สิงหาคม 2554

 
1
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog
เล่ห์รักโนราห์ [นิยายจากมือใหม่หัดเขียน] ตอนที่ ๕

 
 
;*'^'~*-.,_,.-* ... *-.,_,.-*~


ความเดิม ดาราวลีเป็นลูกสาวโนราห์ดวงดาว เข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพฯ โดยอาศัยบ้านอาประเทืองกับอาเดือนเต็ม ซึ่งมีลูกสาวชื่อตวงพร ครอบครัวของอาประเทืองสนิทกับครอบครัวคุณสุรีย์ ที่มีลูกสาวชื่อพรศิริ คุณสุรีย์แต่งงานใหม่กับนักธุรกิจ มีลูกชายคนหนึ่งคือพีรวิชญ์ เมื่อสองครอบครัวสนิทสนมกัน

ช่วงปิดเทอม ดาราวลีกลับบ้านต่างจังหวัด ทั้งสาม ตวงพร, พรศิริ และพีรวิชญ์ จึงเดินทางมาเที่ยวพร้อมกันนี้ด้วย


คัดมาจากช่วงท้ายตอนที่แล้ว
------------------------------

เจ็ดโมงถือว่ายังเช้าอยู่มาก แต่ไม่มีใครคิดยอมแพ้อากาศเย็นๆ ดาราวลีจึงชวนสาวๆ ออกไปเดิน

ตลาดเช้าของหมู่บ้าน ทิ้งชายหนุ่มคนเดียวให้อยู่บ้าน ไม่ยอมให้ไปด้วย
น้าชาติอาสาขับรถพาไปส่งให้ แล้วจะเลยไปทำงาน

“ค่ะ ไม่ผรือค่ะ เดี๋ยวหนูลีพาเด็กๆ กลับสองแถวเองค่ะ น้า”

“ขอบคุณค่ะน้าชาติ” เด็กๆ ไหว้น้าชาติขอบคุณอีกรอบ ที่เป็นมาส่ง

“ไป..ลุยตลาดเช้ากระบี่ดูสักทีเด็กๆ”

สองสาวพยักหน้า..ตั้งท่าเตรียมพร้อม โดยเฉพาะตวงพร ทำท่าเดินเป็นหุ่น เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคน

 
เชิญติดตามเรื่องราวตอนต่อไปได้เลยค่ะ
 
;*'^'~*-.,_,.-* ... *-.,_,.-*~



เล่ห์รักโนราห์ ตอนที่ ๕

..
“ ไป” ดาราวลีพยักหน้าเรียกตวงพร ให้เดินตาม ตลาดจัดแบ่งเป็นโซนอาหารสด อาหารแห้งและอาหารปรุงสำเร็จ ดาราวลีชี้ทางให้ตวงพรที่เดินนำ เดินไปเรื่อยๆ จนถึงอาหารปรุงสำเร็จ ฝั่งซ้ายและฝั่งขวา ล้วนแต่น่ารับประทานทั้งนั้น ลูกชิ้นปิ้ง ข้าวขาหมู ข้าวมันไก่ บางร้านก็จัดโต๊ะเล็ก
วางเก้าอี้สามสี่ตัว ไว้รอรับลูกค้า หรืออย่างร้านขนมจีนจัดเป็นโต๊ะตัวเดียว วางยาวเต็มที่ พร้อมกับเก้าอี้ยาวคู่กัน สองฝั่ง บนโต๊ะวางผักเครื่องเคียงได้เต็มกระจาด ลูกค้าสามารถเลือกรับประทานได้ไม่จำกัดชนิด

ดาราวลีหยุดทักทายแม่ค้าที่คุ้นเคยกัน ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ แม่ค้าสองสามคนรีบหยิบของที่ขายบนแผงใส่ถุงพลาสติกส่งให้ บ้างฝากไปให้แม่ครู บ้างฝากไปให้ตาเทพ ด้วยความชอบใจที่บ้านโนราห์ดวงดาว ช่วยสอนลูกหลานของตนเอง

เธอชะลอเมื่อเห็นประกายตาเด็กๆ เมื่อมองไปยังขนมหวาน หยุดกันที่หน้าร้าน ตวงพรหยิบขนมเปียกปูน จัดใส่ห่อซีนพลาสติกสวยงามมาหนึ่งห่อ ถามราคาแล้ววางไว้ที่เดิม ส่วนพรศิริชี้ถามราคาขนมชั้นที่ทำ

สีสดสวย ว่าทำมาจากสีอะไร แม่ค้าตอบว่าทำจากสีของดอกไม้ ไม่ใช่สีใส่ขนมเธอพยักหน้า มองขนมอื่นๆ ที่วางเรียงเป็นแผง มีทั้งเม็ดขนุน ตะโก้ใบเตย ข้าวเม่าคลุกมะพร้าว ข้าวโพดคลุกเนย ล้วนแล้วแต่ส่งกลิ่นเชิญชวน

ดาราวลีหันมายิ้มกับเด็กๆ ซึ่งตาเป็นประกาย

“นั่งทานที่นี่หรือซื้อกลับบ้านดีหละ” สองศรีเหมือนพี่กับน้องมองตากัน แอบแว้บจิตชื่นชมพี่สาวคนสวยที่มักถามก่อนตัดสินใจทุกครั้ง ไม่เหมือนพี่ชายซึ่งนิสัยต่างกันลิบลับขานั้น เผด็จการลูกเดียวโล้ด

“ซื้อไปทานที่บ้านก็ได้ค่ะพี่ลี จะได้เผื่อแม่พี่ลีกับตาเทพด้วย”

“อืม..เอาสิ ใครชอบอะไรก็เลือกเอา พี่เลือกอันนี้ให้ตาและก็อันนี้ให้แม่ละกัน แล้วเดินอยู่ซอยนี้นะ พี่จะไปซื้อของสดไปทำกับข้าว แล้วเจอกันตรงโน้น..ปากทางเข้า ตรงนั้นใกล้ท่ารถรถสองแถว”

“ค่า...”

“เอากระเป๋าตังค์มาไหม เอ้านี่” เธอล้วงกระเป๋าเล็กมาจากกระเป๋าสะพายหยิบแบงก์สีแดงส่งให้คนละหนึ่งใบ

“คนละร้อย ห้ามใช้จนหมดนะ แล้วอย่างที่บอก ไม่ต้องขนซื้อไปเยอะ บ้านพี่ไม่ได้อดอยากอะไรมากนัก ขนมในโหล แม่พี่ก็ทำไว้แจกเด็กประจำอยู่แล้ว ฉะนั้นใครซื้ออะไรไป ต้องรับผิดชอบกินให้หมด ใครซื้อไปแล้วเหลือ คราวหน้าจะต้องถูกลงโทษ อดกินขนมหนึ่งรอบ เข้าใจไหม”

“โธ่... เพิ่งจะดีใจว่าพี่ลีไม่เผด็จการเหมือนพี่วิชญ์ ที่ไหนได้.....” ตวงพรโอด ดาราวลีจับศรีษะ น้องสาวโยกไปมา

“เรานั่นแหละตัวดี ห้าม เข้าใจไหม”

“ค่า..”

“โอเค พี่ไปซื้อกับข้าวหละ เจอกันที่ปากทางที่เราเข้าเมื่อกี้นะ” ร่างสมส่วนสาวๆ เท้าจากไป สองสาวเลยช่วยกันหยิบขนมคนละสองสามชิ้น อย่างน้อยก็มีตัวช่วย คือพี่วิชญ์ผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ที่บ้านละหว้า งานนี้ ตวงพรยักคิ้วให้พรศิริ เมื่อจ่ายเงินเสร็จ ก็เดินไปโซนเสื้อผ้า เห็นเสื้อผ้าราคาถูกๆ ไม่ต่างจากไปเดินสำเพ็งหรือตลาดเปิดท้ายในกรุงเทพฯ คุณภาพก็คงจะประมาณเดียวกัน แต่เน้นไปทางเสื้อผ้าตัวใหญ่ และยาวมาก สงสัยร้านค้าเน้นขายนักท่องเที่ยวฝรั่งตัวใหญ่ๆ

สองคนเดินเลี้ยวไป เลี้ยวมา ในซอกซอยของตลาด ไปหยุดอยู่ที่แผงกิ๊ฟฉ็อป เลือกกิ๊ฟติดผมคนละอัน เลือกดอกไม้ติดผมดอกโตให้พี่สาว หารกันเหลือเงินคนละไม่กี่บาท พี่สาวบอกอย่าใช้หมด ก็นี่ก็ไม่หมด แต่เหลือไม่ถึงคนละสิบบาทเอง.. ‘หนึ่งร้อยพี่ไม่ให้ใช้หมด พวกหนูซื้อซื่อค่ะ ใช้ไม่หมดแน่นอน’ นั่นคือคำตอบที่พวก “สองหนู” รวมหัวกันเอาไว้เป็นคำตอบสุดท้าย


 
*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~



อาหารเช้ามื้อแรกที่กระบี่ของพีรวิชญ์วันนี้ ไม่ต่างจากอยู่บ้าน ก็คือกาแฟดำหนึ่งถ้วย นั่งสนทนากับตาเทพเป็นของแถม

ส่วนแม่ดวงดาวเข้าครัว หุงหาข้าวปลาอาหาร ระหว่างรอพวกสาวๆ กลับจากตลาด

“ฮะๆๆๆ” ตาเทพหัวเราะลงลูกคอ อย่างถูกใจ เมื่อเล่าถึงหลานสาวคนโปรด

“ตอนเด็กๆ หนูลี แอบหนีไปเล่นน้ำริมคลองกับเพื่อน นุ่งกุงเกงลิงสีแดงแปร๊ด ตาถือไม้เรียวไปขนาบกันตรงนั้นเลย ร้องเซี้ยะตาใจอ่อน ต้องไปเล่นน้ำเป็นเพื่อนหลานในวันถัดมา” พีรวิชญ์อมยิ้มแก้มตุ่ย นึกภาพแม่หนูลีของตาเทพตอนเด็ก คงจะซนและขี้อ้อนเป็นที่สุดแน่ๆ

“คงเฮี้ยวน่าดูนะครับ หนูลีของตา”

“ฮะๆๆๆ” ตาเทพหัวเราะแบบขำค้าง

“โน่น ตายยากไหม มากันแล้ว” พีรวิชญ์ยิ้ม มองไปทางเข้าบ้านพยักหน้า


รถสองแถวจอดหน้าบ้าน ดาราวลีลงมาก่อน เดินไปจ่ายเงินกับคนขับ ขณะที่สองสาวลงตามมาหิ้วของพะรุงพะรัง เดินเข้ามาในบ้าน หนูลีนิ่วหน้า มองตาเทพแบบไม่ไว้วางใจ หันไปมองอีกคน แต่พอสบกับสายตาที่มองมา คนมองไปต้องเสหลบตาหน้าแดงก่ำ ไม่รู้เพราะอากาศยามสายเริ่มร้อนแรงขึ้น หิ้วของมาหนัก หรือว่าอะไร หันไปเขม่นตาแก้เขินซะงั้น

“หั้วอิไร้ตา หล้านไปถึงหน้าบ้าน” (หัวเราะอะไรตา ดังลั่นไปถึงหน้าบ้าน)

“เปล๊า” ตาเทพผู้รู้ฤทธิ์หลานสาว ทำเสียงสูง

“อะไรเปล่า”

“ก็เปล่าไง”

“ผมบอกให้ไหม..” พีรวิชญ์พูดพลาง ยิ้มเจ้าเล่ห์

“ลีถามตา ไม่ได้ถามคุณซักหน่อย” เสียงชักอ่อย อู้อี้อุบอิบ เลี่ยงเข้าครัวไปหาแม่ สองสาวขยิบตาให้พี่ชายแล้วหิ้วถุง อาหารตามไป ครู่เดียวจัดขนมมาเป็นอาหารว่างแกล้มกาแฟให้ตากับพี่ชาย

“พี่วิชญ์ เมื่อกี้หัวเราะอะไรกัน” พรศิริกระซิบ หันไปมองในครัว ไม่เห็นใครโผล่มา แถมยังได้ยินเสียงจาน ชาม กระทบกันก้องแก้งๆ

“เหรอ..ตาเล่าให้ฟัง ตอนพี่หนูลีเด็กๆ” พีรวิชญ์แกล้งกระซิบกระซาบตอบ แล้วเล่าให้ฟังเบาๆ สองคนพี่น้องหัวชนกัน ซุบซิบกันใหญ่ ตาเทพผู้เห็นเหตุการณ์ยิ่งหัวเราะดังกว่าเก่า

“เอิดหร้อยนิตา” เสียงใสๆ ลอยลมมาแต่ไม่เห็นตัว ทำเอาวงสนทนาลดระดับเสียง เหลือแค่หัวเราะกันคิกคักๆ

“เอิดหร้อย แปลว่าอะไรตา” ภาษาใต้วันละคำ แอบกระซิบกระซาบเบาๆ

“เอิด แปลว่าเกเร หรือในที่นี้หนูลีคงแปลว่า ทำตัวน่าหมั่นไส้ เอิดหร้อย คำว่าหร้อยก็เหมือนคำสร้อย คนใต้พูดมักชอบเติมสร้อย เอิดหร้อยก็ยังได้ความหมายเดิม ประมาณว่าหมั่นไส้นะตา พรรค์นั้นแล้” ตาเทพตอบ ยิ้มๆ อย่างคนอารมณ์ดี


“ผมไปช่วยเขาทำกับข้าวดีไหมตา เผื่อเขาจะให้ช่วยโขลกพริก โขลกเกลือ สมัยเด็กผมเคยช่วยแม่” เขาทำท่าอยากอวดฝีมือ

“หม้ายต้องหละบ่าวเอ้อ เขาทำกันไหว เกะกะเขาซะเปล่าๆ”

“ไปดูรอบๆ เรินมา ตาจิพาไป”

“เริน ??” เครื่องหมายคำถาม เติมหน้าสาวน้อยคนกรุงเทพฯ

“เริน หมายถึง เรือน บ้าน ไป ไปดูรอบๆ บ้านเดี๋ยวตาพาไปรู้จักสมุนไพร ตาปลูกมั่ง หนูลีปลูกมั่ง เขาชอบเอาต้นไม้มาจากโรงเรียนรอบบ้านนี้เต็มไปด้วยของกินได้ และสมุนไพร”

“ครับตา”

“หนูไปช่วยในครัวดีกว่าค่ะ เชิญตากับพี่วิชญ์นะคะ” พรศิริย่อกาย หันหลังเดินกลับไปทางในครัว แม่ครัวใหญ่ หุงข้าวเสร็จแล้ว ตำน้ำพริกกะปิ หรือที่เขาเรียกภาษาใต้ว่าน้ำชุบ ส่วนพี่ลีเห็นว่าจะแกงส้มปลากระบอก ใส่ผักหลายๆ อย่างรวมไป โดยทุกอย่างจะทำไม่เผ็ดมากเพื่อให้คนกรุงเทพฯ กินได้


พรศิริเดินเข้าครัวในขณะที่แม่ครัวใหญ่เดินสวนออกมา ยิ้มให้เธออย่างผู้ใหญ่ใจดี เด็กสาวย่อกายเดินผ่านไป ดาราวลีกำลังยืนคนหม้อแกงที่น้ำเดือดขลั่กๆ

“แกงส้มผักรวมมิตร ยังไม่ได้ที่หรือคะพี่สาว”

“อื่อ เพิ่งกรองน้ำมะขามเปียกลงไป ต้องรอน้ำแกงเดือดอีกรอบก่อนได้ที่ค่อยใส่ผัก ใส่ปลาลงไป”

“ไม่เห็นได้ยินเสียงโขลกพริกเลยค่ะ แล้วนี่อะไรคะ”

“พี่ลีซื้อพริกแกงสำเร็จรูปมาจากตลาด ส่วนอย่างอื่นๆ เพื่อนก็ลองดูนะจ้ะ ตาเค้ามีไว้ดูนะจ้ะ เพื่อน” ตวงพรกัดเพื่อนเล็กๆ ที่ทิ้งให้ตัวเองหั่นผัก และล้างผักคนเดียว พรศิริเลยทำไม่รู้ไม่ชี้ เดินเฉียดเข้าไปดู ไม่พูดไม่จา

ปลากระบอกที่ขอดเกล็ด ผ่าท้องเอาไส้ออกและหั่นเป็นชิ้นอยู่ในชามหนึ่ง ส่วนจานหลุมสีชมพูสดใสมีผักกาดขาว ดอกกะหล่ำ ถั่วฝักยาว ฟักขาวหั่นชิ้นเป็นแบบลูกเต๋าชิ้นพอคำ

“ชิมน้ำแกงซิ เผ็ดไปหรือเปล่า พี่จะได้เติมน้ำตาลอีกนิด” ดาราวลีใช้ทัพพีตักน้ำแกงส้ม คว้าช้อนที่เสียบอยู่ที่ชั้นวางใกล้ๆ มือ ส่งช้อนให้น้อง

“ร้อนนะ ระวัง” พรศิริรับหน้าที่ชิม แล้วส่ายหน้า

“ว่าไงๆ” ตวงพรซึ่งลุ้นอยู่ถามจิก คนชิมยิ้มแหยๆ

“ไม่รู้ ปกติไม่ค่อยได้กินแกงส้ม”

“เอ๋า.. แล้วทำเป็นชิม มานี่เลยมา พี่ลีตักมาใหม่ค่ะ” หนูลีจัดการให้ พรศิริเป็นฝ่ายลุ้นมั่ง ตวงพรยิ้มแหยๆ ซะยิ่งกว่าพรศิริที่ชิมคนแรก

“อร่อยค่ะ แต่ถ้าถามว่าให้เติมอะไรอีก ตอบไม่ถูก”

ดาราวลีส่ายศรีษะ เอากับเค้าเหอะ ไม่ได้เรื่องทั้งสองคน แม่ครัวน้อยซึ่งรับหน้าที่ต่อจากแม่ครัวใหญ่ชิมเอง พยักหน้าหงึกหงัก เติมน้ำตาลลงไปอีกนิดหน่อย สงสัยว่าคงจะเผ็ดไป ตวงพรถึงบอกไม่ถูกว่าต้องใส่อะไรบ้าง ปกติที่บ้านโน้นไม่ได้รับประทานอาหารรสจัดมากนัก

“เอาหละ .. มา เอาผักส่งมา” พรศิริส่งจานผักให้ ดาราวลีทยอยเทผักลงไปในหม้อ ปิดฝาไว้

เธอหันไปดูที่อ่างล้างจาน เธอเลือกที่จะเก็บจาน ชามที่แห้งแล้วส่งให้คนที่อยู่ข้างๆ ชี้ช่องให้ดูว่าเก็บตรงไหน แล้วให้คนที่อยู่ใกล้รับไปเรียงไว้ในตู้ก่อน แล้วลงมือล้างอุปกรณ์ต่างๆ ครอบลงไปแทน รอให้ชุดนี้แห้งค่อยเอาไปเก็บ

เสร็จงานก็หันมาหยิบปลาใส่ลงไปในหม้อแกง ปิดฝา รอให้ปลาสุก

“หิวกันหรือยัง” เธอดูนาฬิกาข้อมือ เกือบสิบโมงเข้าไปแล้ว

“ไม่หิวเท่าไหร่ เพราะได้ขนมกันไป คนละชิ้นสองชิ้นแล้วค่ะ ส่วนตากับพี่วิชญ์ได้กาแฟคนละแก้ว โน่นไปเดินดูสวนของตาข้างเรินโน่นค่ะ” ดาราวลีเลิกคิ้ว

“รู้จัก เริน แล้วรึ”

“ตาสอนเมื่อกี้นี่เอง” พรศิริยิ้มภูมิใจ ดาราวลียิ้มพยักหน้า

“เหนื่อยไหม ตวง ง่วงหรือเปล่า”

“หนูหลับเกือบตลอดทาง ไม่ง่วงสักนิด”

“ศิริก็เหมือนกันค่ะ”

“อือ.. เอาไว้วันนี้พักอยู่บ้านกันสักวัน นอนกลางวันก็ได้ ไม่เป็นไร เดี๋ยวจัดข้าวของในห้องกันเสร็จแล้ว บ่ายจัดพี่อาจจะพาไปเดินริมทะเล ในเมือง พรุ่งนี้จะพาไปทะเล ไม่แน่ใจว่าจะไปทางไหน แต่น่าจะเป็นทะเลที่อ่าวนาง ให้พี่จัดการเรื่องอะไรๆ ให้เรียบร้อยก่อนนะ”

“ค่า...”

“โต๊ะกินข้าวอยู่ข้างนอก หน้าห้องครัวนี่เอง ไปช่วยกันเตรียมไป จานก็อยู่ในตู้ ข้าวอยู่ในหม้อ แบ่งงานกันทำเอง เสร็จแล้วใครสักคนไปเรียกตาด้วย วันนี้ตากินข้าวสายกว่าปกติ คงจะหิวมากแล้วหละ”

“ศิริเพิ่งยกขนมไปให้ค่ะ”

“ส่วนใหญ่ตาไม่กินขนมก่อน อาหารหลักของตายามเช้าคือข้าวสวยร้อนๆ กับแกงเผ็ดหรือน้ำพริกสักอย่าง ผักแกล้ม ถ้าวันไหนสอนเด็กรำมโนราห์ ถึงจะเตรียมขนมให้เป็นพิเศษ”

“อือ..ค่ะ” พรศิริอาสาจัดการเรื่องจาน ช้อน และแก้วน้ำดื่ม ให้ตวงพรเป็นคนไปตาม ตากับพีรวิชญ์ ส่วนดาราวลีดูแลในครัวจนเรียบร้อย ตักแกงตั้งไว้ให้ก่อนจะเป็นคนเดินไปเรียกแม่เพื่อมาร่วมวงกัน


 
*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~




บ่ายจัดจนเกือบเย็น พีรวิชญ์ขึ้นบ้านเข้าไปหลับในห้องพัก ตานั่งป่นเมล็ดถั่วเขียว เอาไว้เป็นอาหารนกเขาตัวโปรดอยู่ที่โต๊ะกินข้าว

แม่ครูดวงดาว กับสาวๆ ปูเสื่อนั่งล้อมวงกันที่ใต้ถุน ลมพัดเย็นสบายโดยไม่ต้องพึ่งพัดลม ทุกคนมีหมอนอิงคนละใบเผื่อใครเบื่อจะนอนเขลงเล่นอยู่แถวนั้นๆ ก็ได้ แต่ไม่มีใครสนใจหมอน ต่างนั่งสนุกกับการคัดลูกปัดเล็กๆ แยกไว้เป็นสีๆ เพื่อที่จะได้นำลูกปัดเหล่านั้นไปร้อยรวมผูกประกอบเป็นชุดมโนราห์ชิ้นต่างๆ

รถกระบะคันหนึ่งวิ่งมาจอดหน้าบ้าน ไม่ทันที่ผู้มาเยือนจะลงจากรถ มอเตอร์ไซค์สีแดงบาดตา พร้อมกับสาวสวย หน้าตาดี เธอสวมกางเกงยีนส์ฟิดพอดีตัว กับเสื้อยืดสีขาวตัวโคร่ง คลุมยาวเพื่อไม่ให้น่าเกลียดก็มาจอดใกล้ๆ กัน

คนขับมอเตอร์ไซค์ คือปลื้มใจ สาวโฮสเตสประจำรถสายกระบี่-กรุงเทพฯ นั่นเอง เธอถอดหมวกกันน็อค ปล่อยผมยาวสลวยมาเคลียร์บ่า ส่วนรถกระบะก็มีชายหญิงคู่หนึ่งลงรถ เดินเข้ามาที่ใต้ถุนพร้อมๆ กัน

“สวัสดีค่ะตา” ปลื้มใจยิ้มให้แขกที่ลงจากรถกระบี่ โค้งให้นิดหน่อย แล้วเดินเข้ามาไหว้ตาเทพก่อนจะหันมาไหว้แม่ครูดวงดาว

“สวัสดีค่ะแม่ครู”

“เอ้า ๆ มานั่งๆ” แม่ครูดวงดาว ขยับที่บนเสื่อเผื่อให้ปลื้มใจ สองสาวยกมือไหว้ผู้มาใหม่ ขยับที่ทางเพื่อเชิญชวนให้คนมาใหม่นั่งลงแบบ งง งง ไม่รู้ใคร แขกมาบ้านต้องต้อนรับ

ดาราวลีลุกเดินออกมาไหว้ทักทายชายหญิงคู่ที่มา เสียงตาเทพดังล้งเล้งมาจากหน้าห้องครัว

“อ้าว ใครนั่น มาตะไหน้หละ” คนแก่สายตายาวก็จริง แต่นานที่ไม่พบหน้ากันก็ลืมๆ ไปมั่งแหละ

“บังหยาครับครู นี่เมียโผ้ม..จ๊ะนีขรั่บ”

“ไปไงมาไงนิ มาทางหนี้ หนั่ง..หนัง”

“ สูหยา สูหยาที่เมื่อก่อนมาบ้านเราบ่อยๆ หรือคะ” ดาราวลีจำรูปร่างหน้าตาแค่รางๆ และความทรงจำแจ่มชัด เมื่อผู้มาเยือนแจ้งชื่อเสียงเรียงนาม

“หรอยหรา.. ลูกภ้าย จำได้กั้น” สมัยเด็กๆ บังหยา หรือนายสัญญา เป็นเพื่อนบ้านในหมู่บ้านเดียวกัน ด้วยความชื่นชอบมโนราห์ นายสัญญาจะแวะเวียนมาที่บ้านของตาเทพบ่อยๆ มีงานที่ไหนก็มักจะเป็นผู้ติดต่อ ดำเนินการให้


นายสัญญามีลูกชายอยู่สองคน อายุรุ่นราวคราวเดียวกับดาราวลี บังหยาก็เลยพูดเล่นทำนองว่า จองตัว ดาราวลีไว้เป็นสะใภ้ หนึ่งในสองของลูกชาย ใครก็ได้ เมื่อมีไมตรีต่อกันดังนี้ มักมีขนมติดมือมาฝาก “ลูกภ้าย” หรือลูกสะใภ้เสมอๆ ดาราวลีก็เลยจำแม่น แม้ว่าไม่เจอกันมานานนับสิบปีก็ตาม

“สวัสดีค่ะ สู บายดีหม้าย”

“บายดี๋.. ไป ลูกไป สูเอาเงาะมาฝาก สดๆ จากต้นเลย สูให้เด็กเอาใส่ท้ายรถมาเต็มเข่งเหลย”

“สวัสดีครับ ได้ยินลูกพ่ายๆ แปลว่าอะไรครับ” ตัวอิจฉา เอ๊ย .. แขกผู้มาอาศัยนั่นเอง ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เดินลงจากบันไดหลังบ้าน ยิ้มเผล่เข้ามาทักกลางวง เขายกมือไว้กราดทั่วสารทิศเหมือนนักมวยก็ไม่ปาน

“มาก็ดีแล้ว คุณ ขอแรงไปช่วยยกเงาะที่ท้ายรถกระบะคันที่จอดอยู่หนะค่ะ ยังหนุ่ม ยังแน่น คนเดียวก็คงไหวนะ” แขกกลายเป็นเจ้าบ้านเมื่อมีแขกซ้อนมาอีกชุด เขาพยักหน้าหงึกหงัก ดวงตาพราวระยิบ ยิ้มกว้างอย่างเต็มใจยิ่ง ชิดเท้าตะเบ๊ะอย่างล้อเลียนก่อนจะกำมือสองข้างชิดลำตัว ออกวิ่งอย่างทหารกำลังฝึกวิ่ง

ลูกชายนักธุรกิจ เมื่อมาเป็นกรรมกร ก็แสดงบทบาทได้ดีใช่ย่อย เขาแบกเข่งเงาะบนบ่าอย่างคนเป็นงาน เดินผ่านหน้าเจ้าบ้านตัวจริงที่ยืนลุ้นกันอยู่ว่าหนุ่มกรุงเทพฯ รูปร่างสูงโย่งจะรับน้ำหนักเข่งเงาะไหวจริงหรือเปล่า

“ไว้ไหนขอรับ”

“ในครัวละกัน สองสาวไปช่วยพี่ปะ เราจะจัดการเงาะใส่จานมาเสิร์ฟแขก พี่ใจ สู จ้ะ รอแป๊ปนะคะ เดี๋ยวลีไปช่วยเด็กๆ ยกน้ำมาเสิร์ฟค่ะ ตามสบายกันเลยนะคะ” ทุกคนพยักหน้า ยิ้มและมองตามร่างงามระหง ที่เป็น
หัวหน้าทีม

 
*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~



สูหยากับจ้ะนีเป็นเพื่อนกับครอบครัวดาราวลีมานาน แต่ทว่าสูกับจ้ะย้ายครอบครัวไปทำธุรกิจบนเกาะกลางทะเล แม้ไม่ได้ขายบ้านเดิมที่กระบี่ ก็เหมือนไม่ค่อยได้อยู่ คนที่อยู่บ้านเป็นญาติที่มาเฝ้าบ้านให้

ทั้งนี้สูหยามาติดต่อมโนราห์ไปรำในงานวันเกิดของผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ซึ่งจะมาจัดงานเลี้ยงที่โรงแรมของสูหยาบนเกาะ ตาเทพตกลงรับงาน แต่เมื่อดาราวลีอยู่บ้าน แทนที่จะพากันไปทั้งคณะใหญ่ที่เคยมี

สูหยาขอเฉพาะดาราวลีรำเดี่ยว รำมโนราห์บูชายัญ เพราะใช้เวลาไม่มากนัก รวมถึงสามารถใช้เทปแทนคณะปี่ กลอง ได้ด้วย

สูหยาแสดงความดีใจเป็นอย่างยิ่งเพราะชื่นชอบดาราวลีเป็นส่วนตัว แถมยังเชื่อใจในฝีมือกันมาตั้งแต่เด็ก งานนี้ที่พักและอาหารฟรี และพิเศษหากแม่ครูดวงดาวกับตาเทพจะร่วมทางด้วย ทางสูหยาไม่คิดค่าที่พัก และยินดีเลี้ยงอาหารทุกมื้อ

ตกลงงานเสร็จ สูหยากับจ้ะนีก็ขอตัวกลับ เพื่อไปติดต่องานเรื่องอื่นๆ ส่วนทางนี้ตากับแม่ครูปฎิเสธ เพราะเหนื่อยที่จะต้องนั่งเรือเป็นชั่วโมงๆ ข้ามน้ำข้ามทะเล

และแน่นอนว่า แขกที่กลายมาเป็นเจ้าบ้านเวลานี้ขอติดสอยห้อยตามไปอีกสามคน โดยพีรวิชญ์ยินดีรับค่าใช้จ่ายทั้งหมด ไม่ว่าจะค่าห้อง ค่าอาหาร สำหรับน้องสองคนโดยไม่รบกวนทางเจ้าภาพ

ปลื้มใจซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ อยากไปด้วยเหมือนกัน แต่ไม่ตรงวันหยุด จึงขอเป็นทริปหน้าหากจะไปเที่ยวที่อื่นๆ ทั้งในกระบี่และใกล้เคียง

“เสียดายจริงๆ ไม่ได้ไปด้วย แต่คราวหน้า ไปไหนที่ตรงวันหยุดพี่ จะขอไปด้วยนะลี” ปลื้มใจจับมือสาวน้อยเจ้าของบ้าน และพยักหน้าให้เป็นการร่ำลา

“ถ้างั้นกลับก่อนนะ อิ่มแล้วนี่” เธอทำท่าลูบพุง ซึ่งจริงๆ เป็นเพียงหน้าท้องแบนเรียบ สวยสมวัย และสวยตามหน้าที่การงานที่ต้องรักษารูปร่างเพื่อให้คล่องแคล่วว่องไว

“หนุ่มหล่อที่มาด้วย หน้าตาดีเชียะ มีแฟนยังหนะ”

“ฮั่นแน่ สนใจหละสิ เขาเป็นพี่ของน้องของเพื่อนอีกที ลียังไม่รู้จักเขามากนัก ขัดผู้ใหญ่ไม่ได้ เลยต้องให้ตามมานี่แหละค่ะ”

“ฮิฮิ” ปลื้มใจชะม้ายตามองชายหนุ่ม หน้าตาดี ผิวพรรณสะอาดสะอ้าน ซึ่งกำลังสนใจชั่วตาบดเม็ดถั่วเขียวอยู่ด้านในใต้ถุนบ้าน

“เอาไว้มาใหม่” ปลื้มใจเอียงไหล่มากระทบไหล่สาวน้อยเบาๆ ดาราวลียิ้มตอบรับ

“ลีว่าจะไปน้ำตกร้อน พาเด็กๆ ไปเล่นน้ำ ยังไงจะโทรหาก่อนไปนะคะ”

“จ้า พี่หยุดอีกทีราวๆ ปลายเดือนโน่นแหละ”

“สวัสดีค่ะพี่” ปลื้มใจปล่อยมือจากดาราวลี เดินไปสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ ยกมือบ้ายบายแล้วเลี้ยวออกไป

(พบกันใหม่ ประมาณ พฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคมค่ะ)


 



Create Date : 02 สิงหาคม 2554
Last Update : 31 ตุลาคม 2563 13:20:45 น.
Counter : 501 Pageviews.

1 comments
  
แวะมาทักทายค่ะ
วันนี้ฝนตกหนักมากๆเลย
รักษาสุขภาพด้วยนะคะ
โดย: dayydream_m วันที่: 16 สิงหาคม 2554 เวลา:19:43:22 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สีน้ำฟ้า
Location :
กระบี่  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



MY VIP Friend