7. เสื้อสีฟ้าของผม
7. เสื้อสีฟ้าของผม


สายลมอ่อนๆ พัดโชยหอบเอาความสดชื่นของไอน้ำจากลำคลองเล็กเข้ามายังเรือนไม้ ความร่มครึ้มของพันธุ์ไม้น้อยใหญ่ที่ปลูกอยู่รายรอบ แผ่ความเย็นมาให้ แม้ในช่วงเวลาบ่ายวันอาทิตย์เช่นนี้

“เฮ้อ” เสียงถอนหายใจ ดึงให้หญิงวัยกลางคนต้องละสายตาจากการบรรจงพับกลีบดอกบัว หันมามองเด็กหนุ่มด้วยความเอ็นดู อมยิ้มน้อยๆ

“แม่บ้านเพ็ญครับ ริทต่อไหล่ไม่ได้สักที ถักแล้วแก้ๆ หลายรอบแล้วนะครับ ริทว่าแขนมันเบี้ยวๆ อ่ะ” หนุ่มน้อยเบะปาก หน้างอ ในมือมีเสื้อไหมพรมสีฟ้าที่ถักไปได้เกือบเสร็จแล้ว เหลือเพียงช่วงไหล่ต่อแขนเท่านั้น ที่เจ้าตัวถักแล้วแก้เท่าไหร่ก็ยังไม่พอใจ

“สวยใช้ได้แล้วนะคะหนูริท เพิ่งถักเป็นตัวแรก ก็ยากอย่างนี้ล่ะ อีกหน่อยก็เก่ง ถ้าหนูริทกลัวไม่สวย เดี๋ยวป้าจะช่วยต่อไหล่ให้ ” แม่บ้านเพ็ญให้กำลังใจ

“ริทอยากทำเอง ถึงมันจะไม่สวย แต่ริทก็ภูมิใจที่เสื้อตัวนี้เสร็จได้ด้วยฝีมือริทจริงๆ” เรืองฤทธิ์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง จับเสื้อไหมพรมพลิกซ้ายพลิกขวา ก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

ดอกบัวในมือถูกวางลงในพานเงิน “ไหนขอดูหน่อยสิคะ ติดขัดตรงไหน ทำไมเด็กน้อยของป้าถึงได้หน้างอแบบนี้”

เรืองฤทธิ์ยื่นเสื้อไหมพรมให้ แม่บ้านเพ็ญรับไปพิจารณา แล้วเอ่ยทักขึ้น

“หนูริทถักตัวใหญ่ไป ตอนขึ้นโซ่ คิดว่าพอดีแล้วนะคะ หนูริทไปขยายตัวเสื้อขึ้นอีกรึเปล่า” แม่บ้านเพ็ญเอ่ยถามด้วยความสงสัย

เรืองฤทธิ์มีท่าทีอึกอัก ก้มหน้าซ่อนความเขินอาย ก่อนจะตอบเสียงเบา

“ คือว่า ริทไม่ได้ใส่เอง ริทจะถักให้...เอ้อ...เป็นของขวัญปีใหม่ครับ”

“อืม ถ้าอย่างนั้น ป้าจะช่วยดูให้ก็แล้วกัน ถ้าหนูริทจะถักเสื้อให้คุณรุจ งั้นแพทเทิร์นที่ป้าให้ไปคงใช้ไม่ได้”

“แต่...แค่ช่วยดูให้เฉยๆ ก็พอนะครับ ริทอยากทำเองจริงๆ” มือเรียวหยิบเสื้อคืนไปซุกไว้กับอก

แม่บ้านเพ็ญนั่งมองเด็กหนุ่มที่กำลังทุ่มเทมุ่งมั่นอยู่กับงานฝีมือตรงหน้า สงสัยในท่าที แอบคิดอะไรในใจเงียบๆ แล้วก็เผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ถ้าเรืองฤทธิ์ถักเสื้อตัวนี้ให้ศุภรุจก็ดูจะขนาดเล็กไปหน่อย หรือว่า...นางคิดถึงใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มของลูกชาย น้องกันชอบสีฟ้า ถ้าเค้ารู้คงตื่นเต้นน่าดู

..........................................................................

เรืองฤทธิ์ก้มหน้าก้มตาห่อของขวัญอย่างตั้งใจ บรรจงพับเก็บริมกระดาษลายดอกกล้วยไม้สีฟ้าอย่างสวยงามเรียบร้อย มองห่อของขวัญตรงหน้าด้วยความชื่นชม รำพึงกับตัวเอง

“จะใส่ได้พอดีมั้ยน้า...เค้าจะตัวสูงใหญ่แบบคุณรุจมั้ย” มือเรียวหยิบการ์ดเล็กๆ ขึ้นมา จดปากกานิ่งอยู่นาน แต่ไม่ได้เขียนข้อความใดๆ ลงไป สุดท้ายก็วางปากกาลงในกล่องตามเดิม

...............................................................................

กันกำลังสาละวนอยู่กับการห่อของส่งให้ภาคิน ส่วนใหญ่จะเป็นจำพวกของแห้งอาหารทะเล และอาหารเสริมบำรุงร่างกาย เรืองฤทธิ์เดินเข้าไปใกล้ ยื่นห่อของขวัญให้ กันมองจ้องใบหน้าหวานตรงหน้าอย่างมีความหมาย ฉีกยิ้มกว้างตาเป็นประกาย ยื่นมือมารับ

“อะไรอยู่ในห่อนี้นะ...กันอยากเห็นจัง” หนุ่มหน้าหล่อเอ่ยถามเสียงหวาน มือหนาค่อยๆ ลูบไล้ไปตามห่อของขวัญสีฟ้า อันเป็นสีโปรดปรานของเค้า จะใช่เสื้อที่แม่เพ็ญของเค้าเล่าให้ฟังว่าหนูริทแอบถักให้ใครบางคนมั้ยนะ ก่อนจะเอ่ยคำใดต่อ ร่างบางตรงหน้าก็เอ่ยขึ้นเสียก่อน

“อื้อ กันจับเบาๆ สิ อย่าให้กระดาษยับนะ ริทนั่งห่ออยู่ตั้งนาน แยกกล่องให้ด้วย อย่าใส่รวมห่อเดียวกับปลาหมึกล่ะ เดี๋ยวเสื้อจะเหม็น...เขียว อิอิ” เรืองฤทธิ์เน้นคำว่า เขียว ทำหน้าตาล้อเลียนสีผิวของกัน ก่อนจะหมุนตัวกลับ แล้วรีบเดินขึ้นตึก

“ทำไมนะ มันก็ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ทำไมใครๆ ถึงยังได้อาลัยอาวรณ์มันนัก ฮึ” กันกัดฟันกรอด ก้มหน้าซ่อนแววตา จับห่อของขวัญยัดลงในถุงปลาหมึกแห้ง กำลังจะปิดกล่องพัสดุ สายตาก็เหลือบไปเห็นซองสีชมพูหวานฉุนกลิ่นน้ำหอม วางทิ้งอยู่ข้างๆ...

“ฝากนี่ด้วยสิ รูปถ่ายตอนฉันเป็นเชียร์ลีดเดอร์ ให้พี่ภาคินไว้ดูเล่น”

กันหยิบแผ่นกระดาษออกมาดู การ์ดด้านในสีชมพูเข้มกว่าซอง แปะรูปคนแก้มป่องในชุดสีชมพูบานเย็นติดระบายสีขาวรอบคอและแขนฟูฟ่อง มือไขว้ หลังแอ่น อกตึง ลายมือน่ารักเขียนบทกลอนรักแบบไร้สัมผัส เต็มไปด้วยความหวานเลี่ยน กันจับยัดแบบลวกๆ ลงไปรวมกับห่อของขวัญยับย่นสีฟ้าของเรืองฤทธิ์

“ส่งของเสร็จแล้ว อย่าลืมโทรบอกภาคินด้วยนะคะน้องกัน ได้รับแล้วก็ให้โทรมาขอบคุณคุณรุจด้วย” เสียงแม่บ้านเพ็ญแว่วมาจากในบ้าน กันไม่ตอบรับไม่ปฏิเสธ เดินกระแทกเท้าออกไปด้วยความหงุดหงิดใจที่ได้ยินชื่อคนๆ นี้

..........................................................................

เรืองฤทธิ์ก้มหน้าก้มตาคร่ำเคร่งอยู่กับการอ่านหนังสือสอบเข้ามหาวิทยาลัย เปลือกตาสวยเริ่มหรี่ลงๆ เรื่อยๆ ปากสวยหาวหวอด ร่างเล็กค่อยๆ เลื้อยตัวลงนอนบนเสื่อที่ปูอยู่บนสนามหญ้า

“น้ำแตงโมปั่นเย็นๆ ชื่นใจจ้ะหนูริท” เรืองฤทธิ์เงยหน้า เอ่ยขอบคุณ ก่อนจะเปิดบทสนทนา

“คุณรุจดูข่าวรึเปล่าครับ เขาบอกว่าปีนี้อากาศจะหนาว...”

หนุ่มหล่อจัดนั่งลงฝั่งตรงข้าม

“ไม่ชอบเลย ผิวแห้งแตกจนแสบคันไปหมด พี่ไปงานรับปริญญาเพื่อนที่มหาสารคาม เค้าเอาน้ำมันมะพร้าวให้ทา พี่ล่ะไม่ชอบกลิ่นน้ำมันมะพร้าวเอาซะเลย แต่ใช้ดีนะ ผิวเนียนนุ่ม...แต่ยังไงก็ยังกลิ่นดีกว่าน้ำมันมะกอก”

ชายหนุ่มยังร่ายยาวต่อไปถึงการใช้ชีวิตหน้าหนาวในต่างจังหวัดแม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่วัน แต่เรื่องราวไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ

“มหาสารคามหนาวมาก แล้วขอนแก่นจะหนาวมั้ยนะ” เรืองฤทธิ์รำพึงเบาๆ แขนเรียวกอดอกตัวเองไว้ทันทีที่มีลมวูบหนึ่งพัดผ่านมา

“ว่าแต่หนูริทเห็นโปสการ์ดของไอ้โน่รึยัง มันส่งมาให้ดูต่างหน้าตอนปีใหม่ พี่ฝากกันลงมาแล้วนะ... ไอ้นี่หนีเที่ยวอีกแล้ว บ้านช่องไม่ยอมกลับ ไม่เจอมันนานแค่ไหนแล้วเนี่ย การ์ดส่งมาจากชัยภูมิ อุทยานแห่งชาติอะไรซักอย่าง” ชายหนุ่มบ่นยืดยาว

“ภูเขียว?”

“อื้อ ใช่ๆ”

“บ้านเพื่อนริทอยู่ที่นั่น มาร์คไงครับ”

“อ้อ ลืมไปว่าริทมีเพื่อนเป็นคนป่า” ศุภรุจนึกถึงหน้าหวานคมของหนุ่มหล่อร่างเล็ก เพื่อนสนิทของน้องชายแล้วก็อดล้อไม่ได้ เจอกันทีไร มาร์คก็หลบหน้าหลบตาเค้าทุกที ขอแกล้งซะหน่อยเถอะ

“ก็เป็นซะอย่างงี้ มาร์คเค้าถึงไม่ชอบหน้า”

อยู่ๆ ใบหน้าหล่อก็นิ่งขรึมขึ้น รู้สึกจี๊ดๆ ในใจ “นายไม่ชอบหน้าชั้นจริงๆ เหรอมาร์ค? นายคงอิจฉาขายาวๆ ของชั้นสินะ หะหะ”

“แล้ว...พี่โน่...” ตัวเล็กเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นว่าอยู่ๆ พี่ชายของเค้าก็เงียบไป

ศุภรุจปรับอารมณ์คืนมาทันที หัวเราะร่า “ไอ้นี่มันบ้า ส่งโปสการ์ดรูปตัวเองกับเพื่อนๆ มาให้ มันกลัวไม่หล่อ ใส่แค่สเวตเตอร์ตัวเดียว คงนึกว่าตัวเองเป็นพระเอกเกาหลี เพื่อนๆ มันสิห่อหน้าห่อตัวปิดหูปิดตายังกะมัมมี่ ท่าทางบนภูจะหนาวมาก เชื่อสิ ไอ้โน่มันต้องเอาน้ำมันมะกอกมาทาตัวกันผิวแตกแน่ๆ ฮ่าๆ”

สุดท้ายคุณรุจก็วนกลับไปน้ำมันมะกอกจนได้ เรืองฤทธิ์ก้มหน้าซ่อนยิ้มนึกขำท่าทางกลัวน้ำมันมะกอกของพี่ชาย มือเรียวรวบหนังสือ ลุกเดินตรงไปยังเรือนแม่บ้านเพ็ญ ไม่สนใจพี่ชายที่กำลังควานหายาดมเป๊ปเปอร์มินต์มาดับกลิ่นน้ำมันมะกอกในจินตนาการ

..........................................................................

“ว่ายังไงคะหนูริท เห็นคร่ำเคร่งอยู่กับตำราเรียนตั้งนาน ป้าทำน้ำแตงโมปั่นให้ คุณรุจเธอผ่านมาพอดี ทานรึยังลูก เย็นชื่นใจดีนะคะ” ป้าเพ็ญเอ่ยทักทันทีที่เรืองฤทธิ์หย่อนกายลงนั่งพับเพียบข้างๆ

เค้าลืมน้ำแตงโมปั่นเสียสนิท เพราะมันไม่อยู่ในความสนใจเท่ากับเรื่องที่เขาได้ยินจากคุณรุจ....โปสการ์ดของพี่โน่

..........................................................................


กันนั่งอยู่บนราวสะพาน มองรูปในโปสการ์ดที่คุณรุจฝากมาให้แม่บ้านเพ็ญ นี่คงเป็นเสื้อสีฟ้าตัวนั้นของหนูริทสินะ มิน่าล่ะ นานแล้วทำไมไม่เห็นเอามาให้อย่างที่แม่เค้าบอก ฮึ! เซอร์ไพรส์งั้นเหรอ ใช่! เซอร์ไพรส์มาก

“อะไรน่ะ” มือเรียวของเซนแย่งโปสการ์ดในมือไปต่อหน้าต่อตา

“พี่ภาคิน!” แก้มป่องของเซนแดงเรื่อขึ้น นัยน์ตาลอยชวนฝัน ถึงพี่ภาคินจะไม่หล่อเทพบุตรสุดเอื้อมแบบคุณรุจ แต่ก็หล่อเท่ติดดินเกาะกินหัวใจเหลือเกิน

“เอาคืนมา ถ้าไม่อยากโดนดี อย่าเอ่ยชื่อมันให้ฉันได้ยิน” กันออกคำสั่งเสียงเข้ม คว้าโปสการ์ดคืนมา

มือเรียวยื้อแย่ง ไม่ยอมคืนให้ “คิดว่าฉันจะกลัวเหรอ ไม่มีใครเชื่อเรื่องหลอกเด็กของเธอหรอก”

หลังเกิดเหตุการณ์ร้ายที่หนูริทตกน้ำ กันมักจะนำเรื่องที่เค้าชวนหนูริทไปพายเรือเล่นมาขู่เสมอ เวลาเค้าทำอะไรไม่ถูกใจ

“เอาสิเซน ถ้าเธอกล้า ก็ขอให้กล้าให้ตลอด ถ้าคิดว่าความลับนี้เป็นแค่เรื่องหลอกเด็ก งั้นฉันสร้างความลับเรื่องใหม่ให้เธอดีมั้ย”

กันจับข้อมือเรียวขาวของเซน กำบิดล๊อกไว้ในท่าไพล่หลังพิงอกเค้าไว้ กดจมูกสูดดมไปตามลำคอขาวระหงอย่างบ้าคลั่ง เซนไม่ใช่คนตัวเล็ก แต่ความรักสวยรักงาม ทำให้เค้าไม่ค่อยเล่นกีฬาหักโหมนัก กล้ามที่ควรจะมี กลับเป็นเนื้อนวลนุ่มนิ่มไปทั้งตัว ร่างบางเริ่มหมดแรงอ่อนระทวยอยู่ในอ้อมกอด มือหนาเชยคางมนให้หันมาเผชิญหน้า เปลือกตาหรี่ปรือกับปากเล็กบางที่สั่นระริกน้อยๆ งามเย้ายวนใจชวนให้หลงใหล

“ว่าง่ายๆ อย่างนี้สิ ฉันชอบ” กันยิ้มเยาะ ประกบริมฝีปากหนาลงไปที่กลีบปากบางเรื่อสีชมพู บดขยี้รุนแรงหนักหน่วงเป็นเวลานาน จึงค่อยถอนจูบออกมา

“มัดจำไว้ก่อน เดี๋ยวคราวหน้า จะจัดหนัก” หน้าหล่อเข้มยักคิ้วแสยะยิ้มอย่างถือไพ่เหนือกว่า หยิบโปสการ์ดที่หล่นอยู่บนพื้นหญ้า แล้วเดินจากไป

เซนยกมือเรียวขึ้นเช็ดปากบางที่เริ่มบวม ถูไปมาอย่างแรงเพื่อลบรอยมลทินที่เกิดขึ้น หยดน้ำใสคลอไหลอาบสองแก้ม มองตามชายหนุ่มที่เดินลับไปด้วยแววตาตัดพ้อระคนน้อยใจ ที่เค้าไม่เคยขัดขืน และยอมทุกอย่างมาตลอด ไม่ใช่เพราะกลัว แต่จะมีสักครั้งบ้างมั้ย ที่กันจะอ่อนโยนและคิดถึงความรู้สึกของเค้าบ้าง

..........................................................................

เรืองฤทธิ์พยายามตะล่อมถามแม่บ้านเพ็ญถึงโปสการ์ด เค้าไม่กล้าเอ่ยตรงๆ ไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองว่าทำไม แค่จะเอ่ยชื่อคนๆ นั้น ก็รู้สึกผิวแก้มร้อนผ่าว แม่บ้านเพ็ญดูจะไม่เข้าใจความรู้สึกของเค้าเอาซะเลย สุดท้ายเรืองฤทธิ์ก็ยอมแพ้ เอ่ยลาแล้วเดินกลับบ้าน

..........................................................................

(RIT part)

ผมเดินเอื่อยๆ ก้มหน้ามองหาก้อนหิน เตะมันกระเด็นก้อนแล้วก้อนเล่าอย่างใช้ความคิด หมุนตัวกลับ ตัดสินใจจะไปถามแม่บ้านเพ็ญตรงๆ กันเดินสวนไปโดยไม่ทัก ผมรู้สึกแปลกใจ ผมไม่เห็นเค้าเพราะมัวแต่ใจลอย แต่เค้าไม่เห็นผมแน่เหรอ จะเอ่ยปากเรียกถามถึงโปสการ์ด ความปอดก็กลับเข้ามาเยือนอีก ผมตัดสินใจเดินตามเค้าไปห่างๆ มองเห็นอะไรบางอย่างปลิวลงไปที่ข้างทาง

ผมเดินไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ของในมือกันหล่นลง ความอยากรู้อยากเห็นทำให้ผมอดมองไปที่กอมะลิซ้อนนั่นไม่ได้

กระดาษสีขาวนวล เขียนด้วยลายมือหวัดยึกยือที่ผมคุ้นเคย ไม่ว่านานแค่ไหนผมก็จำได้ ไม่มีข้อความอื่นใดนอกจากชื่อและที่อยู่ผู้รับ คุณรุจเคยตั้งข้อสังเกตว่า ที่เค้าไม่เขียนยืดยาว เพราะสงสารคนอ่าน

ผมค่อยๆ พลิกด้านหน้าโปสการ์ดกลับมา หัวใจเต้นแรงเหมือนจะทะลุออกมานอกอก ชายหนุ่มหน้าคมยิ้มยิงฟันยืนเด่นอยู่ในกลุ่มเพื่อน ผมใช้นิ้วเล็กลากไล้ไปตามใบหน้าเรียวของคนในรูป รอยยับของกระดาษที่พาดผ่านไม่สามารถทอนความรู้สึกที่เค้าส่งมาให้ได้ ม่านน้ำตาที่รื้นขึ้นจนเปียกแพขนตาหนา ทำให้ทุกอย่างดูเบลอไปหมด ผมยิ้มตอบให้พี่โน่ ยกโปสการ์ดขึ้นแตะที่ปากเบาๆ

“เสื้อสีฟ้าของผม”





...............................................................................






(RIT part)

เสียงเพลงเกาหลีจังหวะเร้าใจชวนดิ้นดังมาตามลม สร้างความแปลกใจ จนผมต้องเดินไปดู

ตาไม่ฝาดใช่มั้ย เซนทำอะไรของเค้า “กวาดบ้าน?”
ผมเดินเข้าไปใกล้ เซนและคนงานหญิงชายอีก 3-4 คนกำลังง่วนกับเครื่องมือช่างและอุปกรณ์งานบ้านสารพัดชนิด ไม้กวาด ม๊อบดันฝุ่น ไม้ขนไก่ ไม้กวาดหยากไย่ ฯลฯ

“ทำอะไรของเธอ” ผมถามด้วยความสงสัยจริงๆ

“ก็ทำความสะอาดไว้รอพี่ภาคินน่ะสิ”

พี่โน่จะกลับมางั้นเหรอ?? ทำไมผมไม่รู้

“แล้วทำไมต้องที่นี่?”

“ก็...ถ้ารื้อพวกเถาวัลย์รกๆ นี่ออก ก็จะมองเห็นบ้านฉันชัดแจ๋วเลยน่ะสิ” เซนเอามือปิดปาก หัวเราะคิก ผมเบื่อจริตของเค้าจริงๆ

บ้านของเรา มีสามหลัง บ้านตึกที่ผมอยู่กับคุณรุจ เรือนไม้ของครอบครัวแม่บ้านเพ็ญ และที่นี่ บ้านหลังเล็กห้องนอนเดียวของแม่พี่โน่ ผมเดินสำรวจบ้านไม้ริมน้ำหลังเล็กที่ซ่อนตัวอยู่หลังเงารกครึ้มของม่านบาหลีกับเถากระทกรก ที่นี่ถูกปิดตายมานานแค่ไหนแล้วนะ…ตั้งแต่แม่ของพี่โน่จากไป คงพอๆ กับอายุของเค้า

เสียงเพลงดังแข่งกับเสียงแหลมเจ้ากี้เจ้าการชี้นิ้วให้คนงานติดม่านสีชมพูที่ผมไม่ชอบ รู้สึกหงุดหงิดใจอย่างบอกไม่ถูก ทำไมเค้าต้องมาวุ่นวายด้วย แม่บ้านเพ็ญหายไปไหนนะ แล้วทำไมพี่โน่ต้องมาอยู่ที่นี่ ทำไมไม่อยู่ที่ตึกกับผมและคุณรุจ

อยู่ๆ เสียงเพลงก็หยุดลง กันนั่นเอง เค้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่นะ ผมไม่ได้สังเกต เซนหันมามองด้วยอารมณ์โกรธจัด เค้าสองคนยืนจ้องหน้ากันนิ่งอยู่นาน แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรซักคำ สุดท้าย เซนขว้างไม้ขนไก่ในมือทิ้ง แล้วเดินลงส้นเท้าออกไป กันเดินตามออกไปติดๆ

ผมยักไหล่ อะไรของเค้านะ หันไปบอกคนงาน “พี่ๆ ครับ รบกวนช่วยปลดม่านออกให้ด้วยนะครับ เจ้าของบ้านเค้าไม่ชอบสีชมพู”

..........................................................................

“เซน หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!” กันตะคอกเสียงเข้ม วิ่งตามจนทัน กระชากแขนเรียวของเซนจนเซถลา

“ปล่อย!! ฉันเจ็บนะ” ร่างบางพยายามดิ้นรนให้ตัวเองเป็นอิสระ

“ก็แม่เธอให้ฉันไปช่วย...”

“แม่ฉันบอก หรือเธออาสาเองกันแน่”

“ก็แล้วเธอเป็นอะไรล่ะ อยู่ดีๆ ก็ไปยึดห้องเดิมของพี่ภาคิน เพราะเค้ากำลังจะกลับมาใช่มั้ย ขี้อิจฉา”

กันกัดฟันกรอดด้วยความโมโห ที่ถูกเซนจี้ใจดำ คุณรุจสั่งให้จัดห้องบนตึกให้ภาคิน แต่เค้าบอกภาคินว่าคุณรุจให้อยู่ที่เรือนริมน้ำ ลูกคนใช้ที่สมควรถูกรังเกียจอย่างมัน ไม่ควรที่จะได้อะไรดีไปกว่านี้

ผลั๊วะ!! หลังมือหนาของกันฟาดลงไปที่แก้มนวลใสของเซน ก่อนจะกระชากกลับ กดริมฝีปากหนาบดขยี้กลีบปากบางระเรื่ออย่างหนักหน่วงรุนแรงเหมือนที่เค้าเคยทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า เนิ่นนานจนหนำใจ ก่อนจะผละออก จิ้มนิ้วชี้ไปที่หน้าผากอย่างแรง จนเซนหน้าหงาย

“จำใส่กะโหลกเธอไว้ อย่าอวดดีกับชั้นอีก”

กันเดินหนีไปโดยไม่ใยดีกับสภาพของคนข้างหลังซักนิด แก้มบวมช้ำ สองแขนเต็มไปด้วยรอยแดง เซนไม่รู้ว่ารสเค็มที่ลิ้น เป็นเลือดหรือน้ำตาของเค้าที่ไหลริน

..........................................................................




Create Date : 06 มีนาคม 2554
Last Update : 12 ธันวาคม 2554 0:17:25 น.
Counter : 186 Pageviews.

0 comments

Phoenix_x
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



เราเป็นคนขี้เกียจแล้วก็ชอบนอนมากๆ
วันๆ เราไม่ทำอะไรเลย เคลื่อนไหวได้ด้วยแรงเฉื่อย

มีนาคม 2554

 
 
1
2
3
9
12
13
14
15
16
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31