทายาอะไรบ้าง” เค้าวางตะกร้ายาลงข้างๆ ตัว

อืม มันก็เยอะจนน่างงจริงๆ

ผมหยิบขวดยาออกมาวางไว้นอกตะกร้า มาร์คยังคงนั่งนิ่ง

ผมมองหน้าเค้า ก่อนจะค่อยๆ แตะยาเบาๆ ไปที่มุมปากช้ำ

มาร์คปัดมือผมออก “ไม่ต้อง ผมทาเองได้” เสียงของเค้างอแง เอาแต่ใจ

ผมวางขวดยาลง นั่งรอว่าเค้าจะเอายังไง

มาร์คนั่งจ้องหน้าผม มือเล็กปลดกระดุมเสื้อตัวเองออก ผิวขาวผ่องมีรอยแดงช้ำที่อก และแผ่นหลัง เค้าคงเจ็บมาก

ผมค่อยๆ ทายาให้ทีละจุดอย่างเบามือที่สุด

“มองหน้าพี่ทำไม พี่ไม่ได้คิดอะไรอย่างที่มาร์คคิดหรอกน่า” ผมยักคิ้วให้มาร์คที่นั่งจ้องผมสีหน้าเครียด มือป้ายยาให้เค้าไปเรื่อยๆ

มาร์คเบือนหน้าหนี นั่งหลับตานิ่ง ผมไม่เข้าใจกิริยาของเค้า เลยคิดเอาเองว่าเค้าคงเจ็บแต่กลัวเสียหน้า

ผมหยิบขวดยาใส่ตะกร้า เดินเอาไปเก็บในตู้ มาร์คมองตาม

“คุณรุจ อยู่เป็นเพื่อนผมก่อนได้มั้ย” ผมว่ามาร์คคงเครียดเกินไปแล้วล่ะ

“ที่นี่ห้องนอนของพี่นะมาร์ค พี่ไม่ไปไหนหรอก” ผมหัวเราะขำๆ กลับไปเอนกายลงนอนอ่านหนังสือท่องยุทธจักรของผมต่อไป

มาร์คเอนกายลงนอนข้างๆ หันหลังให้ผม ดึงผ้าห่มจากผมไปคลุมตัวเองไว้ ไม่นานก็หลับไปด้วยท่าทางอ่อนเพลีย

ผมรู้สึกแปลกใจที่มาร์คไม่ถามถึงหนูริทซักคำ และไม่กลับไปนอนที่ห้องของหนูริท...จนเช้า

.....................................................................




Create Date : 10 มีนาคม 2554
Last Update : 12 ธันวาคม 2554 0:25:02 น.
Counter : 190 Pageviews.

0 comments

Phoenix_x
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



เราเป็นคนขี้เกียจแล้วก็ชอบนอนมากๆ
วันๆ เราไม่ทำอะไรเลย เคลื่อนไหวได้ด้วยแรงเฉื่อย

มีนาคม 2554

 
 
1
2
3
9
12
13
14
15
16
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31