กรกฏาคม 2554

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
8
9
10
11
12
13
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog
เล่ห์รักโนราห์ [นิยายจากมือใหม่หัดเขียน] ตอนที่ ๒

 
 
;*'^'~*-.,_,.-* ... *-.,_,.-*~


“ปึง!!” ฝากระโปรงท้ายรถแท็กซี่ปิดลง ชายวัยกลางคน รูปร่างแข็งแรงในชุดซาฟารีสีกรมท่าเข้ม วิ่งกลับมาทางคนขับทำสัญญาณให้ผ่านเข้าไปข้างในได้ วันนี้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำหมู่บ้านทำงานหนักกว่าปกติ รถยนต์คันหรูหราทยอยวิ่งเลี้ยวเข้ามาหลายสิบคัน มีคันที่แตกต่างก็เห็นจะเป็นรถแท็กซี่สีชมพูคันนี้แหละ ผู้โดยสารเป็นผู้หญิงสองคนมีบัตรเชิญให้เข้าร่วมงานแต่งงานชัดเจน ดังเจ้าของบ้านคนใหม่ ได้โทรมายืนยันว่าจะมีคนนั่งแท็กซี่มาร่วมงานด้วย รบกวนให้ทางป้อมยามช่วยดูแลแขกของเธอด้วย

บ้านหลังที่กำลังจัดเลี้ยงแต่งงาน เจ้าของบ้านเป็นนักธุรกิจที่เพิ่งประสบความสำเร็จมาเมื่อไม่กี่ปีมานี้ แขกเหรื่อวันนี้มีแต่คนที่อยู่ในสังคมเดียวกัน รถที่มาร่วมงานจึงหรูหราราคาแพงชนิดที่ชาตินี้แม้ทำงานอย่างหนัก ยามอย่างพวกเขาคงไม่มีโอกาสได้เป็นเจ้าของ

“เหนื่อยหน่อยนะ อ้วน” คนที่เป็นหัวหน้าตบไหล่ลูกน้อง

“ครับผม” ชายร่างอ้วนสมชื่อตอบหัวหน้า คนที่แต่งงานวันนี้เขามักเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์อยู่บ่อยๆ แม้ฐานะต่างกัน แต่ก็พบกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน อ้วนและทุกคนที่ทำงานที่นี่สัมผัสถึงน้ำใจของคนในบ้านนั้น พวกเขาไม่เคยถือยศถือศักดิ์ และมักมีอาหารหรือขนมแปลกๆ รสชาติอร่อยติดมือมาฝากยามที่ป้อมบ่อยๆ ตอนนี้บ้านนั้นมีงานทุกคนจึงพร้อมใจกันบริการแขกเหรื่อที่มาเต็มที่ เริ่มตั้งแต่การตรวจสอบผู้เข้าร่วมงาน ไปถึงการอำนวยควมสะดวกที่จอดรถ

บ้านเทพพิมานเป็นบ้านเดี่ยวสไตล์ยุโรป ตั้งอยู่บนพื้นที่ไม่ต่ำกว่าสี่ร้อยตารางวา เป็นหนึ่งหลังในโครงการของหมู่บ้านจัดสรรแห่งนี้ อ้วนทำงานที่นี่ตั้งแต่โครงการเริ่มสร้าง จึงรู้ว่าลูกชายเจ้าของจบจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง พวกเขามีธุรกิจเกี่ยวกับการก่อสร้างและตกแต่งบ้าน พวกเขาจ่ายพิเศษเพื่อมีส่วนตั้งแต่การก่อสร้างจนถึงการตกแต่ง บ้านเทพพิมานจึงสวย พิเศษกว่าทุกบ้านในโครงการ
ประตูรั้วที่ทำจากเหล็กดัดอิตาลี่ ดูสวยและหรูหรา ส่วนรั้วที่ล้อมตัวบ้านเป็นรั้วสแตนเลสแบบโปร่ง เพราะดูโล่งสบาย ไม่อึดอัดเหมือนกำแพงซีเมนต์ การปลูกไม้ประดับริมรั้ว อ้วนว่าก็ดีเหมือนกัน เพราะบ้านอยู่ในกำแพงของหมู่บ้านจัดสรรอยู่แล้ว มียามรักษาการ ตรวจตราอย่างเข้มแข็ง ไม่ต้องกลัวโขมยขะโจรที่ไหนจะขึ้นบ้าน

“พี่วิชญ์คะ พี่ว่า พี่ลีสวยไหม” สองคนพี่น้อง อยู่ตรงโต๊ะรับแขกซึ่งตั้งไปเป็นจุดรับกล่องของขวัญตรงชายคาบ้าน ตาของพรศิริจับจ้องที่ประตูทางเข้า รอว่าเมื่อไหร่เพื่อนจะมาถึงสักที

“ก็สวย แต่พี่เห็นแค่เธอรำผ่านทีวีแว้บเดียวเองนะ”

“หือ ไม่แว้บหรอกค่ะ กล้องจับไปที่พี่ลีตั้งนาน รำก็สวยกว่าคนอื่น โดดเด่นเหมือนจะโดดออกมานอกจอ รำอยู่ตรงหน้าเรางั้นแหละ ขนาดคุณลุงกับแม่ยังชอบ และชมใหญ่เลยวันนั้นหนะ”

“จำได้หรอกน่า” พีรวิชญ์จับศีรษะน้องสาวโยกไปมา

“หืมม์ เดี๋ยวผมไม่สวย” พรศิริห่วงภาพพจน์ตัวเอง ที่วันนี้อุตส่าห์แต่งตัวสวย เพื่ออวดพี่ลีโดยเฉพาะ
“ตัวจริงพี่ลีก็สวยกว่าในโทรทัศน์อีกนะคะ เสียงงี้ใส้ใส ร้องเพลงโดยไม่ต้องมีดนตรีก็ไพเราะจับใจ ถ้าพี่วิชญ์เจอพี่ลีแล้วรับรองจะต้องหลงรักแน่ๆ เลย”

“ขนาดนั้นเชียว”

“จริงๆ นะคะ” น้องสาวพยักหน้านั่งยันไม่พอ ลุกขึ้นมายืนยันอีกต่างหาก เขาบุ้ยใบ้เมื่อเห็นโทรศัพท์มือถือที่วางไว้บนโต๊ะสั่น

“มาแล้วมั้ง พี่ลีคนสวย”

“จริงด้วยค่ะ เบอร์ของตวง สงสัยมาถึงกันแล้ว” พรศิริเดินแยกห่างออกไปรับโทรศัพท์ เขาเลยมองในงานอย่างสำรวจตรวจตรา แขกที่เชิญไว้ยี่สิบบานปลายเป็นห้าสิบคน จึงย้ายจากในบ้านมาจัดการกลางสนาม โชคดีที่อากาศเป็นใจ ฝนไม่ตก และ เสียงเพลงจากวงดนตรีในซุ้มดอกไม้กังวานแว่ว เขาดูนาฬิกาตอนนี้เกือบได้เวลาที่พิธีกรบนเวทีจะเข้าดำเนินการแล้ว

 
*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~


รถแท็กซี่แล่นผ่านด่านการตรวจตราของพนักงานรักษาความปลอดภัยตรงป้อมยามเข้าสู่หมู่บ้านช้าๆ คอยมองหาเลขที่บ้านตามที่สองสาวผู้โดยสารบอก สองสาวรู้สึกตื่นเต้นกับบ้านแต่ละหลังที่ผ่าน จนกระทั่งรถชะลอจึงเห็นบ้านสีขาวโดดเด่นอยู่มุมในสุดถนน

“ทราบแล้วเปลี่ยนๆ”

เนื่องจากรถเปิดกระจกไว้ จึงได้ยินเสียงวิทยุเคลื่อนที่ ที่ทาง รปภ.ใช้กัน หันไปมองเห็นชายหนุ่มหน้าตาหมดจด สะอาดสะอ้าน ร่างสูงเพรียวรับหน้าที่อำนวยความสะดวกที่จอดรถให้เแขกเหรื่อที่มาร่วมงานตอบวิทยุเคลื่อนที่

ชายหนุ่มจอดจักรยานไว้ริมทาง ข้างบ้านหลังใกล้ๆ กัน ลงมาโบกมือให้แท็กซี่จอด ผู้โดยสารกำลังจ่ายเงินตามมิเตอร์ แล้วก้าวลงจากรถมายืนริมถนนฝั่งตรงข้ามบ้านที่มีงานแต่งงาน

พีรวิชญ์มองมาทางนี้เช่นเดียวกัน เขาตะลึงงัน แม้เคยเห็นผ่านจอโทรทัศน์มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่ประทับใจเท่ากับวันนี้ ร่างสูงโปร่งผมยาวประบ่าเหยียดตรง พลิ้วไหวรู้สึกได้ถึงความนุ่มสลวยเวลาเธอหันหน้าไปมายามคุยกับเด็กผู้หญิงที่มาด้วยกัน ใบหน้าสวยหวานรับกับหน้าผากและคิ้วดกดำ ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ตากลมโตเป็นประกายสดใส จมูกโด่งเป็นสัน ปลายจมูกเชิดงอน น่ารัก ริมฝีปากบาง อิ่มเอิบสีชมพูระเรื่อ หน้าอกอวบอิ่ม เอวคอดงามสมส่วน ผิวขาวอมชมพู เรียวขายาว กลมกลึง เธอเดินคู่มากับตวงพร จะเป็นใครไปเสียไม่ได้ นอกจากดาราวลี

“ตวงกับพี่สาวมาแล้ว ศิริ” เขาแตะเบาๆ ที่แขนน้องสาว แต่สายตายังคงมองไปจุดเดิม พรศิริซึ่งก้มหน้าจดรายชื่อแขกคนล่าสุดที่เพิ่งเดินเข้าไปเงยหน้าขึ้นมามอง โบกมือทักทายสองสาว

“อุ้ย..ใช่ค่ะ พี่ลี ตวง” เธอยิ้มกว้างบ่งบอกความนัยทั้งตาทั้งปาก

พนักงานรักษาความปลอดภัยประจำหมู่บ้านมองตาม เห็นว่าคนในบ้านรู้จักกับสองคนก็หมดหน้าที่เขา หันมาสนใจแท็กซี่ โบกมือให้ขยับถอยออกไป ก่อนจะปั่นจักรยานที่จอดแอบๆ เพื่อกลับไปประจำการจุดเดิม

เฉกเช่นแขกที่มาร่วมงาน เมื่อเห็นเจ้าภาพที่คุ้นเคย ก็รู้สึกอุ่นใจ ส่งยิ้มไปทักทาย สองพี่น้องจูงมือกันเดินเข้าไปตวงพรแม้จะอวบท้วม แต่ความสูงก็ใกล้เคียงกันกับพี่สาว เธอเอียงหน้ากระซิบเบาๆ

“พี่ลี บ้านเขาใหญ่โตจัง”

“อืม..” สองคนก้าวข้ามถนน มองผ่านมาทางประตูรั้วเหล็กทางเข้าสู่ตัวบ้านเป็นถนนคอนกรีต ลึกพอสมควร สองข้างถนนขนาบสองข้างด้วยแปลงดอกไม้ต้นเตี้ยๆ ดอกสีชมพูอมม่วงบานสะพรั่ง สนามหน้าบ้านทั้งสองฝั่ง วางไม้กระถางตกแต่งอย่างลงตัว มีสแตนประดับดอกไม้เป็นจุดเด่นๆ หลายจุด โต๊ะเก้าอี้คลุมด้วยผ้าขาว ผูกโบว์สีฟ้า เรียงรายเกือบเต็มพื้นที่ของสนาม มัวแต่มองวิวข้างกายเพลินเลยไม่เห็นว่าร่างสูงๆ ส่งสายตาคมเข้มมาสำรวจตัวเธอตลอดเวลา

“ทางนี้ๆ ทางนี้เลยตวง” เด็กสาวในวัยเดียวกันกับคนที่รูปร่างอวบโบกมือน้อยๆ ให้เพื่อนสาว เดินตรงเข้ามารับท่าทางดีอกดีใจ สองสาวมองมาเห็นชายหนุ่มร่างสูง วันนี้สวมสูทเต็มยศ เสื้อเชิ้ตข้างในตัวสีฟ้า เข้าชุดกับเนคไทสีฟ้าเข้ม

“เห็นพี่วิชญ์ไหมพี่ลี หล่อเหมือนพระเอกในทีวีอย่างที่บอกไว้ไหมหละ” ตวงพรยกมือป้องปากพูดกับพี่สาวดาราวลีมองตาม สบตากับสายตาคมเข้มที่มองมอง แก้มร้อนวูบขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เธอหลบตา คนอะไรมองจิกเหมือนกล้องที่ถ่ายทะลุเข้าไปเห็นตับไตไส้พุง!!

ตวงพรตรงเข้าไปจับมือเพื่อนที่วันนี้สวมชุดชีฟองระบายสีฟ้าขาว แขนกุด ลายดอกไม้ จับเพื่อนหมุนรอบๆ เหมือนเต้นระบำเพื่อโชว์ชุดสวย มองด้วยสายตาชื่นชมปนล้อเลียน หัวเราะกันคิกคัก จบโชว์สั้น ตวงพรยกมือไหว้ชายหนุ่มอย่างรู้หน้าที่

“สวัสดีค่ะ พี่วิชญ์ สบายดีไหมคะ ไม่พบพี่วิชญ์อีกเลยตั้งแต่วันนั้น”

“สวัสดีครับ ตวง สบายดี งานยุ่งนิดหน่อยเลยไม่ได้ไปไหน”

“คนนี้พี่สาวตวงค่ะ ชื่อพี่ลี” ดาราวลียิ้ม วางกล่องของขวัญไว้ที่โต๊ะ แล้วยกมือไหว้ชายหนุ่มที่อาวุโสกว่า เขารับไหว้มองมา ฝ่ายหญิงยังมีแววหวานเพราะยิ้มรับไมตรีจากสาวน้อยอีกคนค้างอยู่ในแววตา เมื่อเจอสายตาคมเข้ม นิ่ง ลึก จนอ่านไม่ออกของฝ่ายชาย ฝ่ายหญิงเลยหลุบหลบ แก้มร้อนอีกวูบ

พรศิริกับตวงลอบสังเกตกิริยาหนุ่มสาว เลยมองตากันพรศิริยักคิ้วให้เพื่อนอย่างทะเล้น แล้วคลี่คลายบรรยากาศอันขัดเขิน

“ขออนุญาตจัดการเรื่องของขวัญก่อนนะคะ ขอบคุณมากนะคะ บอกไม่ต้องเตรียมก็ไม่เชื่อ มาค่ะพี่ลีวางกล่องของขวัญไว้ที่นี่เลยค่ะ” เธอผายมือ ดาราวลีขยับส่งกล่องของขวัญให้เจ้าภาพ เธอนำไปเรียงไว้บนสุด

“เรามีของชำร่วยเล็กๆ น้อยๆ มอบตอบแทนค่ะ” หยิบของขวัญที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์น่ารักส่งให้เพื่อนหนึ่งอัน ให้พี่สาวของเธออีกอัน พีรวิชญ์ส่งสายตาคมเข้มไปยังหญิงสาวที่ยืนตรงข้าม
“ตกลงโชว์เปียโนจากสองสาวอยู่ในโปรแกรมแล้วนะ แล้วเห็นบอกว่า คุณ..”

“ดาราวลีค่ะ เรียกลีก็ได้ค่ะ”

“งั้นขอเรียกว่าวลีก็แล้วกันนะ.. วลีจะร้องเพลงให้ด้วย พี่พูดถูกไหม” หันไปถามน้องสาว ซึ่งพยักหน้าพร้อมเพรียงกันราวกับนัดกันไว้

“ใช่ค่ะพี่วิชญ์ โธ่.. อ้อนตั้งนานนะคะกว่าทั้งคู่จะตกลง เพราะศิริไม่กล้าโชว์เดี่ยว กลัวขายหน้าแขกคุณลุง”

“แล้วแน่ใจเหรอ ว่าพี่กับตวงจะไม่พากันล่ม ซ้อมกันมาแค่อาทิตย์เดียวเองนะ”

“พี่ลีอย่าอำศิริเลยค่ะ ฝีมือระดับพี่ลีน่าจะเป็นครูสอนขับร้องได้แล้วนะคะ เสียงพี่หนะใสยังกะน้ำค้าง ยังไงศิริก็มั่นใจ วงสาวสามสาวของเราต้องพากันไปตลอดรอดฝั่ง”

“เอาเถอะ ถ้าศิริกับตวงไม่พาพี่ออกทะเล พี่ก็คงว่ายไปรอดจนได้นั่นแหละ” สาวๆ คุยกันหนุงหนิง พีรวิชญ์เป็นหนุ่มเดียวจึงฟังอย่างเดียว เขาก้มดูนาฬิกาข้อมือ

“จวนได้เวลาแล้วนะ เข้าข้างในกันดีกว่า” เสียงของเขาทุ้ม น่าฟังแม้จะไม่ลงท้ายด้วย ‘ครับ’ ทุกครั้งก็เถอะ

“ค่ะ ของศิริพี่ดาบอกว่าหกโมงครึ่ง หลังจากพิธีกรเชิญพี่วิชญ์ขึ้นพูดบนเวทีเสร็จแล้ว”

“งั้นไปเตรียมตัวกันเถอะไป ตรงนี้ เดี๋ยวพี่ให้พี่ดากับน้องๆ ในทีมเขามาจัดการต่อ”

พีรวิชญ์กวักมือเรียกทีมงานของอารดา เพื่อนสาวที่เป็นผู้จัดการดูแลงานวันนี้ทั้งหมดมาสั่งงานแล้วพาทั้งหมดเดินเข้าบ้าน แขกเหรื่อนั่งกระจายกันอยู่หลายโต๊ะ เกือบเต็ม

“คุณลุงกับแม่พาแขกไปชมบ้านข้างใน ตรงโน้นโต๊ะว่างพี่ลีนั่งก่อนนะคะ แป๊ปหนึ่ง ศิริไปหาน้ำกับขนมอร่อยๆ มาเสริ์ฟ ไปตวงไปกับเรา พี่วิชญ์ดูแลพี่ลีด้วยนะคะ”

พีรวิชญ์พยักหน้า หยุดเพื่อให้หญิงสาวเดินนำ เขาสาวเท้ายาวๆ ตามมาช่วยขยับเก้าอี้ออก ผายมือเชิญดาราวลีนั่งลง ก่อนที่เขาจะนั่งลงตาม

“วลี เรียนที่ไหนอยู่นะครับ ขอโทษเหมือนตวงจะเคยบอกแต่ผมไม่แน่ใจ”

“เรียนที่วิทยาลัยนาฎศิลป์ค่ะ”

“อืม..เอกอะไร”

“เอกละครค่ะ”

“ปกติไม่ค่อยเห็นคนวัยนี้สนใจนาฎศิลป์ เห็นจะมีแต่นิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์ คิดแปลกที่แตกต่างแบบไหนถึงลงเรียนวิชานี้”

“ดิฉันเป็นคนใต้ แม่เป็นหัวหน้าคณะมโนราห์ต่อจากตา อยากจะสืบสานต่อจากท่าน คิดแล้วก็น่าใจหายนะคะ นับวันคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญ ศิลปะการแสดงพื้นบ้านแบบนี้น้อยเต็มที”

“ผมชอบนะ ฟังออกบ้างไม่ออกบ้างก็ชอบ ถึงจะเกิดที่กรุงเทพฯ ผมมีเลือดใต้เหมือนกัน พ่อมาจากภูเก็ต แต่งกับแม่แล้วทำธุรกิจกันในกรุงเทพฯ ถึงแม้ว่าแม่จะเสียไปหลายปี พ่อยังทำธุรกิจต่อ จนได้แต่งกับคุณน้าสุรีย์นี่แหละ ตอนนี้กลายเป็นว่านานๆ จะได้กลับไปเยี่ยมญาติสักที”

“ดิฉัน..ลีอยู่กระบี่ค่ะ” เธอเลือกใช้สรรพนามที่ตนเองถนัดปาก

“ไม่ไกลเลย” เขามองหน้าเธอตรงๆ ดวงตาคมจ้า จนอีกฝ่ายต้องหรุบลงมองพื้น แก้มร้อนผ่าวอีกจนเริ่มรำคาญตัวเอง

“ต้องยอมรับว่าเราเป็นครอบครัวใหม่ คงมีการปรับตัวเข้าหากัน ผมกับพ่อหารือกันว่าถ้าไป จะขับรถไปกันเอง ถ้าเป็นโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้านช่วงเดียวกัน ไปด้วยกันก็ได้นะ พวกเราขับรถไปกันเอง แวะเที่ยวตามรายทางที่น่าสนใจ” ดาราวลียกมือไหว้เขา

“ขอบคุณค่ะ ที่ไว้ใจเล่าให้ฟัง และชวนร่วมทาง” เธอกล่าวอย่างจริงใจ

“อื้อ เป็นความคิดที่ดี ตวงกับศิริจะได้เดินทางไปเที่ยวด้วยกัน เห็นอ้อนจังแล้ว ว่าอยากให้เพื่อนไปด้วย ตอนปิดเทอมนี้พ่อกับคุณน้าไปฮันนีมูนทะเลอันดามันเลยพ่วงเราพี่น้องไปด้วย จะได้เชื่อมความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น” เขาหัวเราะเบาๆ ดาราวลีเผลอมองตรงๆ ใบหน้าของเขาคมคาย คิ้วดกดำ จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางกว่าผู้หญิงบางคนเสียอีก

“ตวงอยากไปค่ะ คือลีกับตวงเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ตวงเคยไปเยี่ยมเราก็ตั้งแต่สมัยเด็ก ช่วงหลังนี้มีแต่คุณน้าผู้ชายที่กลับไปเยี่ยมทางโน้น ก็มีตวงมาขอปิดเทอมนี้อยากไปเที่ยวที่บ้านลี อยากพาศิริไปด้วย ลีเกรงใจทางผู้ปกครองศิริค่ะ และยังไม่ได้คุยกันมากกว่านี้”

“ไม่เป็นไรนี่นา ครอบครัวเราสนิทสนมกันดี เคยไปมาหาสู่กันอยู่ เพราะเมื่อก่อนคุณน้าอยู่บ้านติดกับบ้านของตวง เพิ่งจะย้ายมาอยู่นี่ตอนแต่งกับพ่อ คุณอาจจะไม่สนิทกับคุณน้า แต่เด็กสองคนนั่น เขาเรียกแม่ของเพื่อนว่าแม่ด้วยเหมือนกัน”

“ค่ะ ยังไงก็ต้องแล้วแต่คุณน้าทั้งสอง และผู้ปกครองทางนี้ค่ะ ดิฉันไม่ปัญหาอะไร”

“มาแล้วๆ นี่น้ำของพี่ลี” ตวงพรเป็นผู้เสิร์ฟ เลือกน้ำส้มคั้นให้พี่สาว ของพี่ชายเพื่อนเธอเลือกเพียงน้ำเปล่า เพราะไม่รู้ว่าเขาดื่มอะไรเป็นพิเศษ

“ส่วนนี่ขนมค่ะ” พรศิริวางจานของขนมไว้บนโต๊ะ

“พี่สองคนคุยกันไป ทานกันไปนะคะ เดี๋ยวฉาวๆ จะไปถ่ายรูป อะ ก่อนอื่นถ่ายรูปหนุ่มสาวแถวนี้ไว้เรียกค่าไถ่ก่อน” ตวงพรพูดติดตลก แกล้งออกเสียงสาวๆ ให้เพี้ยน ว่าแล้วก็รีบค้นหาและหยิบกล้องดิจิตอลจากกระเป๋าสะพายออกมา

“เอ้า.. หนึ่ง สอง แชะ” คนถูกถ่ายรูปยังทำหน้างง

“เอาใหม่ๆ ยิ้มด้วยสิคะ มองกล้อง หนึ่ง สอง แชะ” สองสาวหัวชนกันกดดูผลงานแล้วหัวเราะคิกคัก โค้งให้พี่ๆ แล้วไปถ่ายรูปบรรยากาศในงาน ที่กำลังจะเริ่ม แขกนั่งประจำโต๊ะหนาตากว่าเดิม

สองคนมองตาสองสาวจูงมือกันไป ทิ้งให้ชายหนุ่มกับหญิงสาวนั่งกันเงียบๆ ดาราวลีแอบกวาดสายตามองไปรอบๆ แขกที่มานั่งสนทนากันเบาๆ เสียงดนตรีท่องทำนองหวานแผ่วดังทั่วบริเวณ
ซุ้มเก๋งจีนถูกวงดนตรียึดไว้เป็นเวทีชั่วคราว ผู้ชายวัยกลางคน สามสี่คนกำลังเล่นเครื่องดนตรีที่ตนเองถนัด เปียโนวางไว้มุมหนึ่งต่อจากซุ้มเก๋งจีน ถัดไปจรดสระว่ายน้ำเป็นซุ้มดอกไม้โทนสีฟ้าขาว ตกแต่งเก๋ไก๋ด้วยผ้าจับจีบระบายสวยงาม เด็กสาวสองคนที่ไปหยุดเบื้องหน้าซุ้มดอกไม้ สาวน้อยคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้สนาม เอียงหน้าเข้าหาสแตนดอกไม้ แต้มรอยยิ้มบนใบหน้าสดใส ในขณะที่เพื่อนสาวนับหนึ่ง สอง กดกล้องถ่ายรูป แขกที่มาร่วมงานส่วนมากมีแต่ผู้ใหญ่ทั้งนั้น สองสาวจึงกลายเป็นความงดงามในวัยเยาว์ที่มองไม่รู้เบื่อ

ใช้สายตาสำรวจเพลินๆ หันมาคนที่มองเพลินยิ้มกว้าง เสชวนคุย

“ทราบหรือยังว่างานนี้จะมีแต่แขกผู้ใหญ่ ตอนแรกว่าจะเชิญเพียงยี่สิบท่าน จัดโต๊ะยาวในอาคาร ปรากฎว่าบานปลาย เลยมีคนร่วมห้าสิบเห็นจะได้”

“ค่ะ” เธอยิ้มกับเจ้าบ้านไม่รู้จะคุยอะไร เสียงดนตรีบรรเลงเปลี่ยนไป ดาราวลีหันไปมอง ฝ่ายชายในชุดทักซิโด้สีขาวครีมดูสง่า ภูมิฐาน ฝ่ายหญิงดวงหน้าสวยหวาน สวมชุดเจ้าสาวทันสมัย เดินเคียงคู่กันออกมาจากตัวบ้าน เจ้าสาวสวยมาก รอยยิ้มของเธอส่งความสุขไปถึงทุกคนในงาน
ทั้งคู่หยุดทักทายโต๊ะแรก จับมือ สนทนาหยอกล้อกัน เสียงหัวเราะแผ่วจางมาถึงทางนี้ ครู่เดียวทั้งหมดลุกจากโต๊ะเดินมาที่ซุ้มดอกไม้ เด็กสาวสองคนยกมือไหว้ทำความเคารพ ก่อนจะถอยออกมาเพื่อให้ผู้ใหญ่ได้ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกร่วมกัน

เด็กสาวเดินจูงมือกันมาที่โต๊ะ ยิ้มแก้มแทบปริ

“มาแล้วค่า มาแล้ว” ลากเก้าอี้ออกมานั่งลง

“เอาหละนั่งกับที่ได้แล้ว เดี๋ยวพี่ไปคุยกับพี่ดาก่อน” พีรวิชญ์ลุกขึ้นยืน ยิ้มให้ทุกคนเดินออกไปทางโรงจอดรถที่เห็นเพื่อนสาวที่เป็นแม่งานยืนเตร่อยู่แถวนั้น

พีรวิชญ์ ธนาเทพพิมาน กอดอกยืนพิงฝาบ้าน ใช้ขาขวารับน้ำหนักทั้งหมด ไคว่ขาซ้ายไปอีกทาง งานเลี้ยงแต่งงานรอบที่สองของบิดาในวันนี้ออกแบบโดยบริษัทของเพื่อนเขาที่รับจัดงานแต่งงานนอกสถานที่มาจัดการอย่างมืออาชีพ ซึ่งก็ดูสมปรารถนา งานออกมาราบรื่นเป็นที่สุด

เจ้าสาวคนสวย รูปร่างสูงโปร่ง แต่งหน้าน้อยๆ พองาม แม้อายุจะจะผ่านเลขสี่ไปแล้วหลายปี แต่ใบหน้าของเธองดงาม เกลี้ยงเกลา ประกอบกับผิวขาวเนียนละเอียด จึงทำให้เธออ่อนเยาว์ ทุกครั้งที่สบตากับเจ้าบ่าววัยกลางคน ท่าทางสง่า ภูมิฐาน สมฐานะ ทั้งคู่ก็ยิ้มให้แก่กันอย่างชื่นมื่น
แขกทยอยเดินออกจากโต๊ะมาถ่ายภาพกับคู่บ่าวสาวเป็นที่ระลึก ทุกคนแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเนื้อดี ตัดเย็บในรูปแบบแตกต่างกันไป กลายเป็นสีสันสำหรับงาน โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่แต่ละคนสวมสีสดใส ใส่เครื่องประดับวับวาม ใบหน้าทุกคนเบิกบานสมกับงานแห่งความสุข

รอจนคิวว่าง พรศิริจูงมือพี่ลีกับเพื่อนรักเข้าไปหาแม่และคุณพ่อคนใหม่ คุณสุรีย์ยิ้มกว้างเมื่อเห็นตวงพร เดินเข้ามาโอบกอดด้วยความเอ็นดู

“แม่หนูโทรมาบอกว่าไม่ได้มา แต่มีตัวแทนมาแล้ว คือหนูลี คนนี้เองหรือคะ น้าคุยแต่ทางโทรศัพท์” หันไปทางดาราวลี ยิ้มกว้าง ดาราวลีไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสอง

“คุณน้า คุณน้าสวยมากเลยนะคะ ลีขอคุณพระศรีรัตนตรัยคุ้มครองรักษาครอบครัวคุณน้าให้มีความสุขตลอดไปค่ะ”

“ขอบใจมากนะ แล้วนี่หนูลีกับหนูตวง ทานอะไรกันหรือยัง” คุณพีระยศยิ้มรับคำพร

“เรียบร้อยแล้วค่ะ เจ้าบ้านรับรองดีมากเลยค่ะ ไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง คุณน้าทั้งสองฝากขออภัยที่ไม่ได้มาด้วยตนเอง แต่จะมาเยี่ยมในคราวต่อไปแน่นอนค่ะ”

“ดีๆ เข้าออกบ้านนี้ได้เหมือนบ้านเองได้เลยนะ หนูลี หนูตวง เพราะคุณน้าสุรีย์ไม่ค่อยได้ออกไปไหน ลุง เอ๊ะ..เป็นพ่อเลยดีกว่านะ เป็นพ่อของศิริ หนูตวง หนูลี ขอกำไรมีลูกสาวพร้อมกันทีเดียวสามคนเลย ฮ่าๆๆ”

“งั้นถ่ายรูปครอบครัวหน่อยดีกว่าไหมครับ” ช่างภาพประจำงานที่รีๆ รอๆ ยืนอยู่แถวนั้นเสนอ

“ได้ๆ มาๆ เด็กๆ เออ แล้ววิชญ์ไปไหน ให้ใครไปตามมาทีได้ไหม”

“หนูๆ ช่วยตามหาคุณพีรวิชญ์ที บอกว่ามาถ่ายรูปร่วมกับครอบครัว” คุณพีระยศเรียกเด็กเสิร์ฟซึ่งเดินผ่านมา เขาโค้งรับคำ

“พ่อได้ยินว่าหนูลี เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ เป็นไงบ้างลูก”

“ก็ดีค่ะ เข้ากับเพื่อนๆ ได้ดี มีหลายคนจากวิทยาลัยแถวๆ ภาคใต้เข้ามาเรียนต่อ ปีนี้ก็เลยมีน้องใหม่ทางใต้เยอะพอที่จะตั้งกลุ่ม เวลาทำกิจกรรมอะไรก็เรียกรวมพล พูดใต้กันสนุกสนาน”

“พ่อก็คนใต้นะ อาเตี่ยเป็นคนจีน มาอาศัยร่มพระโพธิสมภารของพระองค์ท่าน ตั้งรกรากอยู่ภูเก็ต ส่วนพ่อมาเรียนหนังสือและได้รู้จักแม่ของวิชญ์เขา เลยอยู่เสียที่นี่ แต่ก็มีไปๆ มาๆ อยู่บ้าง”
“ลีอยู่กระบี่ค่ะ”

“อื้ม บ้านพี่เมืองน้องเลย แต่พ่อพูดใต้ไม่ได้เลย น่าเสียดายเพราะมาเรียนกรุงเทพฯ ตั้งแต่เด็กๆ อยู่โรงเรียนประจำ พอกลับบ้านทีพยายามพูดเลียนแบบเพื่อนแต่ไม่ได้ พูดกลางเป็นทองแดง ภาษากลางแหลงใต้ทุกที”

“ค่ะ ภาษาถิ่นเป็นภาษาที่น่าอนุรักษ์ สมัยนี้เด็กๆ ทางใต้พูดกลางกันเยอะ เพราะในโรงเรียนต้องพูดกับครู อาจารย์ ลีก็อยากให้ทุกคนที่เกิดเป็นคนใต้ ภูมิใจในภาษาพูดของตัวเอง และสืบทอดอนุรักษ์ไว้ต่อไปนะคะ แต่มวลรวมของสังคมเปลี่ยนไปมาก เวลาพูดใต้ในกรุงเทพฯ หลายคนรู้สึกไม่เท่ห์ เดี๋ยวถูกมองว่าเป็นคนบ้านนอก แต่กับลีเพื่อนๆ ในกลุ่ม เราไม่ถึงกับฝืนสังคมแต่เราเลือกที่จะใช้ภาษาของเราในโอกาสที่พบหน้ากันเสมอๆ ค่ะ”

“ดีแล้วหละ หนู แม่ก็เห็นด้วย การเกิดเป็นคนหากเราได้ทำอะไรที่น่าภูมิใจ ก็คุ้มค่าที่ได้เกิดมา”

“พูดถึงภาษาใต้นะคะ ก็มีเรื่องตลกๆ มากมาย จากเพื่อนลีเองแหละค่ะ ที่มาเรียนๆ ด้วยกันนี่แหละ เอาไว้โอกาสหน้าจะมาคุยกับคุณน้าและเล่าให้ฟังนะคะ”

“พี่วิชญ์ยังไม่มา เล่าเลยพี่ลี เล่าเลยๆ” เด็กๆ ยุ

“แต่ว่า..” ผู้ใหญ่พยักหน้า และยิ้มให้กำลังใจ

“ก็วันก่อน อาจารย์เรียกไปสัมภาษณ์ ยิ้มเพื่อนหนู คนนี้ถอดด้ามเพิ่งเข้ากรุงมาก็พร้อมกันนี่แหละ หนนี้หนแรก ความที่ตื่นเต้น อาจารย์ถาม อาหารปักษ์ใต้ที่ขึ้นชื่อมีอะไรบ้าง เธอตอบว่า แกงส้ม ผัดสะตอ ที่หรอยเด๊ดเด๊ดนะอาจารย์ ต้องน้ำชุบหยำ ซู้ดยอดเลย อาจารย์ฟังไม่ชัด อะไรชุบๆ ก็งง เพราะคิดว่า คำว่าน้ำชุบ น่าจะเป็นอาหารหวาน ถามกันไปถามกันมาเลยฮาครืนกันทั้งวง น้ำชุบ ก็คือน้ำพริก คล้ายๆ กับน้ำพริกกะปิของภาคกลางแหละค่ะ” เด็กๆ หัวเราะคิกคัก ผู้ใหญ่ยิ้ม

“เออ นะ พ่อว่ามันเป็นเสน่ห์ของปักษ์ใต้เราหละ”

“แต่สมัยนี้นะคะ โลกเปลี่ยนแปลงไปมากมาย เด็กเองก็เปลี่ยนไปเยอะ ไม่ได้มีแต่การพูดทองแดง คือพูดภาษากลางไม่ชัด สมัยนี้ต้องสอนเด็กว่าพูดใต้ให้ชัดๆ ด้วย คุณ..เอ่อ คุณพ่อดูหนังตะลุงบ้างไหมคะ”

“ไม่ค่อยเลย บางทีวิชญ์เขาซื้อแผ่นมาไว้นะ แต่นานๆ ได้ดูกันสักหน คงจะเพราะโลกเปลี่ยนไป คนเรามีทางเสพข่าวสารได้หลายทางมากขึ้น เลยทำให้ห่างเหินรากเหง้าของตัวเองไป แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ หนูมาคุยกับพ่อกับแม่รีบ่อยๆ เราจะได้ร่วมด้วยช่วยกันอนุรักษ์ปักษ์ใต้บ้านเราไง”

“เอาไว้หนูมีงานแสดงที่วิทยาลัย ถ้าไม่รบกวนเกินไป จะขอเชิญไปร่วมชมด้วยค่ะ”

ร่างสูง ซึ่งวันนี้โดดเด่นด้วยชุดสูทสากลเต็มยศ สาวเท้ายาวๆ ตรงเข้ามา ใบหน้าคมเข้มสะดุดตาระยะไกล เขายิ้มให้ผู้ให้กำเนิดและเจ้าสาวที่จะมาเป็นแม่เลี้ยง

“ขอโทษที่ช้าครับพ่อ ผมคุยกับดาอยู่ด้านหลังโน่น”

“ไม่เป็นไร คุยกับหนูลีกำลังสนุก เล่าเรื่องภาษาใต้ ซึ่งน้องน่าจะคุยถูกคอกับวิชญ์นะ เรื่องหนังลุงโนราห์นี่วิชญ์ชอบมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่ มาๆ มาถ่ายรูปกัน คุณช่างภาพ พวกเราพร้อมแล้วครับเชิญครับ” ช่างภาพโค้งรับ และเดินเข้ามาช่วยจัดตำแหน่งให้สมาชิก บังเอิญหรือตั้งใจก็ไม่รู้ คนตัวสูงกับดาราวลีเบียดชิดกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ ผิวแก้มสาวระเรื่อแดงอย่างเป็นธรรมชาติ เสียงชัตเตอร์ลั่นแชะ แชะ อีกหลายมุม กว่าจะได้แยกย้ายจากกัน พีระวิชญ์ก็ขอตัวไปคุยกับเพื่อนต่อ เด็กๆ แยกย้ายกันไป คู่บ่าวสาวไปสนทนากับเพื่อนที่โต๊ะอื่นๆ

“ไง นายพอใจกับงานวันนี้ไหม” อารดาเพื่อนสาวของเขา ยืนข้างๆ มองไปยังคู่บ่าวสาวซึ่งเป็นจุดเด่นของงาน

“ขอบใจมากนะดา เรามีพ่อคนเดียวว่ะ ถึงแม้จะเป็นการแต่งครั้งที่สอง เราก็อยากให้พ่อมีความสุข งานเล็ก งานใหญ่ไม่สำคัญหรอก ขอให้พ่อ พอใจเราก็ดีใจ คุยกับพ่อมั่งยัง”

“อือ คุยแล้ว ท่านขอบอกขอบใจ แสดงว่าพอใจแหละ แล้วนายหละ เมื่อไหร่จะมีเจ้าสาวเป็นของตัวเอง” อารดาเปลี่ยนเรื่อง

“ไอ้ฉัน เธอก็รู้ ฉันทำช่วงเวลาของวัยรุ่นหายไป จนลืมมองหาสาวๆ มาแต่งด้วย กว่าจะถึงงานเรา สงสัยลูกดาคงโตเป็นสาวซะล่ะมั้ง” พูดจบเขาหัวเราะกันเบาๆ

“นั่นน้องสาวนายสินะ” อารดาบุ้ยปากไปทางเด็กสาววัยสิบสี่-สิบห้าปี ที่เดินกลับมานั่งอยู่โต๊ะเดียวกับหญิงสาวอีกคนงามผุดผาดสะดุดตา

“อืม.. พรศิริเป็นเด็กดี คุ้นเคยกันมานาน แม้ว่าเพิ่งจะได้เข้ามาอยู่บ้านเดียวกันได้ไม่นานก็เถอะ ถือว่าเป็นโชคดีของหนุ่มโสดสองคน พ่อได้เมีย ส่วนฉันก็ได้น้องสาวที่น่ารัก กำลังเรียนมอสี่ปีนี้ หน้าตาดีแบบนี้ฉันต้องรีบไว้หนวดแข่งกับพ่อ เดี๋ยวไอ้พวกหนุ่มๆ มอปลายมันตามจีบน้องอะดิ”

“นะ แหมพอมีน้องสาวเป็นของตัวเองทำหวง” อารดาเป็นเพื่อนที่ถือว่าสนิทคนหนึ่งในกลุ่มของธนาเทพจึงรู้ความเป็นไปของครอบครัวนี้พอสมควรจึงไม่ต้องนั่งเป็นห่วง เรื่องชู้สาวระหว่างแม่เลี้ยงกับลูกชาย หรือนั่งเป็นห่วงเพื่อนกับเด็กสาวคนนั้น

“จบงานนี้แล้ว หวังว่าฉันจะได้ข่าวดีของนายซะทีนะ เออ..แล้วเรื่องงานเอาไงต่อ”

“ก็ตามเดิม ตอนนี้ก็ยังช่วยพ่อทำงาน แล้วว่าจะลองลงเรียนต่อโทปีหน้า ว่างๆ ก็เลยอยากลงเรียนในมหาวิทยาลัยอีกที”

“มัวแต่ทำงานแถมยังจะไปเรียนต่ออีก แล้วเมื่อไหร่ฉันจะจัดงานแต่งให้นายล่ะยะ” อารดากระแทกไหล่หนุ่มหล่อประจำงาน

“ไม่แน่นะ ฉันอาจเจอเจ้าสาวในมหาวิทยาลัยก็ได้ ชดเชยกับเทวดาแกล้งให้ฉันทำช่วงเวลาวัยรุ่นหายไปไง” อาราดาเอียงไหล่ไปกระทบไหล่เพื่อนอีกครั้ง ทั้งสองประสานเสียงหัวเราะเบาๆ

“แล้วนั่นใครล่ะ คนสวยๆ ที่นั่งตรงนั้น นับจากน้องของนาย แล้วคนที่นั่งข้างๆ”

“พรศิริพาเพื่อนมาร่วมงานด้วย แล้วเพื่อนก็ชวนพี่สาวซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกันมาเป็นเพื่อนประมาณนั้น”

“ประมาณนั้น..ประมาณนั้น” อารดาทวนคำ

“ประมาณนั้น ประมาณไหน เห็นว่ามีร้องเพลงโชว์ เป็นของขวัญพิเศษให้พ่อนายด้วย”

“ก็ประมาณนั้นจริงๆ ได้ยินแต่ศิริเล่าให้ฟัง เพิ่งเจอวันนี้ครั้งแรก” ปากพูดแต่ใจประหวัดไปเห็นภาพมโนราห์ที่ร่ายรำอ่อนช้อย โดดเด่นกว่าใครในทีวีช่องสิบหก

“นั่งคุยกันตั้งนานสองนาน ได้มาแค่ประมาณนั้น แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่จะมีแฟนว้า เพื่อนเรา”

“หึหึ” ชายหนุ่มหัวเราะไม่ตอบคำถามใดๆ

“หน้าตาดีนะ ว่าไหม”

“อืม..”

“ไม่อยากจีบไว้เป็นแฟนเร้อะ” อาราดากระทุ้ง

“เห่ย .. พรากผู้เยาว์ติดหลายปีนะยายอารดา” อารดามองหน้าเพื่อนยิ้มๆ ในขณะที่เพื่อนของเธอมองไปทางโต๊ะนั้นด้วยสายตาที่ไม่อาจคาดเดาได้ว่าเขาคิดอะไร แต่อารดาคิด หวังว่ากามเทพจะแผลงศรรักให้เพื่อนของเธอซะที เธออยากให้เขามีความสุขกับชีวิตรักบ้าง

 
*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~



เขาจอดรถส่งสองสาวที่หน้าบ้านเนื่องจากว่าดึกเกินกว่าจะเข้าไปรบกวนเจ้าบ้าน และขับวนกลับออกมาทางเดิม เที่ยงคืนกว่าแล้ว รถบนถนนบางตาลง เหลือจอดติดไฟแดงตรงทางแยกพร้อมกับเขาเพียงสองคันเท่านั้นเอง

เสียงเครื่องปรับอากาศในรถดังหึ่งๆ พีรวิชญ์นึกขึ้นมาได้ ลองหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากแท่นวางข้างพวงมาลัย กดค้นหาและเปิดคลิปที่อารดาฉวยเอาโทรศัพท์เขาไปอัดตอนที่เด็กๆ เล่นเปียโน และดาราวลีเป็นผู้ร้องเพลง เปิดเสร็จวางไว้ที่เดิม อารดาซูมไปที่ใบหน้าน้องสาวคนใหม่ของเขา เธอยิ้ม ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม คุณน้าสอนลูกได้ดีจริงๆ ไหว้สวย ไม่ใช่ลกๆ ขอไปทีเหมือนลิงไหว้เจ้า

“สวัสดีค่ะท่านผู้เกียรติทุกท่าน ในนามลูกสาวของคุณแม่ ขอกราบขอบพระคุณทุกท่านที่มาร่วมงานในวันนี้ หนูและเพื่อนๆ มีเซอร์ไพร้ส์ โดยมีเพลงจะมอบเป็นของขวัญวันแต่งงานของท่าน เพลงพิเศษที่พี่ดาราวลีเป็นคนแต่งและใส่ทำนองเอง รับรองว่าไม่เคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อนแน่ๆ ค่ะ เพลงพิเศษแด่คุณคนพิเศษ” พรศิริทำท่าป้องปากกระซิบ

“แต่ต้องแจ้งกันก่อนนะคะเนื่องจากเราหัดกันมาช่วงสั้นๆ ก่อนที่จะมีงานเลี้ยง หากเสียงเพี้ยนต้องขออภัยด้วยนะค หนูกับตวงพรจะเล่นเปียโน และให้พี่ลีเป็นผู้ขับร้อง เชิญรับฟังกันได้แล้วค่ะ”
แขกที่มาร่วมงานปรบมือ และพร้อมใจกันเงียบเพื่อรอฟัง เสียงเปียโนเริ่มแผ่วพลิ้วท่วงทำนองอ่อนโยน พรศิริหลิ่วตาข้างหนึ่งส่งสัญญาณ ตวงพรเปลี่ยนคีย์เป็นเพลงที่ทุกคนต้องหัวเราะ

“ลอย..ลอยกระทง..” คนถือไมค์ร้องตามคีย์ เรียกเสียงหัวเราะกันครืนอีกระลอก พีรวิชญ์เองก็อดยิ้มกับความขี้เล่นของพวกสาวๆ เขาละสายตาจากจอ เริ่มเดินเครื่องเมื่อสัญญาณไฟเขียวมา เลี้ยวรถไปตามทางขับไปเรื่อยๆ

“ขอโทษค่ะ แหม น้องๆ ช่างล้อเล่นเก่งเหลือเกิน” เสียงหวานใสกังวานจับใจ ต่อจากนั้นเป็นเสียงหวานพลิ้วของเปียโนบรรเลงกังวานอยู่ในความเงียบ แอร์ในรถเย็นฉ่ำ เขาเอื้อมมือไปปรับหรี่แอร์ลง
จากสี่แยกไฟแดง ขับไม่ถึงห้าร้อยเมตรก็ถึงปากทางเข้าหมู่บ้าน เขาชะลอแล้วหมุนพวงมาลัยเลี้ยว ป้อมยามเห็นรถคุ้นตา เจ้าหน้าที่รีบเปิดทางและตะเบ๊ะให้ เขาขับผ่านเข้าไปจอดนิ่งๆ อยู่ที่หน้าบ้าน
เสียงหวานใส ดังกังวานในความเงียบ

“.....รัก เกินกว่าจะบรรยายด้วยตัวอักษร รักเกินกว่าจะออดอ้อนด้วยถ้อยคำไหนไหน
รักเกินกว่าจะเสียเธอให้กับบางใคร รักเธอตลอดไป ตราบลมหายใจไม่สิ้นลม..”

ดาราวลี ดวงหน้าสวยหวานกับรอยยิ้มสดใสก้าวเข้ามาสู่ความคิดคำนึงเงียบๆ

 
*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~



Create Date : 07 กรกฎาคม 2554
Last Update : 31 ตุลาคม 2563 13:19:11 น.
Counter : 550 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สีน้ำฟ้า
Location :
กระบี่  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



MY VIP Friend