Group Blog
 
<<
กันยายน 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
3 กันยายน 2551
 
All Blogs
 

การปลดหนี้ IMF ไม่ใช่ผลงานทักษิณ


คัดลอกมาจาก


บทความของคุณกฤษณกมล website: //www.oknation.net/blog/benz/2007/08/01/entry-1 ซึ่งเราก็ไม่ทราบเค้าเป็นใคร ... เห็นว่า เป็นข้อมูลทีแน่นดี และตรงกับความคิดของเรา และคุณกฤษณกมล ไม่สงวนสิทธิ์ในการเผยแพร่ ก็เลยคัดลอกทั้งหมดมาไว้ใน blog นี้ค่ะ

อยากให้อ่านกันอย่างเป็นกลาง ... มองที่ตัวเลข ตารางเวลา และหลักฐานที่คุณกฤษณกมล นำมาอ้าง ... แล้วลองวิเคราะห์ดูกันค่ะ




"ความจริงคือ...การปลดหนี้ IMF ไม่ใช่ผลงานคุณทักษิณ"


"คมช. ...ออกไป!!!" "เจ๊ง!...เครียด...คิดถึงทักษิณ" หรือบางคนเติมลงไปว่า "เศรษฐกิจเจ๊ง!...เครียด...คิดถึงทักษิณ"

นี่คือประโยคยอดนิยมที่พูดกันติดปากในการชุมนุมที่ท้องสนามหลวงขณะนี้ เนื่องด้วยภาพของภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวจากช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 นั้นยังติดตาและตราตรึงอยู่ในใจของใครหลายคน โดยเข้าใจว่าผู้ที่กู้วิกฤตเศรษฐกิจนั้นคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

แต่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างที่หลายคนคิด! เพราะเรื่องของเศรษฐกิจนั้นประกอบด้วยหลายปัจจัย ไม่ได้จำเพาะเจาะจงในเรื่องของปัจจัยทางการเมือง พรรคการเมือง หรือตัวบุคคลเพียงคนใดคนหนึ่งเท่านั้น!



เศรษฐกิจ หรือเรื่องของปากท้อง มีความสัมพันธ์กับความนิยมที่มีต่อผู้นำประเทศในแต่ละช่วงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้...ผมเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่มีหลักคิดพื้นๆเพียงว่า "หากเศรษฐกิจช่วงไหนดีจะยกประโยชน์ให้รัฐบาลที่บริหารประเทศในขณะนั้น" และ "ถ้าเศรษฐกิจช่วงไหนไม่ดีจะโยนบาปให้รัฐบาลที่บริหารประเทศขณะนั้นเช่นกัน"

เนื่องด้วยหลายคนไม่ได้ศึกษาเรื่องความเป็นไปทางเศรษฐกิจ หรือไม่ได้รับข้อมูลที่แท้จริง รังแต่จะเกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจาก ความเป็นจริง...

ตัวอย่างเช่น ปัจจุบัน(ส.ค. 50)ค่าเงินบาทแข็งค่ากว่าสมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ประชาชนที่ไม่รู้ข้อมูลส่วนใหญ่จึงกล่าวโทษแก่รัฐบาลสุรยุทธ์ รวมไปถึงคมช. ว่าไม่มีความสามารถในด้านธุรกิจ ซึ่งความจริงเป็นเพราะเงินทุนไหลเข้าประเทศไทยอย่างมากและต่อเนื่อง นอกจากนี้หากดูลึกลงไป เงินบาทก็แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังไม่ถูกทำการรัฐประหารด้วยซ้ำไป (หาข้อมูลอัตราแลกเปลี่ยนย้อนหลังได้ที่ //www.bot.or.th) หากมีโอกาสผมจะอธิบายรายละเอียดในคราวต่อไป

ส่วนการปลดหนี้ IMF ไม่ใช่ผลงานคุณทักษิณ เพราะการจะปลดหนี้ได้นั้นต้องเป็นผลจากการแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจปี 40 ไม่ใช่รัฐบาลคุณทักษิณมาบริหารประเทศเพียง 2 ปีแล้วใช้ความสามารถของตนเองล้วนๆ ทำให้ไทยปลดแอกจาก IMF ได้ และก็ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาโดยรัฐบาลชวน 2 เพียงผู้เดียวเท่านั้น เพราะปัจจัยสำคัญอีกประการคือ "วงจรธุรกิจ" หรือ "วัฏจักรเศรษฐกิจ" ที่มีขึ้น-ลงตามรอบปกติอยู่แล้ว รวมไปถึงธรรมชาติของค่าเงินที่เปลี่ยนจาก 25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ที่จะแปลงวิกฤตเป็นโอกาสสำหรับภาคการส่งออกทันที

ฉะนั้น แล้วการที่ประกาศใช้หนี้ IMF และรณรงค์ให้คนไทยติด "ธงชาติไทย" หน้าบ้านก็เป็นเพียง "การตลาดสวมรอย" คือการ "สวมรอย" เป็นผู้แก้วิกฤตชาติเสียเอง

ปัจจัยที่ทำให้ประเทศไทยฟื้นตัวจากวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ได้นั้นมีดังนี้




ปัจจัยที่ 1 ค่าเงินบาทที่มีผลต่อการส่งออกหลังปี 2540


การประกาศลอยตัวค่าเงินบาทวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 (กรณีของไทยเมื่อลอยแล้วเงินบาทอ่อนค่าลงจาก 25 บาท/US$ มาเป็นประมาณ 40 บาท/US$) ส่งผลให้การส่งออกเติบโตขึ้น เนื่องจากสินค้าไทยจะดูราคา ถูกลงในมุมมองของต่างชาติทันที และคิดเป็นเงินบาทได้มากกว่าเดิม อธิบายอีกมุมก็คือ "คนอเมริกันถือเงินดอลลาร์เท่าเดิมแต่ซื้อสินค้าไทยได้จำนวนมากขึ้น" ซึ่งจุดนี้ใครๆ ก็คิดว่าคุณทักษิณทำให้ส่งออกได้มาก ถ้าขาดคุณทักษิณแล้วประเทศไทยคงจะแย่ นั่นเป็นความเข้าใจผิด เพราะเรื่องของ "ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง" คือ 1 ใน 3 ปัจจัยที่ทำให้การส่งออกของไทยเพิ่มขึ้นจากแต่ก่อน

ปัจจัยที่ส่งเสริมให้การส่งออกดีขึ้น

1. ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง
2. ราคาสินค้า
3. เศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว

นอกจากนี้การลอยตัวค่าเงินบาทมีส่วนให้ดุลการค้าของไทยเราเกินดุลอีก การดูดุลการค้าเป็นสิ่งสำคัญกว่าการดูการส่งออกอย่างเดียว เพราะนอกจากเราจะดูว่าเราขายของออกนอกไปเท่าไหร่ ต้องหักของที่เราซื้อเข้าประเทศด้วยไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ทองคำ เหล็ก เป็นต้น


ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย

แผนภูมิแท่งที่มีตัวเลขกำกับสีดำ (ที่เกินจากเลข 0) คือ เกินดุลการค้า (ส่งออกมากกว่านำเข้า...ได้เปรียบเขา)
แผนภูมิแท่งที่มีตัวเลขกำกับสีแดง (ที่ต่ำกว่าเลข 0) คือ ขาดดุลการค้า (นำเข้ามากกว่าส่งออก...เสียเปรียบเขา)




ดุลการค้าคืออะไร?


ดุลการค้า = ส่งออก – นำเข้า

ก่อนวิกฤติปี 40 ไทยขาดดุลการค้ามาตลอด การส่งออกยังอยู่ในระดับต่ำ แม้ว่าในบางปีจะ ส่งออกได้มาก แต่ก็ยังสู้การนำเข้าไม่ได้

นอกจากนี้ ด้วยเหตุที่ว่าไทยไม่ใช่ประเทศที่สมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรน้ำมัน เหล็ก ทองคำ จึงต้องนำเข้าวัตถุดิบเหล่านั้น รวมถึงเครื่องจักรและเทคโนโลยีจากต่างประเทศ "อย่างเกินตัว" และเมื่อไทยจำเป็นต้องลอยตัวค่าเงินบาทย่อมส่งผลเสียต่อผู้ที่กู้เงินในรูป ของเงินตราต่างประเทศ แต่ในด้านของผลดีคือ สินค้าไทยดูราคาถูกลงในสายตาของต่างชาติในทันที! การส่งออกได้รับผลดีในช่วงแรกคือส่งออกได้รับเงินมากขึ้นโดยไม่ต้องใช้ปัจจัยใดๆ มาส่งเสริม ส่วนการนำเข้าไม่ต้องพูดถึง เพราะลดลงทันทีถึง 33.8% ในปีแรกที่ลอยตัวค่าเงินบาท คนไทยไปเที่ยวเมืองนอกลดลงทันที (ช่วงแรกๆ) ในทางกลับกันคนต่างชาติมาเที่ยวเมืองไทยมากขึ้น นี่คือกระบวนการที่เกิดขึ้นตั้งแต่คุณทักษิณยังไม่มาบริหารประเทศ

จากข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทยจะชี้ให้เห็นว่าในปี 2541 ไทยเกินดุลการค้าเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2522 (ธนาคารแห่งประเทศไทยให้ข้อมูลถึงแค่ปี 2522) และในปี 41 นั้นเองที่กลับเป็นรัฐบาลชวนเสียอีก ที่ดุลการค้าเกินดุลมากเป็นประวัติการณ์ คือ เกินดุลถึง 12,200 ล้าน US$

ถามว่าเกี่ยวกับคุณชวนไหม?

คำตอบคือ "ไม่เกี่ยว" และ "ไม่เกี่ยวกับคุณทักษิณเช่นกัน"

มันเป็นไปตามอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว หมายถึง ไม่ว่ารัฐบาลชุดใด มาบริหารหลังลอยตัวค่าเงินบาท มูลค่าการส่งออกจะมีมากขึ้นทันที
เพียงแต่ในอนาคตข้างหน้า หากจะแข่งขันให้ได้ในระยะยาว ก็ต้องเน้นการพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อ การส่งออกของไทยสามารถเติบโตขึ้นได้หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 40 จึงเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะนำไปสู่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ จากเงินที่เคยสูญไปกับการปกป้องค่าเงินบาทเมื่อปี 39-40 ก็กลับเป็นการสะสมเงินทุนสำรองฯ โดยการส่งออก และการท่องเที่ยว ไม่ได้เป็นเพราะการบริหารงานของรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่เป็นไปตามธรรมชาติของค่าเงิน

ซึ่งกระบวนการนี้ได้เกิดขึ้นตั้งแต่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังไม่มารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี!

ถึงจุดนี้ผมคิดว่ามีหลายคนแย้ง ว่าคุณทักษิณสามารถหาตลาดส่งออกได้ แต่หากสมมติให้คุณทักษิณมาบริหารประเทศในช่วงก่อนวิกฤติ ที่อัตราแลกเปลี่ยน 25 บาท/US$ ผมรับรองได้ว่าต่อให้หาตลาดส่งออกสักเท่าใดมูลค่าการส่งออกของไทยก็ไม่ได้กระเตื้องขึ้นเท่าไหร่ และจะยังขาดดุลการค้าเหมือนเดิม

จากแผนภูมิแท่งจะเห็นว่า กลับเป็นปี 48 (สมัยคุณทักษิณ) ด้วยซ้ำไปที่ไทยขาดดุลถึงกว่า 8,000 ล้านUS$

ถามว่า...เป็นความบกพร่องของคุณทักษิณอย่างนั้นใช่หรือไม่?

หรือเป็นเพราะการเคลื่อนไหวของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ที่จัดการชุมนุมในรูปแบบของรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรเมื่อปลายปี 48 ที่ทำให้ใครๆ ต่างก็บอกว่าชุมนุมจนเศรษฐกิจไทยพัง!!! อย่างนั้นใช่หรือไม่?

คำตอบคือไม่ใช่ทั้งคู่ เพราะถ้าเราดูในรายละเอียดจะเห็นว่าเป็นเพราะราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ขยับราคาสูงขึ้นอย่างมาก จึงเป็นผลให้ไทยขาดดุลการค้าในปีนั้น




ปัจจัยที่ 2 อัตราดอกเบี้ยต่ำที่ช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัว



ดอกเบี้ย เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดตัวหนึ่งที่จะใช้กระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงซบเซา หรือลดความร้อนแรงทางเศรษฐกิจก็ได้ แล้วแต่สภาพเศรษฐกิจของแต่ละประเทศในแต่ละช่วงเวลา

การกำหนดทิศทางของอัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งประชุมกันทุก 6-8 สัปดาห์ เพื่อประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในช่วงเวลาหนึ่งๆ

ดังนั้นในช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 40 "ดอกเบี้ยต่ำ" จึงเป็นตัวหลักที่ทำให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนไปต่อได้...ที่สำคัญ "ดอกเบี้ยต่ำ" ไม่ได้เกิดจากการสั่งการของ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" แต่อย่างใด หากแต่เป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจของช่วงเวลานั้น หรือเรียกง่ายๆ ว่า "เป็นไปตามกลไกตลาด"


ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย //www.bot.or.th/

ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วว่าอัตราดอกเบี้ยเป็นไปตามภาวะตลาด โดยการกำหนดทิศทางโดย กนง. และนโยบายดอกเบี้ยต่ำได้เริ่มตั้งแต่ก่อนคุณทักษิณจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

เมื่อ "ดอกเบี้ยต่ำ" ก็ส่งเสริมให้คนในประเทศเริ่มจับจ่ายใช้สอย

เมื่อคนเริ่มจับจ่ายใช้สอย...ก็ทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ หมุนเวียนไปตามร้านค้า บริษัทต่างๆ

เมื่อเงินหมุนเวียนไปตามร้านค้า บริษัทต่างๆ ...ร้านค้า บริษัทต่างๆ ก็มีรายได้ และเกิดการลงทุนเพิ่ม, การจ้างงาน

เมื่อบริษัทมีรายได้ และคนมีงานทำ ...ก็มีเงินใช้จ่าย และส่งภาษี

เมื่อมีเงินส่งภาษี ...รัฐฯก็มีเงินงบประมาณที่นำมาใช้จ่าย (หรือใช้หนี้) ต่อไปได้

และผลก็คือเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวในที่สุด

"กระบวนการนี้อาจไม่ได้เริ่มทันทีที่ใช้นโยบายนี้ แต่จะค่อยๆส่งผล...เป็นไปตามวัฎจักรของเศรษฐกิจ"

แม้วิกฤตเศรษฐกิจปี 40 จะทำให้หลายบริษัทต้องปิดกิจการลง โดยผลกระทบเกิดกับบริษัทที่กู้เงินในรูปของเงินตราต่างประเทศ...ที่เมื่อค่าเงินบาทลอยตัวแล้วมีผลทำให้หนี้เงินกู้เพิ่มขึ้นเท่าตัวเพียงชั่วข้ามคืน...

แต่เศรษฐกิจในส่วนอื่นแม้ว่าจะได้รับผลกระทบอยู่บ้าง แต่ยังมีกำลังพอที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไปได้ เช่นในรูปแบบของ SME หรือในภาคของสินค้าเกษตรเพื่อการส่งออกที่นำรายได้เข้าประเทศอย่างมาก (ส่งออกได้มากขึ้นเป็นไปตามค่าเงินบาทที่เปลี่ยนไป เพราะธรรมชาติของค่าเงินที่อ่อนตัวลงจะสร้างความได้เปรียบให้แก่ไทย...ไม่ เกี่ยวกับความสามารถของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) แตกต่างจากวิกฤตเศรษฐกิจในปัจจุบันที่เกิดจากการสร้างภาระหนี้สินอย่างกว้างขวางแก่ประชาชนระดับรากหญ้า!

บางคนอาจสงสัยว่า "จากกราฟ...ทำไมในช่วงต้นของรัฐบาลชวน หลีกภัย (หลังจากพลเอกชวลิต ลาออก พ.ย. 40) ดอกเบี้ยกลับเพิ่มสูงขึ้นมาก?...ตรงข้ามกับที่เราเข้าใจว่าเศรษฐกิจเกิด วิกฤตต้องลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

สาเหตุที่ไทยจำเป็นต้องใช้นโยบายดอกเบี้ยสูงในช่วงแรกของวิกฤตเศรษฐกิจ เพราะตอนนั้นค่าเงินบาทอ่อนค่าอย่างไม่หยุดยั้ง จาก 25 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าจน 60 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยซ้ำไป ดังนั้นเพื่อให้ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพก่อน และหยุดการไหลออกของเงิน จึงต้องกำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูง เมื่อค่าเงินบาทมีเสถียรภาพแล้วจึง ใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

นี่คือสิ่งที่ "รายการนายกฯทักษิณ คุยกับประชาชน" ทุกเช้าวันเสาร์(แต่ก่อน) ไม่เคยบอกให้กับประชาชนได้รับรู้!!!

คุณทักษิณน่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าปัจจัยทางเศรษฐกิจได้เอื่อต่อการบริหารประเทศบ้างแล้ว หลังจากคุณทักษิณได้เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 44 แต่ด้วย "การตลาดนำการเมือง" จึงสร้างความได้เปรียบทางการเมือง และในทางกลับกันก็สามารถสร้างความเข้าใจที่ผิดๆ แก่คนไทยจำนวนมาก

ชาวบ้านที่ไม่รู้ไม่มีความผิด ไม่ใช่ความผิดของคนที่ไม่รู้ และผมไม่มีสิทธิ์ใช้คำดูถูกดูแคลนชาวบ้านอีกหลายคนที่ไม่รู้เรื่องราวเช่น นี้...ผมอธิบายได้เพียงเท่าที่ผมจะอธิบายได้ อยู่ที่ว่าพวกเขาจะเข้าใจหรือไม่...




ปัจจัยที่ 3 "ภาระหนี้ต่างประเทศ" ที่ลดลงตั้งแต่ก่อนพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี


เป็นที่ทราบดีว่าหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 40 เมื่อค่าเงินบาทลอยตัวแล้วไปในทางอ่อนค่าลงจะ ส่งผลให้ราคาสินค้านำเข้าเพิ่มขึ้นทันที ตัวอย่างเช่น ราคาพวงกุญแจนำเข้าจากสหรัฐฯ มีราคาชิ้นละ 1 US$ ซึ่งก่อนลอยตัวฯ เมื่อตีค่าเป็นเงินบาทจะอยู่ที่ 25 บาท(โดยประมาณ) แต่เมื่อลอยตัว(แล้วเงินบาทอ่อนค่าลง) ราคาพวงกุญแจ ณ สหรัฐฯ แม้จะมีราคา 1 US$ เหมือนเดิม แต่ด้วยอัตราแลกเปลี่ยนที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ที่ประมาณ 40 บาท/US$ จึงทำให้ราคาพวงกุญแจนำเข้าชิ้นนั้นเพิ่มราคาเป็น 40 บาท (ถ้าคิดตามปัจจุบันพวงกุญแจพวงนี้จะคิดเป็นเงินไทยประมาณ 33.50 บาท)

ภาระหนี้ต่างประเทศก็เช่นเดียวกัน เพียงชั่วข้ามคืน วันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ผู้ใดก็ตามที่กู้เงินในรูปของเงินตราต่างประเทศ เมื่อตีค่าเป็นเงินบาท ก็จะมียอดหนี้สูงขึ้น เงินบาทอ่อนตัวเท่าใด ยอดหนี้ก็เพิ่มขึ้นเท่านั้น

ซึ่งจากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แสดงให้เห็นว่าก่อนที่คุณทักษิณจะมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีปี 2544 ภาระหนี้ต่างประเทศนั้นก็ได้ลดลงไปมากแล้ว จากที่เคยอยู่ในระดับ 105.1 พันล้านUS$ เมื่อปี 2541


ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย

จากแผนภูมิแยกให้เห็นชัดเจนว่าตั้งแต่ปี 2544-2549 คือช่วงที่คุณทักษิณบริหารประเทศ

ในกรณีนี้หมายถึงการกู้เงินจากต่างประเทศมียอดที่ลดลง เป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งปัจจัยนี้ก็ช่วยให้การบริหารประเทศในสมัยรัฐบาลทักษิณนั้นง่ายกว่ารัฐบาลที่มารับช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจคือ "รัฐบาลชวน หลีกภัย" ที่มักจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงความ "เชื่องช้า" และ "บริหารงานไม่เป็น"

กลับเป็นช่วงก่อนเหตุการณ์ชุมนุมโดยกลุ่มพันธมิตรฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2549 ด้วยซ้ำไปที่ภาระหนี้ต่างประเทศกลับมีแนวโน้มสูงขึ้น

คำ ว่า "เจ๊ง...เครียด...คิดถึงทักษิณ" อยากให้คุณทักษิณกลับมาเป็นผู้แก้วิกฤตเศรษฐกิจนั้นเป็นคำพูดของผู้ที่ไม่ รู้ หรือรู้แล้วแกล้งไม่รู้เท่านั้น




ปัจจัยที่ 4 ยอดคงค้าง NPL ทั้งระบบ


NPL หรือ สินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ หนี้เสีย (ภาษาปาก) ก็ได้บริหารจัดการตั้งแต่ก่อนคุณทักษิณจะเข้ามาบริหารประเทศแล้ว


ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย

กระบวนการแก้ไขปัญหาหนี้เสียนี้จะให้ บรรษัทบริหารสินทรัพย์ (บบส.) หรือหน่วยงานปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของแต่ละธนาคารเป็นผู้ดำเนินการ

โดยการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ เป็นการที่เจ้าหนี้และลูกหนี้สมัครใจแก้ไขปัญหาหนี้ด้วยกัน อาจทำได้ทั้งการยืดระยะเวลาชำระหนี้ การยกเว้นดอกเบี้ยผิดนัด (เนื่อง จากหลังวิกฤตเศรษฐกิจมีลูกหนี้หลายรายขาดการผ่อนชำระหนี้แก่ธนาคาร ลูกหนี้รายนั้นจึงตกไปอยู่ในเกณฑ์ของ NPL แต่แม้จะหยุดผ่อนชำระ ดอกเบี้ยก็จะยังเดินไม่หยุด อีกทั้งมีดอกเบี้ยปรับกรณีผิดนัดอีก กลายเป็นเพิ่มภาระให้กับลูกหนี้รายนั้น การยกเว้นดอกเบี้ยผิดนัดให้แก่ลูกหนี้ จึงเป็นการช่วยให้ลูกหนี้ยังพออยู่ในสภาพที่จะสามารถชำระหนี้แก่ธนาคารได้ ต่อไป) นอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนจากภาครัฐด้วย เช่น การลดค่าธรรมเนียมโอนอสังหาริมทรัพย์เหลือเพียงร้อยละ 0.01 "ซึ่งกระบวนการทั้งหมดที่เกิดขึ้นตั้งแต่พรรคไทยรักไทยยังอยู่ในช่วงก่อตั้งพรรค"

แล้ว อย่างนี้จะเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับมาเพื่อทำอะไรกับ "เศรษฐกิจไทย"? ในเมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่ผู้แก้ไขปัญหาหลักด้วยซ้ำไป

เรื่องของ "เศรษฐกิจ" มีองค์ประกอบของ "วัฎจักรที่มีทั้งขึ้น-ลง" เป็นตัวหลัก ส่วน "นักการเมือง" ไม่ใช่ผู้ควบคุมทุกปัจจัยทางเศรษฐกิจ




ปัจจัยที่ 5 การหยุดกู้เงิน IMF ก่อนกำหนดถึง 1 ปี


ข้อเท็จจริงอีกประการคือ เงินกู้ IMF เป็นเงินกู้แบบ Stand-by ที่มีระยะเวลาเบิกถอน 2 ปี 10 เดือน คือตั้งแต่ สิงหาคม 2540 จนถึงเดือนมิถุนายน 2543

แต่เนื่องจากฐานะดุลการชำระเงินดีขึ้นมาก รัฐบาลไทยในขณะนั้นจึงตัดสินใจไม่เบิกถอนเงินกู้ตั้งแต่ มิถุนายน 2542 หมายถึง หยุดเบิกถอนก่อนกำหนดถึง 1 ปี

(ข้อมูลจาก ธปท. อยู่ในข้อการให้ความช่วยเหลือของ IMF)

เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยให้ "ไทยฟื้นตัวจากวิกฤตเศรษฐกิจได้เร็วขึ้น" นั่นเอง

คำถามมีอยู่ว่าในเมื่อปัจจัยทางเศรษฐกิจต่างๆ ได้เอื้อต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจแล้ว แต่ทำไมประชาชนจึงยังรู้สึกว่าเศรษฐกิจไม่ดีตั้งแต่ในสมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย?

ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า...

1. ระยะเวลาของการเกิดผล คือ หลังจากเกิดความเปลี่ยนแปลงของทิศทางค่าเงินบาท, ทิศทางดอกเบี้ย หรือการใช้มาตรการใดๆ แล้ว ต้องใช้ระยะเวลาหนึ่งเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ขึ้น

2. เรื่องของ "ความรู้สึก" ซึ่ง เรื่องนี้กลับเป็นเรื่องหลัก ผมถือได้ว่าเป็นข้อสำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะความรู้สึกของประชาชนนั้นมีผลต่อความมั่นใจในเรื่องอื่นๆ ที่จะตามมา ทั้งความมั่นใจด้านการบริโภค ลงทุน ใช้จ่าย ทั้งๆ ที่พื้นฐานทางเศรษฐกิจก่อนคุณทักษิณมาเป็นนายกฯ นั้นอยู่ในเกณฑ์ที่ดีขึ้นมากแล้ว ดังจะเห็นได้จากหนังสือแสดงเจตจำนง ฉบับที่ 7 ฉบับ ลงวันที่ 23 มีนาคม 2542 แต่ความรู้สึกของประชาชนในขณะนั้นไม่มีความมั่นใจในตัวผู้นำประเทศคือคุณชวน หลีกภัย แต่มีทางเลือกใหม่ที่มีภาพลักษณ์ดีกว่า



ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย

การที่ประชาชนส่วนใหญ่ตั้งอยู่บนฐานของความรู้สึก ถ้าความรู้สึกไปในทิศทางไม่ดี แต่ปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศนั้นดีพอ ก็ไม่ได้ช่วยให้เศรษฐกิจเดินไปในทิศทางที่ดีได้

ดังเช่นปัจจุบันนี้ ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทยหลายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี (ยกเว้น เรื่องหนี้สินระดับรากหญ้า ที่ทุกวันนี้กำลังชดใช้กรรมจากการใช้จ่ายเกินตัวในสมัยที่รัฐบาลทักษิณ สนับสนุนการใช้จ่าย การก่อหนี้ การใช้เงินอนาคต) แต่ความรู้สึกของคนไทยที่มีต่อผู้นำประเทศในขณะนี้ "ไม่ดี" จึงเกิดความไม่มั่นใจ เพราะรัฐบาลในปัจจุบันนี้มาจากการทำรัฐประหาร ผลกระทบก็เป็นอย่างที่เห็น กัน (แต่สถานการณ์ปัจจุบันแตกต่างกับวิกฤตปี 40 ตรงที่ปี 2540 นั้น ประชาชนระดับรากหญ้า หรือรากแก้ว ก็ไม่ได้มีหนี้สินล้นพ้นตัวเท่ากับปัจจุบันนี้!)...

อย่างในกรณีที่หลายคนกังวลว่า IMF จะกลับเข้ามาอีกรอบนั้นก็เป็นความเข้าใจที่ผิดๆ สำหรับผู้ที่ไม่รู้ข้อเท็จจริง

เป็นไปไม่ได้ว่า IMF จะเข้ามาอีกรอบในปัจจุบันนี้อย่างที่คุณทักษิณเคยกล่าวไว้ในทำนองว่าถ้าไม่ใช่คุณทักษิณเป็นผู้บริหารประเทศ ประเทศไทยจะเดินไปสู่ IMF อีกรอบ... ถ้าคุณเชื่อคำที่คุณทักษิณเคยบอกไว้ แสดงว่าคุณอาจจะยังไม่ทราบข้อมูลที่ครบถ้วน ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่...ก็เพียงแค่คุณทำความเข้าใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง

ในสมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี มักมีคำกล่าวในทำนองที่ว่า

"ถ้าไม่อยากให้ IMF กลับมาเลือกไทยรักไทย...แต่ถ้าเลือกประชาธิปัตย์ IMF กลับมาแน่!!!"

คำกล่าวใน ทำนองนี้ออกมาจากอดีตพรรคการเมืองที่ชื่อ "ไทยรักไทย" ในครั้งหาเสียงเลือกตั้งปี 2548...ด้วยความคิดที่ว่า "ไทยรักไทย" เท่านั้นที่สามารถนำประเทศไทยให้พ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจได้ หรือ "ไทยรักไทย" เท่านั้นที่พาให้เศรษฐกิจไทยเจริญก้าวหน้าได้

แต่หากได้อ่านตั้งแต่ต้นก็จะเข้าใจดีว่า แท้จริงแล้วการที่ไทยพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจปี 40 ได้นั้นเป็นไปตาม วัฏจักรเศรษฐกิจที่มีขึ้นและลง เสียส่วนใหญ่

คงมีอีกหลายคนที่เข้าใจว่า IMF เข้ามาในยุคของรัฐบาล "ประชาธิปัตย์" แท้จริงแล้ว IMF เข้ามาตั้งแต่สมัยรัฐบาลพลเอกชวลิตที่ ครม.อนุมัติให้ ดร.ทนง พิทยะ (รมว.คลัง) ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงฉบับที่ 1 (Letter of Intent : LOI) เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2540 และหลังจากรัฐบาลชวลิตลงนามใน LOI ฉบับที่ 1 แล้ว พลเอกชวลิตก็ได้ประกาศลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2540



ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย

จะเห็นข้อความระบุไว้ว่า "ประเทศไทยมีพันธะจะต้องปฏิบัติตาม..." มันเป็นที่มาของอะไร?

ส่วนหนึ่งมันเป็นที่มาของมาตรการลดค่าใช้จ่ายของภาครัฐ ที่ IMF กำหนดให้รัฐบาลที่มาบริหารงานหลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจก็คือ รัฐบาลชวน 2 ที่ต้องจำกัดจำเขี่ยที่จะขึ้นเงินเดือนให้ข้าราชการในสมัยของรัฐบาลชวน 2 ตามที่ LOI ระบุไว้ และ สุดท้ายข้าราชการในปัจจุบันก็ไม่เคยเข้าใจว่าเหตุใดพวกเขาถึงแทบไม่ได้ขึ้น เงินเดือนในยุคชวน 2 แล้วนำมาเปรียบเทียบกับสมัยรัฐบาลทักษิณ โดยไม่ดูถึงสถานการณ์ที่แตกต่างกัน


ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย

และที่สำคัญ LOI ที่ทำในสมัยชวลิตนี้ มีคุณทักษิณเป็นรองนายกฯ และมี ดร.ทนง เป็น รมว.คลัง เป็นที่มาของมาตรการแปรรูปรัฐวิสาหกิจโดยเฉพาะด้านพลังงาน ที่คุณทักษิณใช้โจมตีปชป.ตอนหาเสียงปี 2544 ว่าเป็น "กฎหมายขายชาติ" โดยไม่ดูจุดเริ่มต้นว่าเริ่มที่จุดไหน



ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย

ต่อข้อกล่าวหาต่างๆ เกี่ยวกับกฎหมาย 11 ฉบับนั้น แท้จริงแล้วเป็น "พันธะ" ที่ได้ระบุไว้ในหนังสือแสดงเจตจำนงฉบับที่ 1 เหตุผลหนึ่งก็เพื่อลดภาระของภาครัฐในยามที่ภาครัฐต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ...แต่ด้วยเกมการเมืองจึงทำให้พรรคการเมืองที่ต้องการเข้าสู่อำนาจการบริหารประเทศนั้น ใช้เป็นเครื่องมือในการโจมตีทางการเมือง...กลับเป็นใครที่ผลักดันการแปรรูป กฟผ.? เสียเอง ทั้งที่ใครคนนั้นได้ประกาศอิสรภาพจาก IMF แล้ว!!!

สมมติว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีที่รับช่วงบริหารงานต่อจาก พลเอกชวลิต ก็ไม่พ้นที่จะต้องออก "กฎหมายขายชาติ" เช่นเดียวกัน




ผมขอจบบทความ "ความจริงคือ...การปลดหนี้ IMF ไม่ใช่ผลงานคุณทักษิณ" ด้วยข้อความที่ผมเคยเขียนเมื่อ พฤษภาคม 2549 ไว้ดังนี้

" หากประเทศไทยไม่เคยมีนายกชื่อทักษิณ ประเทศไทยพ้นวิกฤตเศรษฐกิจปี 40 ได้อยู่แล้ว เพราะวิกฤตได้แก้ไขมาก่อนหน้า ตรงกันข้าม...วิกฤตปัจจุบันเกิดจากการใช้นโยบายประชานิยมสร้างนิสัยเสียแก่ ประชาชน เพื่อหวังคะแนนเสียงทางการเมือง และทำให้ยิ่งต้องใช้เงินคลังมากขึ้น...มากขึ้น

ผู้นำประเทศที่คนไทยต้องการคือผู้ที่ยืดแนวทางการพัฒนา "คน" เป็นหลัก ผู้นำที่เน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืน ตัดสินใจด้วยความรอบคอบ และมีความสุจริตเป็นที่ตั้ง ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน...ไม่มีทักษิณประเทศไทยสามารถอยู่ได้และดีกว่านี้ แน่นอน...เสียดายที่คนไทยหลายคนมองเพียงสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของตัวเอง และชื่นชมคนเล่นละครเป็นพระเอกในดวงใจ" (1 ใน 19 ล้านเสียง)

ที่ว่าทักษิณเก่งนั้น คือ "เก่งประชาสัมพันธ์" จริงๆ ครับ

ไม่สงวนสิทธิ์ในการเผยแพร่...เพื่อสร้างความกระจ่างแก่คนรักทักษิณที่ยังขาดข้อมูล




 

Create Date : 03 กันยายน 2551
22 comments
Last Update : 3 กันยายน 2551 21:57:54 น.
Counter : 2654 Pageviews.

 

เคยอ่านบทความทำนองนี้มาก่อนค่ะ ตอนอยู่เมืองไทย ช่วงทักษิณหนึ่ง คือทำงานแถวเพลินจิตอ่ะ ได้ใบปลิวข้อมูลดีอยู่บ่อย ๆ ตั้งแต่ม็อบสีลมเป็นต้นมา ช่วงลดค่าเงินบาท แล้วทักษิณนกรู้ ก็ทราบจากใบปลิว ก่อนจะมาเป็นข่าว....

มันเป็น inborn trait ของทักษิณอ่ะ ถนัดการตลาด โวโอ้อวด เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น

 

โดย: fulgurant 3 กันยายน 2551 23:33:54 น.  

 

ถูกต้อง

เสียงเค้าว่ากันพรรณนั้น จ๊ะ

 

โดย: บ้าได้ถ้วย 3 กันยายน 2551 23:42:41 น.  

 


ช่วยเอารายละเอียดเรื่อง ขายสินทรัพย์ ปรส.มาแสดงให้ดูหน่อย

 

โดย: dedada (the last เอ-กา ) 3 กันยายน 2551 23:45:32 น.  

 

ไม่จริงครับ คนมากกว่าครึงประเทศเชื่อว่าทักสินเป็นคนใช้หนี้ให้ประเทศไทย ระบบปาชาทิบไตนะครับ คนส่วนใหญ่เชื่ออย่างไรความจริงต้องเป็นไปตามนั้น ส่วนข้อเท็จจริงทิ้งไปได้เลย เราคนไทไม่สนครับ เรื่องข้อเท็จจริงเก็บไว้ให้ประเทศที่เขาเจริญแล้วเท่านั้นครับ ส่วนเรืองโกงกินใครก็ทำกัน ทักสินทำบ้างผิดตรงไหน คนอื่นก็โกงไม่เคยแบ่งแต่ทักสินแบ่ง ยังไงก็เอาทักสินไว้ก่อน ใครเสียภาษีก็โง่ต่อไปนะครับ

 

โดย: ติ๊ก IP: 202.91.19.204 4 กันยายน 2551 0:39:30 น.  

 

ส่วน ปรส ปชปเลวจริงครับไม่ได้ประชด แต่ ปตท กฟผ หวย บ่อน พระวิหาร สัมปทานมือถือ ภาษี อื่นๆทักสินประเสิฐกว่าแยะเลย ทังหมดนี่เพราะคนส่วนใหญ่เชื่อว่าถูก ส่วนพวกนักวิชาการ นักศึกษา ครู หมอพยาบาล รัดวิสากิด
องกรเอกชน เรียนสูงซะเปล่าโง่จริงๆ

 

โดย: ติ๊ก IP: 202.91.19.204 4 กันยายน 2551 0:58:57 น.  

 

#4 กับ 5

ขอความกรุณาปรับปรุงเรื่องการสะกดคำด้วยครับ

 

โดย: dorgchant IP: 125.27.66.163 4 กันยายน 2551 1:29:17 น.  

 

คนไทยติดนิสัยพึ่งผู้นำมาตั้งแต่สมัยนู้นแล้ว
ทำให้ไม่ค่อยมองว่าตัวเองนี่ล่ะที่เป็นคนขับเคลื่อนประเทศให้อยู่ได้
คนๆ เดียวจะมาสู้กำลังคนอีก 60 ล้านคนได้อย่างไร
งานบริหารไปไม่ได้แน่ ถ้าขาดแรงงานคอยขับเคลื่อน

ค่อนข้างเห็นด้วยเลยกับบทความ เพราะเชื่อแบบนี้มาตลอดเหมือนกัน
ทักษิณนั้นเป็น Agenda setter ที่เก่งมากค่ะ
ถ้าใครที่ไม่ติดตามข่าวเป็นประจำก็จะตามแกไม่ค่อยทันหรอกค่ะ แกเนียน

 

โดย: ฮาทสึ 4 กันยายน 2551 3:35:35 น.  

 

ชาวบ้านเค้าไม่เข้าใจ น่ากลุ้มเนอะ

 

โดย: korean4life 4 กันยายน 2551 14:08:19 น.  

 

คห.5 นี่ตลกนะ โกงแล้วแบ่ง คิดได้ยังไง เขาเอาเศษกระดูกโยนให้ก็ดีใจแล้วเหรอครับ ไม่โกงเลยจะดีกว่าไหมในเมื่อเขาก็รวยจนกินไม่หมดแล้ว ทำไมยังต้องโกงอีกแบบนี้แปลว่าโลภ นักการเมืองโกงกิน ต้องรับโทษมากกว่าคนธรรมดาสิครับถูกแล้ว เพราะคุณยอมเสียสละเพื่อประเทศแล้ว ถ้าผิดก็ต้องรับโทษมากกว่าคนอื่น

 

โดย: kid^_^ 5 กันยายน 2551 0:58:54 น.  

 

เห็นด้วยค่ะ.. ชอบคุณฟีบี้ทำกราฟฟิคนะคะ กราฟสวยดีจัง

ขอบคุณที่มาเยี่ยมนะคะ ช่วงนี้ภาระงานรัดตัวค่ะเลยไม่ค่อยได้อัพบลอก บางทีก็เข้ามาอ่านบลอกนะคะแต่ไม่ได้ลอกอิน บางทีเลยคอมเมนท์ไม่ได้ คุณฟีบี้สบายดีหรือเปล่าเอ่ย คุณฟีบี้ตอนนี้เป็นอาจารย์หรือเปล่าคะ (เห็นบอกว่าเปิดเทอมแล้วจะยุ่ง)

เราน่ะสงสารประเทศชาติบ้านเมืองจังเลยค่ะ มีผู้นำไม่เอาไหน ตอนเราใกล้ๆจะเอ็นท์ เพื่อนสนิทของพ่อท่านหนึ่ง(สมัยนั้นคุณอาท่านเป็นส.ส.นะคะ) มาเยี่ยมพ่อที่บ้านแล้วก็มาขอร้องเราให้เรียนรัฐศาสตร์ค่ะ แบบว่า..ขอร้องเลยนะคะ คุณอาบอกว่าอยากให้คนเก่งๆมาช่วยกันบริหารบ้านเมือง เรารู้สึกผิดเหมือนกัน แต่เราคงไม่เข้ากับการเมืองค่ะ แต่การเมืองที่ทำงาน เราก็เอาตัวไม่ค่อยรอดแล้ว เพราะเราเป็นคนเถรตรงเกินไปน่ะค่ะ โกหกตอแหลไม่เก่ง อิ อิ.. ตอนนี้สามีเราก็บ้าการเมืองค่ะ อีกไม่กี่เดือนก็จะเลือกตั้ง president แล้ว เรายังโดนบังคับให้ไป register vote เลยค่ะ

 

โดย: ลูกแม่ดอกบัว 5 กันยายน 2551 4:54:02 น.  

 

เราก็เห็นด้วยบางอย่างกับข้อมูล

แต่

ลองนึกดูซิว่า ถ้าไม่มีผู้นำที่เก่ง ถึงมีคนปูทางไว้ พวก 60 ล้านคน จะเดินกันไปแบบ ทางโน้น ทางนี้ กระจัดกระจาย หรือเปล่าคะ
และจะรวบรวมทุกอย่าง จากการฟื้นตัว ให้เดินไปในทางเดียว ได้หรือเปล่า

ใช่ ประเทศมีผู้นำไม่เอาไหน แทนที่จะวิ่งหาจีน และมิตรประเทศ กลับเอาประเทศเราไป เซล จนเงินหมดคลัง อุอุ

 

โดย: tempopo 5 กันยายน 2551 7:06:10 น.  

 

"ที่ว่าทักษิณเก่งนั้น คือ "เก่งประชาสัมพันธ์" จริงๆ ครับ" --- เห็นด้วยอย่างมากกับประโยคนี้ค่ะ

บทความอ่านแล้วเข้าใจง่ายดีจัง ได้รู้ข้อมูลในเชิงลึกมากขึ้นและเป็นเหตุเป็นผลดีมากๆ

ขอบคุณคุณฟีบี้ที่เอามาให้อ่านนะคะ

 

โดย: s.o.s IP: 203.151.36.226 5 กันยายน 2551 9:32:43 น.  

 

คคห.4 ทำตลกป่ะเนี่ย โกงแล้วแบ่งเนี่ยนะดี?? ของโจรเอามาให้เราเรารับเราก็เป็นโจรน่ะสิคะ หลงเขาแบบไม่ลืมหูลืมตาเลยนะเนี่ย

ไม่ได้ชอบทักกี้นะ
แต่พี่ที่เรารู้จักเขาเคยอยู่ในวงการหนี้นอกระบบมาก่อน บอกว่าสมัยทักษิณนี่ทำไม่ได้เลยนะคะ เข้มงวดกวดขันเรื่องนี้มาก เขาก็มีดีบ้างเหมือนกันนะ

 

โดย: Galilee 5 กันยายน 2551 13:12:07 น.  

 

ได้ความรู้เยอะเลย อิอิ

 

โดย: ตองดี IP: 125.26.228.85 5 กันยายน 2551 21:05:28 น.  

 

คนเรามีทั้งข้อดีข้อเสีย นั่นเป็นเรื่องจริง
ข้อดีของคุณทักกี้ก็มีดีหลายอย่าง (ถ้ามันจริงอย่างที่โปรโมทนะ ไม่ได้กวน แต่ว่าข่าวสารยุคนี้มันก็ พี.อาร์. กันจนมึน)
ข้อเสียที่แน่ ๆ คือคุณคอรัปชั่น โดนจนถึงศาลฎีกา จนคุณไม่กล้ากลับประเทศ ประกาศกร้าวทั่วโลกไปเลยว่าศาลสูงสุด ณ สยามประเทศน่ะมันไม่เที่ยงตรง
อืมมมม
แบบนี้คนไทยแบบเราเค้าเรียก กินบนเรือน...รดบนหลังคา
เฮ่อ ขอโทษนะคะ โกรธค่ะ ท่านที่อ่านแล้วสะเทือนไปด้วย ขอโทษจริง ๆค่ะ

อีกเรื่องที่เห็นชัดคือ แกเอาเงินภาษีที่เก็บจากพนักงานกินเงินเดือนแบบเรา ๆ ไปแจกตามหมู่บ้านในชื่อ กองทุนหมู่บ้าน อ๋อ ไม่แจกฟรีนะคะ เก็บดอกเบี้ยด้วย แต่ชาวบ้าน เค้าไม่ค่อยสนใจค่ะว่าดอกเบี้ยเท่าไร คิดแค่ว่า มีเงินก้อนมาให้ยืมใช้ก่อนก็เอาค่ะ
แม่บ้านที่มาทำงานที่บ้านงก ๆ อยู่สอง-สามปี เค้าก็เก็บเงินส่งไปทางบ้านทุกเดือน ๆ หลาย ๆ พันต่อเดือน ก็ถามเค้าค่ะ ว่าเอาให้ลูกเรียน หรือใช้ลงทุนทำอะไรที่บ้าน เค้าตอบว่า ใช้หนี้ค่ะ
เราถาม หนี้ไรพี่
แม่บ้าน หนี้เงินกู้ค่ะ
เรา กู้ที่ไหนพี่ เอามาทำนาเหรอ
แม่บ้าน กู้รัฐบาลค่ะ ตอนนั้นน่ะ
เรา พี่เอามาทำไรอ่ะ
แม่บ้าน ซื้อของให้ลูกให้ผัว หมดไปแล้วค่ะ
เรา อ้าวพี่ เค้าให้เอามาลงทุนนะ เพราะว่ามันคิดดอกเบี้ย พี่รู้รึป่าว
แม่บ้าน รู้ค่ะ แต่ไม่รู้เค้าคิดยังไง คนอื่นเค้ากู้ ก็เลยกู้บ้าง
อึ้งไปเลย แหม รอบใหม่จะให้กู้กันอีกแล้ว เราก็เลยดีใจน่ะ ที่พี่ทักแกจะไม่ลงสมัครอีก ไม่งั้นชาวประชาทั่วประเทศคงมีหนี้กันอีกบานนนนน (แต่เค้าก็ชอบกันนะ ได้มีเงินใช้ สักพักนึง)

 

โดย: พัดค่ะ IP: 58.8.5.200 8 กันยายน 2551 17:54:44 น.  

 

เราว่า ค.ที่4 เล่นมุขประชดอ่ะค่ะ

 

โดย: mini mini 10 กันยายน 2551 20:08:12 น.  

 

ชอบบทความนี้จัง ความรู้เพียบ

 

โดย: แมวจอมกวน 13 กันยายน 2551 1:51:52 น.  

 

พี่โฟบี้ นำเสนอได้ถูกต้องเผงเลยครับ

บางคนฟัง และเชื่อ โดย ไม่ได้ไตร่ตรอง

นึกหาเหตุผล หรือ ดูเเล้ว ก็เชื่อทั้งที่ไม่ได้รู้ลึก

ก้เลยนถูกชักจูงได้ครับ

ขอบคุณพี่โฟบี้อีกคนที่นำเสนอความถูกต้องครับ

สถานการณ์ตอนนี้น่าเป้นห่วง แผนทุกด้านของเค้ารุกคืบหนักเหลือเกิน

ผมติดตาม เเละเเสดงความคิดเห้นเป็นห่วงมาอยู่เสมอครับ

 

โดย: iruku IP: 118.173.88.87 16 ตุลาคม 2551 20:40:35 น.  

 

อ่านดูแล้วก็มีส่วนถูกแต่ถ้าไม่ให้เครดิตรัฐบาลเลยก็เกินไปหน่อย ยังงี้ไม่ต้องมีกันแล้วครับรัฐบาลมีไปทำไม ตามกลไกโลกไปเรื่อยๆดีแล้ว พวกพันธมิตรก็คิดกันแบบนี้แหละ เอาข้อมูลอีกด้าน มา-กลบข้อด้อยตัวเอง กลไกโลกมันก็มาจากรัฐบาลทั่วโลกนะแหละใครเก่งกว่าประเทศก็เหนือคนอื่น อย่างตอนที่ทักสินเป็นนายกเราจะสู้เศรษกิจเพื่อนบ้านได้ ต่างประเทศยอมรับ มีการนำเสนอโปรเจคทีน่าสนใจ ประชานิยมที่เข้าถึงรากหญ้า นโยบายที่มองเห็นภาพ ไม่ต้องส่งลูกไปเรียนเมืองนอกก็เข้าใจ ยังไงผมก็ว่าคนเก่งมาบริหารประเทศมันดีกว่าเอาคนทำงานไม่เป็นมา ยึดอำนาจแล้ว วางแผนแล้วกลับไม่ได้เป็นรัฐบาล แล้วสร้างรัฐธรรมนูญเพื่อพวกพ้อง

 

โดย: จิต IP: 124.120.12.36 16 พฤศจิกายน 2551 10:47:56 น.  

 

คุณพัด

ตอนนี้กองทุนหมู่บ้านคุณนายกคนใหม่ให้เป็น 2 เท่านะค่ะ แล้วก็ยังมีอีก 2,000
ที่ให้กันฟรีๆ ดูแต่ละนโยบายที่มีออกมาคุ้นๆ ว่าจะคล้ายๆ ของใครบางคนแถมเพิ่มยอดอีก ไม่ค่อยจะเข้าใจการเมืองหรอกค่ะเพราะอ่านแล้วปวดหัว แต่ก็รู้สึกได้บ้างว่าอะไรที่เคยบอกว่าไม่ดี ก็ไม่เห็นมีคนไหนจะกล้ายกเลิก กลับนำไปใช้แถมให้มากกว่า อยากถามผู้ที่สนใจอ่านมาตลอดค่ะว่าแล้วตกลงของดีมันคืออะไรกันแน่
แล้วเงินที่ใช้ก็เงินภาษี แล้วนโยบายหาตังค์ไม่เห็นมี มีแต่นโยบายใช้ตังค์.....

 

โดย: ki IP: 203.146.116.186 19 มกราคม 2552 10:01:39 น.  

 

ก็เพราะรัฐบาลชุดที่แล้วทำไว้ไง ลองเอากองทุนหมู่บ้านออกสิ ประชาชนก็ไม่พอใจ แต่นี้รัฐบาลชุดนี้เค้าวางแผนใหม่ ให้มีการใช้เงินไปในทางเศรษฐกิจพอเพียง คือไม่ให้กู้ไปซื้อมือถือเหมือนเมื่อก่อน จะคุมได้มากน้อยก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
ส่วน 2,000 บาท เป็นนโบบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ทั่วโลกทำกันคือรัฐบาลต้องอัดเงินเข้าไปในระบบ
GDP = private consumption + gross investment + government spending + (exports − imports)
เป็นสิ่งที่รัฐบาลหลายประเทศทำกันในช่วงเกิด crisis ค่ะ
มันก็ช่วยให้GDPติดลบน้อยลงไง เป็นการกระตุ้นการใช้จ่าย
ไม่ทราบว่าที่เขียนไปพอจะอธิบายได้ไหม หวังว่าจะช่วยเพิ่มความเข้าใจมากขึ้น

 

โดย: minty IP: 180.210.216.67 4 พฤษภาคม 2553 23:28:51 น.  

 

ก่อนอื่นต้องเข้าใจอย่างนึงนะครับว่า2000บาทที่เขาแจกไปตอนต้นสมัยรบ.มาร์ค เขาไม่ได้เอาเงินจากภาษีมาใช้โดยตรง แต่เขาดึงมาจากกองทุนประกันสังคม งงไหม? สรุปให้ง่ายๆก็คือ เขาดึงเงินประกันสังคมมาแจกให้คนที่จ่ายประกันสังคม(ซึ่ง=เอาเงินที่น่าจะเก็บไว้จ่ายคืนยามชรามาจ่ายให้ล่วงหน้าก่อน แล้วค่อยเก็บสะสมกันใหม่) ถึงตรงนี้ เข้าใจหรือยังว่าทำไมเขาถึงแจกแต่พนง.บ. ข้าราชการ ฯลฯ เพราะพวกนี้จ่ายประกันสังคมไงครับ

 

โดย: ตาเกตุ IP: 124.122.189.33 5 มิถุนายน 2553 11:38:04 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Phoebe Buffay
Location :
ทุ่งหญ้า Canada

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 173 คน [?]




"It's Phoebe! That's, P as in Phoebe; H as in hoebe, O as in oebe; E as in ebe; B as in bebe; and E as in ... Ello there mate." Friends

There is no copyright here, unless otherwise specifically mentioned. If you find it useful, just take it. Thanks!

CHAT BOX



LAST UPDATES
LOSEING WEIGHT (BBC)
SKINCARE MINI SERIES
FAVORITES

Friends' blogs
[Add Phoebe Buffay's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.