Love and romance with "bigger"
Love and romance with "bigger"
ในตอนนี้คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าความนิยมในตลาดของนิยายแนวโรมานส์กำลังมาแรงเป็นอย่างมาก นักเขียนหน้าใหม่และหน้าเก่าต่างก็ตบเท้ากันเข้ามาสร้างสรรค์นิยายสไตล์นี้กันไม่น้อย แต่ถ้าย้อนกลับไปไม่กี่ปีก่อน คงจะมีนักเขียนเพิ่งไม่กี่คนที่กล้าที่จะเขียนเริ่มต้นเขียนนิยายแนวโรมานส์ที่เคยมีแต่นิยายแปลเท่านั้น คุณ bigger นับเป็นหนึ่งในนักเขียนรุ่นแรกที่เขียนนิยายแบบนี้ โดยมีกลลวงรักเป็นนิยายเล่มแรกของเธอ ต่อมาด้วยไฟรักกลางใจ ซึ่งฟีน่าเองก็ไม่พลาดที่จะหามาอ่านตั้งแต่ครั้งแรกที่ตีพิมพ์ ทว่าในการอ่านนิยายของ คุณ bigger ยุคแรก ฟีน่าออกแนวไม่ปลื้มในระดับหนึ่ง และมาออกอาการค่อนข้างมาก พร้อมกับคำวิจารณ์ที่ค่อนข้างรุนแรงมาก ที่หลายคนถ้าได้อ่านแล้วอาจจะอึ้งกับคำพูดนั้นของฟีน่าไปก็ได้ เพราะหลายคนที่อ่านบล็อกรีวิวของฟีน่าตอนนี้อาจจะไม่เคยอ่านการบ่นรุ่นแรกของฟีน่าที่แรงและร้ายกาจกว่าปัจจุบันเป็นเท่าตัว
ซึ่งในการวิจารณ์ครั้งนั้น ฟีน่าคิดว่าคงจะได้รับการตอบโต้อย่างรุนแรงจากนักเขียนหน้าใหม่ที่ชื่อ คุณ bigger เป็นแน่แท้ แต่เหตุการณ์ที่คาดว่ากลับไม่เกิดขึ้น จนฟีน่าก็ยังนึกแปลกใจและนับถือว่าเป็นนักเขียนน้อยคนที่โดนเรื่องในทำนองนี้แล้วจะรับมือได้อย่างที่เรียกว่าเป็นมืออาชีพ และนั่นก็คงเป็นจุดเริ่มต้นของความรู้สึกดีๆที่มีต่อนักเขียนที่ชื่อว่า คุณ bigger มาตลอดหลายปีที่ติดตามอ่านงานมา จนกลายเป็นว่าในปัจจุบัน คุณ bigger เป็นนักเขียนในดวงใจฟีน่าคนหนึ่ง
ฟีน่ายอมรับว่าแม้จะเกิดความประทับใจในสปิริตของคุณ bigger แต่ผลงานเล่มต่อๆมาของเธอ ก็ยังไม่ถือว่าโดนใจฟีน่าสุดๆ จนมาถึงผลงานเรื่อง Summer & rain ที่เป็นการเขียนร่วมระหว่าง คุณ bigger และ Ton-plam ที่เป็นผลงานที่ฟีน่ารู้สึกว่าชื่นชอบมาก หลังจากนั้นเป็นต้นมา นิยายของ คุณ bigger ก็เป็นนิยายที่ฟีน่านิยมเป็นพิเศษ
บุหลง วิสิษฐยุทธศาสตร์ คือชื่อจริง นามสกุลจริงของคุณ bigger (ไม่เคยเห็นนักเขียนคนไหนกล้าเปิดเผยชื่อจริง ตัวจริงขนาดนี้เลยค่ะ) อายุอานามก็ 40 กว่าๆ แต่งงานแล้วมีลูกชาย 1 คน และคาดว่าคงจะมีได้แค่คนเดียวเพราะพยายามมาหลายปีแต่ไม่สำเร็จ และไม่น่าเชื่อว่าเธอมีอาชีพประจำคือรับราชการครู สอนระดับมัธยมศึกษา เธอเป็นคนจังหวัดสุโขทัยโดยกำเนิด แต่ย้ายมาอยู่ที่จังหวัดลำปางร่วมสามสิบปีแล้ว
ส่วนอาเฮียหรือสามีทำธุรกิจส่วนตัว พอว่างหรือปิดเทอมจะพากันไปเที่ยวแถวๆภาคใต้บ้านของเฮีย แล้วคุณ bigger ก็จะเป็นคนพาหลงทางประจำ ซึ่งเธอบอกว่า ชีวิตครอบครัวของเราเป็นประเภทครอบครัวหรรษาน่ะค่ะ คำบอกเล่าที่มาพร้อมเสียงหัวเราะของ คุณ bigger และคำขวัญประจำครอบครัวสุดแสนหรรษาพาเพลินก็คือ แม่นั่งเฉยๆ หลับไปเลยก็ได้เดี๋ยวลูกกับพ่อจะบอกเมื่อถึงที่หมาย
คุณ bigger เริ่มเขียนนิยายครั้งแรกในชีวิตประมาณเดือนกรกฎาคม 2551 พอเริ่มเขียนก็เริ่มลงออนไลน์ทันที พอนิยายเรื่องแรกจบก็ตีพิมพ์ นับรวมๆแล้วตอนนี้มีนิยาย ได้แก่ กลลวงรักภาค1และ 2 ไฟรักกลางใจ กลลวงรักภาคพิเศษ ไฟซ่อนเชื้อ บอร์ดี้การ์ดสาวเจ้าหัวใจ ฤาหัวใจ มีไว้เพียงเธอ รักเร้นเสน่หา เปลวไฟใต้จันทรา พ่ายเพลิงรัก 72 ชั่วโมงยั่วให้รัก ใต้ปีกเสน่หา
ในตอนนี้คุณ bigger กำลังมีผลงานที่เขียนอยู่ในเวบก็คือ เพลิงมธุรส ซึ่งเป็นเล่มต่อจากใต้ปีกเสน่หา โดยมีโครงการที่ตั้งใจและอยากทำคือ จะพยายามเขียนซีรีส์สามเรื่องที่เป็นนิยายทำมือให้จบ
เราคงได้รู้จักกับความเป็นคุณ biggerมาในระดับหนึ่งแล้วแต่นั่นยังไม่พอที่จะทำให้แฟนๆบล็อกของฟีน่ารู้จักตัวตนความเป็น bigger พอค่ะ ระหว่างบรรทัดคอลัมน์กันเองระหว่างคนอ่านเจ้าปัญหากับนักเขียนอารมณ์ดีคนนี้จะพาคุณไปรู้จักกับเธอมากขึ้นค่ะ
ผลงานของคุณ bigger
1. เริ่มต้นด้วยคำถามประจำคอลัมน์เลยนะคะ ทำไมเจ๊บิ๊กถึงเลือกใช้นามปากกาว่าบิ๊กเกอร์ค่ะ ทำไมถึงไม่ใช้นามปากกาที่เป็นชื่อไทยๆค่ะ
เรื่องนามปากกาเนี่ย มันเป็นเรื่องฮาของคนที่รู้ไปแล้วแหละ แต่ก็ไม่คิดปิดหรอกนะ
เล่าย้อนหลังอีกทีก็ได้วุ้ย...ครั้งแรกที่หัดเขียนนิยายและจะเอาลงออนไลน์ในเวป ตอนสมัครสมาชิกเวป เค้าให้เราใส่ยูสเนม โดยเขามีคำแนะนำไว้ว่า ให้เราเลือกชื่อที่จำง่าย ตอนนั้นนึกชื่ออะไรไม่ออกเจ๊ก็ เอาละวะ เอาชื่อหมาเราก็แล้วกันเพราะจำง่ายดี
บิ๊ก... ค่ะคือชื่อหมาที่บ้าน ทีนี้พอใส่ยูสเนมไปเวปก็บอกอีกว่า ให้ใช้ภาษาอังกฤษ อย่างต่ำ 6 ตัวอักษร เจ๊เลยเปลี่ยนใหม่ เป็น bigger เพราะหมาเราตัวใหญ่จำง่ายดี
พอได้ยูสเนมปั๊บล็อคอินติดมันดันกลายเป็นชื่อนักเขียนไปเลยอ่ะ แล้วเวปวิชาการในยุค 2 ปีก่อนเค้าไม่มีให้เราเปลี่ยนยูสเนมเป็นนามปากกาด้วย มันเลยเหมือนตกบันไดพลอยโจน เลยได้ชื่อหมามาเป็นนามปากกาซ้า
2. อะไรทำให้เจ๊บิ๊กหันมาเขียนนิยายค่ะ เพราะงานปกติของเจ๊ก็น่าจะยุ่งยากอยู่แล้วกับการเป็นแม่พิมพ์ของชาติ
ขอกัดนิดนึงนะจ้ะ นานมาแล้วสัก 3 ปีได้มั้ง เริ่มอ่านนิยายออนไลน์ ตอนนั้นติดนิยายอยู่สองเรื่องในเวบ จำชื่อเรื่องไม่ได้แล้วนะจ้ะ แต่คนเขียนคือ คุณณพิชญานันท์ และคุณฮิเดโกะซันชาย (เค้าใช้นามปากกาเป็นภาษาอังกฤษน่ะคนนี้) ทีนี้พอติดมากๆและรู้สึกว่าคนเขียนอัพช้าไม่ทันใจ (คืออารมณ์คนอ่านนะจ้ะอยากอ่านมากแต่ไม่ได้อ่าน เราไม่สนว่าเค้าจะบอกว่าติดนั่นติดนี่ เพราะเราอยากอ่านอะ) พอทนรอไม่ไหวเลยคิดว่าเขียนเองก็ได้วุ้ย (และแล้วก็เริ่มเขียนนิยายเพราะสาเหตุนี้ หุหุ)
3. ปกติแล้วส่วนใหญ่คนที่เป็นนักเขียนมักจะมีความใฝ่ฝันว่าอยากเป็นนักเขียน แล้วเจ๊ล่ะคะ นักเขียนคืออาชีพในฝันของเจ๊หรือเปล่า
นักเขียนไม่เคยอยู่ในความฝันเลยจ้า จริงๆอยากเป็นนักวาดรูปต่างหาก แต่คุณแม่ไม่ให้เรียน เลยปิ๋วตามระเบียบ (เชื่อฟังแม่ที่สุดในโลก) ทุกวันนี้พอคิดว่าตัวเองเป็นนักเขียนก็ยังนั่งมึนไม่หาย
4. แต่ถึงเจ๊จะไม่ได้มีความใฝ่ฝันว่าจะเป็นนักเขียน แต่การจะเป็นนักเขียนได้ก็ต้องเป็นคนรักการอ่านแน่นอน มีนิยายของนักเขียนคนไหนเป็นนักเขียนในดวงใจค่ะ
นิยายในดวงใจคงเป็นของคุณมาลา คำจันทร์ ทุกเรื่องเลยจ้า เพราะชอบมาก
5. ทำไมเจ๊ถึงเลือกที่จะเขียนนิยายแนวโรมานส์ล่ะคะ เพราะในช่วงเริ่มต้นที่เจ๊ออกผลงาน ในตอนนั้นนิยายแนวโรมานส์แบบเปิดเผยแบบนี้จะมีเฉพาะนิยายแปลเท่านั้นที่กล้าทำ แต่นิยายไทยยังไม่การทำแบบนี้สักเท่าไร
ตอนที่เขียนนิยายเรื่องแรกมันก็เป็นแนวนี้เลยนะไม่ได้เลือกอะไรหรอกยายฟี แล้วเจ๊ก็เคยอ่านนิยายไทยมาบ้างแต่ก็อย่างว่าแหละพอถึงฉากนั้นทีไร เรารู้สึกขัดใจทุกทีเพราะคิดว่าน่าจะมีอะไรมากกว่านี้อีกนิดคงจะสมบูรณ์แบบตามความต้องการของเรา
แล้วตอนที่เขียนนิยายครั้งแรกน่ะเจ๊ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้ที่ตัวเองเขียนเค้าเรียกนิยายโรมานส์ เพราะเราแค่คิดว่านิยายก็คือนิยายเรายังไม่รู้จักแบ่งเรท ก็คิดแค่ว่าเติมไปอีกนิดนึงน่าจะดีขึ้นอะไรแบบนี้แหละ
6. นับว่าเจ๊เป็นคนเขียนนิยายสไตล์โรมานส์ที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง จริงไหมค่ะว่าห้องทำงานในการเขียนนิยายของเจ๊คือห้องพระ
จริงจ้ะ
7. ถ้าใช่ทำไมเจ๊ถึงเลือกใช้ห้องพระค่ะ เพราะมันดูขัดแย้งกับงานที่เขียนมากๆเลยค่ะ
คือเรารู้สึกว่าเงียบไง ห้องพระจะเงียบมากแล้วเวลาเขียนนิยายเนี่ย เจ๊ไม่มีความสามารถเหมือนคนอื่นตรงที่ว่า เคยเห็นนักเขียนหลายๆคนเขาสามารถเขียนนิยายไปด้วยแชทไปด้วย หรือบางคนเขียนได้ทุกๆที่ คือเค้าอาจสมาธิดี แต่เจ๊ทำไม่ได้นะ
ตัวเองเวลาทำงานหรือเขียนนิยายต้องใช้สมาธิสูงมาก ต้องการความเงียบ ดังนั้นห้องพระเนี่ยตรงใจที่สุดเลยแหละ
บางคนอาจจะคิดว่าบาปหรือเปล่าแล้วเขียนโรมานส์ได้ไงในห้องพระ เจ๊ก็คิดว่าไม่เกี่ยวกันนะเราเขียนตรงไหนที่ทำให้เราเขียนได้เราก็น่าจะอยู่ตรงนั้นน่ะ
8. เจ๊ให้เวลาในการเขียนนิยายประมาณวันละกี่ชั่วโมงค่ะ และใช้เวลาในช่วงไหนในการทำงาน
เวลาเขียนนิยายต่อวันก็ประมาณวันละ 3- 4 ชั่วโมง (เวลาที่พูดเนี่ยสลับกับเล่นเกมส์ไปด้วย อิอิ) ส่วนเขียนตอนไหน กลางคืนจ้า ได้อารมณ์ที่ซู้ดด
9. แล้วอย่างนี้เรื่องหนึ่งเจ๊ใช้เวลาเขียนนานขนาดไหนค่ะ
เรื่องหนึ่งโดยเฉลี่ยประมาณ 3 เดือนนะแต่บางทีถ้าติดเกมส์ก็ยาวไปอีก อิอิ
10. มีนิยายเรื่องไหนที่เจ๊ เขียนเร็วที่สุดค่ะ และเรื่องไหนนานที่สุดค่ะ
เร็วที่สุดคงเป็นเรื่องไฟรักกลางใจ ใช้เวลาประมาณ 1 เดือนกว่านิดหน่อย ที่ถามเนี่ยไม่นับไอ้เรื่องที่ดองไว้ใช่หรือเปล่า (หุหุ) คือตอนนี้ที่นานที่สุดคงเป็น ใต้ปีกเสน่หา นั่นแหละเพราะใช้เวลา 6 เดือนเต็ม ส่วนเรื่องที่ดองก็ สองปีกว่าแล้วยังไม่ไปถึงไหนเลยจ้า
11. ความรู้สึกแรกที่เจ๊ได้ตีพิมพ์นิยายเป็นอย่างไรบ้างค่ะ แล้วทำไมถึงเลือกที่จะทำงานกับไอวี่ค่ะ
ความรู้สึกแรกนะเหรอ ...ฮ้า..นิยายที่เราเขียนเนี่ยสนพ.สนใจจนจะเอาไปตีพิมพ์ด้วยเหรอ แล้วก็ กรี๊ดด ได้ตังค์ด้วย แล้วก็รีบส่งโดยไม่คิดอะไรอีกเลย 555
ส่วนที่เลือกทำกับไอวี่เพราะว่า ตอนโน้นมีสนพ.ไอวี่ที่เดียวที่ติดต่อมา คือเราเขียนแล้วแต่ไม่กล้าเอาไปเสนอที่ไหนหรอกนะ กลัวมาก แต่พอไอวี่เค้ากล้าจะพิมพ์เราก็เลยกล้าให้เหมือนกัน อิอิ
12. เจ๊เอาแรงบันดาลใจในการเขียนนิยายแต่ละเรื่องมาจากไหน เพราะแต่ละเรื่องก็มีความแตกต่างกันออกไป
แรงบันดาลใจแรกๆก็มาจากคิดนั่นคิดนี่เอาคนเดียวตามที่เราชอบ แต่ช่วงหลังมาก็เขียนตามที่คนขอบ้าง
13. ในบรรดานิยายที่เจ๊เขียนมาตั้งหลายเล่ม เรื่องไหนที่เจ๊ชอบที่สุด เรื่องไหนแต่งยากสุด แล้วเจ๊คิดว่าถ้าเจ๊เปลี่ยนแนวเป็นพระเอกไม่หื่น ไม่หล่อ จะมีคนตามอ่านไหม
คือปกติตัวเจ๊เองจะประหลาดนิดนึงตรงที่ว่า พอเริ่มเขียนนิยายบทแรกของทุกเรื่องจะชอบนิยายเรื่องนั้นๆมาก และหลงใหลได้ปลื้ม แต่พอใกล้ๆจะจบของทุกเรื่องจะเกิดอาการหมดไฟจนอยากเลิก แล้วก็จะหาเหตุไปขึ้นนิยายเรื่องใหม่ สลับกันอยู่แบบนี้เลยตอบไม่ได้ว่า ตัวเองชอบเรื่องไหนมากที่สุดง่ะ ถ้าจะเปลี่ยนแนว..เคยคิดเหมือนกันว่าอยากแต่งแบบซึ้งๆ ไม่หื่น แต่พอเขียนไปได้สักพักมันก็มาอีกแล้ว พระเอกมือไวเหมือนเดิม ทีนี้ถ้าเราเองยังเขียนไม่ได้ก็คงไม่มีคนตามอ่านแหละฟีเอ๊ย
14. ถ้าเจ๊บอกไม่ได้ว่าชอบเรื่องไหน เอาเป็นว่าประทับใจเรื่องไหนที่สุดก็แล้วกันค่ะ
เรื่องไฟรักกลางใจสิ เพราะจำได้ว่าเธอวิจารณ์เจ๊ด้วยน่ะแล้วก็เรื่องนี้ถูกวิจารณ์ในเวปจนน้ำตาหยดติ๋งๆเลยแหละ แต่เราก็รักกันได้เนอะ 555 (เหมือนพระเอกนางเอกในนิยายเลยนะ ทะเลาะกันแล้วรักกันทีหลัง) อันนี้ขอฟีน่าขำนะคะ เจ๊ความจำดีมากๆ เรายังจำไม่ได้เลยว่าวิจารณ์อะไรไปบ้าง
15. เจ๊แต่งนิยายแนวพระเอกหื่น คิดอยากจะแต่งแบบนางเอกหื่นก่อนไหมค่ะ แล้วมันจะยากไปไหมค่ะ
นางเอกหื่นก่อนก็น่าจะพอได้นะ เพราะมีต้นแบบให้ดูอยู่แถวนี้หลายคนเล้ย (ว่าแล้วก็เหล่คนถาม 555) (เจ๊ค่ะ หนูหื่นตรงไหน ไม่มีค่ะ ออกจะใสซื่อมาก หนูถูกใส่ความ)
16. ในการเขียนฉากเลิฟซีนของเจ๊ ที่เขียนได้ละเอียดละออ แต่ไม่หยาบคายนั้น เจ๊จินตนาการมาจากที่ใด ค่ะ แอบเอาเคล็ดลับของชีวิตส่วนตัวในฉากโรมานส์บ้างหรือเปล่า และเจ๊มีวิธีการเขียนยังไงค่ะ ให้ทั้งเนื้อหาในนิยายและบทเลิฟซีนของพระเอกและนางเอกอ่านได้ไหลลื่นและไม่รู้สึกว่าหยาบคายจนเกินไป
เพราะเป็นคนอ่านหนังสือเยอะมาก เป็นหนอนหนังสือเลยนะ อ่านตั้งแต่เด็กแล้วก็อ่านทุกประเภท คิดว่าการอ่านช่วยให้เราได้รู้ภาษามากๆเลยหละ
ส่วนบทเลิฟซีนนั่งหลับตานึกเอา 555...ความจริงก็คือเอามาจากชีวิตส่วนตัวเสียค่อน ส่วนที่เหลือก็ค่อยๆนึกเป็นขั้นเป็นตอนแล้วก็เขียนตามที่เรานึกไปทีละขั้นละนะ...ความจริงแล้วการเขียนโรมานส์ไม่ยากอย่างที่หลายๆคนคิด คือใครๆก็น่าจะเขียนได้เจ๊คิดว่างั้นนะ เพียงแต่เราต้องมีเจตคติที่ดีในเรื่องนี้แล้วก็มองเห็นความสวยงามของโรมานส์ การเขียนไม่ใช่เกิดมาจากการดูวีดีโอโป๊แล้วเอามาเขียน เพราะมันใช้ไม่ได้ คือคนปกติจะไม่มีทักษะขนาดนักแสดง ถ้าเราเอาตรงนั้นมาเขียนคนอ่านที่เคยดูหนังแบบนั้นจะรู้ได้ทันที
17. อะไรทำให้เจ๊คิดว่านิยายเจ๊ไม่เหมือนนิยายโรมานส์ทั่วไป และเป็นที่นิยมในหมู่คนอ่านเป็นจำนวนมาก เจ๊ทำยังไงถึงได้ครองใจคนอ่านมานานขนาดนี้ค่ะ และเจ๊คิดว่าอะไรคือตัวตนความเป็นบิ๊กเกอร์ค่ะ
ความจริงก็ไม่คิดนะว่านิยายตัวเองจะถูกใจคนอ่าน แต่เจ๊น่ะเริ่มเขียนนิยายครั้งแรก โดยเลือกมาจากบุคลิกพระเอกที่เราชอบและเห็นว่าเท่ในสายตาเรา แต่ก็กลายเป็นว่า คนอ่านชอบเหมือนเราด้วย เลยกลายเป็นเหมือนถูกใจไปเลยน่ะ ถ้าพูดถึงบิ๊กเกอร์คนอ่านที่พอจะรู้จักน่าจะรู้ได้ทันทีว่าเขียนนิยายแนวโรมานส์ เพราะว่าเราไม่เคยเปลี่ยนไปเขียนแนวอื่นเลย ทีนี้พอพูดถึงบิ๊กเกอรเลยเหมือนถูกตีตรา ไว้ทันทีว่ายายนี่ต้องหื่นแน่นอน....ทั้งที่ความจริงเราไม่ได้หื่นขนาดนั้น เพียงแต่เรามองเซ็กในแง่ที่สวยงามมากๆเลยพยามยามสื่อออกมา แต่กลายเป็นว่าเราหื่นอะ
18. เจ๊อยากเขียนนิยายแนวไหนอีกบ้างไหมค่ะ อย่างพีเรียด แฟนตาซี บู๊
อยากเขียนแฟนตาซีจ้า
19. แล้วเจ็มีพล็อตนามแฟนตาซีที่อยากเขียนหรือยังค่ะ ถ้ายัง เผื่อจะให้แฟนๆนิยายเจ้ได้นำเสนอกัน (แต่อย่าลืมของหนูแล้วกันนะคะ)
ยังไม่มีพล็อตเลยนะ เพราะคิดว่าอยากเขียนแต่ยังไม่ได้เริ่มลงมือสักที (ส่วนของเธอที่เสนอมาน่ะ สงสัยจะร้อนกระจาย หุหุ)
20. มีนิยายแนวไหน แบบไหน หรือฉากสไตล์ไหนที่เจ๊คิดว่า ไม่เอา ไม่มีวันที่ฉันจะเขียนเด็ดขาด
ที่เคยตั้งใจไว้เลยคือนิยายแนวทะเลทราย จะไม่เขียนเป็นอันขาดเพราะความรู้สึกของเราคือยากมาก
21. ตอนนี้ฟีน่าเห็นเจ๊มีหนังสือทำมือในชุดทะเลทรายถึงสามเล่ม ทำไมชุดนี้เจ๊ถึงทำเป็นหนังสือทำมือละคะ ทำไมถึงไม่พิมพ์กับไอวี่เหมือนปกติ
ที่ทำมือเพราะสาเหตุ 2 ข้อ
-ข้อแรกคือแนวทะเลทรายเป็นแนวที่ตัวเองกลัวมากๆจนไม่กล้าเขียน ทีนี้พอเรากลัวมากๆเลยต้องหาทางฝ่าออกมา แต่พอฝ่าโดยการลองเขียนแล้วเราก็ยังกลัวที่จะให้สนพ.ตีพิมพ์ เลยต้องหนีไปทำมือแทนน่ะค่ะ (ประมาณว่าถ้าถูกคนอ่านด่าก็จะมีคนด่าจำนวนน้อยลง เพราะพิมพ์ไม่เยอะ แค่ 200 เล่ม 555)
-ข้อสอง ข้อนี้ขอพูดตามตรงเลยว่า (ขอโทษนักอ่านทุกคนไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะค้า เจ๊ผิดไปแล้ว) สาเหตุที่ตั้งใจเขียนซีรีส์ชุดนี้ขึ้นมาเพราะว่า ตอนนั้นกำลังเขียนนิยายอยู่เรื่องคือ ใต้ปีกเสน่หา แต่เรื่องใต้ปีกเนี่ยมันจะเป็นประเภทเดินเรื่องช้ากว่าปกติของเรา จะบรรยายค่อนข้างเยอะและเจ๊อยากให้เรื่องต่อเนื่องโดยที่ไม่ต้องรับความกดดันมากจากคนอ่าน ที่อาจจะขอนั่นขอนี่จนนิยายเรื่องนี้ต้องเสียเนื้อหาตามที่เราต้องการ เจ๊เลยเขียนซีรีส์นี้ขึ้นมาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากคนอ่าน
(หุหุ)ประมาณว่าคนอ่านอยากขออะไรให้มาขอได้ที่ซีรีส์ จะเขียนให้ตามใจไปเลย ความที่อยากหาทางเลี่ยงนักอ่านในเน็ตไม่ให้มาตามติเรื่องใต้ปีกมาก เลยได้ซีรีส์นี้ขึ้นมาแต่สุดท้าย..ผลรับไม่ได้เป็นเหมือนเราคาดสักนิดและที่เป็นสามเล่ม
แล้วทำไมถึงทำเป็นสามเล่มก็เพราะว่า มันมีพระเอก 3 คน (ตอนแรกไม่ตั้งใจให้มี 3 เล่มนะแต่พอคนอ่านติดพันแล้วเรียกร้องต่อเลยเอาอีก 2 หนุ่มที่เหลือมาเขียนต่อจ้า)
นอกจากซีรีส์ที่คิดจะเขียนให้อ่านเล่นต้องตีพิมพ์แล้ว นิยายเรื่องใต้ปีกยังได้รับผลกระทบจากซีรีส์นี้ด้วย เพราะว่า สองเรื่องนี้เขียนพร้อมๆกัน ..นิยายเรื่องใต้ปีกจึงแรงแทบจะพอๆกับซีรีส์เพราะอารมณ์เขียนมันต่อเนื่องกันน่ะ เรียกว่าคนเขียนซวยสองเด้งไปเลย(บาปกรรมมีจริง ชิมิยายฟี แกล้งคนอ่านดันเจอเอง)
22. เจ๊คิดอิมเมจพระเอก นางเอกจากไหนค่ะ โดยเฉพาะพระเอก เพราะแต่ละคนนี้อื้อหื้อ น้ำลายหกกันไปตามๆกัน
อิมเมจพระเอกเอาตามที่เราอยากได้ อิอิ คือคนเขียนชอบพระเอกแบบเนี้ยแล้วพอดี คนอ่านก็ชอบพระเอกเหมือนเราด้วย เลยดีไปเนอะ..ส่วนนางเอกเจ๊แทบไม่เคยจำเพราะรู้สึกว่าตัวเองจะให้ความสำคัญกับนางเอกน้อยมากๆ ฮี่ฮี่
23. พระเอกแต่ละคนของเจ๊ ออกแนวชวนให้ออกจะมีเป็นของตัวเองขนาดนี้ เจ๊หวงลูกชายคนไหนมากที่สุด แล้วพระเอกเรื่องไหนดูท่าว่าจะเป็นตัวเป็นตนยากที่สุด
หวงที่สุดก็ ตฤณตรัย หรือคุณตฤณ จากเรื่องฤาหัวใจฯอะนะ ส่วนลูกชายที่คลอดยาก และทำท่าเหมือนจะแท้งตั้งแต่ยังไม่คลอดเลยคือ เดเมียน..จากพักรบฯ(เดเมียนจ๋าแม่ขอโทษ..)
24. แน่นอนว่าการเป็นนักเขียน ย่อมต้องเจออุปสรรคสำคัญคือ เขียนไม่ออก หัวสมองไม่แล่น เมื่อเกิดอาการแบบนี้ เจ๊จัดการกับปัญหาสำคัญของนักเขียนยังไงบ้างค่ะ
เคยตันจริงๆอยู่เรื่องเดียวคือไฟซ่อนเชื้อ ตันแบบเดือนหนึ่งคิดไม่ออก ก็เอาไปเล่าให้เฮียฟัง สุดท้ายก็โอเคนะ คนใกล้ตัวเราสามารถช่วยเหลือได้ทุกเรื่องจริงๆ
25. ตอนเจ๊เขียนนิยายไม่ออกเครียดบ้างหรือเปล่าค่ะ รวมทั้งเวลาโดนคนอ่านทวงนิยาย ที่มีหลายเรื่อง รวมทั้งที่ดองไว้ หรือเพราะจากปัญหาการขีดเส้นตายให้งานตัวเองต้องเสร็จ เจ๊ทำยังไงค่ะ
ข้อนี้ถามเยอะ เวลาแต่งไม่ออกไม่เครียดนะเพราะไม่ค่อยกำหนดเวลาในการเขียนนิยายแต่ละเรื่องให้ตัวเอง ส่วนการถูกทวงนิยายถี่ๆ เจ๊ก็ใช้วิธีหลบหน้าหายไปเฉยๆ (หน้ามึนมาก) แล้วพอเริ่มสำนึกผิดก็จะกลับมาปั่นต่อ 555
26. เวลาเจ๊เขียนนิยายหลายเรื่อง มีภาวะที่เรียกว่าอารมณ์ของเนื้อหานิยายตีกันหรือสับสนไหมค่ะ
ไม่ตีนะ เพราะปกติเวลาเขียนนิยายก็คือเขียนๆๆอย่างเดียว พอจบตอนก็ถือว่าจบกันไม่เอามาคิดอีก เรื่องไหนก็ว่ากันเป็นเรื่องๆไป เนอะ
27. ถ้าเจ๊อยากจะเลือกนิยายของตัวเจ๊เองสักเล่มมาเป็นละคร เจ๊อยากเลือกเรื่องไหนค่ะ แล้วอยากให้ใครเป็นพระเอก นางเอก
อาจจะคิดไม่เหมือนคนอื่นแต่พูดตรงๆว่า..โดยความคิดส่วนตัวแล้ว เจ๊รับไม่ได้กับการเห็นนิยายตัวเองเป็นละคร ประมาณตั้งใจไว้ว่าจะไม่ให้นิยายตัวเองเป็นละครเด็ดขาด ไม่เคยคิดจะอยากให้สิ่งที่เราเขียนออกมาโลดแล่นให้เห็นเป็นตัวตน เจ๊ชอบแบบเป็นนิยายมากกว่าน่ะ
28. มีคำถามที่ฟีน่าไม่แน่ใจแต่ขอถามเพื่อเคลียร์ใจค่ะว่า จริงหรือค่ะที่เจ๊คิดจะเขียนนิยายแค่ห้าปีเท่านั้น แล้วหลักจากเลิกเขียนนิยายเจ๊คิดว่าจะไปทำอะไรหรือค่ะ
ตั้งใจไว้จริงนะยายฟี คิดว่า 5 ปีคงสมควรแก่เวลาแล้วแหละ หลังจากเออรี่แล้วออกไปปลูกดอกกล้วยไม้ จะไปเรียนวาดรูป จะขี่ชอบเปอร์ออกไปตั้งแคมป์กับลูกชาย และอะไรอีกเยอะแยะเลยจ้า
29. อันนี้เป็นคำถามส่วนตัวนิดหนึ่ง ฟีน่าจำได้ว่า ตอนเจ๊ออกกลลวงรักเล่มแรก รวมไปถึงไฟรักกลางใจ ก็โดนฟีน่าวิจารณ์ค่อนข้างแรงอยู่ แต่เจ๊ก็ไม่ตอบโต้อะไร ถามจริงๆเลยว่า ตอนนั้นเจ๊คิดยังไงกับการโดนวิจารณ์ที่ค่อนข้างแรงตั้งแต่เล่มแรกๆค่ะ แล้วรับมือกับคำวิจารณ์แรงๆ อย่างไร
ในฐานะโจทย์เก่า 555 อารมณ์แรกที่รู้คือ อึ้งแล้วตามมาด้วยเสียใจ อยากด่าแกกลับ ก็อารมณ์ของปุถุชนทั่วไปอะนะ แต่อาจเพราะตัวเองค่อนข้างใจเย็นเลยนั่งอ่านที่ถูกวิจารณ์อยู่ 2 วัน แล้วเริ่มโทรหาพิ่ทิพเพื่อปรึกษาปัญหาหัวใจ อิอิ..พี่เค้าสอนเยอะมากแล้วเจ๊ก็จำคำสอนนั้นมาจนวันนี้ พี่ทิพบอกว่า(ขออนุญาตเอ่ยชื่อด้วยความเคารพเลยนะคะพี่ทิพ อิอิ) นิยายต้องมีคนอ่านและถ้าอ่านแล้วและมีคนวิจารณ์ต้องถือว่า เราเป็นนักเขียนที่ได้เปรียบนักเขียนคนอื่น เพราะนิยายในตลาดมีเป็นหมื่นเป็นแสนเล่ม แต่เรื่องของเรา ได้รับเกียรติอันนั้นเราต้องดีใจ เพราะคำวิจารณ์สามารถชี้ข้อบกพร่องของเราได้จริงๆ ส่วนที่เราคิดจะออกไปโต้ตอบกับคนวิจารณ์ เราก็ต้องคิดดีๆอย่าใช้แต่ อารมณ์เพราะตอนนี้คนที่กำลังมองเราอยู่มี 3 กลุ่ม ๆแรกคือคนชอบเรา กลุ่มสองคือคนไม่ชอบ กลุ่มสามคือคนที่กำลังรอฟังความคิดของเราว่าจะใจกว้างขนาดไหนยอมรับคำวิจารณ์ได้มั้ย และพี่ทิพบอกว่ากลุ่มสามจะเป็นคนตัดสินว่าจะเข้ากลุ่มสองหรือกลุ่มหนึ่งซึ่งมีผลกระทบต่อเราในอนาคต เพราะได้รับคำแนะนำก็เริ่มได้สติแล้วลงมือเขียนตอบอย่างที่เห็นนั่นแหละ คนที่รู้เรื่องตอนนั้นน่าจะพอจำได้เพราะเรื่องฮอทพอสมควร อิอิ ....ทีนี้สองปีผ่านไป เจ๊กลับไปอ่านนิยายที่ถูกเธอวิจารณ์อีกครั้ง...หูย เห็นข้อบกพร่องเพียบ เลยสำนึกจริงๆว่า คนวิจารณ์มีความสำคัญกับนักเขียนจริงๆ เพียงแต่เราต้องใจกว้างยอมรับให้ได้
30. เจ๊คิดยังไงที่คนอ่านบอกว่านิยายแนวที่เจ๊เขียนไม่มีเนื้อหาสาระอะไรใดๆ นอกจากความรักของพระเอกนางเอก หรือเขียนนิยายขายแต่ฉากเรท
เจ๊ตั้งใจเขียนแบบนั้นจริงๆนะ เขียนแบบไม่มีสาระ ไม่ต้องคิดมากเวลาอ่าน คือคิดว่า นิยายน่าจะมีหลายๆแบบ เพื่อคนอ่านจะได้เลือกในสิ่งที่ตัวเองชอบ บางคนชอบอ่านสาระเขาก็สามารถเลือกเรื่องหรือนักเขียนที่เขาชอบได้ แต่บางคนไม่ต้องการสาระเลยเพราะคิดว่าถ้าเขาอยากได้สาระเขาก็จะไปหาอ่านจากหนังสือความรู้ต่างๆ ...นักอ่านชอบไม่เหมือนกันเขาก็น่าจะมีทางเลือกที่เหมาะกับสิ่งที่เขาชอบบ้าง เจ๊คิดว่างั้นนะ ส่วนที่ว่าขายฉากเรท ก็มันเป็นนิยายแนวโรมานส์จำเป็นต้องมีฉากนี้เป็นส่วนประกอบหลัก ถ้าคนอ่านรู้แนวหนังสือก็จะเข้าใจ อีกอย่างที่อยากบอกก็คือ เจ๊คิดว่า เซ็กเป็นเรื่องปกติของมนุษย์นะและเซ็กเป็นเรื่องที่สวยงาม มีความจำเป็นสำหรับคนทุกคน พูดง่ายๆคือชอบว่างั้นเถอะ ... แล้วเราเป็นนักเขียนเราต้องสื่อออกมาในแบบที่ไม่น่าเกลียด ต้องทำให้คนอ่านรู้สึกถึงความสวยงามนี้ให้ได้ เจ๊ว่าเซ็กกับความรักแทบแยกกันไม่ออกเลยนะ
31. เจ๊รู้สึกหรือเปล่าค่ะว่านิยายของเจ๊ที่เขียนออกมาค่อนข้างจะหวือหวาเกินไปสำหรับสังคมไทย เพราะในบ้านเรา การแบ่งเรทไม่ได้ชัดเจน จนสามารถควบคุมได้อย่างเข้มงวด
ข้อนี้เห็นด้วย คือนิยายที่เขียนอาจจะมองดูหวือหวาเพราะบ้านเรายังไม่มีการแบ่งเรทที่แน่ชัด พอแบ่งไม่ชัดคนอ่านบางคนที่ไม่เข้าใจและไม่ชอบนิยายแนวนี้จะออกมาต่อต้านทันที เพราะเขาอาจไปอ่านเจอโดยบังเอิญเนื่องจากไม่รู้ อีกอย่างสังคมไทยค่อนข้างจะปิดบังเรื่องแบบนี้ด้วยมั้ง แล้วคนเขียนโรมานส์มีน้อยมันเลยเหมือนหวือหวาเมื่อไปเทียบกับนิยายรักทั่วๆไปซึ่งมีจำนวนมากกว่า
32. สุดท้าย เจ๊อยากพูดอะไรถึงบรรดาแฟนๆนิยายเจ๊บ้างค่ะ
คนอ่านนิยายเจ๊เดี๋ยวนี้ไม่ใช่นักอ่านกับนักเขียนแล้วนะ แต่เรากลายเป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้องกันซะมากกว่า อาจเป็นข้อดีของนักเขียนออนไลน์ตรงที่ว่าทำให้เรารู้จักคนมาก และการรู้จักกันก็ค่อยๆพัฒนาจนเปรียบเหมือนญาติสนิทแล้วหละ
แฟนนิยายบางคนไม่เคยอ่านออนไลน์เลยแต่ตามเก็บนิยายเราทุกเรื่อง แต่บางคนอ่านแล้วไม่ยอมออกมาพูดคุยก็เยอะ หรือบางคนอ่านในเน็ตอย่างเดียวแต่ไม่ซื้อเพราะอะไรก็ช่าง
แต่ก็อยากจะบอกทุกๆคนที่เข้ามาอ่านตรงนี้ว่า ...เพราะทุกคนจริงๆจึงทำให้มีบิ๊กเกอร์จนวันนี้
ในเมื่อฟีน่ามีโอกาสจะได้สัมภาษณ์เจ๊สักครั้งก็ต้องมีอะไรเป็นพิเศษในคอลัมน์ให้แก่แฟนๆค่ะ จากบทสัมภาษณ์ก็รู้กันแล้วว่าเจ๊ มีอาชีพเป็นแม่พิมพ์ของชาติ แต่การเป็นแม่พิมพ์ในแบบเจ๊ ก็ไม่เหมือนใครอีกเช่นกัน มาดูมุมเล็กๆอีกมุมหนึ่งในชีวิตของเจ๊กันค่ะ
ถนนเส้นเล็กๆกว้างประมาณ 2 เมตร เชื่อมระหว่างภายในโรงเรียนและบ้านพักครู
สุดปลายทางเป็นที่อยู่ชั่วคราวของเจ๊ (ช่วงต้องเร่งต้นฉบับแล้วต้องมาอาศัยนอนที่บ้านพักครูอะนะ งือๆ)
ถ้ายืนมองจากอาคารเรียน จะเห็นวิวแบบนี้ (ทุ่งนาเขียวซ้า) เจ๊จำได้จนติดตาแล้วเพราะอยู่ที่นี่มาเกือบ 20 ปี
แล้ว วิวแบบนี้เคยเห็นมั้ย ...บ้านอาข่า หมู่บ้านของเด็กนักเรียนที่เจ๊ต้องตะกายขึ้นไปหา
แล้วรถแข่งแบบนี้ หล่อนกล้าเล่นมั้ยยายฟี เพราะถ้าแรงเบรกของตรีนไม่ดี มีหวังร่วงลงเขา 5555 (อันนี้เป็นบ้านเด็กเย้า อยากบอกว่าโรงเรียนชั้นอะ นานาชาตินะเธอ)
รูปนี้เป็นเส้นทางขึ้น หมู่บ้านของเด็กนักเรียนเหมือนกัน เป็นกะเหรี่ยงอะนะ
ถ้าหน้าฝนหมดสิทธิ์ขึ้น เพราะรถที่จะไปได้ต้องผูกโซ่ที่ล้อเท่านั้นย่ะ (แต่เจ๊ต้องตะกายไปเยี่ยมเด็กๆเหมือนเดิม ชิ)
ดอกบัวตองนะเหรอ ชั้นไม่ต้องตะกายขึ้นไปถึงดอยแม่อู่คอที่แม่ฮ่องสอน เพราะแถวหมู่บ้านของเด็กๆอะมีให้ดูเพียบ
บ้านเด็กนักเรียนชาวเขา ถึงจะหลังเล็กๆ แต่เค้าใช้โซลาเซลล์ (ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์อะนะ เห็นมะเค้าทันสมัยขนาดไหน แกเคยมีโอกาสใช้หรือเปล่า 5555)
เป็นไงกันบ้างค่ะ แฟนๆของคุณ bigger กับคำถามที่ฟีน่าสัมภาษณ์กันแบบสนุกๆ ไม่ได้เน้นสาระอะไรมากมาย เพราะฟีน่าถือเสมอว่านักเขียนทุกคนเป็นเหมือนเพื่อนของเรามากกว่าจะเป็นอย่างอื่นค่ะ อาจจะมีคนบอกว่าทำไมถึงได้มีการแซวไปมาระหว่างด้วย แต่อย่างที่บอกว่าเป็นบรรยากาศแบบสบายๆ มากกว่าค่ะ
หลายคนที่เป็นแฟนนิยายคุณ bigger คงจะคุ้นเคยกับอารมณ์ดีๆแบบที่เธอเป็นอยู่แล้ว แต่ถ้าใครไม่เคยรู้จักเธอมาก่อน ก็คงจะทำให้เราได้รู้จักตัวตน ความคิดของนักเขียนคนนี้มากขึ้นค่ะ ไม่แน่ว่ามันจะเป็นหนึ่งในตัวช่วยให้คุณสนใจอยากจะหยิบนิยายของเธอขึ้นมาอ่านสักเล่มค่ะ ซึ่งถ้าคุณเป็นคนอ่านที่ต้องการนิยายสนุกๆ ไม่จำเป็นต้องเต็มไปด้วยสาระมากมายนัก สลับกับเรื่องเครียดๆในชีวิตประจำวัน ฟีน่าอยากจะแนะนำนิยายของคุณ bigger ค่ะ ลองหยิบมาสักเล่ม คุณอาจจะกลายเป็นสาวกนิยายของคุณ bigger ไปอย่างไม่รู้ตัว เหมือนหลายคนที่ตกอยู่ภาวะนั้นไปแล้ว
Create Date : 20 ตุลาคม 2553 |
|
57 comments |
Last Update : 20 ตุลาคม 2553 8:42:22 น. |
Counter : 16486 Pageviews. |
|
|
|
อาจจะมีเรื่องแซวส่วนตัวกันไปหน่อยนะคะ แต่อย่างที่บอกว่าฟีน่าไม่ได้สัมภาษณ์แบบเป็นมืออาชีพ เหมือนพี่ๆน้องๆนั่งคุยกันมากกว่าค่ะ
เดือนหน้าเตรียมพบกับคุณมดแดง นักแปลมือทองของแจ่มใสค่ะ