• ° o . O ขอต้อนรับสู่โลกขำๆ ของคนชอบฝันเฟื่อง O . o ° •
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2552
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
13 กรกฏาคม 2552
 
All Blogs
 

ดวงไฟในสายฝน ตอนจบ



Jingle bells, Jingle bells, Jingle all the way
Oh what fun it is to ride in a one-horse open sleigh, hey

บทเพลงแห่งเทศกาลดังกังวานออกมาจากร้านรวงสองข้างถนน...ในบรรยากาศพลบค่ำที่ไม่ใช่จะมีเพียงแสงรำไรของดวงตะวันซึ่งกำลังอำลาท้องฟ้าเท่านั้นหากยังมีแสงระยิบกระพริบพราวของเหล่าไฟหลากสีทั้งน้อยใหญ่ที่ประดับประดาตามท้องถนนอาคารและร้านรวงเพื่ออวดผู้คนที่สัญจรอยู่บนถนนแห่งนี้ มีทั้งกลุ่มนักศึกษาวัยรุ่นหญิงชาย กลุ่มหนุ่มสาวคนทำงาน และหญิงสาวร่างเล็กหน้าตาและการแต่งตัวที่เรียบร้อยกำลังก้าวเท้าเดินอย่างเร่งรีบ

Jingle bells, Jingle bells, Jingle all the way
Oh what fun it is to ride in a one-horse open sleigh

มุฑิตาพลิกดูนาฬิกาข้อมือตัวเองแล้วก็ต้องเพิ่มความเร็วให้กับฝีเท้าสั้นๆอีกเท่าตัว...ความจริงที่ว่ายังเหลืออีกสิบห้านาทีกว่าจะถึงเวลานัดไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเพราะหญิงสาวรู้ดีว่าคู่นัดมักจะมาก่อนเวลาเสมอ วันนี้เขาเสนอว่าจะไปรับเธอด้วยตนเองเพื่อฉลองความสำเร็จกับงานที่ได้รับความร่วมมือจากเธอหากมุฑิตาคัดค้านอ้างว่ามีธุระแถวนี้พอดีหลังจากเสร็จแล้วจะมาเอง

ไม่อยากให้เขาไปปรากฏตัวที่โรงเรียนคือประเด็นสำคัญเพราะบรรดาเพื่อนครูของเธอเริ่มจะมองเขาและเธอด้วยสายตาล้อเลียน บางครั้งถึงขนาดเอ่ยปากแซว “พ่อรูปหล่อมาหาจ้ะมุคอยอยู่ด้านหน้าแน่ะ จะไปเที่ยวไหนกันอีกหนอ... อิจฉานะเนี่ย”

“โธ่!...พี่นันก็...คุณโคมแค่จะมารับมุไปดูตัวอย่างหนังโฆษณาที่เพิ่งตัดต่อเสร็จต่างหากล่ะคะ”

“อ๋อ...คราวนู้นนนนนน........มารับไปดูการถ่ายทำโฆษณา...แล้วที่นี้พอตัดต่อเสร็จเขาก็ให้มุไปดูอีกใช่ม๊ะ”

“ก็อย่างนั้นล่ะค่ะ”

“อืมม์...ครั้งที่แล้วไปดูถ่ายทำพี่ได้ข้าวหลามหนองมนเป็นของฝาก ..”. นันทพรเพื่อนครูที่พักอยู่ในบ้านพักหลังเดียวกันหลิ่วตาอย่างที่ทำให้มุฑิตาหน้าระเรื่อ...ก็รู้ๆกันอยู่โรงถ่ายน่ะมันอยู่ในกรุงเทพฯ...ก็เพราะเขานั่นแหละ...พอเลิกกองตอนบ่ายแก่ๆแทนที่จะรีบพาเธอมาส่งบ้านพักกลับเถลไถลพาไปกินอาหารทะเลดูพระอาทิตย์ตกดินริมหาดพัทยาซะนี่

“ครั้งนี้มุไปดูหนังตัวอย่างจะได้อะไรมาเป็นของฝากพี่หนอ…???…”

ขนมหม้อแกงจากเมืองเพชรที่ครูสาวรุ่นพี่ได้รับจากมือมุฑิตาเมื่อตอนค่ำของวันนั้นเป็นคำตอบสุดท้าย...เฮ้อ...แล้วถ้าวันนี้ยอมให้เขาไปรับเธอที่โรงเรียนอีกมีหวัง....

มุฑิตาไม่ใช่สาวทันสมัยที่จะกล้าปล่อยตัวสนิทสนมกับเพื่อนต่างเพศอีกทั้งสถานภาพความเป็นแม่พิมพ์ของชาติล้วนเป็นเกราะอันแข็งแกร่งที่ทำให้หญิงสาวต้องระมัดระวังการวางตัวและหัวใจให้เหมาะสมไม่ให้เป็นที่ติฉินของใครๆได้ เธอจัดวางพงศ์ประภาไว้ในตำแหน่งเพื่อนร่วมงานชั่วคราวที่พองานจบความสัมพันธ์ของเธอกับเขาก็คงยุติ...แต่เมื่อได้ใกล้ชิดกันมากเท่าไหร่ก็ต้องยอมรับว่าพงศ์ประภาเป็นผู้ชายที่มีอะไรดีๆอยู่หลายอย่างที่นอกเหนือไปจากรูปลักษณ์ภายนอก เขาอบอุ่น อ่อนโยน สุภาพ แต่ก็ร่าเริงขี้เล่น เขาสามารถทำให้เธอหัวเราะได้บ่อยครั้ง

ที่มากกว่านั้นก็คือ...พงศ์ประภาเป็นผู้ชายคนแรกและคนเดียวที่ทำให้มุฑิตาใจเต้นแรงและที่ปฏิเสธไม่ได้...เธอมีความสุขเวลาได้อยู่ใกล้ๆเขา

‘อย่านะ...ยายเฉิ่มมุฑิตา ลืมไปแล้วหรือผู้หญิงคนนั้น คนที่อยู่ในรูปทุ่งทานตะวันที่เขาเก็บรักษาไว้ในกระเป๋าสตางค์ เธอคนนั้นคงสำคัญกับเขามาก’

บ่อยครั้งเหลือเกินเมื่อ ‘เกราะ’ เริ่มจะต้านทานหัวใจไม่ไหว ครูสาวจึงต้องใช้ตัวช่วยด้วยการอาศัยความทรงจำในวันแรกที่เจอเขา...พอคิดอย่างนี้ทีไรก็อยากจะโกรธเขาทุกทีซิน่า...นี่คงจะเป็นข้อเสียข้อเดียวของเขาล่ะมั้งที่มุฑิตาหาเจอ ทำไมนะในเมื่อเขามีคู่รักอยู่แล้วยังมาทำตัวสนิทสนมกับเธออีก

หรือเพราะเขามีนิสัยอย่างนั้นคือชอบดูแลเทคแคร์คน เขาคงเห็นว่ามุฑิตาช่วยงานของเขาโดยไม่ได้รับอะไรตอบแทน เขาก็เลยต้องดูแลเธออย่างดี...ไม่ได้คิดอะไรเลยเถิดจริงๆ

หรือเพราะมันเป็นนิสัยพื้นฐานทั่วไปของผู้ชายที่พอมีโอกาส แฟนเผลอ ก็หาอะไรใกล้ตัวไว้ดูเล่นพลางๆ แล้วมุฑิตาก็ผ่านมาเข้าทางเขาพอดี...ถ้าเขาเป็นคนอย่างนี้จริงๆมุฑิตาคงจะโกรธเขามากแน่ๆ แต่คิดอีกทีเธอจะโกรธเขาลงหรือ ถ้าจะโกรธก็คงโกรธตัวเองมากกว่า...

เมื่องานจบลงเรื่องของเธอและเขาก็คงจบลงด้วยเช่นกัน...ต่างคนก็คงแยกย้ายไปมีชีวิตอย่างที่เคยเป็น...และเส้นชีวิตก็คงจะไม่มีโอกาสได้ดำเนินมาพบปะกันอีก แปลกที่ว่าแม้จะห้ามหัวใจเท่าไหร่มุฑิตากลับรู้สึกกล้ำกลืนพิกล เมื่อคิดว่าจะไม่ได้ไปไหนๆกับเขา จะไม่ได้ยินเสียงเขา...จะไม่ได้เห็นหน้าเขา...

แค่เสียดายคนที่คุยถูกคอคนหนึ่ง...หรือ...ห่วงหา...อาลัยอาวรณ์

อีกครั้งที่ครูสาวก้มดูเวลายังเหลือเวลาอีกห้านาทีดีเหมือนกันที่เขานัดฉลองเรื่องงานที่ประสบความสำเร็จ...หญิงสาวจะได้ถือเอาวันคริสต์มาสเป็นฤกษ์งามยามดีในการร่ำลา...บอกตัวเองว่า...จากกันวันนี้คงจะดีกว่าที่ปล่อยให้อะไรมันถลำลึกล้ำไปเกินกว่าที่จะกู้หัวใจคืนมาได้

มุฑิตาสูดลมหายใจเต็มปอดรวบรวมความคิดสติและหัวใจตัวเองอยู่ที่หน้าร้านไออุ่น...กำลังจะผลักประตูหน้าร้าน ตามความเคยชินหญิงสาวส่ายตามองไปยังตำแหน่งที่เขาคนนั้นชอบนั่งริมหน้าต่างด้านในสุด และก็พบเข้าจริงๆเสียด้วย หากแตกต่างจากปกติที่ตรงหน้าเขามีหญิงสาวสวยบาดตาและบาดเข้าไปถึงหัวใจของมุฑิตาเมื่อจำได้ในทันทีว่าเธอคนนั้นเป็นใคร

ภาพทุ่งดอกทางตะวันซึ่งมีนางแบบสาวสวยโฉบเฉี่ยวยืนแข่งความงามกลางทุ่งผุดขึ้นในความทรงจำ ภาพที่เขาคนนั้นหยิบยื่นให้เธอเพื่อหวังจะให้ลูกศิษย์ของเธอผู้ซึ่งไม่เคยเห็นดอกทางตะวันดูในวันแรกที่พบเจอกัน ภาพที่เขาควักออกมาจากกระเป๋าสตางค์ ภาพที่คงเป็นภาพสำคัญและคนในภาพก็คงสำคัญกับเขามาก

ผู้หญิงที่นั่งอยู่กับพงษ์ประภาในร้านไออุ่นเป็นคนเดียวกับผู้หญิงในภาพ

ไวเท่าการระลึกได้มุฑิตากระชากตัวเองออกมาจากร้านไออุ่นอย่างที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดีไปกว่านั้น หัวใจเหมือนถูกบีบจนแทบจะหายใจไม่ออก มือไม้แข้งขาพากันอ่อนเปลี้ยจนต้องอาศัยตู้ไปรษณีย์หน้าร้านเป็นที่พิงกายและกำบังเผื่อเขาจะมองออกมาเห็น แต่เอาเข้าจริงเท่าที่มุฑิตาพยายามมองผ่านหน้าต่างกระจกใสของทางร้าน ไม่มีทีท่าว่าเขาจะละสายตาจากสาวงามตรงหน้าเลย

หญิงสาวไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเธอไม่เดินเข้าไปหาเขา อาจเพราะไม่แน่ใจว่าสมควรหรือไม่ การที่เขาโทรไปนัดหมายฉลองความสำเร็จเรื่องงานโฆษณาคงจะไม่ได้เป็นการฉลองระหว่างเขาและเธออย่างที่เธอคิดไปเอง เขาอาจอยากฉลองกับแฟนก็ได้วันนี้วันคริสต์มาสด้วยซิ แม้เขาจะมีมารยาทชวนแต่มุฑิตาควรจะเข้าไปขัดจังหวะเขาหรือ ยิ่งเห็นอาการที่สาวสวยชะโงกตัวไปบีบจมูกเขาส่ายไปมาเหมือนการหยอกล้อของคู่รักลมหายใจที่โรยระรินอยู่แล้วพาลจะหยุดกึกเอาดื้อๆ และในเวลาไม่นานหญิงสาวก็ต้องควักผ้าเช็ดหน้ามาสะกัดน้ำจากตาเอาไว้ก่อนที่มันจะย้อยลงมาเปรอะเปื้อนหน้า

โมโหตัวเองนักจะต้องไปรู้สึกอะไรด้วย นั่นเขาเป็นแฟนกันนะเขาจะแสดงความรักสนิทสนมกันก็เป็นเรื่องธรรมดา แล้วเธอเกี่ยวอะไรกับเขาล่ะนอกจากเพื่อนร่วมงานชั่วคราว แล้วความรู้สึกที่คลุมเคลือหรือจะพูดให้ถูกคือความรู้สึกที่มุฑิตาพยายามบ่ายเบี่ยงป้องกันไม่ให้มันเกิดมันก็ปรากฎชัดในเวลานี้

เธอรักเขาหรือมุฑิตา

เธอรักเขาได้ยังไงก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเขามี ‘ใคร’ บอกตั้งกี่หนว่าเธอรักเขาไม่ได้นะ ไม่เจียมตัวบ้างเลย หน้าตารึก็ไม่สวยยังจะไปรักคนที่เขามีเจ้าของอีก น่าละอายเป็นถึงครูบาอาจารย์ไปรักผู้ชายของคนอื่น น่ารังเกียจที่สุดผู้หญิงอะไร

มุฑิตาตัดพ้อตัวเองไปต่างๆนาๆไม่โทษเขาเลยที่มอบความสนิทสนมกับเธอจนเกินขอบเขตในบางครั้งชวนให้คิดเข้าข้างตัวเอง ก็เขาเป็นผู้ชายเมื่อมีโอกาสคงหาเศษหาเลยไปทั่วแล้วยายเป๋อเซ่อๆอย่างเธอหลงเข้าไปพอดี ทำไมนะทั้งๆที่อุตส่าห์เตือนตัวเองทุกวี่วันยังเผลอให้ใจเขาไปจนได้ ทำไมเป็นคนแบบนี้ อยากจะควักหัวใจตัวเองมาดูว่ามันง่ายมันอ่อนมันเปราะบางขนาดไหน

หญิงสาวลังเลว่าควรจะเดินเข้าไปหาเขาดีไหม แค่ไปรายงานตัวให้เขารู้ว่าเธอมาแล้วและรีบขอตัวกลับจะได้ไม่เป็นการผิดนัด แต่ก็กลัวเหลือเกิน กลัวว่าผู้หญิงคนนั้นจะอ่านสายตาออกว่ามุฑิตาคิดยังไงกับแฟนหนุ่มของเธอ มันน่าอายเกินกว่าที่คนที่ไม่เคยคิดร้ายกับใครไม่เคยคิดจะแย่งของๆใครอย่างมุฑิตาจะทนได้ หญิงสาวตัดสินใจใช้วิธีส่งข้อความไปล้มเลิกนัดแล้วปิดมือถือเสีย

เห็นชายหนุ่มคนรับก้มลงอ่านข้อความในมือถือแล้วเงยหน้าคุยกับสาวสวยต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาคงไม่รู้สึกรู้สาอะไรหรอกที่มุฑิตาไม่มาตามนัด...อาจจะรู้สึกดีใจด้วยซ้ำไปมั้งที่ไม่มีคนขัดจังหวะ

ช่วงเวลาที่อยู่หน้าร้านไออุ่นครูสาวสั่งให้ตัวเองดู ดู และก็ดู เพื่อที่จะได้ฝังเข้าไปในสมองถ้าเท่าที่ผ่านมามันยังไม่ตำตาตำใจ ก็เอาซะให้เห็นกันจะๆนี่แหละ จะได้เลิกเพ้อซะที ยิ่งเห็นเขาเอื้อมมือไปจับมือของเธอคนนั้นอย่างนุ่มนวลทะนุถนอมพร้อมส่งสายตาซึ้ง เจ็บเหลือเกิน เจ็บเกินกว่าคนใจบางๆจะทนไหว

มุฑิตาตัดสินใจเรียกแท๊กซี่มุ่งหน้ากลับบ้านพัก โชคดีที่ต่อไปนี้เธอกับเขาไม่มีธุระเรื่องงานให้ติดต่อกันอีกแล้ว เรื่องเงินบริจาคเข้ามูลนิธิก็เป็นหน้าที่ของเจ้าของบริษัทโคโลญจน์กับ ผู้อำนวยการของมูลนิธิ เธอกับเขาไม่มีบทบาทอีกต่อไป ดีเหมือนกันจะได้ตัดใจได้เสียทีล่ะที่นี้

อนิจจา! ความรักครั้งแรก ความรักต้องห้าม ความรักที่ไม่เคยเปิดเผย ต้องมีอันแตกดับเสียแล้ว จากวินาทีนี้ไปมุฑิตาจะต้องตัด ‘เขา’ ออกจากความทรงจำให้หมด











บรรยากาศพลบค่ำที่ ‘ร้านไออุ่น’ ในวันสุดท้ายของการหยุดพักหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวันเริ่มต้นของสัปดาห์ใหม่เป็นไปด้วยความสงบเงียบเนื่องจากเป็นวันหยุดกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนทำงานจึงหายไป มีเพียงนักศึกษาแถวๆนั้นที่ไม่ได้กลับบ้านมาเสพเครื่องดื่มร้อนๆ และพบปะพูดคุยกับเพื่อนฝูง

พนักงานในร้านเองก็ได้พักผ่อนไปในตัวด้วยวันอาทิตย์ไม่ใช่วันหนักๆของพวกเขาเหมือนจันทร์ถึงศุกร์ คงมีแต่เพียงดีเจเสียงหล่อจากคลื่นวิทยุที่ทำหน้าที่แข็งขันอย่างไม่รู้เหนื่อย อินโทรพลิ้วใสของบทเพลงใหม่เริ่มกังวานพร้อมการเข้ามาในร้านของลูกค้าอีกราย

“สวัสดีครับ เชิญเลือกที่นั่งได้ตามสบายครับ” บริกรร่างท้วมให้การต้อนรับอย่างมีไมตรีด้วยรอยยิ้มสดใส ต่างจากสีหน้าหม่นหมองของลูกค้าซึ่งเลือกที่นั่งเป็นโต๊ะริมหน้าต่างด้านในสุด

“รับเป็นนมร้อนหนึ่งที่กับ sweet heart นะครับคอยสักครู่ครับ” บริกรที่หน้าตาละม้าย ‘หมีพูร์’ ทวนรายการก่อนขอตัวจากไป ปล่อยให้ลูกค้าจมลึกอยู่กับความคิดของตัวเอง

มุฑิตาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเธอถึงได้เลือกที่จะแวะมาที่นี่อีกครั้ง ทั้งที่ตั้งแต่วันคริสต์มาสเป็นต้นมาเธอเป็นฝ่ายไม่ยอมรับโทรศัพท์จากเขา หรือเมื่อวันศุกร์ที่เขาแวะไปดักที่โรงเรียนเธอก็ให้เพื่อนครูโกหกว่าไม่อยู่ อยากตัดเขาใจแทบขาดแต่เอาเข้าจริง

ร้านกาแฟเล็กๆร้านนี้มิใช่หรือที่เธอเจอเขาครั้งแรก และโต๊ะตัวที่เธอกำลังนั่งอยู่นี่ก็เป็นที่ประจำของเขา และร้านกาแฟนี้อีกเช่นกันที่เธอเห็นเขากับตัวจริงของเขา

อาจเพราะความผูกพันตลอดระยะเวลาสองเดือนที่ได้ใกล้ชิดสนิทสนม เพราะรู้สึกว่าชีวิตที่เรียบเฉยของตัวเองมีสีสันขึ้นเมื่อเขาเดินเข้ามา เขาทำให้เธอได้รู้ว่านอกจากความรู้สึกธรรมดาสามัญแล้ว คนเรายังมีความรู้สึกอีกแบบหนึ่งซ่อนอยู่ในตัว เป็นทั้งสิ่งที่ หวานชื่น ไหวหวิว ลึกล้ำ ดูดดื่ม ทว่าร้าวราน

หากความรู้สึกนั้นเรียกว่า ความรัก ก็คงต้องยอมรับว่า เธอรักเขา แต่ทำไมถึงได้รักเขาล่ะ? ทั้งที่รู้ตั้งแต่วันแรกแล้วว่าเขามีใคร ทั้งที่พยายามห้ามใจตัวเองมาตลอด แล้วทำไม ต้องเป็นเขา? คิดถึงตรงนี้หยาดน้ำตาบางๆก็เริ่มเอ่อคลอดวงตาช้ำระบม ด้วยว่าในยามวิกาลมันต้องทำงานหนักมาหลายคืนแล้ว

“ของที่สั่งได้แล้วครับ” เสียงบริกรเสริฟอาหารทำให้หญิงสาวรีบกรีดน้ำตาทำท่าเหมือนปัดผมที่ลงมาปรกหน้า เป็นการกลบเกลื่อน “เอ่อ ขอโทษนะครับ ตาคุณแดงๆ คือ แสงเทียนมันสว่างไปหรือเปล่าครับ หรือว่ามีควันเข้าตา ผมจะได้เปลี่ยนอันใหม่ให้” บริกรร่างอวบถามด้วยความเป็นห่วงสวัสดิภาพของลูกค้า ปกติร้านไออุ่นจะเปิดไฟเพียงน้อยและจุดเทียนลอยน้ำในโถแก้วตั้งแต่ช่วงเวลาค่ำไปจนถึงปิดร้าน เทียนที่ใช้จะเลือกแบบไร้ควัน แต่ในเมื่อเห็นลูกค้าตาแดงๆ ท่าน ผจก. ก็อดสอดส่องไม่ได้
“มะ…ไม่ค่ะ ไม่เป็นไร” มุฑิตาปฏิเสธด้วยเสียงที่ต้องบังคับอย่างยากเย็นให้มันเป็นปกติที่สุด เป็นผลให้บริกรขอตัวจากไปโดยยังไม่วายทิ้งทาย “ถ้ามีอะไรให้รับใช้เรียกได้เลยนะครับ เรียกผมหรือเด็กคนอื่นก็ได้”

การจากไปของบริกรทำให้มุฑิตากลับมาหาความรู้สึกของตัวเองอีกครั้ง เอาเถอะในเมื่ออยากรักก็จะรัก หญิงสาวบอกตัวเองหนักแน่น รักก็เจ็บแต่การฝืนใจให้ลืมกลับเจ็บปวดกว่า ถ้างั้นคิดถึงเขาไปล่ะกัน คิดถึงให้สาแก่ใจ จะขอรักทั้งเจ็บๆแบบนี้แหละ

โชคดีอยู่บ้างที่รู้ว่าเสาร์-อาทิตย์ เขาไม่มาทำงานและไม่เคยแวะมาร้านนี้เลย ดีเหมือนกันมุฑิตาจะได้แอบมาร้านนี้ในวันเสาร์หรืออาทิตย์เพื่อเติมกำลังใจให้ตัวเอง ขอซึมซับกับความรู้สึกแค่เพียงว่าได้นั่งเก้าอี้ตัวเดียวกับเขา แค่นี้ก็เกินพอแล้วสำหรับความรักที่ต้องห้ามและเพ้อไปข้างเดียว รักเพื่อที่ให้หัวใจได้รักเพราะต้านทานไม่ได้ ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับความเจ็บปวดทั้งหมดที่เกิดขึ้น

กริ๊งๆ กระดิ่งหน้าประตูทำงานอย่างซื่อตรงเสมอเมื่อมีผู้มาใหม่ บริกรหน้าตี๋รีบตรงไปให้การต้อนรับอย่างคุ้นเคย
“สวัสดีครับ เอ๊ะ วันนี้ไม่ใช่วันทำงานทำไมคุณแวะมาล่ะครับ”

“ผ่านมา พอดีอยากกินกาแฟขี้เกียจกลับไปชงเอง ชงไม่อร่อยเหมือนน้องเค้า”

“คาปูชิโน่ปั่นเหมือนเดิมรึเปล่าครับพี่” เสียงร้องทักมาจากคนหน้าเคาน์เตอร์ผู้ที่ได้รับลูกยอสดๆร้อนๆ

“ขอเป็นคาปูชิโน่ร้อนดีกว่าจ้ะ อากาศมันเย็นๆ” ลูกค้าขาประจำสั่งอาหารเสร็จก็ควักเอาหนังสือเล่มเล็กมาอ่านเพิ่มค่าของเวลา

กริ๊งๆ เสียงกระดิ่งทำงานอีกครั้งหากคราวนี้เป็นบริกรร่างอวบที่ตรงไปให้การต้อนรับลูกค้า

“พรุ่งนี้เช้าแหละยุ้ย กว่าอั้มมันจะกลับจากบ้าน ชั้นล่ะเซ้ง…เซ็ง ไม่มีใครให้แกล้ง ยัยนีก็เอาแต่อ่านหนังสือตัวจะเป็นหนอนแล้วมั้ง ชวนมาก็ไม่มาอย่างว่านีมันชอบเป็นนางหอ เดี๋ยวเราค่อยซื้ออะไรไปฝากมันสักอย่างสองอย่าง” นักศึกษาสาววัยรุ่นเข้าร้านมาสองคน แต่เสียงดังฉอดๆกลับมาจากคนคนเดียวที่ขยับปากไม่หยุด “ช็อคโกแล็ตร้อนสองค่ะ ขนมปังปิ้งนมเนยที่หนึ่ง แล้วก็ ‘ขนมจีบ’ ที่หนึ่งค่ะ”

“เอ่อ ร้านเราไม่มีขนมจีบขายนะครับน้อง” สมบูรณ์ออกจะงงๆ ความจริงลูกค้าสองคนนี้ก็เข้าข่ายเป็นขาประจำเหมือนกันชอบเข้ามานั่งกินไอศครีมบ้างนมบ้างขนมบ้าง หลังๆยังเห็นพาเพื่อนๆหน้าตาจิ้มลิ้มมาเพิ่มอีก น่าจะคุ้นเคยกับอาหารของร้านดี แล้วทำไมไปสั่ง ขนมจีบ

“อุ๊ยต๊าย ไม่มีเหรอคะ แหม! หนูนึกว่าคนร้านนี้จะปั้นขนมจีบหว่าน…เอ้ย…ขายเก่งซะอีก เห็นพนักงานที่นี่ไปขายขนมจีบหน้าหออยู่บ่อยๆ....เฮ้อ...ไม่มีก็ไม่เอาค่ะ เอาแค่ที่มีล่ะกัน”

เพราะประโยคเด็ดของคนอยากกินขนมจีบร้อนถึงคนหน้าเค๊าเตอร์ที่ชงช็อคโกแล็ตร้อนเสร็จก็เดินมาเสริฟด้วยตัวเอง “ของที่สั่งได้แล้วนะ เปิ้ล โทษทีที่ร้านผมไม่มีขนมจีบขาย ไอ้ผมก็ทำไม่เป็นซะด้วยซิถึงทำเป็นก็คงไม่ขายพร่ำเพรื่อ เปลี่ยนจากขนมจีบเป็นข้าวเกรียบปากเป็ด เอ๊ย ปากหม้อไหมล่ะ เห็นมีรถเข็นขายอยู่ใกล้ๆร้าน เดี๋ยวผมจะเดินไปซื้อให้ ” พูดเสร็จบริกรก็ตีหน้าตายเดินกลับเคาน์เตอร์ปล่อยให้คนอยากกินขนมจีบหวี๊ดว้ายกับเพื่อนคู่หูซึ่งกลั้นหัวเราะจนหน้าแดง

“กรี๊ด….นายนี่กับชั้นท่าจะไม่มีวันญาติดีกัน….หน๊อยมาว่าชั้นปากเป็ด…มันน่ายุไอ้อั้มหาแฟนใหม่”

“ก็เปิ้ลไปหาเรื่องเขาก่อนนี่ เราเห็นเปิ้ลกวนเขาตั้งหลายครั้งเขาก็เอาคืนมั่งซิ กับอั้มก็เหมือนกันแหละล้อมันอยู่ได้”

“อ้าว..เป็นงั้นไปนะยุ้ยแทนที่จะเข้าข้างเพื่อนตัวเองกลับไปเข้าข้างตานั่นซะได้...ทำไมเขาใส่เสน่ห์มาในช็อคโกแล็ตร้อนรึไงย่ะ...ไหนชิมซิอร่อยไหม ไม่อร่อยล่ะน่าดู”

หลังการปะทุของระเบิดเล็กๆระหว่างลูกค้าและบริกรซึ่งก็คือเพื่อนร่วมสถาบันศึกษาเดียวกัน บรรยากาศในร้านไออุ่นก็เข้าสู่สภาพปกติ พนักงานทั้งสามของร้านยืนรอพร้อมบริการอยู่หน้าเคาน์เตอร์ ลูกค้าคาปูชิโน่จิบกาแฟเคล้าหนังสือซึ่งเป็นภาพคุ้นตา สองสาววัยใสคุยกันหนุงหนิง และที่โต๊ะริมหน้าต่างด้านในสุดซึ่งถูกจับจองด้วยลูกค้าสาวบุคลิกเรียบร้อยนั่งเหงาๆตามลำพัง





กริ๊งๆๆ

อีกครั้งที่กระดิ่งหน้าประตูทำงาน “สวัสดีครับ เชิญนั่งทางนี้ครับมีที่ว่างพอดี” บริกรร่างอวบเป็นคนให้การต้อนรับ ความจริงเวลานี้ทางร้านมีที่ว่างหลายที่แต่เขาคิดว่าจัดหาที่นั่งให้ลูกค้าคนนี้เลยจะดีกว่า เพราะถ้าให้เลือกเองแล้วพบว่าที่ประจำมีคนมานั่งตัดหน้าท่านผจก. กลัวลูกค้าจะหัวเสีย ทว่าลูกค้ารายใหม่แต่หน้าเก่าดูจะไม่รับรู้เอาเสียเลยเพราะไม่พูดจาสักคำตรงดิ่งไปยังที่ประจำ โต๊ะริมหน้าต่างด้านในสุด

“ขอโทษครับ ขอนั่งด้วยคนคงไม่ว่าอะไรนะครับ”

เพราะผู้นั่งอยู่ก่อนมั่วแต่ก้มหน้าพิจารณาเจ้า sweet heart อย่างเลื่อนลอย ถึงมือจะจับอยู่คนจับก็ไม่รับรู้หรอกว่าตัวเองทำอะไร พอดีมีเสียงแว่วกระทบโสตประสาททำให้หญิงสาวสะดุ้งจนต้องเงยหน้าขึ้นมองพาให้คุ๊กกี้ในมือหล่นพื้น แล้วหัวจิตหัวใจก็ร่วงไปอยู่ใต้โต๊ะเหมือนเจ้าคุ๊กกี้ลูกเกด

“คุณโคม” เมื่อเห็นว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับคนที่คิดว่าไม่สมควรเจอที่สุดในโลก มุฑิตาสามารถส่งเพียงเสียงสั่นพร่าออกไปเท่านั้น ก่อนจะพรวดยืนอย่างไม่รู้ตัว “นั่งซิคะ ดิฉันจะกลับพอดี เอ่อ …….”

“นั่งเป็นเพื่อนกันก่อนไม่ได้หรือครับครูมุ” ผู้มาขอนั่งด้วยไม่อนุญาตให้ผู้มาก่อนได้เอ่ยลา และวางท่าพร้อมสีหน้าที่บอกชัดว่าหากเขาไม่ประสงค์จะให้เธอไปแล้ว อย่างไรเสียเธอก็จะไปไม่ได้

มุฑิตายอมนั่งแต่โดยดีนึกในใจว่า เขาคงไม่รั้งเธอไว้นานหรอก เธอไม่ได้มีความสำคัญอะไรขนาดนั้น หญิงสาวพยายามปรับสีหน้าและอารมณ์ให้เป็นปกติที่สุด พยายามทำเหมือนกับว่ามันเป็นการพูดคุยของคนรู้จักธรรมดา

“แต่…ดิฉันคงอยู่ได้ไม่นานค่ำมากแล้ว”

“เดี๋ยวผมไปส่งเองครับ”

“เอ่อ…ไม่รบกวนคุณโคมดีกว่าค่ะ”

“ค่ำมากแล้ว ครูมุกลับคนเดียวอันตราย ให้ผมไปส่งดีกว่า”

ระหว่างที่รอพงศ์ประภาสั่งอาหารกับบริกร มุฑิตาจึงพิจารณาชายหนุ่มเต็มตา วันนี้เขามาแปลก ปกติจะชวนคุยโน่นนี่ไปทั่วแล้วน้ำเสียงก็ไม่ห้วนเหมือนออกคำสั่งขนาดนี้ เป็นอะไรไปรึเปล่านะทำไมหน้าเซียวๆ หรือจะทำงานดึกอีกแล้ว เครียดเรื่องงานอีกแน่ๆเลย หญิงสาวนึกไปช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมามักจะได้รับโทรศัพท์จากคนที่ชอบทำงานยามดึก

“ผมนั่งคิดงานอยู่นะครับ เบื่อๆเลยโทรมาหาครูมุ ยังไม่นอนนะครับ”
“ครูมุครับ พอดีกำลังคิดข้อความโฆษณาของโคโลญจน์กลิ่นดอกกุหลาบ ครูมุช่วยคิดทีซิครับ”
“ครูมุครับพรุ่งนี้พรีเซ้นท์งานแล้ว เอาใจช่วยผมหน่อยนะครับ หกโมงพรุ่งนี้ครูมุโทรมาปลุกผมหน่อยนะ เดี๋ยวตื่นสายไปพบลูกค้าไม่ทัน”

แล้วนี่เธอเล่นไม่ยอมรับโทรศัพท์เขามาหลายวันแล้ว จะมีใครเตือนเขาไหมนะว่า
“คุณโคมคะทานข้าวบ้างหรือยังคะวันนี้ อย่าทานแต่กาแฟนะคะ”
“คุณโคมค่ะ ดื่มน้ำสมุนไพรที่ดิฉันให้ไปรึยัง กาแฟน่ะอย่าทานมากนะคะ วันละสองแก้วก็เกินพอแล้ว”
“คุณโคมคะ วางงาน เลิกคุย แล้วไปนอนได้แล้วค่ะ คุณไม่ได้นอนติดกันมาสองวันแล้วนะ”
แล้วหญิงสาวก็ตัดตัวเองออกจากความคิดทั้งปวง ‘ไม่นะมุฑิตา….จะต้องไปห่วงเขาทำไม เขามีแฟนที่คอยเอาใจใส่ดูแลอยู่แล้วนี่ เธอมันก็แค่เพื่อนร่วมงานชั่วคราว’

“ครูมุไม่สบายรึเปล่าครับ ทำไมหน้าซีดๆ” ใช่มีแต่มุฑิตาคนเดียวที่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลง พงศ์ประภาก็เช่นกัน ชายหนุ่มรู้สึกว่าหญิงสาวหน้าซีดตาบวมเป็นอะไรรึเปล่า หรือจะมีเรื่องไม่สบายใจ แล้วพงศ์ประภาก็สำนึกผิดที่ทำเสียงแข็งใส่ เพราะความอัดอั้นมึนงงที่เธอคนนี้ทำไว้ให้ตั้งแต่คราวที่ผิดนัดเขา ความจริงการคอยเก้อมันก็ไม่เป็นอะไรนักหรอก แต่ทำไมเธอถึงไม่ยอมรับโทรศัพท์ ซ้ำยังหลบหน้า พอเจออีกทีก็ทำท่าห่างเหิน

“เปล่าค่ะ ดิฉันปกติดี ทำไมคุณโคมถึงมาร้านไออุ่นวันนี้ล่ะคะ เห็นเคยบอกว่าเสาร์อาทิตย์จะไม่แวะมา”

“เสาร์อาทิตย์นี้ผมเข้าออฟฟิศครับ เพราะกะเคลียร์งานจะได้หยุดปีใหม่ยาว” คราวนี้พงศ์ประภาเสียงอ่อนลง “วันนั้น ครูมุคงมีธุระด่วนมากซินะครับ แล้วทำไมไม่รับสายผม ไปหาที่โรงเรียนก็ไม่เจอ ถามจริงๆเถอะโกรธอะไรผมรึเปล่า ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจพูดกันดีๆซิครับ ผมก็...ไม่ค่อยฉลาดนักหรอกเดาอะไรเองไม่เป็น ถ้าครูมุไม่บอกว่าโกรธผมเรื่องอะไร ผมก็คงไม่รู้แล้วจะทำตัวถูกได้ยังไงครับ”

“ความจริงวันนั้นวันคริสต์มาสน่ะค่ะ มันเป็นการดีแล้วนี่คะที่เราล้มเลิกนัด คุณโคมก็จะได้มีเวลาส่วนตัวกับ… เอ่อ หมายถึงคุณโคมจะได้มีเวลาพักผ่อน” พูดเสร็จก็ต้องรีบหุบปากเงียบ เกือบหลุดไปแล้วนะมุฑิตา

“ผมจะได้มีเวลาส่วนตัวกับใครครับครูมุ…ในเมื่อวันนั้นผมนัดครูมุคนเดียว แล้วถ้าผมอยากพักผ่อนผมไม่นัดครูมุมาหรอกครับ” พงศ์ประภาเริ่มสงสัยกับสิ่งที่หญิงสาวเผลอหลุดออกมา ทำไมเธอถึงได้เอ่ยถึงบุคคลที่สาม แล้วใครกันล่ะ

เพราะสายตาคาดคั้นทำให้หญิงสาวต้องเอ่ยออกไปอย่างไม่รู้จะทำอะไรดีไปกว่านี้ ดีเหมือนกัน ย้ำเอาไว้ว่าเขามีใครอยู่แล้ว ทั้งเขาและเราจะได้ไม่...ล้ำเส้น...

“ก็กับ….กับ… แฟน”

“แฟน! แฟนใครครับ” ชายหนุ่มเบิกตากว้างยิงคำถามต่อเมื่อเห็นจำเลยจนมุม ความจริงเขาตกใจมาก ก็ เธอไปเอามาจากไหนล่ะว่าเขามีแฟน

“ถามได้ก็แฟนคุณโคมซิคะ เอาล่ะคะ ดิฉันจะบอกให้ก็ได้ คุณโคมจะได้เลิกซักซะที” ในที่สุดมุฑิตาก็พ่ายแพ้ด้วยปกติเธอไม่ค่อยชอบการโกหกปิดบังอยู่แล้ว หญิงสาวตัดสินใจบอกความจริงบางส่วน

“วันนั้นความจริงดิฉันก็มาตามนัดนั่นแหละค่ะ แต่เห็นคุณโคมอยู่กับเขาก็เลยคิดว่าไม่รบกวนดีกว่า สองเดือนที่ผ่านมาคุณโคมทำแต่งานคงไม่ได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน ก็เลยไม่ได้เข้ามาหา โธ่! เห็นไหมล่ะคะว่าดิฉันหวังดี” พอเล่าจบคนหวังดีก็ต้องนั่งหน้าบึ้งเพราะอีกฝ่ายหัวเราะพรืด ขำอะไรนักหนาไม่รู้

“โอ้ย! แล้วทำไมครูมุไม่เข้ามาล่ะครับ เขาอยากรู้จักครูมุอยู่พอดี …โธ่!…มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันแท้ๆ ไม่น่าเลย รู้ไหมครับตั้งแต่วันนั้นมาผมนอนไม่หลับเลยนะ” คำตอบของชายหนุ่มทำให้มุฑิตากลืนน้ำลายหักห้ามความรู้สึกที่อยากปล่อยโฮของตัวเอง

นั่นไงว่าแล้ว เขาจะแนะนำแฟนให้เรารู้จักจริงๆด้วย ดีแล้วที่วันนั้นไม่เข้าไป เดี๋ยวแฟนเขาดูออกว่าเราคิดยังไง แย่เลย “คุณโคมคะ ดิฉันคงต้องขอตัว” เพราะรู้ว่าอีกไม่กี่นาทีน้ำตาคงจะไหลพราก มุฑิตาลุกพรวดพราดตั้งท่ากลับแต่อีกฝ่ายยื้อแขนเอาไว้ทัน

“สิบนาทีครับครูมุ ผมขอพูดอะไรบ้าง แล้วถ้ายังไงเสีย ผมจะไม่ไปรบกวนครูมุอีกเลย”

“อะไรทำให้ครูมุคิดว่า ผู้หญิงคนนั้นเป็น แฟน ผมล่ะครับ” ตอนนี้พงศ์ประภาพูดไปยิ้มไป เป็นการยิ้มออกครั้งแรกตั้งแต่วันที่เธอคนนี้ผิดนัด

“ก็เขาเป็นคนเดียวกับรูปถ่ายที่คุณโคมเคยเอามาจากกระเป๋าสตางค์ให้ดูในวันที่เราเจอกันครั้งแรกนี่คะ หน้าตาก็ไม่ได้คล้ายที่จะเป็นพี่น้องกันได้ แล้วส่วนมากรูปที่อยู่ในกระเป๋าสตางค์ก็เป็นรูปแฟนไมใช่เหรอคะ”

พอฟังเหตุผลปุ๊บพงศ์ประภาก็อยากจะเขกกระบาลตัวเองนัก โธ่! สาเหตุนี้เองหรือที่คอยกั้นเธอกับเขาตลอดเวลา แค่รูปถ่ายที่ตอนนี้เขาทิ้งไปไหนแล้วไม่รู้ด้วยซ้ำมันทำพิษได้ขนาดนี้เชียว ที่สำคัญคนในภาพยังทำให้ต้องผิดใจกันเสียอีกทั้งๆที่ เขา กับ มุฑิตา น่าจะคุยกันรู้เรื่องไปตั้งนานแล้ว เอาเถอะ พงศ์ประภายอมรับว่าเขาพลาดเองที่ไม่เคยอธิบายอะไรสักอย่าง ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเคยหยิบรูปทุ่งทานตะวันที่มีแกมพลอยเป็นนางแบบให้มุฑิตาดู

“ใช่ครับครูมุพูดถูก ผมชอบเก็บรูปคนที่ผมรักไว้ในกระเป๋าสตางค์เอาไว้ดูเวลาเหนื่อยๆ ก็มีรูปพ่อแม่ แล้วก็...เอาเป็นว่า รูปของผู้หญิงที่ผมแอบรักก็แล้วกันเพราะเขายังไม่ยอมเป็นแฟนผมซะที”

“อ้าววววว…เห็นท่าออกจะสนิทกันก็เลย” อย่างลืมตัวมุฑิตาปล่อยเสียงผิดหวังเต็มประดา ด้วยคิดมาตลอดว่าเขามีแฟนแล้ว เมื่อมารู้จากปากก็ถึงกับอึ้งเพราะพลิกความคาดหมาย เอ๊ะ หรือ จะโกหก

“ผิดหวังมากเหรอครับคุณครู เห็นไหมคราวหลังสงสัยอะไรคุยกันก่อนนะครับ เราจะได้ไม่เข้าใจผิดกัน แล้วเนี่ยที่ไม่พูดกับผมมาสามสี่วันเพราะเรื่องนี้รึเปล่า”

“ฮื่อก็ค่ะ แต่ทำไมเขาไม่ชอบคุณโคมล่ะคะ คุณโคมก็ออกจะเอ่อ..นิสัยดี” หญิงสาวรัวคำถามเร็วปรื๋อด้วยความอยากรู้เรื่องราวความรักที่ไม่สมหวังของพงศ์ประภา ทำให้เผลอตัวรับประโยคที่ชายหนุ่มถามมาว่า ‘ที่ไม่พูดกับผมมาสามสี่วันเพราะเรื่องนี้ด้วยรึเปล่า’

“คนไหนล่ะครับ คนที่เห็นในร้านหรือคนที่อยู่ในกระเป๋าสตางค์”

“ก็คนเดียวกันนี่คะ”

“บอกก่อนว่าคนไหน….” ชายหนุ่มยังคงอมยิ้มอย่างใจเย็น บังคับให้หญิงสาวต้องเฉพาะเจาะจง

“ก็คนที่คุณโคมบอกว่าแอบ...เอ่อ...ชอบเขาแล้วเขาไม่ชอบตอบ”

“อ๋อ..... งั้นก็คนในกระเป๋าสตางค์” ประโยคลากเสียงยานยาวทำให้มุฑิตาเหลือทนขวางค้อนไปให้เปรี้ยงใหญ่ หมั่นไส้คนที่ไม่เคยร่วนอยู่ๆก็มาเล่นลิ้น พูดมาได้ คนไหนล่ะ สงสัยจะมีมากกว่าหนึ่ง

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่าทำไมเขาถึงไม่ชอบผมซะที ครูมุล่ะครับรู้รึเปล่า”

“เกี่ยวอะไรกับดิฉันด้วยล่ะคะ”

“ครูมุรู้เหรอครับว่าผู้หญิงที่ผมแอบเก็บรูปถ่ายเขาไว้ในกระเป๋าสตางค์เป็นใคร”

“เอ๊ะ…ทำไมร่วนกันอย่างนี้ล่ะคะ ทำไมจะไม่รู้ก็คนเดียวกับที่เจอในร้านไออุ่น คนที่สูงๆ แล้วก็สวยอย่างกับนางแบบ”

“คิดเอาเองอีกแล้วนะครับ ทำไมไม่ถามผมสักคำว่าคนที่ผมแอบรักเป็นใคร”

“ก็…..” กำลังจะเอ่ยบอกไปว่า คนที่สวยๆไง พอดีนึกได้เดี๋ยวเขาจะหาว่าเราคิดไปเอง “ก็…แล้วใครล่ะคะ” ท้ายสุดมุฑิตาเลยได้แค่งึมงำตั้งคำถาม ไม่กล้าสบตาฝ่ายตรงข้ามเท่าไหร่ ทำไมอยู่ๆตาของเขาที่ก่อนหน้านี้ยังดูโรยๆกลับระรื่นได้นะ เกิดถูกใจอะไรขึ้นมารึว่าสนุกที่ได้ไล่เบี้ยเธออย่างกับเป็นนักโทษ





แทนคำตอบพงศ์ประภาหยิบกระเป๋าสตางค์ส่งให้ เห็นอีกฝ่ายยังคงนั่งนิ่งเลยเอ่ยเตือน “ครูมุเปิดดูเองดีกว่า แล้วบอกด้วยนะว่าแฟนของผมน่ะใช่ผู้หญิงที่ครูมุเห็นวันนั้นรึเปล่า” ชายหนุ่มนั่งรอการพิสูจน์หลักฐานอย่างใจเย็น หรือถ้าจะให้ถูกตอนนี้หัวในที่เหี่ยวแห้งมาตลอดสามสี่วันมันพองโตจนแทบจะดันหน้าอกออกมา และลุ้นระทึก เอาเถอะไม่ว่าจะเป็นการตอบรับหรือปฏิเสธเขาพร้อมรับฟังทั้งนั้น เพียงแค่ให้เธอได้รู้

มุฑิตาเอื้อมมืออันสั่นเทาออกไป ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมอยู่ๆมือถึงได้สั่นซะขนาดนั้น อ๋อ…คงเพราะจะได้เห็นกันจะๆด้วยการแนะนำของเขาเองว่า รูปของผู้หญิงในนี้คือ คนในดวงใจของเขา แต่แล้วหญิงสาวก็ชักมือกลับเพราะไม่แน่ใจว่าจะคุมตัวเองได้ดีแค่ไหน

เมื่อเห็นว่ามุฑิตาไม่ยอมเป็นฝ่ายเปิดหลักฐานชายหนุ่มจึงต้องลงมือเอง พงศ์ประภาหยิบรูปเล็กๆขนาดสองพีออกมาคว่ำรูปลงกับโต๊ะแล้วดันไปให้หญิงสาวข้างหน้า

“ดิฉันว่า คงไม่ดีมั้งคะ มันเป็นเรื่องส่วนตัวของคุณโคม อยากกลับไปพักเหลือเกินแล้วค่ะ คงต้องขอตัว” มุฑิตาลังเล ควรแล้วหรือที่จะต้องไปซักไซ้ว่าเขารักชอบกับใคร ทำอย่างกับ เฮ้อ…เจ้าข้าวเจ้าของ หญิงสาวจึงได้แต่ก้มหน้ามองข้างหลังภาพนิ่งเงียบ

“ครูมุเปิดดูซิครับ แล้วถ้าอยากกลับจริงๆผมจะไม่ขวาง ถ้าไม่อยากให้ผมไปวุ่นวายในชีวิตอีก ผมก็ยินดีทำตาม”

หญิงสาวรวบรวมความกล้าพลิกดูด้านหน้ารูปแล้วก็ต้องตะลึงงัน ไอ้หัวใจที่ตกไปอยู่ตาตุ่มกระเด้งขึ้นมาทันทีที่สำคัญมันกระดอนขึ้นลงนับครั้งไม่ถ้วน จะว่าหน้ามืดก็ไม่ใช่เวียนหัวก็ไม่เชิง

ภาพที่เธอเห็นไม่ได้มีฉากหลังเป็นทุ่งดอกทานตะวันสีทองเจิดจ้า...หากเป็นสีครามอมม่วงของท้องฟ้าและท้องทะเลยามอาทิตย์อัสดง...ดูสงบเงียบขรึมแต่ก็สง่างามอย่างประหลาด สิ่งเดียวที่สว่างไสวที่สุดในรูปเห็นจะเป็นประกายใสบริสุทธิ์ที่สะท้อนอยู่ในแววตาของนางแบบสาว

ผู้หญิงในรูปไม่ใช่สาวสวยที่ยิ้มกว้างขวางท้าความงามกับดอกทานตะวันอย่างที่มุฑิตาฝังใจมาตลอด...หากเป็นเพียงเสี้ยวหน้าด้านข้างของผู้หญิงหน้าตาแสนจะธรรมดา...นางแบบจำเป็นไม่รู้ตัวเลยซักนิดว่ากำลังถูกบันทึกภาพ...ไม่เคยรู้ตัวเลยจนกระทั่งวันนี้

มุฑิตาได้แต่นั่งนิ่งตัวแข็งอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งมีฝ่ามืออุ่นๆของเจ้าของรูปมากุมมือที่ถือรูปของเธอ

“ตกใจมากหรือครับ มุ” เสียงเรียกสตินั้นแผ่วหวานเหมือนดังมาจากฟากฟ้าห่างไกล แต่ก็พอจะทำให้คนที่นั่งตัวแข็งเริ่มขยับมือหวังชักกลับ ทว่าสายไปเสียแล้วเพราะคนที่ยื้อยุดเอาไว้กุมแน่นเข้าไปอีก

“…เอ่อ…”

หญิงสาวไม่รู้จะตอบเขาว่าอะไรดี นี่มันอะไร มันต้องเป็นความฝันแน่ๆ เธอกำลังฝันไป นี่ไม่ใช่เรื่องจริง แต่มันเป็นครั้งแรกที่มุฑิตาไม่อยากตื่นจากความฝันแสนหวานนี่เลย

“ผู้หญิงในรูป เป็นคนที่ผมแอบรักเขาตั้งแต่เจอกันวันแรก นี่ก็กำลังลุ้นขอความรักจากเขาอยู่” พงศ์ประภายิ้มใส่ตาของหญิงสาวก่อนจะพูดต่อ “ส่วนคนที่มุเห็นในร้านวันนั้น...เป็นเพื่อนเก่าครับ ตอนนี้แต่งงานมีสามีไปเรียบร้อยแล้ว” แล้วชายหนุ่มก็ได้เวลาที่จะทวงถามสิ่งที่เขาอยากรู้มาโดยตลอด

“ที่นี้บอกผมได้หรือยังครับว่าเธอในรูปจะรักผมบ้างไหม”

“มะ…ไม่….เอ่อ….ไม่” มุฑิตาแทบจำไม่ได้ว่าเสียงของเธอมันจะแผ่วหวิวได้ขนาดนี้ อยู่ๆคนที่พูดภาษาไทยชัดเจนอย่างเธอกลับตะกุกตะกักติดอ่าง และเพราะคำตอบไม่เต็มประโยคของเธอที่ทำให้ตาพราวระยิบของอีกฝ่ายเปลี่ยนไป หญิงสาวใจหายวาบ...ทำไมเขาถึงดูเจ็บปวดขึ้นมาทันที แล้วในวินาทีนั้นเองที่เธอตัดสินใจ

เพราะอยากเห็นความสดใสขี้เล่นเหมือนที่เขาเป็นมาตลอด อยากฟังเสียงเขาเหมือนที่เคยได้ยินทุกวัน อยากคอยดูแลเป็นห่วงเป็นใยถามไถ่ อยากเห็นเขามีความสุขเพราะเธอก็จะได้มีความสุขด้วย หากชีวิตที่ผ่านมามุฑิตาเคยทำอะไรกล้าบ้าบิ่น ก็คงไม่กล้าเท่าครั้งนี้ซึ่งหญิงสาวคิดว่าต่อไปเธอคงไม่กล้าขนาดนี้อีกแล้ว

“ไม่….บ้าง……ล่ะมั้งคะ”

จากที่ว่าจะนั่งไม่นานเลยกลายเป็นว่าทั้งมุฑิตาและพงศ์ประภาสั่งขนมเพิ่มอีกหลายอย่าง แม้หญิงสาวจะร้องเตือนก็ตาม คนที่อดข้าวอดน้ำมาสองวันก็ไม่ยอมฟัง ให้เหตุผลที่รู้กันสองคนว่า “ขอผม ฉลอง หน่อยนะครับ ทรมานมาตั้งหลายวันแน่ะ”

“ปีใหม่มุกลับบ้านวันไหนครับ” ระหว่างกำลังเพลินกับขนมสารพัดชนิด อยู่ๆพงศ์ประภาก็ถามนอกเรื่อง “รู้ไหมที่ผมพยายามเคลียร์งานให้ได้หยุดหลายๆวันเนี่ย ว่าจะสมัครเป็นคนขับรถให้มุน่ะครับ กำลังอยากไปเที่ยวเพชรบูรณ์อยู่พอดี ขอไปอาศัยนอนพักบ้านมุหน่อยนะครับ”

“แน๊ อะไรกันค่ะ อยู่ๆมาขอนอนบ้านคนอื่นเขา”

“ก็ แหม ช่วงเทศกาลหาโรงแรมยากนี่ครับ ไม่ได้จองเอาไว้ด้วย ที่สำคัญผมจะได้จองตัวมุเป็นมัคคุเทศก์ซะเลย”

ในเมื่อรู้ทั้งใจตัวเองและของฝ่ายตรงข้าม จะหาเหตุผลอะไรมาต้านทานล่ะ เธอก็อยากมีเวลาอยู่ใกล้เขานานๆเหมือนกัน ก่อนที่จะต้องกลับมาตะลุยทำงาน งาน และก็งาน ทั้งสองฝ่าย มุฑิตาตอบตกลงด้วยเห็นว่าที่บ้านเธอมีคนเยอะ อย่างไรเสียจะจับเขาไปนอนกับน้องชายนั่นแหละ คงไม่น่าเกลียด เพราะผู้หลักผู้ใหญ่ก็อยู่เต็มบ้าน

“มุครับ ถามนิดนะ คุณพ่อมุดุหรือเปล่า”

“ดุค่ะ ดุมาก แล้วคุณโคมก็จะได้รู้ว่านอกจากดิฉันจะเป็นมัคคุเทศก์พาเที่ยวแล้ว คุณโคมจะมีมัคคุเทศก์รุ่นน้อยรุ่นใหญ่ติดรถอีกหลายคน ตลอดเวลาที่อยู่ที่นั่น” คำขู่ของมุฑิตาทำเอาชายหนุ่มเย็นสันหลังวาบ นึกไปถึงบรรดาหนังหลายเรื่องทั้งไทยและเทศ ที่มีพ่อตาจอมเฮี้ยวควงปืนไล่ยิงลูกเขย แต่ก็รักลูกสาวเขาไปแล้วนี่ ทำไงได้ล่ะ

ส่วนมุฑิตานึกขำกับหน้าตาสยองของคนขอไปเที่ยวบ้าน ความจริงพ่อเธอไม่ดุเลยสักนิด เพราะมีลูกหลายคนทั้งลูกสาวลูกชาย เห็นถามทุกครั้งที่กลับบ้านว่าเมื่อไหร่จะแต่งงานซะที เมื่อไหร่จะพาว่าที่ลูกเขยมาให้ดูตัว พ่อรู้ว่าเธออยู่กรุงเทพคนเดียวเป็นห่วงอยากให้มีคนดูแล

แล้วที่เขาจะไปบ้านเธอนี่มันหมายความว่าอะไร เขาจริงจังกับเธอแล้วหรือ มันคงไม่ใช่แค่อยากไปเที่ยวแล้วหาที่พักฟรีแน่นอน หญิงสาวอดปลื้มไม่ได้ว่า ท่าทางออกดูสมัยใหม่ รู้จักเข้าตามตรอกออกตามประตูด้วย นี่เธอเลือกรักคนไม่ผิดใช่ไหม

อีกครั้งที่ความเงียบเข้าครอบงำโต๊ะริมหน้าต่างด้านในสุดแห่ง ‘ร้านไออุ่น’ หากแต่ภายในความเงียบ มีสายใยของความรักความเข้าใจในกันและกันในทุกอณูอากาศ แม้ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาแต่ ณ. เวลา นี้ทุกอย่างกระจ่างชัด สว่างไสวยิ่งกว่าแสงเทียนที่กลางโต๊ะ อบอุ่น อ่อนหวาน ยิ่งกว่าแสงจันทร์ที่เริ่มแรงกล้า อันใดเล่าจะงดงามเท่านี้หากมิใช่….ความรัก…….





จบแล้วจ้า



สวัสดีค่า ลูกค้าผู้มีอุปการะคุณของร้านไออุ่น

คุณpimmy ------- พี่โคมเนี่ยข้าน้อยปั้นมาจากพระเอกในฝัน (ที่อาจจะไม่มีอยู่จริง) หล่อ อบอุ่น โรแมนติค และหนักแน่น อิอิ

น้องอ้อ -------- อ่านตอนนี้ก็คงรู้แล้วล่ะเนอะ ว่าทำไมพี่โคมโดนสาวเบี้ยวนัด ส่วนเรื่องนมร้อนของนายรุตต์น่ะ หึๆ ตอนนี้พี่ก็โดนหวัดรับประทานไปเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน ไม่เห็นมีนมร้อนมาเยี่ยมไข้สักแก้ว T_T ยังไงก็หายไวๆนะคะน้องอ้อ

คุณฟ้าเคียงเดือน ------- ตัวละคร 2 เรื่องไม่ได้เป็นญาติกันค่ะ แต่เกี่ยวข้องกันเพราะ พี่โคมเป็นลูกค้าร้านไออุ่น ส่วนนายรุตต์ก็เป็นบารีสต้าประจำร้านค่ะ


ครั้งหน้าจะลงเรื่องวุ่นๆของนายรุตต์กะหนูอั้ม และนายหนึ่งกับนลินีต่อนะคะ




 

Create Date : 13 กรกฎาคม 2552
8 comments
Last Update : 13 กรกฎาคม 2552 21:13:12 น.
Counter : 461 Pageviews.

 

มาแล้วค่ะ หลังจากที่งานยุ่งหายหน้าไปสามสี่วัน..

กาแฟร้านไออุ่น ยังคงอร่อยเหมือนเดิมค่ะ ..

แต่คราวหน้า ขอเรื่องราวหวานๆ ของบารีสต้าสุดหล่อกับหนูอั้มจอมเปิ่นหน่อยนะคะ ..

แบบว่าอยากนั่งอมยิ้มทั้งวันประมาณนั้นน่ะค่ะ ..

คิกคิก

ก่อนออกจากร้าน ขอคาปูชิโน่ปั่นติดมือซักแก้วนะคะ ... บายค่ะ

 

โดย: เมย์ IP: 78.69.65.82 14 กรกฎาคม 2552 5:47:13 น.  

 

กรี้ดคุณโคมชั่วคราว อิอิ น่ารักดีค่ะ

หวานเชียว ไม่เห็นมีใครขอเป็นคนขับรถให้อย่างงี้มั่งเลย

งื้อๆๆ



อย่าป่วยนานนะพี่เก๋ อิอิ เปลืองยา ^_^
หายป่วยไวๆน๊าคะ ไม่ต้องป่วยแข่งกัน ทั้งคนเขียนคนอ่านหรอกค่ะ
อิอิ

 

โดย: ต้นอ้อสีม่วง IP: 125.26.179.147 14 กรกฎาคม 2552 8:57:00 น.  

 

ยังไม่อยากให้จบเลย จบง่ายๆ แบบนี้ได้ไง

 

โดย: ฟ้าเคียงเดือน IP: 58.9.96.158 14 กรกฎาคม 2552 11:12:23 น.  

 

ชอบตอนพี่โคมบอกรักครูมุจังเลยค่า
แต่แอบจบง่ายไปนิดนึง

ปล.หายป่วยไวๆนะคะ

 

โดย: ... IP: 58.8.194.37 14 กรกฎาคม 2552 19:19:32 น.  

 

น่าจะมีบทส่งท้ายอีกสักตอนนะคะ

อยากรู้ว่าพ่อครูมุดุหรือเปล่า

 

โดย: pantee IP: 115.87.100.37 15 กรกฎาคม 2552 21:03:52 น.  

 

เน๊าะ แอบเชียร์เหมือนเพื่อนๆ พี่ๆข้างบน เขียนต่ออีกสี่ห้าบท ก็ไม่เห็นเสียหาย
เพราะจะว่าไป เรื่องของครูมุกับคุณโคม ก็เพิ่งเริ่มต้นเองนะพี่เก๋
อิอิ แอบเชียร์
(ยังไม่อยากให้หนึ่งหนุ่มหล่อ หายไปจากร้านกาแฟ)

เน๊าะๆ ให้ได้ซัก 12 ตอนก็ยังดี อิอิ

 

โดย: ต้นอ้อสีม่วง IP: 125.26.170.36 15 กรกฎาคม 2552 23:14:18 น.  

 

กรี๊ดดดดดดดดดดด

นายโคมนายจะหวานไปไหนนนน

 

โดย: pimmy IP: 125.27.241.223 16 กรกฎาคม 2552 20:27:32 น.  

 

น่ารักค่ะ

 

โดย: wa-ne IP: 99.153.88.223 21 กรกฎาคม 2552 5:17:21 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


พินทุอิ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สระอะไรเอ่ย...ยิ้มได้? ก็ สระ "อิ" ไงจ๊ะ นี่แหละค่ะที่มาของชื่อ "พินทุอิ" สระที่มีหน้าตาเหมือนรอยยิ้ม (จริงๆนะ)
มาร่วมแบ่งปันรอยยิ้มและความสุขกันนะคะ

หมายเหตุ
งานเขียนทุกชิ้นในบล็อกนี้เป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียนตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือนำไปเผยแพร่ต่อไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตามโดยไม่ได้รับอนุญาต หากต้องการนำงานเขียนชิ้นใดไปเผยแพร่ กรุณาติดต่อขออนุญาตจากผู้เขียนโดยตรง
Friends' blogs
[Add พินทุอิ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.