ศรีสุรางค์ เพชรในกองฝุ่น : บทสัมภาษณ์
ศรีสุรางค์ เพชรในกองฝุ่น

ผลงานที่ผ่านมาของคุณศรีสุรางค์
ด้วยความสนุกของงานที่คุณศรีสุรางค์ได้มอบให้ผู้อ่านทั้งหลายได้ประจักษ์ในฝีมือแล้ว เธอจึงเป็นนักเขียนอันดับต้นๆที่สาวๆ แนะนำให้ฟีน่าพาเธอมาค้นพบระหว่างบรรทัดความเป็นศรีสุรางค์ ซึ่งไม่ต่างไปจากใจฟีน่าค่ะที่คาดหวังจะมีโอกาสได้สัมภาษณ์คุณศรีสุรางค์สักครั้ง เพราะนอกจากจะประทับใจในตัวงานแล้ว ในส่วนตัวก็นิยมชมชอบความน่ารักและความมีน้ำใจของเธอ ทุกวันนี้บล็อกของฟีน่าเป็นรูปเป็นร่างได้ก็เพราะความช่วยเหลือของคุณศรีสุรางค์นี้เองค่ะ และเป็นที่น่ายินดีซึ่งอาจจะพูดได้ว่าระหว่างบรรทัดเป็นคอลัมน์แรกที่มีโอกาสได้สัมภาษณ์คุณศรีสุรางค์เลยค่ะ แล้วเราจะเสียเวลากันอยู่ทำไมค่ะมาร่วมทำความรู้จักกับนักเขียนคนเก่งคนนี้กันดีกว่าค่ะ
1. ทำไมถึงใช้นามปากกว่าศรีสุรางค์ค่ะ และศรีสุรางค์แปลว่าอะไรค่ะ
ศรีสุรางค์ เป็นชื่อจริงของตัวเองค่ะ (ยิ้ม) ก็เคยคิดนามปากกาเหมือนกัน แต่ไม่มีที่ถูกใจซักที เห็นว่าชื่อตัวเองนี่ไม่ค่อยมีคนใช้มากนักก็เลยใช้ไปเลยค่ะ ศรี หมายถึง มิ่งมงคล ดีงาม สว่างสุกใส สุรางค์ หมายถึงสาวสวรรค์หรือหญิงงาม ต้องขอบพระคุณคุณพ่อคุณแม่ที่ตั้งชื่อที่มีความหมายแสนดีนี้ให้ค่ะ
2. ไม่ทราบว่าคุณแอนเข้ามาเป็นนักเขียนตั้งแต่เมื่อไรค่ะ
แอนเริ่มขีดๆ เขียนๆ ตั้งแต่ประมาณปี 2542 ตอนนั้นเข้าเว็บถนนนักเขียนที่พันทิพบ่อยๆ ไปอ่านๆ เรื่องของคนอื่นน่ะค่ะ ก็มีโพสท์บ้าง แล้วก็ทำให้ได้รู้จักเพื่อนนักเขียนหลายท่าน และอยากเขียนอะไรต่างๆ ขึ้นมาอย่างจริงจัง แต่แต่งกลอนนี่หัดแต่งมาตั้งแต่เด็กแล้ว ตอน ม.1 เริ่มมีสมุดจดกลอนที่แต่งเองเล่มเล็กๆ ค่ะ
3. แล้วคุณแอนเริ่มต้นมาเขียนหนังสือเพราะใครแนะนำหรือว่าอยากจะลองเขียนเองค่ะ
ไม่มีใครแนะนำหรอกค่ะ คงเป็นเพราะว่า ชอบอ่านหนังสือมาก แล้วพอได้แต่อ่านมาหลายๆ ปี มันก็เริ่มมีความคิด มีโครงเรื่องขึ้นมาในใจ อยากจะลองเขียนดูบ้างน่ะค่ะ
4. งานเขียนเรื่องแรกที่คุณแอนได้เขียนคือเรื่องอะไรค่ะ เผยแพร่ให้คนอื่นได้อ่านด้วยวิธีไหนค่ะ แล้วเรื่องนั้นได้รับการตีพิมพ์หรือเปล่าค่ะ
เรื่องแรกที่เขียนจริงๆ เป็นนิยายแฟนตาซีค่ะ วางเค้าโครงเอาไว้ แต่เขียนไปได้ไม่กี่หน้าเท่านั้นเอง (เขียนไม่จบ แหะๆ) ก็เลยไม่ได้เผยแพร่ค่ะ
5. ตอนนี้คุณแอนเขียนหนังสืออย่างเดียวหรือว่าทำอย่างอื่นด้วยค่ะ
งานหลักเห็นจะเป็นการอ่านหนังสือค่ะ เขียนหนังสือ เป็นงานอดิเรก (ยิ้ม)

มุมโปรดปรานของคุณศรีสุรางค์ เอาไว้อ่านหนังสือ ทำงาน แก้งานให้พวกเราอ่านค่ะ
6. งานเขียนของคุณแอน มีแนวไหนบ้างค่ะ
ที่ผ่านมาตอนนี้ก็มีเรื่องสั้น กลอน โคลง แล้วก็นิยายรักค่ะ
7. ตัวคุณแอนคิดว่าตัวเองชอบเขียนงานในแนวไหนที่สุดค่ะ แล้วนอกจากแนวทางที่เขียนอยู่คุณแอนอยากจะลองเขียนงานในแบบไหนอีกค่ะ อย่างเช่นลักลึบ แวมไพร์ ฟาโรต์ หรือทะเลทราย
คงจะชอบแนวนิยายรักมากที่สุดค่ะ แต่งานร้อยกรองก็ชอบมากเหมือนกันนะคะ นอกจากนี้ก็ยังไม่รู้ว่าในอนาคตอยากจะเขียนแนวอื่นอีกหรือเปล่า คงแล้วแต่แรงบันดาลใจที่เข้ามาน่ะค่ะ แต่คิดว่าคงไม่เขียน แวมไพร์ ฟาโรต์ หรือทะเลทราย เพราะไม่มีข้อมูลความรู้พอน่ะค่ะ
8. จากที่อ่านงานของคุณแอนมาแทบทุกเรื่องยกเว้นที่ไม่ได้เป็นนิยาย ฟีน่ารู้สึกว่างานคุณแอนจะเกี่ยวพันกับชาดก วรรณคดีไทย และความเชื่อเกี่ยวกับ ยักษ์ นาค ป่าหิมพานต์ ทำไมคุณแอนถึงเลือกจะเขียนงานในรูปแแบนี้ค่ะ เพราะปกติแล้วเป็นแนวที่ไม่ค่อยมีคนเขียนเท่าไร เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะนิยมเพราะคิดว่าอ่านยาก
ที่เขียนแนวนี้เพราะแอนชอบอ่านธรรมะ ชาดก ซึ่งมีเกร็ดความรู้เกี่ยวกับเทวนิยายพวกนี้อยู่มากด้วย ก็เลยเป็นเหมือนกับความชอบส่วนตัวมานานแล้ว และมีข้อมูลอยู่ในหัวที่เก็บสะสมไว้โดยไม่ได้ตั้งใจมากกว่าแนวอื่นน่ะค่ะ พอเวลาที่นึกอยากจะเขียนเรื่องสักเรื่อง ตัวละคร บรรยากาศมันก็หลั่งไหลออกมาง่ายๆ กว่าแบบอื่น บางทีแทบไม่ต้องหาข้อมูลเลย แค่เปิดเช็คที่เคยอ่านมาแล้วเท่านั้น ถ้าเป็นแนวอื่นบางแบบลองเขียนแล้ว ติดข้อมูลก็จะคิดไม่ออกเขียนต่อไม่ออกน่ะค่ะ
9. ฟีน่าเคยรับฟังเพื่อนนักอ่านมาหลายคนถึงเรื่องตอนจบนิยายของคุณแอนค่ะ ว่าสั้นไปอยากให้ยาวและหวานกว่านี้อีกนิด อย่างเช่นวินธัย ตอนท้ายได้เจอกันนิดเดียวแล้วก็แต่งงานเสียแล้ว หรืออย่างดาราแดงก็เช่นกัน คุณแอนรู้สึกบ้างไหมค่ะว่านิยายของตัวเองจบสั้นไปจริงๆ ยังน่าจะเพิ่มความหวานได้อีก
สำหรับแอน ก็คิดว่ามันสมบูรณ์แล้วในเวลาที่เขียนจบน่ะค่ะ แต่ถ้าคนอ่านเห็นว่าน่าจะเพิ่มเติมก็จะรับไว้พิจารณาดูค่ะ ที่ผ่านมาเวลาแอนเขียน ก็จะพยายามใส่ความหวานและสิ่งที่ตนเองประทับใจลงไปให้มากเท่าที่ทำได้ แต่ถ้ายังคิดฉากที่น่าสนใจ บทสนทนาที่ชอบมากๆ หรือติดตรึงใจกว่านี้ไม่ออก ก็ไม่อยากจะเพิ่มลงไปมากนัก เพราะอยากให้คุณภาพคับแน่น และกลัวว่าจะรู้สึกเลี่ยนได้เหมือนกันค่ะ แต่ตอนนี้พอรู้ว่าคนอ่านชอบให้หวานกว่านี้ ก็อาจจะเพิ่มมากขึ้นในนิยายเรื่องต่อๆ ไปค่ะ
10. ถามเกี่ยวกับที่มาที่ไปของเรื่องวินธัยค่ะ นอกเหนือจากเรื่องราวจากชาดกตามที่เขียนไว้ในคำนำ คุณแอนยังมีแรงบันดาลใจอะไรในการที่เลือกเขียนออกมาเป็นเรื่องวินธัยค่ะ เนื่องจากเล่มนี้เป็นเล่มที่หลายคนรวมทั้งฟีน่าที่ประทับใจภาษาที่สละสลวย ไพเราะมากในเรื่องนี้ เพราะเป็นนิยายที่ใช้ภาษาที่ยากแต่งดงามแม้จะโบราณไปบ้าง และส่วนในงานเขียนเล่มๆอื่นคุณแอนใช้แรงบันดาลใจในการเขียนงานแต่ละเรื่องมาจากไหนบ้างค่ะ
เรื่องวินธัยนี่ ช่วงเวลาที่เริ่มเขียนนั้น อ่านงานสมัยเก่ามากมายหลายเล่ม ทั้งวรรณคดี ร้อยกรองก็มีเรื่องอิเหนา ชาดก อะไรต่างๆ แล้วก็มีวันหนึ่งตอนค่อนรุ่ง ตื่นขึ้นมายังไม่เต็มตาดี ก็ได้ฝันกึ่งคิดจินตนาการออกมาเป็นฉากของบทนำในเรื่องขึ้นมาน่ะค่ะ พอลุกขึ้นมาแล้วก็จำได้ติดใจโดยเฉพาะจดหมายของวินธัยฉบับนั้น จึงเขียนบทนำออกมาเหมือนเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง ต่อจากนั้นจึง พยายามต่อยอดเป็นนิยายเรื่องยาวออกมาจากโครงอันนั้น และหาข้อมูลที่จำเป็นเพิ่มเติ่มเล็กน้อย เช่น อ่านกฎหมายโบราณ กับ ระเบียบพิธีในขบวนพยุหยาตราแบบต่างๆ งานเขียนเล่มอื่นๆ ก็เป็นทำนองคล้ายๆ กัน แอนจะรอให้มันมีความประทับใจอะไรบางอย่างที่ทำให้เรานึกถึง และอยากจะสื่อออกมา ถึงได้เริ่มเขียน บางทีก็เป็นการนึกสนุกว่า ถ้ามีตัวละครอย่างนี้ๆ ดำเนินเรื่องราวแบบนี้น่าจะสนุกดี และที่สำคัญให้แง่คิดอะไรได้สักนิดหน่อย ก็จะรู้สึกอยากลุกขึ้นมาเขียนน่ะค่ะ (ไม่ค่อยขยันเลย)
11. คุณแอนเคยคิดไหมคะว่าวินธัยเป็นงานที่อ่านยาก อาจจะไม่เหมาะกับคนอ่านจำนวนมาก และมีความคิดจะเขียนวินธัยภาคสองต่อบ้างไหมค่ะ เพราะยังรู้สึกว่ามีอีกหลายคู่ที่มีบทบาทน่าสนใจสามารถทำให้เป็นเรื่องราวของตนเองได้
ตอนที่เขียนวินธัย ซึ่งนับเป็นนิยายเรื่องยาวแนวร้อยแก้วเรื่องแรกนั้น ทำไปตามใจอยากของตัวเองจริงๆ ค่ะ ไม่ได้หยุดคิดถึงการตลาด หรือคนอ่านเลย และตั้งแต่เริ่มเขียนจนกระทั่งจบเรื่อง ก็ไม่ได้ให้ใครช่วยอ่านด้วย จนจบแล้วถึงได้ลงพันทิพไปตอนต้นๆ สรุปว่าทำตามใจตัวเองล้วนๆ เป็นการเขียนเพราะอยากเขียนจริงๆ โดยยังไม่มีความรู้เรื่องวงการหนังสืออะไรเลยค่ะ
ในวันนี้พอย้อนกลับไปอ่านแล้ว ก็เห็นว่าตัวเองไม่สงสารคนอ่านเลยสักนิด อยากจะเขียนอะไรก็เขียน ด้วยภาษาที่บางคนบอกว่า ต้องแปลไทยเป็นไทย แล้วยังมีการใส่นัยความหมายโดยลึกหลายอย่างลงไปด้วย
ในตอนนั้น คิดแต่เพียงว่า เราอยากเขียนงานที่มีคุณภาพ เพราะคิดว่าคนอ่านหนังสือ ก็ต้องรักหนังสือ รักอักษร คงจะต้องสามารถเข้าใจได้เองล่ะ และคิดต่างไปจากปัจจุบัน(และความเป็นจริงในวงการหนังสือ) เล็กน้อย เนื่องจากยังไม่มีประสบการณ์ คิดแต่ว่าต้องไม่ทำงานง่ายๆ ไม่ดูถูกคนอ่าน เหมือนกับละครบางเรื่องที่ เคยได้ดู เค้าทำออกมาเหมือนกลัวคนดูไม่เข้าใจ เรื่องเล็กๆ ก็โฟกัสอยู่นั้นแหละ เน้นย้ำสองสามรอบ กลัวเขาไม่ได้ยิน หรือไม่เก็ต ตรงนั้นเป็นสิ่งที่กระทบใจส่วนหนึ่ง แล้วนำมาคิดว่า ทำไมเราต้องทำอะไรง่ายๆ แบบเข้าใจได้ 100% ด้วย การให้คนอ่านขบคิด ไม่มีเสน่ห์กว่าหรือ ทิ้งให้คนอ่านได้ใช้จินตนาการบ้าง (การทิ้งให้คนอ่านได้มีช่องว่างจินตนาการนี้ ได้มาจากคำแนะนำของใครสักคนในหนังสือที่ได้อ่าน แต่จำไม่ได้เสียแล้วค่ะว่าจากเล่มไหน) แล้วตอนนั้นก็ประทับใจกับโคลงตะเลงพ่ายเหลือเกิน ในจุดที่ว่า โคลงนั้นมีความหมายซับซ้อน หนึ่งคำหรือวลีสั้นๆ แปลได้หลายอย่าง และบางครั้งแปลอย่างไหนก็ถูกทั้งสองทางด้วย ให้คนอ่านได้คิด ได้ลึกซึ้งกับภาษา และใช้จินตนาการ ตัดสินใจความหมายของมันเอง ว่าควรเป็นอย่างนี้หรืออย่างนี้มากกว่า เป็นบทกวีของปราชญ์อย่างแท้จริง ก็ติดใจชอบแนวทางอย่างนั้น อยากจะทำอะไรคล้ายๆ กันบ้าง ซึ่งพอมาในปัจจุบันนี้ ก็เข้าใจแล้วว่า ความคิดของเรามันอาจไม่ถูกต้องทั้งหมด จริงอยู่ที่ว่างานเขียน ไม่ว่าด้วยภาษาแบบไหน ก็ไม่ควรดูถูกคนอ่าน ควรจะทำอย่างเต็มที่และมีคุณภาพ หากการเขียนด้วยภาษายากแบบนี้ แม้เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งก็จริง แต่อาจเป็นรสที่ผู้อ่านส่วนมากในตลาดอาจไม่ชอบ ไม่นิยม ตลาดส่วนใหญ่ยังไม่สามารถบริโภคได้ง่าย เราก็ได้แต่ยอมรับและต้องเลือกเอา ว่างานชิ้นไหน จะทำออกมาในลักษณะไหน จึงจะทำให้มันสมบูรณ์และเปล่งประกายได้มากที่สุดน่ะค่ะ
งานร่วมสมัย ก็ควรจะใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายในปัจจุบัน ถึงกระนั้นงานที่ใช้ภาษาสละสลวยมากๆ แบบนี้ก็ยังคงเป็นอะไรที่ท้าทาย น่าตื่นเต้นแพรวพราย เป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่ต่างออกไป ซึ่งตัวเองรักค่ะ ถ้ามีโอกาสก็อยากจะเขียนอีก
ส่วนภาคสองของวินธัยนั้น... แหะๆ ก็คิดอยู่ค่ะ แต่ยังคิดพล็อตได้ไม่ถูกใจจริงๆ จึงยังรีรออยู่ ยังคงจดจำความปวดศีรษะในตอนที่เขียนวินธัยใกล้จบได้ด้วย ตอนนั้นเรียกว่า ใส่ทุกอย่างของตัวเองลงไปแบบทุกหยดหยาดจริงๆ และก็ต้องร้องในใจอยู่หลายรอบว่า ไม่เอาอีกแล้ว ไม่เขียนแบบนี้อีกแล้ว ยากจนปวดหัวมึนไปหมดจริงๆ ค่ะ ตอนนี้ถ้าคิดโครงเรื่องที่น่าสนใจจริงๆ ไม่ออก ก็เหมือนกับ ยังไม่มีแรงดันให้เดินหน้าต่อไปน่ะค่ะ (คงต้องใช้แรงผลักดันมากจริงๆ ถึงจะเข็นภาคสองออกมาได้)
12. ในเรื่องวินธัยจะพบกับกลอนที่ไพเราะมากหลายๆบท ไม่ทราบว่าคุณแอนแต่งเองทั้งหมดเลยหรือเปล่าค่ะ
แต่งเองทั้งหมดเลยค่ะ คุณฟีน่า ทำคำอธิบายท้ายบทบอกประเภทของคำประพันธ์และฉันทลักษ์สำหรับฉันท์เอาไว้ให้ด้วย ^ ^
13. ฟีน่าเจอหลายคนที่อ่านดารกาลางใจแล้ว รู้สึกติดใจสงสัยว่าจริงๆแล้วรอนความจำเสื่อมหรือไม่เสื่อมกันแน่ ตกลงว่าตัวคุณแอนเองตั้งใจจะเขียนให้รอนความจำเสื่อมหรือไม่เสื่อมกันค่ะ หรือว่าอยากให้คนอ่านตัดสินใจเอาเอง
นายรอนความจำเสื่อมจริงๆ ค่ะ แต่พอถูกแกล้งล้อเล่นอย่างนั้นก็เลยทำเป็นพูดว่า แกล้งภู่เล่นบ้าง แต่ที่จริงแล้ว คงต้องแล้วแต่ใจผู้อ่านน่ะค่ะ ถ้าชอบอยากให้เป็นว่าแกล้งความจำเสื่อมก็ได้นะคะ แอนคิดว่า หนังสือแต่ละเล่ม มันไม่ได้เกิดความสนุกสนานจากคนเขียนฝ่ายเดียว คนอ่าน บางครั้งก็จินตนาการต่อยอดหนังสือเล่มนั้นออกไปได้มากมาย และสนุกมากขึ้นในอีกหลายๆ แบบด้วย สรุปว่า ชอบอย่างไหนก็เป็นอย่างนั้นล่ะค่ะ ^ ^
14.และคำถามที่มีคนฝากล่าสุดคือ มีแนวโน้มว่าจะเขียนเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนคุณรอนจะความจำเสื่อมบ้างไหมค่ะ
ไอเดียนี้ก็ขอรับไว้พิจารณาค่ะ ถ้าหากวันไหนเหมาะๆ ก็อาจจะเขียนค่ะ
15. ทำไมในดาราแดงคุณแอนถึงได้เลือกให้ปุณฑริกาเป็นพิทยาธรี และโฆรัมเป็นยักษ์ด้วยค่ะ
อืม...นั่นน่ะสิคะ นึกขึ้นมาเองแล้วก็ไม่แน่ใจในเหตุผลเหมือนกัน ขอนึกก่อนนะคะ ตอนแรกอยากให้พระเอกมีเขี้ยวน่ะค่ะ แต่ไม่เอาแบบแวมไพร์ เพราะเราเป็นชาวไทยอยากเขียนนิยายแบบไทย แต่ให้ได้ความสนุกตื่นเต้นอย่างสมัยใหม่หน่อย ไม่โบราณแบบบรรยากาศรามเกียรติ์ เคยอ่านพระสูตรภาณยักษ์มานานแล้ว ก็เลยเป็นแรงบันดาลใจออกมาน่ะค่ะ ปุณฑริกา จู่ๆ เธอก็โผล่เข้ามาในจินตนาการก็เลยคิดไปเรื่อยๆ ปรากฏว่าลงตัว ได้โครงเรื่องที่ค่อนข้างพอใจออกมา ก็เลยจดไว้ แล้วค่อยๆ ลงมือเขียนค่ะ
16.สำหรับธารทับทิม อะไรเป็นแรงบันดาลใจให้คุณแอนเขียนงานแนวนี้ค่ะ มันกึ่งๆแฟนตาซีค่ะ เป็นลูกผสมแฟนตาซีไทยบวกฝรั่ง
ที่จริงแล้ว ธารทับทิมนี่ เป็นแฟนตาซีของไทยแท้ๆ เลยนะคะ อิงจากพระสูตรในพระไตรปิฎกมาเยอะมากเลย แต่คนทั่วไปไม่ค่อยได้คุ้นเคยกับนิยายทางศาสนา ก็เลยคิดว่า การเหาะได้ ใช้ฤทธิ์ทางใจ (คล้ายๆ พ่อมด)นี่มีมาแต่ทางตะวันตก ที่จริงของเราก็มีมานานแล้ว การใช้เวทย์ของคนกึ่งเทพในเรื่องหิมพานต์ และการใช้ฤทธิ์ทางใจ หรือเรียกอีกอย่างว่า อิทธิปาฏิหาริย์ ซึ่งผู้มีฌานและฝึกฝนสามารถทำได้ พระอริยสาวกจำนวนมากของพระพุทธองค์สามารถทำได้ในชีวิตประจำวันด้วย เช่นการเหาะได้ การจุดไฟบนนิ้ว หายตัวไปปรากฏอีกสถานที่หนึ่ง เนรมิตรูปกายให้เปลี่ยนไป ฯลฯ นอกจากพระแล้ว ผู้ที่ฝึกทางนี้ โดยยังไม่เป็นอริยบุคคลก็ทำได้เช่นกันค่ะ เพียงแต่ในคำสอนของพระพุทธองค์จะไม่ทรงให้เน้นสอนโดยใช้อิทธิปาฏิหาริย์ แต่ให้ใช้ปาฏิหาริย์ของพระธรรม ที่สอนให้เข้าใจ เห็นได้ด้วยตนเองในปัจจุบันนี้แทน
ส่วนโลกจินตนาการในเรื่องธารทับทิมนี้ ก็ไม่ใช่แฟนตาซีที่คนเขียนฝันถึงโลกแบบนี้ขึ้นมาจากการอ่านหรือดูหนังฝรั่ง แต่จะคล้ายโลกในอุดมคติทางพุทธศาสนา ยุคที่พระศรีอาริยเมตไตรยจะทรงมาอุบัติขึ้นนั่นเองค่ะ คนสมัยก่อน เวลาทำบุญก็จะอธิษฐานขอไปเกิดในยุคพระศรีอาริย์กันใช่มั้ยคะ แต่คนสมัยนี้ ไม่ค่อยรู้ว่ายุคนั้น หมายถึงอะไร เป็นอย่างไร ยุคนั้นคนมีอายุยืนนาน มีจิตใจดี มีแต่ความสุขเป็นส่วนใหญ่ แต่อายุยืนนานแค่ไหน จิตใจดีเป็นอย่างไร ความสุขมากทุกข์น้อยเป็นอย่างไร ให้เห็นรายละเอียดกันชัดๆ ในชีวิตประจำวันของตัวละครกันเลยทีเดียว
ซึ่งแอนประยุกต์มาจากที่เคยได้อ่าน พระสูตรชื่อ จักกวัตติสูตร ซึ่งมีข้อความกล่าวถึงโลกในยุคนั้นไว้ อยู่ท่ามกลางความเกิดดับ เจริญและเสื่อมของโลกยุคต่างๆ ที่จะผ่านเข้ามาและผ่านไป นับตั้งแต่คนอายุยืนหลายหมื่นปี และเสื่อมลงเพราะกิเลส จนอายุขัยสั้นลง จนเกิดสงครามล้างเผ่าพันธุ์ครั้งใหญ่เพราะกิเลสคือโทสะแรงกล้า จากนั้นผู้รอดชีวิตก็ค่อยฟื้นฟูโลกขึ้นอีกครั้ง คนอายุยืนขึ้นเพราะเห็นคุณค่าของความดี และเริ่มใฝ่กุศล เพราะเห็นโทษของกิเลส
(ซึ่งพระสูตรนี้แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่าง กิเลส และอายุขัยของคนในกัปต่างๆ น่ะค่ะ)
ส่วนอีกพระสูตรหนึ่งที่ใช้ข้อมูลมาสร้างฉากและภพ คือ อัคคัญญสูตร ซึ่งกล่าวถึงเรื่องกำเนิดโลก ที่เทวดามาชิมง้วนดินบนโลก(ที่เพิ่งเกิดขึ้น) แล้วติดใจ กายละเอียดกลับหยาบขึ้น และกลายจากเทพมาเป็นมนุษย์ อยู่บนโลกนี้ เคยได้ยินเรื่องเทวดาติดง้วนดินในวรรณกรรมโบราณมั้ยคะ อันนั้นแหละค่ะ แอนก็เอามาใช้สร้างโลกจินตนิยาย ในธารทับทิมขึ้นมา
โลกที่กล่าวถึงในพุทธศาสนา ไม่ใช่ไสยศาสตร์ หรือความเพ้อฝัน และวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่ก้าวหน้าขนาดอธิบายได้หมด เป็นโลกตามความเป็นจริง ซึ่งพระพุทธองค์ผู้มีญาณหยั่งรู้ และระลึกชาติได้ไม่จำกัด ได้ตรัสเล่าไว้ ให้มนุษย์ผู้ไม่มีญาณทั้งหลายได้ทราบ
เวลาอ่านพระสูตร จะทึ่งหลายอย่างค่ะ เพราะมีความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์แฝงอยู่มากมาย ขณะเดียวกันก็มีคำอธิบายด้านนามธรรม ผสมเข้ามาด้วย คือ โลก เกิดจากทั้งกายภาพคือสิ่งที่เป็นรูปธรรม และนามธรรมด้วย จึงเป็นการอธิบายที่ครบถ้วน ไม่ด้วนๆ หรือแยกส่วน แต่มองอย่างองค์รวมค่ะ
นอกจากเรื่องรักๆ ที่เป็นจุดดึงดูดในเรื่องแล้ว สำหรับคนเขียนเอง จึงรู้สึกดีในที่ได้สอดแทรกแนวความคิดทางศาสนาเข้าไป ซึ่งเรื่องนี้เรียกว่า ถ้าคนที่ไม่เคยรู้มาก่อน ก็ไม่รู้ตัวเลยว่า ฉากนั้นสร้างมาจากข้อมูลในทางศาสนาทั้งหมดเลยล่ะค่ะ
เป็นโลกมนุษย์กึ่งแดนสวรรค์ที่หลายคนใฝ่ฝันหานั่นเองค่ะ
โดยสรุปคงต้องบอกว่า พระสูตรนี่ละ คือแรงบันดาลใจอันสำคัญสำหรับเรื่องนี้ค่ะ เพราะมีข้อมูลอันนี้ ที่เราอยากจะเผยแผ่ออกไปในรูปที่กลมกลืน จึงเป็นสิ่งผลักดันอันสำคัญที่ทำให้อยากทำงานนี้ และภูมิใจที่ได้เขียนค่ะ ^^

ตู้หนังสือที่คุณศรีสุรางค์ชื่นชอบที่สุดค่ะ พระไตรปิฏก (แหะๆๆ หายากนะคะ คนอ่านหนังสือแบบนี้)
17.แล้วเมื่อไรจะเขียนแนวหินพานต์อีกคะ (ฟีน่าแอบแฝงความหวังบางประการ )
ยังไม่แน่ใจเลยค่ะ คุณฟีน่า คิดๆ อยู่นะคะ แต่ถ้ายังเขียนไม่เสร็จนี่ไม่กล้าบอกใครเลยค่ะว่าเมื่อไหร่ แหะๆ เพราะว่าบางเรื่อง เขียนรวดเดียวจบได้ แต่บางเรื่องดองไว้หลายปี ทั้งที่เริ่มก่อน แต่ไปจบทีหลังซะได้
18.เล่ห์ร้ายนิยายรัก เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไรค่ะ
เล่ห์ร้ายนิยายรัก เป็นเรื่องร่วมสมัย เรื่องราวของนักเขียนสาวคนหนึ่ง ซึ่งเผชิญกับเหตุการณ์ในชีวิตที่มันคุ้นๆ ยังกับนิยายที่ตัวเองชอบยังไงก็ไม่รู้ เป็นแนว Comedy นิดๆ นะคะ ได้แรงบันดาลใจมาจากนิยายหวานๆ ที่ชอบอ่านนี่เองค่ะ เรื่องนี้เขียนไปยิ้มไป มีความสุขมาก มีตอนพิเศษท้ายเล่มเพิ่มความหวานเข้ามาอีกหน่อยด้วยค่ะ
19. ฟีน่าสังเกตว่างานของคุณแอนไม่ใช่แนวที่เรียกว่าแนวตลาด เคยมีคนแนะนำให้คุณแอนเปลี่ยนไปเขียนงานแนวตลาดบ้างไหมค่ะ
ก็มีหลายคนพูดเหมือนกันค่ะ ว่าทำไมไม่เขียนแบบนั้นแบบนี้ ที่เขากำลังฮิตกัน แต่ตอนนั้นเราไม่มีพล็อตเข้ามาในหัวเลยน่ะค่ะ ถ้าวันไหนมีขึ้นมาและคิดว่าน่าสนใจพอก็อาจจะเขียนน่ะค่ะ แต่ว่าตอนนี้นั้น เขียนอะไรที่รู้สึกตื่นเต้นและอยากที่จะเขียนมากกว่า โดยไม่จำกัดตัวเองว่าแนวไหน แม้ว่าอาจจะออกมาเป็นแนวไม่ตลาดเช่นร้อยกรองอีก ก็คงจะเขียน อาจจะไม่ได้พิมพ์ก็ไม่เป็นไรค่ะ
20. มีความเห็นอย่างไรเรื่องการลอกพล็อตนิยาย เพราะของคุณแอนพล็อตน่าลอกนะคะ เป็นแนวที่น่าอ่าน น่าสนใจ แล้วเคยโดนลอกแล้วยัง คุณแอนทำยังไงคะ
สาธุ คุณพระโปรดคุ้มครอง ยังไม่โดนลอกค่ะ เวลานี้ถ้าเขียนงานออกมาแล้ว อยากจะโพสท์ลงบอร์ดสาธารณะ จะส่งต้นฉบับไปขอลิขสิทธิ์ที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาก่อนค่ะ (ปกติแอนจะเขียนให้จบหรือเกือบจบก่อนจะลง) พอใด้ใบมาแล้ว ก็ค่อยลงโพสท์ คิดว่าน่าจะช่วยได้ระดับหนึ่ง ก็กลัวอยู่เหมือนกัน
21. คุณแอนวางโครงการเขียนหน้าไว้หรือยังค่ะ เป็นเรื่องแนวค่ะ และตอนนี้คิดชื่อเรื่องออกหรือยังค่ะ แล้วคิดว่าจะเขียนจบช่วงไหนค่ะ
ตอนนี้กำลังเขียนเรื่องของนายป่ารักอยู่ค่ะ เป็นภาคต่อของเล่ห์ร้ายนิยายรัก แต่อยู่ในช่วงติด คือคิดไม่ออกอีกแล้ว กำลังรวบรวมไอเดียอยู่ว่าจะเขียนช่วงท้ายยังไงดีน่ะค่ะ แต่พอแอนคิดไม่ออกก็ไม่ฝืนค่ะ หันไปทำนู่นนี้ อ่านหนังสือ พักผ่อนบ้าง (อู้นั่นเอง) รอคอยพอคิดอะไรดีๆ ที่ตัวเองสนุกออกมาได้ค่อยเขียนต่อค่ะ ไม่อยากรีบกับงาน อยากให้ออกมาดีจริงๆ ก็เลยยังบอกไม่ได้เลยค่ะ ว่าจะเสร็จช่วงไหน และได้ออกประมาณเมื่อไหร่น่ะค่ะ แหะๆ
22. คุณแอนคิดอย่างบ้างคะกับแวดวงนิยายในตอนนี้ที่นิยายที่ได้รับความนิยมกลับเป็นนิยายที่ขายความหวือหวา แต่งานที่ต้องใช้เวลาในการแต่งและมีความงดงามทางภาษาหลายๆเล่มกลับไม่เป็นที่นิยม คุณแอนเคยรู้สึกท้อใจบ้างไหมค่ะ เพราะอย่างตัวฟีน่าเองกว่าจะรู้จักวินธัยก็นานหลายปีเชียวค่ะที่นิยายได้ตีพิมพ์แล้ว และหาซื้อยากมาก ต้องไปหาซื้อตามร้านมือสองอีก เหมือนกันธาราน้ำผึ้งที่สภาพอย่างที่คุณแอนเห็นว่าเก่ามาก
ตอนแรกก็มีบ้างนะคะ คิดว่าทำไมคนเค้าไม่ชอบอ่านแนวนี้(เหมือนเรา)หว่า... แต่พอมาตอนนี้เข้าใจแล้วค่ะว่า ความชอบของแต่ละคนก็เป็นความหลากหลายที่เราบังคับไม่ได้ ตัวเราเอง ถึงจะชอบงานวรรณคดีที่ใช้ภาษาสวยๆ แบบโบราณ แต่ก็ไม่ได้อ่านอย่างนั้นตลอดเวลา ส่วนมากตอนว่างๆ ก็อ่านนิยายเบาๆ หวานๆ เยอะเหมือนกัน มันแล้วแต่โอกาสที่จะเลือกอ่าน ในเวลาที่คนทำงานอยากพักผ่อนสมอง เค้าก็คงอยากอ่านอะไรที่อ่านได้ง่าย ทำให้สบายใจ ไม่ต้องใช้ความพยายามเปิดพจนานุกรมหาคำศัพท์อีก แต่บางคนอ่านมามากแล้ว นานๆ ทีอยากจะซึมซับอะไรที่ไพเราะลึกซึ้งขึ้นบ้าง พัฒนาภาษาไทยของตัวเอง คล้ายกับไปเข้าคอร์สเรียนภาษาไปด้วยในตัว ก็อาจจะหยิบนิยายอย่าง วินธัย ขึ้นมาอ่าน ดังนั้นก็ไม่ท้อใจหรอกค่ะ เราทำอะไรที่เราชอบ ทำแล้วมีความสุข หวังน้อยๆ แค่ตัวเรายิ้มได้ก่อนแค่นี้ แล้วก็คอยดีใจที่มีคนมาช่วยยิ้มช่วยอ่านงานของเราทีละคนๆ อย่างคุณฟีน่าไงคะ ทุกครั้งที่บอกว่า ชอบหนังสือของแอน แอนก็ดีใจมากและคิดว่าได้รางวัลมากเหลือเกินแล้วค่ะ





ชั้นหนังสือประจำบ้านของคุณศรีสุรางค์ค่ะ
23. จากที่เคยเข้าไปอ่านบล็อกของคุณแอนนอกจากเรื่องราวทั่วไปที่คุณแอนอยากจะเล่าสู่ คุณแอนก็ถือว่าเป็นนักอ่านอีกคนหนึ่งแนวหนังสือแบบไหนที่คุณแอนอ่านชอบอ่านค่ะ และนอกจากหนังสือแล้วชอบทำอะไรอีกบ้างค่ะ
ชอบหลายแนวค่ะ หลักๆ ก็คงจะเป็นนิยายรัก ต่อมาก็นิยายต่างประเทศหรือนิยายแปล ธรรมะ โคลงกลอน หนังสือฮาวทูอ่านน้อยหน่อยค่ะ แต่เล่มดีๆ ก็ชอบเหมือนกัน นอกจากอ่านหนังสือแล้ว ไม่ค่อยได้ทำอะไร ทำอาหารเป็นอยู่ไม่กี่อย่างเองค่ะ ส่วนมากก็จะเขียนหนังสือ กับฟังเพลง
24. ความสุขของคนอ่านคือได้อ่านหนังสือที่สนุก แล้วความสุขของคนเขียนอย่างคุณแอนละค่ะ คืออะไร
ความสุขของคนเขียนก็อยู่ตรง สนุกที่ได้คิดได้เขียนนี่เองค่ะ บางครั้งเวลาจินตนาการ มันเหมือนเราสร้างหนังขึ้นมาดูเองในใจก่อน เรื่องที่สนุกที่ชอบ ลงตัว ก็เขียนออกมา บางทีตอนวางโครงเอาไว้อย่างหนึ่ง แต่ตอนเขียนจริงมันพลิกแพลงเพิ่มเติมขึ้นมาได้อีกด้วย เรื่องที่ตัวเองขียนนี่ ถ้ายังเขียนไม่จบ คนเขียนเองก็ยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปเหมือนกัน คิดไปก็สนุกดีค่ะ ยิ่งพอเขียนเสร็จแล้ว มีคนอ่านบอกว่าชอบก็ยิ่งชื่นใจขึ้นไปอีก
25. คุณแอนชอบงานของตัวเองเล่มไหนที่สุด และคิดว่าเล่มไหนเป็นเล่มที่คุณแอนอยากให้นักอ่านที่อยากลองอ่านงานคุณแอนได้ลองอ่านเป็นเล่มแรกค่ะ
ชอบที่สุดก็คงเป็นวินธัยมั้งคะ แต่ถ้าอยากอ่านเป็นเล่มแรกตอนนี้ก็ขอแนะนำดาราแดงค่ะ กำลังดี ไม่ยาก แต่หากไม่ชอบแนวหิมพานต์ก็ขอแนะนำ เล่ห์ร้ายนิยายรักค่ะ
26. ท้ายสุดนี้ คุณแอนอยากจะฝากอะไรถึงคนอ่านบ้างค่ะ
ขอบคุณคนอ่านทุกๆ ท่านที่ช่วยอ่านเรื่องที่แอนเขียนนะคะ หวังอยากให้คนอ่าน มีความสุขในการอ่านนิยายที่เขียนขึ้นมาจริงๆ ค่ะ แล้วก็ได้อะไรเล็กๆ น้อยๆ กลับไปบ้าง อาจจะเป็นแนวคิดเล็กๆ หรือเกร็ดธรรมะบ้าง เท่านี้ก็ดีใจมากแล้วค่ะ แล้วก็ท้ายที่สุด ได้โปรดติดตามงานเล่มต่อไปด้วยนะคะ ^ ^




มุมมองสวยๆ ที่คุณศรีสุรางค์ส่งมาให้ค่ะ วิวแถวบ้านเธอสวยแบบนี้ มิน่างานเลยอ่านสบายๆค่ะ
นอกจากฟีน่าจะขอบคุณในความน่ารักที่เปิดโอกาสให้ฟีน่าได้ค้นหาระหว่างบรรทัดของคุณแอน และเหมือนที่ฟีน่าบอกไปข้างต้น ประกายเจิดจรัสแห่งเพชร แม้ตกอยู่ในกองฝุ่นก็มิอาจข่มแสงแห่งความงามได้ หลายปีที่ผลงานของเธอได้ออกมาสู่สายตาของคนอ่าน แม้จะไม่ได้หวือหวาเป็นที่โจษชานไปทุกแห่งแต่แรก หากต้องขอบคุณความพยายามและอดทนในการสร้างสรรค์งานคุณภาพ งานที่เขียนด้วยหัวใจแห่งความรักในหนังสือ ทุกวันนี้ ศรีสุรางค์นับได้ว่าเป็นนักเขียนที่คุ้มค่าและควรค่าต่อการครอบครองและเสพย์อักษร เพื่อเป็นอาหารหล่อเลี้ยงใจได้เป็นอย่างดี
สรรอักษรเสกซึ้ง สร้างสรรค์ ร้อยรสกระหวัดพัน พจน์พร้อง เพราะใจรักจำนรรจ์ วจีจาก ใจเอย หวังเอ่ยคำโคลงคล้อง ดุจคล้องใจเธอ เสกสรรค์อักษรซึ้ง ด้วยใจจึงเอ่ยจำนรรจ์ เพราะใจรักดั่งฝัน ร้อยรสพันผูกคำกลอน ใครใคร่อ่านคำอ่าน ใครใคร่จารจำอักษร หากชอบก็ขอวอน ให้ยามจรจำติดใจ มิชอบก็ไม่ว่า ร้อยวาจาเผยแผ่ไป บทกวีดั่งน้ำใจ มอบโดยไม่หวังตอบแทน (สรร ไม่มี ค์ แปลว่า เลือก คัด สรรค์ มี ค์ แปลว่า สร้าง แต่งค่ะ)
โคลงสี่สุภาพ+กาพย์ยานี 11 โดย ศรีสุรางค์ มิถุนายน 2552
ยังค่ะ ยังไม่จบง่ายๆ ในเมื่อได้สัมภาษณ์พิเศษกันทังที่ ฟีน่ายังมีความพิเศษมอบให้ค่ะ กับNever ending ตอนพิเศษน่ารักๆ ที่คุณแอน เขียนมามอบให้แฟนๆ นิยายคุณแอนค่ะ หาอ่านที่นี้เท่านั้นค่ะ กดไปตามลิงค์ข้างล่างเลยนะคะ
Never endging by ศรีสุรางค์
Create Date : 20 กันยายน 2553 |
Last Update : 20 กันยายน 2553 16:35:47 น. |
|
45 comments
|
Counter : 4802 Pageviews. |
 |
|