วรรธนวรรณ คือ วรรณวรรธน์ : บทสัมภาษณ์เจ้าป้า
วรรธนวรรณ คือ วรรณวรรธน์
ระหว่างบรรทัด ระหว่างหัวใจของนักเขียนและนักอ่าน คอลัมน์เล็กๆที่เปิดตัวอย่างฉุกละหุกเพราะนั่งคิด นอนคิดข้อมูลจะเขียนอีกคอลัมน์ไม่ออก แต่กลับไปปิ๊งไอเดียว่าในเมื่อ Read it @ Watcafe เป็นเสมือนนิตยสารออนไลน์สำหรับนักอ่านทั้งหลาย ทำไมเราไม่ลองทำคอลัมน์สัมภาษณ์นักเขียนขึ้นมาบ้าง ความคิดที่บ่มเพาะได้ในเวลา ตี3 อดรนทนเก็บไว้จนถึงยามบ่าย ถึงได้ส่งเสียงถามไถ่ บก.พี่เบนว่าเข้าท่าไหม และเมื่อยินคำตอบว่า โอเคเลยฟีน่า ในหัวก็คิดๆๆๆๆ ว่าใครบ้างหนอที่เราอยากทำความรู้จักเขาให้มากขึ้น แค่คิดรายชื่อนักเขียนที่เราชื่นชอบก็หลั่งไหลมาไม่ขาดสายจนไม่คิดว่าช่างมีนักเขียนมากฝีมือที่เรายังอยากรู้จักเขาให้มากขึ้นมากมายขนาดนี้เชียวหรือ
ระหว่างบรรทัดจะพานักอ่านทั้งหลาย ได้มารู้จักกับมุมเล็กๆน้อยๆที่แอบซ่อนไว้ระหว่างบรรทัดที่เราคาดไม่ถึง ฟีน่าเชื่อว่างานเขียนของแต่ละคนจะสะท้อนความเป็นตัวตนของนักเขียนคนนั้นๆเสมอค่ะ ถ้าเราอยากรู้จักนักเขียนในดวงใจของคุณว่าเป็นอย่างไรก็ให้รับรู้และเข้าใจเขาผ่านผลงาน แต่ถ้าอยากให้ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น ระหว่างบรรทัดพร้อมจะพาคุณไปค้นหาสิ่งที่เรามองไม่เห็นหรือมองข้ามไปค่ะ
ฉบับปฐมฤกษ์นี้ แน่นอนค่ะ เพราะนี้คือ Read it @ Watcafe แหล่งรวมแฟนนิยายของเจ้าป้าหรือวรรณวรรธน์ นักเขียนมากฝีมือที่ฝากผลงานมาแล้วถึง 8 เรื่องด้วยกัน ก่อนจะไปรู้จักระหว่างบรรทัดของเจ้าป้า มารู้จักตัวตนเจ้าป้าแบบคร่าวๆก่อนดีกว่านะคะ
วรรธนวรรณ จันทรจนา คือชื่อจริงของเจ้าป้าวรรณวรรธน์ ของพวกเรา คงพอจะรู้แล้วใช่ไหมคะว่านามปากกาของเจ้าป้ามาจากไหนกัน เจ้าป้าได้เริ่มต้นเข้าสู่เส้นทางนักเขียนด้วยผลงานเล่มแรกคือ อัสวัด ราชันย์แห่งความมืด จากผลงานที่โดดเด่น ด้วยความสนุก หวานซึ้งแต่เต็มไปด้วยข้อมูล แปลกใหม่ที่ผสมผลานกันได้อย่างเหมาะเจาะจนไม่หนักเกินไป จึงไม่น่าแปลกใจว่าเพียงไม่กี่ปีชื่อของวรรณวรรธน์ได้กลายเป็นนักเขียนที่ทุกคนต่างรอคอยผลงาน การันตีได้จากที่แฟนหนังสือเฝ้าเพียรถามถึงผลงานเล่มใหม่อยู่เสมอ รวมทั้งจำนวนของแฟนๆที่มารอขอลายเซ็นล้นหลาม
ในฐานะคนสัมภาษณ์ที่เพิ่งได้มาอ่านงานของเจ้าป้าเมื่อไม่กี่ปี จากการแนะนำของรุ่นน้องที่บอกว่าสนุกมากจนเราหยิบยืมมาอ่าน จันทราอุษาคเนย์จึงเป็นนิยายเล่มแรกที่ฟีน่าได้พิสูจน์คำบอกเล่าของรุ่นน้องว่าเป็นจริงแค่ไหน การบ้านิยายเล่มนี้อยู่ 1 เดือนเต็มๆ และนิยายเล่มนี้เองก็ทำให้เจ้าป้ากลายเป็นนักเขียนอันดับหนึ่งในใจฟีน่าได้อย่างไม่ยากเย็นเลยค่ะ และก็เป็นจุดทำให้ได้เริ่มรู้จักกับตัวคนของคนเขียนมากขึ้น แต่ก็ยังไม่หมด เจ้าป้ายังมีอะไรที่เรายังอยากรู้อีกมากมาย ตามฟีน่ามาซิคะ ฟีน่าจะพาทุกท่านไปรู้จักกับเจ้าป้าให้ดีมากยิ่งขึ้นพร้อมๆกัน
1.แฟนนิยายส่วนใหญ่ของเจ้าป้าทราบดีแล้วว่านามปากกาว่าวรรณวรรธน์มาจากชื่อจริงของเจ้าป้า แต่ไม่ทราบความหมายค่ะ วรรณวรรธน์ และวรรธนวรรณ แปลว่าอะไรคะ
ชื่อพี่จริงๆแล้ว แปลว่า ผู้มีผิวอันสวยงามค่ะ "วรรณ" คือ ผิว "วรรธน์" คือ เจริญ แม้จะสลับพยางค์กันไปมาระหว่างชื่อจริงและนามปากกา ก็คงความเดิมค่ะ
2.มีหลายคนที่สงสัยค่ะเจ้าป้า ว่าทำไมเจ้าป้าถึงแทนตัวเองว่าเจ้าป้าคะ
สารภาพว่าตอนแรกไม่คิดอะไร เพราะว่า พี่เล่นในเนต แล้วคราวนี้ช่วงแรกที่เล่นอยู่กับน้องๆที่แวะมาอ่าน ซึ่งคนเล่นในเนตส่วนใหญ่จะเป็นเด็กๆ อายุห่างจากพี่คราวลูกคราวหลาน ครั้นจะเรียกตัวเองว่า ป้า หรือ น้า ......อ่านแล้วมันก็ไม่ค่อยสะตอ เท่าไหร่ พี่ก็เลยเรียกตัวเองว่า "เจ้าป้า" ฟังดูสะตอ นิดๆ เหมือนจะไฮโซ แต่ก็ไม่ไฮจริง... มันเป็นคำเรียกที่ทำให้คนอ่านกับคนเขียน มีช่องว่างน้อยลง เหมือนเราได้เป็นเพื่อนๆพี่ๆน้องกัน ก็เลยใช้เรื่อยมาค่ะ
3. อะไรคือแรงบันดาลใจให้เจ้าป้าหันมาเขียนนิยายคะ
เริ่มจากอัสวัดค่ะ ที่พี่เขียนจบเรื่องแรก แล้วทำให้เรามีพันธะเกิดขึ้นเรื่อยมา ทำให้เรารู้สึกว่ายังมีอะไรอีกมากมายที่อยากเขียนอยากเล่าให้คนได้อ่าน....ก็เลยทำให้อยากทำงานตรงนี้ต่อไปค่ะ
4.ทราบกันดีว่าเจ้าป้าทำงานที่ศาลปกครอง ซึ่งมีความรับผิดชอบในงานมากอยู่แล้ว รวมทั้งต้องมีครอบครัวให้ดูแล ไม่ทราบว่าเจ้าป้าแบ่งเวลาอย่างไรบ้างคะ
พี่เองแบ่งสำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้างมาตลอดค่ะ ขึ้นอยู่กับภาระงานประจำด้วย ช่วงหลังงานยุ่งๆ ก็เลยทำให้สมาธิกับงานนิยายก็น้อยลง ก็พยายามที่จะมีวินัยกับการทำงานมากขึ้น จะได้ออกผลงานมาให้อ่านกันต่อเนื่องค่ะ
5.ในเมื่อเวบบอร์ดที่เรามาสิงสถิตย์กันได้ชื่อว่าร้านกาแฟ เจ้าป้าคิดว่าตัวเองเปรียบเหมือนกาแฟอะไรคะ
กาแฟเป็นเครื่องดื่มเพื่อชีวิตนะคะ กาแฟของเจ้าป้าร้านกาแฟ...ก็เหมือนคนเราที่ต้องการแรงบันดาลใจ แรงบันดาลใจที่อาจะเกิดขึ้นนช่วงเวลาที่เราผ่อนคลาย หรือมีสารกระตุ้นบางอย่างที่ดึงดูดความสนใจของเรา มันจะแปรเปลี่ยนเป็นพลังงาน ให้เรารู้สึกมีชีวิตชีวา และอยากใช้ชีวิตต่อไป...ใช้ชีวิตอย่างมีค่า มีความสุข...หากเจ้าป้าจะเป็นกาแฟสักถ้วย ก็ขอเป็น คาปูชิโน่ ละค่ะ กว่าจะถึงเอกซเปรสโซ่ขมๆ ต้องผ่านครีม และผงโกโก้ นุ่มลิ้น หอมหวาน.....อย่างมีชั้นเชิง ก่อนจะพบตัวจริง(ที่แสนขม 555)
6.ในชีวิตนักเขียนหลายคนมีความรู้สึกต่างกันไปในเวลาที่หนังสือเล่มแรกออกมา สำหรับเจ้าป้าแล้วรู้สึกอย่างไรบ้างคะที่หนังสือของตัวเองได้รับการตีพิมพ์ และความรู้สึกที่ได้ไปแจกลายเซ็นครั้งแรก ได้พบปะคนอ่านตัวจริง
....ความจริง คำถามนี้พี่ตอบไม่ถูกหรอกค่ะ เพราะมันแลกด้วยน้ำตาหลายลิตร... จะว่าไป วรรณวรรธน์ เป็นคนอ่อนไหว (ทั้งที่หุ่นไม่ให้) พี่นั่งร้องไห้มาตั้งแต่รู้ว่าหนังสือตัวเองจะได้พิมพ์ ตั้งแต่วันที่ไปเซ็นสัญญาให้ อัสวัดกับ ณ บ้านฯ วันที่หนังสือ อัสวัด วางแผงเล่มที่ 1....วันที่ยืนเซ็นเล่มแรกหน้าบู้ท ณ บ้านฯ ตัวสั่น ขาสั่น แล้วก็ยืนปากคอสั่นพยายามจะเล่าเรื่องนิยายของตัวเองให้คนสนใจรับฟัง เผื่อเขาจะตัดสินใจซื้อไปอ่าน.......มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก วันที่เขาบอกว่าหนังสือขายหมด มันวูบๆ เหมือนกับว่า เออ ..มีคนอ่านงานเราจริงๆ....เขาอ่านจริงๆ ขอบคุณ ๆๆ แล้วก็ร้องไห้อีก...55555 บอกแล้ว ว่าเจ้าป้า เป็นนักเขียนเจ้าน้ำตา
7.เจ้าป้าต้องสร้างแรงบันดาลในการเขียนนิยายแต่ละเรื่องก่อนหรือเปล่าคะ หรือว่ามีพล็อตต่างๆอยู่แล้วจึงได้หยิบขึ้นมาเขียนเป็นนิยายสักเรื่องคะ
เริ่มจากข้อมูลก่อนทุกครั้งค่ะ แล้วค่อยๆผูกเรื่องออกมา....เพราะคิดว่า ลักษณะการทำงานของตัวเองจะไม่เหมือนคนอื่ นที่เขาอาจจะสร้างเรื่องก่อน แล้วเอาข้อมูลเข้าไปใส่......อาจเป็นเพราะว่า กลัวว่าคนอ่าน อ่านแล้วไม่ได้อะไร......พี่ไม่อยากให้นิยายไทย วนเวียนอยู่แค่รักๆใคร่ๆ ตบตีชิงดีชิงเด่น....มันไม่ได้อะไร พี่มองไปที่งานนิยายต่างประเทศ ทั้ง แดน บราวน์ สตีเฟ่น คิงส์...เขาทำงานแบบแลกชีวิต แลกข้อมูล แล้วกลับมามองดูงานคนไทย ก็คิดว่าจะไปถึงขนาดนั้นไม่ได้เชียวหรือ หรือว่าเมืองไทยไม่มีข้อมูลให้ทำ หรือไม่มีไอเดียให้ทำได้ขนาดนั้น ตรงนี้ ก็เลยทำให้คิดว่า หากจะเขียนอะไรออกมา...คนอ่านต้องได้ เป็นกำไร ไม่ใช่ คิดเอาแต่เงินค่าต้นฉบับ ยัดเยียดความลุ่มหลง หรืออบายมุขใส่เต็มเรื่องแบบนั้น พี่อยากให้คนอ่านได้มากกว่านั้น อยากให้คนหันมาอ่านงานนิยายของคนไทยในแง่มุมที่ไม่แตกต่างกับการหยิบอ่านงานนิยายของต่างประเทศค่ะ
8.แน่นอนว่าการเขียนนิยายแต่ละเล่มย่อมมีอุปสรรคต่างๆเป็นของธรรมดา แล้วอุปสรรคในการเขียนสำหรับเจ้าป้าคืออะไรคะ และผ่านอุปสรรคนั้นมาได้อย่างไร รวมทั้งตอนเจ้าป้าคิดอะไรไม่ออก หรือต่อเรื่องไม่ถูก เจ้าป้าทำยังไงคะ
บางที มันเป็นความเหนื่อยค่ะ ระยะหลังร่างกายมันน๊อคมาก เพราะเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น เพราะว่าต้องหา source มาเพิ่ม ต้องค้นคว้าศึกษาอะไรอยู่ตลอดเวลา การเขียนหนังสือแม้ว่าเหมือนโรงงาน ที่ต้องมีข้อมูล แล้วนำไปใส่เครื่อง แต่ก็ไม่ใช่ปั่นออกมาเป็นผลงานได้ทันที ...มันไม่ใช่อย่างนั้น ที่จะหวังว่าได้ข้อมูลมาหลับตาพลิ้วนิ้วขนคีย์แล้วจะเขียนจบ...มันต่างจากโรงงานตรงนี้.....เพราะข้อมูลที่ได้มา รวมๆ ปั่นๆในโรงงานหรือสมองของเราแล้ว ยังต้องทิ้งเวลาช่วงหนึ่ง ที่เป็นระยะเวลาการฟักตัวของข้อมูลด้วยเช่นกัน ถึงจะกลั่นถ่ายออกมาเป็นตัวหนังสือได้ค่ะ เวลาที่เขียนไม่ออก ก็คือเวลาที่ ข้อมูลมันยังหมักไม่ได้ที่ เท่านั้นเอง
9. อยากรู้ว่า บก.ของ ณ บ้านฯ เคยขอให้เจ้าป้าเปลี่ยนแปลงเรื่องราวในหนังสือบ้างไหมคะ เพราะบางทีนักเขียนใหม่ๆ มักบอกว่า ตอนแรกเขียนไว้อีกแบบแล้วต่อมาถูก บก.สั่งเปลี่ยน เรื่องเลยไม่สนุก เลยอยากทราบว่าเจ้าป้าเคยประสบปัญหาแบบนี้บ้างไหมคะ
บก. ณ บ้าน เป็น บก. ที่เจ๋งสุดๆในบรรณพิภพ แล้วค่ะ หากท่านฟันธงว่าต้องเปลี่ยน นั่นก็คือสิ่งที่คนเขียนงานพึงพิจารณาค่ะ อีกประการหนึ่งในการทำงานก็คือ เราต้องมีความเคารพกัน เมื่อมีคนอ่านบอกว่างานไม่สนุก งานไม่ดี แล้วจะไปโบ้ยเป็นฝีมือคนอื่นก็ใช่ที่ อีกอย่างพี่คิดว่างานเขียนเป็นความรับผิดชอบของคนเขียน เราต้องรับผิดชอบ นามปากกานั้นเป็นของเรา เมื่อทำอะไรลงไปแล้วต้องกล้ารับผิดชอบค่ะ ความรับผิดชอบตรงนี้ ถามว่า เวลาเขาชม เรารับได้ แต่เวลาเขาว่าติติงมา จะไปหลบและผลักให้คนอื่นเขารับทำไม อยากเป็นคนเขียนงานต้องยอมรับได้ทั้งดอกไม้และก้อนอิฐค่ะ กล้าทำต้องกล้ารับ ...ทำตามหน้าที่เราไป บก. ก็ทำตามหน้าที่ของท่าน ถ้าอยู่กลางที่แจ้งยังไงก็ต้องมีเสียงทั้งสองอย่างเข้าหูอยู่แล้ว ดังนั้น วิธีการที่ดีที่สุดในการรับเสียงทั้งสองอย่าง คือต้องทำงานให้ดีที่สุด แล้วถ้า บก. มีการติติงส่วนไหนมา พึงรับไว้พิจารณา อย่างน้อยการที่มีคนติงานของเราก่อนออกสู่สายตาคนอื่น ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราได้ทบทวนงานนั้นอย่างรอบคอบด้วยค่ะ
10. เจ้าป้าคิดว่าผลงานเรื่องไหนของเจ้าป้าที่คิดว่าเขียนยากที่สุดคะ ด้วยเหตุผลอะไรคะ
เรื่องนี้แหละ...ยากจริงๆ อขิทโร...เฮ้อ.... และที่มันยาก เพราะประจวบเหมาะกับช่วงเวลาของพี่ด้วยค่ะ เลยทำให้ไม่มีเวลาดูแลเท่าที่ควร อาจจะเพราะโดนอะไรมาเยอะในช่วงทรายนี้ยังมีรัก (อยากทราบว่าเจ้าป้าโดนอะไรไปบ้างอ่านจากเบื้องหลังทรายนี้ยังมีรักได้นะคะ) มันเลยกลัวไปหมดเลยเนี่ยเวลาจะเขียนถึงหรือเกี่ยวข้องกับอะไร แต่ทำเป็นใจดีสู้เสือ พยายามเขียนต่อให้จบ ถามว่าเขียนยากตรงไหน เขียนยากตรงที่ว่า เรื่อง ตั้งไว้ใหญ่มาก ประมาณบิ๊กแบง...ก็เลยคิดมากหน่อยค่ะ
11 .ตอนนี้ต้องบอกว่าเจ้าป้าเป็นนักเขียนที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง รู้สึกกดดันไหมคะที่กลายป็นนักเขียนที่โดนคาดหวังไปแล้วจากคนอ่าน ว่าทุกเล่มที่ออกมาจะต้องดีกว่าเล่มก่อนหน้านั้น
แน่นอนค่ะ อาจเป็นเพราะพี่แคร์คนอ่านมากเกินไปก็ได้ มันเป็นข้อเสียของพี่จริงๆ ทำให้งานพี่ออกยาก แล้วเขียนยากขึ้นในทุกชิ้น แต่หากคนอ่านยังมีความหวังกับพี่...ยังให้โอกาสพี่อยู่ พี่ก็ยังอยากเขียนงานต่อไปให้ดียิ่งๆขึ้นไปค่ะ ในส่วนที่กดดัน ก็เป็นสิ่งที่ดี ที่ทำให้เรา อยากทำงานที่มีคุณภาพมากขึ้นไปด้วยค่ะ
12.เจ้าป้าคิดว่าอะไรคือความเป็นเอกลักษณ์ของความเป็นงานของวรรณวรรธน์คะ ที่ทำให้งานของเจ้าป้าไม่เหมือนกับงานเขียนของนักเขียนท่านอื่นคะ
...พี่ก็ไม่คิดว่างานของพี่แตกต่างจากคนอื่นนะคะ...งานพี่พอวางบนแผง ก็คือนิยายเหมือนๆกับคนอื่นทั่วไป....แต่สิ่งหนึ่งที่พี่คิดกับตัวเองตลอดเวลาคือ พี่ "ต้องให้" คนอ่าน ของพี่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ข้อมูล หรือความคิดอะไรสักนิดสักหน่อย ติดปลายปกนิยายพี่แต่ละเล่ม.....แต่สิ่งหนึ่งก่อนที่จะเขียนออกมา ในแต่ละเรื่อง....พี่อ่านมากค่ะ ทั้งอ่านมาก ทั้งคิดมาก และต้องเขย่าๆ ก่อนจะกลั่นออกมาแต่ละเรื่อง ราวกับมันเกิดจริงๆ ฝังตัวเองไปกับเรื่องนั้นๆ พี่เหมือนคนบ้าคนหนึ่งที่แปรเปลี่ยนสภาพไปตามข้อมูลที่เข้ามาในตัวเอง....และมีแต่ความอยากรู้ไม่สิ้นสุด และชอบค้นหาอะไรแปลกๆใหม่ๆอยู่เสมอ ตรงนี้แหละที่ทำให้พี่ชอบงานที่พี่ทำอยู่
13.ผลงานของเจ้าป้าส่วนใหญ่จะเป็นแนวนิยายรัก เจ้าป้ายังอยากเขียนหนังสือแนวไหนอีกหรือเปล่า
พี่เองก็ทำบทความอยู่นะ เป็นพวกงาน Non -fiction ปีนี้ก็จะมีออก 2 เล่มของที่ทำงาน แล้วก็ยังมี งานวิจัย และบทความอีก ไม่รวม Speech งานด้านวรรณกรรมพิธีการต่างๆ ซึ่งก็เป็นงานประจำที่ต้องทำ....ยังไงก็เขียนอยู่ค่ะ งานนิยาย นี่ ถือว่าเป็นงานอดิเรก ที่คงได้เขียนไปเรื่อยๆค่ะ ส่วนจะเป็นประเภทนิยายรักหรือนิยายประเภทไหน พี่ว่ามันขึ้นอยู่กับตัวเองมากกว่า พี่เองก็เริ่มจับงานมาเยอะ ทั้งงานเรื่องสั้น งานบทละคร ก่อนจะมาเป็นงานนิยาย ดังนั้น ก็คิดว่า มันขึ้นอยู่กับโอกาสมากกว่าค่ะ...ว่าพี่จะมีโอกาส หรือมีใครให้โอกาสพี่ตรงนั้นบ้างไหมค่ะ
14.ถ้ามีผู้จัดละครหรือหนังมาขอติดต่อซื้อนิยายเจ้าป้าไปทำ เจ้าป้ามีอะไรเป็นหลักเกณฑ์ในการพิจารณาบ้างค่ะ และสมมุติว่าให้เจ้าป้าเลือกนิยายของตัวเองมาอยู่ในรูปแบบของหนังหรือละคร เจ้าป้าอยากจะให้เรื่องไหนที่เจ้าป้าอยากเห็นคะ
พี่ไม่มีหลักเกณฑ์อะไรนะคะ....แต่กระนั้น ทุกวันนี้ งานพี่ก็ยังขายไม่ออกค่ะ 55555 พี่คิดว่าเมื่อเขามาDue กับพี่ในขั้นตอนซื้อขาย...บรรดาผู้จัด เขาคงรู้ว่า นิยายพี่ไม่ได้เขียนขึ้นมาเพื่อทำละคร.......ส่วนตัวพี่เองก็ไม่ได้อยากให้งานที่กลายเป็นละครมันดังแค่สองสามเดือน พอมันออนแอร์จบนิยายพี่ก็หมดความหมายพร้อมละครสิบกว่าตอนของเขา นิยายก็คือนิยาย มันสมบูรณ์อยู่ในรูปเล่ม จะดีแค่ไหน ก็ดีได้เท่าที่มีคนอ่าน......ไม่ใช่นิยายเรื่องนี้ดีเพราะไปเป็นละครฉายช่วงเวลาสปอนเซ่อร์จักกะแร้ขาว.........ต่อให้นิยายพี่ขายทำละครไม่ได้ ก็เอามันเผาไปกับตัวพี่ก็ยังได้ ถ้าคนทำละครคิดว่าจะเอางานของพี่ไปทำแบบสุกเอาเผากิน หรือซื้อไปพร้อมเงื่อนไข อย่างงั้นอย่างงี้อย่างโง้น.......ก็อย่าเอาไปทำเลย........เพราะถึงเขาไม่ซื้องานของพี่ ก็มีงานชิ้นอื่นของคนเขียนอื่นๆที่น่าซื้อไปทำละครอยู่แล้ว ขอให้ปล่อยพระเอกของพี่ ทิ้งอยู่กับพี่ และความฝันของคนอ่าน อย่างนี้ดีกว่าค่ะ
15.เจ้าป้ารู้สึกท้อไหมค่ะ เวลาเจอคำวิจารณ์ที่แรงๆ และมีวิธีรับมือกับคำวิจารณ์แรงๆแบบนั้นอย่างไรคะ
การเป็นนักเขียนนะคะ อยู่เฉยๆก็ท้อแล้วค่ะ.... ไม่ต้องรอคนมาวิจารณ์หรอก ดังนั้นพี่จะเห็นใจมาก สำหรับนักเขียนคนไหนที่ถูกกล่าวหา หรือถูกตำหนิแรงๆออกอากาศ เพราะพี่คิดว่าอย่างน้อย เขาก็ตั้งใจทำงานแล้วระดับหนึ่ง การวิพากษ์วิจารณ์ในขอบเขตที่เหมาะสม เหมาะสมด้วยถ้อยคำและจังหวะ จะเปิดโอกาสให้คนเขียนงานพัฒนาฝีมือต่อไปได้....แต่ถ้าวิจารณ์ไม่ถูกช่อง ก็เหมือนฆ่าเขาทางอ้อม...ซึ่งมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยกับคนวิจารณ์ คนเขียนเองตายไป ก็มีคนใหม่เกิดขึ้น...แต่ถามว่า มันเลวร้าย หรือโหดร้ายไปไหมกับการที่เราจะฆ่าใครหรือทำร้ายใใครสักคนที่เขาอยากก้าวมาสู่บรรณพิภพในฐานะนักเขียน.... พี่เคยผ่านมากับทุกอย่าง ถูกด่าทอ ว่าร้าย...จนถึงแช่งชักหักกระดูกค่ะ ...พี่เอง ถือว่า เราเขียนหนังสือ มันจบแล้วเมื่อตีพิมพ์ เขียนตอบโต้ในเนต หรือที่ไหน ก็เหมือนไปขยายเรื่อง ไม่มีประโยชน์ เอาเวลาและสมองไปเขียนเรื่องใหม่ดีกว่า คนตัดสินคือคนอ่าน เขาจะต้มยำทำแกงหรือเมตตาเราอยู่ที่เขาตัดสินใจทั้งสิ้น ทุกวันนี้พี่เขียนหนังสือ ก็เหมือนยอมพลีตัวเองออกมาให้คนอ่านโขกสับอยู่แล้ว...ก็สุดแท้แต่คนอ่านจะปรานีค่ะ
16 .เจ้าป้าว่าแวดวงนิยายในเวลานี้เป็นอย่างไรบ้างค่ะ
พี่ว่า พี่เป็นคนมองโลกในแง่ร้ายนะ....เพราะพี่รู้สึกว่า ช่วงนี้มัน เป็นช่วงเวลาที่ สนพ. หลายๆแห่งพยายามเอาการตลาดนำหน้าคุณภาพงาน ทำให้อะไรหลายๆอย่าง มันดู ....เกินจริงไปสักนิด ไม่ว่าจะเป็น วิธีการขาย การใช้สื่อต่างๆของการขายงาน เทคนิคการตลาด ฯลฯ ...ซึ่งคนที่บริโภค ที่ตัดสินใจซื้อหนังสือยากอยู่แล้ว ก็หาซื้อตามแรงเชียร์ ก็เลยกลายเป็นว่าได้งานอะไรไปอ่านกันก็ไม่รู้....ที่ร้ายกว่านั้น คือเอา การตลาดมาบีบกับคนเขียน.....อันนี้เป็นการฆ่านักเขียนทางอ้อมเลยค่ะ เพราะทำให้นอกจากจะไม่ได้งานที่มีคุณภาพแล้ว ยิ่งทำให้คนอ่านขาดความเชื่อถือในนามปากกานั้นๆ นักเขียนก็จะไม่เหลือที่ยืนในวงการหนังสือ ล้มหายตายจากไปในที่สุด และหนำซ้ำคนอ่านก็พาลเลิกอ่านหนังสือไป...อันนี้ก็ยิ่งส่งผลกระทบที่เลวร้ายกว่า พี่ว่าตลาดหนังสือมันน่าจะทำแบบอื่นให้งานมีคุณภาพกว่านี้....เช่น การจัดประกวด การจัดรางวัล การจัดสัมมนางานเขียนต่างๆ สิ่งเหล่านี้จะเพิ่มพูนคุณภาพ และทำให้คนสนใจที่จะมาอ่านงาน และผลิตงานมีคุณภาพเข้ามาในตลาด เพิ่มทางเลือกที่มีคุณภาพให้กับคนอ่าน จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดค่ะ
17.เจ้าป้าคิดยังไงคะ ที่นักเขียนสมัยใหม่เรียกร้องความสนใจแปลกๆ อย่างเช่นเน้นขายฉากเรทๆ ทั้งหลายคะ
อะไรที่มันเกินไป...ก็คงไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสมทั้งนั้นละค่ะ ....พี่คงบอกแทนคนอื่นไม่ได้ แต่กับตัวพี่เองพี่รู้ว่าพี่เขียนเพื่ออะไร พี่ว่า...พี่เป็นคนทำงานเพื่อชีวิตนะคะ คือเพื่อชีวิตตัวพี่และลูกของพี่เอง 5555 สารภาพเลยค่ะว่ารายได้จากการงานเขียนทุกวันนี้ก็มาเป็นค่าอาหารของลูกพี่........ พี่เองก็อยากให้งานแต่ละชิ้นที่เขียนขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เพื่อที่ สนพ. อาจจะเห็นใจ เพิ่มยอดพิมพ์ให้มากขึ้น หรือ มีเปอร์เซ็นต์สูงกว่าเดิม ถ้างานพี่ขายดีก็เป็นฐานที่ทำให้ สนพ. พิมพ์งานพี่ต่อไปได้ แต่...แต่ พี่คงรู้สึกแย่แน่ๆ ถ้ามีคนอ่านมาบอกกับลูกชายพี่ว่า...แม่นายดัง เพราะเขียนนิยายโป๊ หรือแม่นายชอบเขียนนิยายอย่างว่า.......ลูกชายพี่ เขาก็เหมือนเครื่องเตือนสติตัวพี่ตลอดเวลาว่าค่ะ ว่าสิ่งใดที่เราทำลงไป เราทำเพื่อเขาทั้งสิ้น ทุกวันนี้ที่พี่เขียนหนังสือก็เพื่อเขา พี่เองก็ต้องขอบคุณคนอ่านทุกๆคนที่ซื้อหนังสือของพี่ ในงานหนังสือก็ดี ในการซื้อตามร้านค้าก็ดี ทุกๆท่านได้ให้โอกาสพี่มีรายได้จากการเขียนหนังสือ แต่พี่คงรู้สึกไม่ดี ถ้าหากพี่ทำสิ่งที่ไม่ดีออกไปในชิ้นงาน ให้คนอ่านติติง และสิ่งเหล่านั้นมันต้องส่งทอดไปถึงลูกของพี่ในวันข้างหน้า ด้วย ความรู้สึกเหล่านี้ พี่บอกคนอื่นไม่ได้ แนะนำคนเขียนคนอื่นอะไรไม่ได้......แต่คิดว่ามันสะท้อนถึงความคิดของการก้าวมาเป็นคนเขียนงานนิยายไทย ว่าแต่ละคนจะทำงานเขียนเหล่านั้น เขาคิดจะทำเพื่ออะไร ส่วนตัวพี่คิดว่าทุกวันนี้ได้ทำเพื่อลูกค่ะ พี่จึงค่อนข้างระมัดระวังในสิ่งที่จะถ่ายทอดออกมาในหนังสือของพี่ เพราะพี่อยากให้ลูกรู้ว่า พี่ได้พยายามทำงานแต่ละชิ้นออกมาดีที่สุด และอยากให้เขาภูมิใจในแม่คนนี้ด้วยค่ะ
18.แล้วมีนักเขียนใหม่คนไหนที่เจ้าป้ารู้สึกว่าผลงานของเขาน่าติดตามบ้างคะ
อันนี้ตอบยากค่ะ เพราะว่าพี่เอง เป็นคนที่ไม่ค่อยได้มีโอกาสอ่านงานของนักเขียนใหม่ๆเท่าไหร่ ระยะหลัง พรรคพวกก็เอาหนังสือมาแลกน้อยลง อาจเป็นเพราะพี่ไม่ค่อยได้แลกกับเขา....(งือ) มันต้องถามกลับด้วยค่ะว่าจะให้พี่เลือกในแง่ไหน พี่ว่าระยะหลัง นักเขียนรุ่นใหม่ ออกมาเป็นบล๊อคๆตามการตลาดไปสักนิด....มันเลยมองไม่เห็นความแตกต่าง คนที่โดดเด่นจริงๆ ก็เลยไม่สามารถลอยออกมาจากกลุ่มได้ ตัวพี่เองก็ไม่ใช่คนเก่งถึงขนาดจะชี้ว่าใครเก่งหรืออย่างไร เพราะสารภาพว่าอ่านน้อย มันสมองของนักเขียนแต่ละคนก็มีปริมาณเท่าๆกันค่ะ...อยู่ที่วิธีการทำงานของแต่ละคนมากกว่า วิธีคิด วิธีการสร้างสรรค์งาน และรูปแบบนำเสนอ เพื่อเปรียบเทียบกันดูว่าใครจะมีวิธีการทำงานที่น่าสนใจขนาดไหน ก็ลองติดตามงานเขาดู.......ถ้าหากนับว่า วรรณวรรธน์ เป็นนักเขียนใหม่ที่เพิ่งจะมีผลงานผ่านตาคนอ่านมาได้แค่ ๘ เรื่อง แถมปีนี้ ทาง สนพ. ณ บ้านวรรณกรรม ยังส่งผลงานประกวดรางวัล ซีไรต์ ถึง ๒ เรื่องด้วยถึง คือ ข้าบดินทร์ และ จันทราอุษาคเนย์ ถึงแม้ว่า ณ วันนี้ ผลการประกวดยังไม่ทราบว่าจะออกมาเป็นอย่างไร พี่ก็ว่า...นักเขียนคนนี้ละค่ะ น่าสนใจ (ขอฝาก วรรณวรรธน์ ไว้ในอ้อมใจสักคนเถิดนะคะ ^____^....พื้นที่ สปอนเซ่อร์...)
19.นอกจากที่จะเห็นเจ้าป้าเขียนนิยายแล้ว แล้วเวลาว่างของเจ้าละคะเจ้าป้ายังมีงานอดิเรกอะไรบ้างคะ
มาถามเรื่องนี้ต้องบอกว่า คงเป็นคอมพิวเตอร์และ เวบไซด์ นี่ละค่ะ เป็นงานอดิเรกของพี่ เพราะว่าพี่อยู่กับคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่ปี 2535 ตั้งแต่มันเป็นรุ่น word star ก็รู้จักเขาโดยที่ไม่ได้ผ่านโรงเรียน เรียนจากช่างซ่อมเครื่องโดยตรง มีความสุขกับการได้เรียนรู้แล้ววิ่งตามพัฒนาการของเขามาเรื่อยๆ ก็ทำให้ตัวเองชอบ และมีความสุขที่อยู่กับเครื่องคอมมาก ตอนนี้ก็เรียนเขียนเวบอยู่ เพราะว่าเวบ //www.watcafe.com ที่ทำนี่ มันต้องพัฒนาไปอีกเยอะ เราต้องรู้จักวิธีป้องกันและพัฒนาไปด้วยกัน ....หรือบางทีอินเตอร์เนตต่อไม่ได้ ไม่ได้ออนไลน์ ก็นั่งถอดเครื่อง เช็ดฝุ่น เท่านี้ก็เป็นความสุขของตัวเองแล้วค่ะ เดินห้างก็ดูแต่อุปกรณ์คอม รุ่นการ์ด รุ่นcpu สเป๊คต่างๆ555ออกแนวโรคจิตนิดๆเสียด้วยซ้ำค่ะ
20.จากที่ใช้ชีวิต(ต้องเรียกแบบนี้เลยค่ะ) ในบอร์ดนี้มาก็นานพอสมควร จะเห็นได้ว่าเจ้าป้ามักจะมีของที่ระลึกแจกนักอ่านเสมอๆ อะไรทำให้เจ้าป้าคิดที่จะทำแบบนี้คะ และของที่ระลึกชิ้นแรกที่แจกคืออะไรคะ
ถ้าพูดกันอย่างเปิดอกคับเอฟของ พี่ (เชื่อๆกันหน่อย 555) สารภาพว่า พี่รอที่จะให้มีคนมาอ่านงานของพี่ตลอดสามสิบกว่าปีค่ะ พี่เฝ้าบอกกับตัวเองเสมอว่าอยากเข้ามาทำงานตรงนี้ อยากเขียนงานแล้วมีคนอ่านงานของเรา อยากให้คนอ่านมีความสุข อยากให้เขาช่วยเปิดใจรับเราเข้าไปด้วยการอ่าน.........ดังนั้น เมื่อพี่มีโอกาสมาตรงนี้ พี่ต้องขอบคุณทุกๆคนที่ให้โอกาส พี่ถึงได้ขอบคุณมากๆกับทุกคนที่อ่านงานของพี่ ที่สำคัญหนังสือคือชิ้นงาน แต่ของที่ระลึกคือคำขอบคุณที่คุณ "อ่าน" ความหมายจึงต่างกันพี่จึงอยากทำของที่ระลึกในทุกๆเรื่องที่เขียนค่ะ
อีกอย่างพี่เกิดจากโลกอินเตอร์เนต และปัจจุบันนี้ก็ยังเปิดเวบไซต์ส่วนตัว ลักษณะของคนอ่านงานของพี่จึงไม่ได้ผ่านหน้านิตยสาร หรือ รอพิมพ์จากสนพ. เพียงแค่คนอ่านเข้าอินเตอร์เนตและคลิ้ก //www.watcafe.com เข้ามา ทุกคนก็ถึงตัวพี่แล้ว ทุกคนอ่านสามารถฝากข้อความถึงพี่ได้ สามารถพูดคุยได้ในลักษณะตอบโต้กัน การเปิดกว้างแบบนี้ทำให้เรามีความคุ้นเคยและใกล้ชิดกันมากๆๆ จนกระทั่งปัจจุบันนี้พี่ว่าสมาชิกในเวบเราบางคนคุยกันบ่อยกว่าคุยกับคนที่บ้านไปแล้ว ก็มี พี่จึงคิดว่าลักษณะเช่นนี้จึงไม่ต่างกับ การที่เราได้เป็นเพื่อน เป็น พี่ เป็นน้อง เป็นครอบครัวเดียวกัน พี่จึงไม่เคยคิดว่าคนอ่านงานพี่เป็นใครอื่น...พี่เดินเข้ามาในเวบร้านกาแฟพบกับทุกคนๆ เราคือเพื่อนกัน คือคนในครอบครัวเดียวกัน การที่เราจะมีสิ่งที่ระลึกให้เขา มอบสิ่งที่ดีที่เราตั้งใจทำให้ ของแต่ละชิ้นจึงมีความหมายมากมาย เมื่องานหนังสือออกมาหนึ่งเรื่อง ถ้ามีโอกาสก็อยากทำของที่ระลึกมอบให้ทุกๆคนทุกครั้งค่ะ ชิ้นแรกที่แจก...น่าจะเป็นที่คั่นหนังสือ อัสวัด ราชันย์แห่งความมืด ค่ะ ตัดเอง เขียนเอง ร้อยเชือกเอง ทำเองกับมือทุกชิ้น มีอยู่แค่ ร้อยกว่าอันเท่านั้นค่ะ ตอนนี้ก็ไม่มีเหลือแล้ว
21. เจ้าป้ามีอะไรอยากจะฝากถึงน้องๆนักเขียนใหม่ที่เข้าสู่วงการบ้างค่ะ เพราะหลายคนอยากจะประสบความสำเร็จอย่างที่เจ้าป้าเป็นอยู่ในปัจจุบันค่ะ
ไม่อยากบอกเลยว่า...จนถึงวันนี้พี่ยังไม่คิดเลยว่าตัวเองประสบความสำเร็จอะไร ตอนนี้ที่ทำอยู่ก็ยังอธิษฐานในทุกๆครั้งที่เห็นหนังสือตัวเองว่า จะมีคนอ่านเมตตาซื้อกลับไปอ่านที่บ้าน อยู่ทุกเล่มไป....รู้ไหมว่าใจคอยังตุ๊มๆต้อมๆกับทุกๆปกที่วางขาย.. แต่ถ้าถามว่าข้อฝากฝังอะไรถึงน้องๆที่จะเข้ามาทำงานตรงนี้ พี่ว่า วินัยเป็นเรื่องสำคัญที่สุดค่ะ และอยากให้คิดว่า.... คนอ่านรอคอยอ่านงานดีๆอยู่เสมอ ไม่ต่างกับตัวเราที่อยากสร้างงานดีๆออกมาให้คนอ่านอ่าน แล้วเมื่องานออกมา คนอ่านเท่านั้นคือคนตัดสินใจ ยอดขายมันเป็นเรื่องของการตลาด เสียงชื่นชม หรือว่าอะไร....ทุกอย่างมันแค่ชั่วครั้งคราว...........ความเป็นจริงของงานเขียน มันอยู่แค่เสี้ยววินาทีที่คนอ่านจับตามองตัวหนังสือที่เราเขียนลงไปบนหน้ากระดาษว่างเปล่านั่นต่างหาก....ถ้าคุณทำออกมาได้ดี นั่นคือความภูมิใจของตัวคุณ เกิดจากตัวคุณ อยู่กับตัวคุณ ความสุขของคนเขียนงานอยู่แค่การได้ทำ ไม่ใช่การที่ได้รับคำชื่นชม หรือยอดจำหน่าย อย่าเพิ่งไปติดอยู่ตรงนั้นจนปิดกั้นการสร้างสรรค์งานดีๆของตัวเองค่ะ
22. ท้ายที่สุดถ้าให้เจ้าป้าเลือกจะแนะนำนิยายของตัวเองสัก 1 เรื่อง เจ้าป้าอยากจะแนะนำเรื่องอะใรให้คนที่ไม่เคยอ่านงานเจ้าป้าค่ะ
พี่คงเป็นนักขายที่แย่ในยุทธภพนะคะ...555 อยากเล่าให้ฟังว่าตอนที่ไปยืนที่งานสัปดาห์หนังสือ มีคนซื้อหลายคน ที่เขาไม่เคยอ่านงานของพี่มาก่อนก็ตั้งคำถามทำนองนี้กับพี่เหมือนกัน พี่เองก็จะไม่ตอบทันทีค่ะ พี่คิดว่างานของพี่มีหลากหลายบางเรื่องอาจจะถูกรสนิยมเขา หรือบางเรื่องอาจจะไม่ถูกอัธยาศัย หนังสือเป็นเรื่องของรสนิยมเหมือนกัน เราจะไปบอกว่าสนุกทุกเรื่อง ดีทุกเรื่องแบบนักขายไม่ได้ เราต้องดูคนอ่านก่อน ชวนคุยไปนู่นไปนี่ดูลักษณะของเขาก่อนว่า เบื้องหลังพื้นเดิมเขา เป็นคนชอบอ่านงานแบบไหนมาก่อน พี่ก็จะหยิบถูก สาวๆบางคน หน้าหวานเจี๊ยบมายืนกรี๊ด "ฤกษ์สังหาร" กับพี่ บอกว่าอ่านมาทั้งหมดปลื้มเรื่องนี้ละ เป็นที่สุด ทั้งที่หน้าตาเธอน่าจะชอบ ทะเลทราย หรือประมาณ บัลลังก์สายหมอก ขณะที่พี่เคยยัดเยียดเรื่องฤกษ์สังหาร ให้หนุ่มใหญ่บางคน วันต่อมาเขากลับบอกว่า...ชอบ บัลลังก์สายหมอกกว่า...ซะงั้น พี่ถึงบอกว่าเรื่องแบบนี้มันเป็นรสนิยมส่วนตัวจริงๆ
ถามว่า ถ้าจำเป็นจะต้องเลือกจริงๆจะให้เลือกเล่มไหน พี่คิดว่า พี่คงหยิบเล่มแรกที่เขียน ให้เขาอ่านก่อน คือ "อัสวัด" ค่ะ เพราะว่าเล่มนั้น ทำให้ วรรณวรรธน์ สามารถเกิดขึ้นมาได้ และพอจะมีที่ยืนบนถนนสายนักเขียนนี้กับเขาได้บ้างค่ะ
เป็นยังไงกันบ้างค่ะกับระหว่างบรรทัดของเจ้าป้า นักเขียนที่เราเป็นปลื้มกัน คงทำให้เราได้มุมมอง และรับรู้ความเป็นวรรณวรรธน์เพิ่มขึ้นนะคะ แต่ถ้าอยากเข้าใจระหว่างบรรทัดของเจ้าป้าให้มากขึ้นอย่าลืมติดตามงานของเจ้าป้าต่อไปนะคะ ลืมหน้ารอพบกับ อขิทโร : ลูกปัดมนตรา ค่ะ
คลิกตรงนี้เพื่ออ่านRead it เต็มฉบับได้ค่ะ
ขอบคุณฝีมือการทำนิตยสารออนไลน์ของพี่เบนมากค่ะ สวยมากๆ น้องๆ อยากช่วยแต่ทำไม่เป็นจริงๆ อ้อ สามารถเปลี่ยนมุมมองการอ่านได้จาก แถบสีฟ้าที่มีคำว่า Change viewer คลิก แล้วเลือก magazine view ได้เลยนะคะ
Create Date : 20 สิงหาคม 2553 |
Last Update : 20 สิงหาคม 2553 9:12:04 น. |
|
36 comments
|
Counter : 8625 Pageviews. |
|
|
ข้อมูลในบทสัมภาษณ์อาจจะไม่อัพเดทเพราะเป็นบทสัมภาษณ์ที่ลงทำไว้ตั้งแต่ปีที่แล้วค่ะ
ช่วงนี้เจ้าป้ายุ่งค่ะ ฟีน่าเลยไม่รบกวนสอบถามเพื่มเติมสำหรับคนที่รอ อขิทโร เราก็ช่วยกันลุ้นในงานหนังสือนะคะ ได้ยินว่าอาจจะได้อ่านอีกสองเล่มที่เหลือค่ะ