|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
เราเชื่ออยู่ 5 ข้อ:
1. คนเรา...ทำงานไม่เกินอายุ 60 ปี (จงทำทุกอย่างที่อยากทำ) 2. คนเรา...ไม่ได้มีชีวิตอยู่เกิน 100 ปี (จงอย่ายึดติด ปล่อยวางบ้างก็ได้) 3. คนเรา...ฟ้าลิขิตมาแล้วจะให้เป็นอะไร จึงดลใจให้เรากำหนดตัวเองอย่างนั้น (อย่าดิ้นรนเกินตัว) 4. อะไร...ที่เป็นของของเรา ยังไงมันก็เป็นของเราอยู่วันยังคำ (อย่าทรมานตัวเองเพราะคำว่า "ไม่มี ไม่ได้") 5. ชีวิตยังมีอีกหลายด้าน (มามัวจมกับด้านเดียวซำๆทำไม)
|
|
|
|
|
|
|
|
อาจจะยาว ถ้าไม่ชอบ ผ่านไปเลยค่ะ
ยี่สิบกว่าปีที่แล้ว ฉันเรียนจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยรัฐที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆแห่งหนึ่ง ด้วยความที่ฉันชอบภาษาอังกฤษและเคยได้ทุนเอเอฟเอสไปอยู่อเมริกาหนึ่งปี ฉันจึงไปสมัครเป็นแอร์ที่สายการบินบ้านเรานี่เอง
ที่นั่นคือจุดเริ่มต้นความสุขที่สุดในชีวิต
ความทุกข์ที่สุดในชีวิต
รวมถึงความขมขื่นยาวนานที่ต่อเนื่องมาจนวันนี้ที่ฉันเข้าสู่วัยทองแล้ว
ความเป็นแอร์น้องใหม่ สดๆซิงๆ (ในความรู้สึกรุ่นพี่ผู้ชาย)
ทำให้มีคนมาจีบฉันมากมายหลายคน สมัยเรียนฉันไม่เคยมีแฟนมาก่อนเลยนะ เพราะบ้าเรียนมากๆ แถมเรียนเก่งด้วยสิ เลยยิ่งบ้าเรียนหนัก ย้อนกลับไปคิดก็เสียดายความสนุกสนานในชีวิตนิสิตที่ฉันค่อนข้างพลาดไปเสียหมด
ฉันเลยมาใจแตกเอาตอนทำงาน คนจีบเยอะ โอกาสเป็นใจ เวลาไปบินต่างประเทศ ต้องมีการนอนค้าง คืนเดียวบ้าง หลายคืนบ้าง เค้าจะจัดให้ลูกเรือพักคนละห้อง ใครจะเข้าห้องใครก็ไม่ใช่เรื่องของใคร เรื่องส่วนตั๊ว ส่วนตัว ที่ปิดกันให้แซ่ดไงล่ะ
วันดีคืนดีฉันก็ไปบินไฟลท์ยาวไฟลท์หนึ่ง ไปตะวันออกกลาง ฉันทำงานอยู่ตรงโซนกลาง ชั้น economy ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นคนไทยที่ไปขายแรงงานหลับกันไปหมดแล้ว ฉันยืนจัดข้าวของเตรียมเสิร์ฟมื้อเช้าก่อนเครื่องลงอยู่ มีเสียงห้าวๆดังมาจากข้างๆ " ขอกาแฟถ้วยนึงครับ"
ฉันหันไปหาเสียงนั้น โหยยยย ตาสบตา....วิ้ง วิ้ง วิ้ง
เขาเป็นชายหนุ่มร่างสูงและหน้าตาดีมากกก (สเป็คเลย) สวมเครื่องแบบนักบิน เอ๊ะ นักบินเดินมาทำอะไรตรงนี้นะ ถ้าจะขอกาแฟก็กดเรียกแอร์ที่ชั้นหนึ่งสิ ฉันเลยอาจจะทำหน้าเอ๋อๆ ไม่ทันตอบอะไร เค้าพูดต่อว่า
"อ้าว! งงเลยเหรอครับ มาขอกาแฟตรงนี้ไม่ได้เหรอครับ"
"ได้ค่ะได้" ฉันรีบยิ้มตอบ ใจเต้นตึกตักๆๆ โอ้ รักแรกพบหรือเปล่าเนี่ย
"กาแฟดำนะครับ น้ำตาลครึ่งซอง " เขาบอกอีก
"ค่ะ" ฉันรับคำ หันไปหยิบถ้วยกาแฟมากดกาแฟจากเครื่อง เติมน้ำตาลครึ่งซอง (มันแค่ไหนหว่า ครึ่งซอง กะๆเอาละกัน)
ระหว่างที่ฉันชงกาแฟ เค้าชวนคุยไปเรื่อยๆ
"น้องชื่ออะไรครับ ไม่เคยเห็นหน้าเลย สวยๆแบบนี้ไม่ค่อยมาบินเครื่องพี่เลย"
"พี่ชื่อ....." บอกชื่อ และนามสกุลเสร็จสรรพ
นามสกุลดังเลยเชียว แบบเอ่ยมารู้จักกันหมดแน่ ไม่เอ่ยดีกว่า
แล้วเขากับฉันคุยกันไปเรื่อยๆอย่างถูกคอ ฉันรู้สึกได้เลยว่า ฮั่นแน่ เราปิ๊งกันซะแล้ว แถมจะอยู่ที่เมื่องปลายทางตั้งสี่วัน อิอิอิ งานนี้ฉันคงได้แฟนซะที
คุยสักพัก เขากลับไป cockpit (ห้องนักบิน)
พอดีกับที่แอร์รุ่นพี่ที่เดินไปคุยกับเพื่อนที่ด้านหลังเดินกลับเข้ามา
"อุ๊ย หนู โดนพี่...เค้าจีบเหรอ เฮ้อ หนุ่มในฝันของแอร์อ่ะ แต่ว่า...."
"แต่ว่ารัยคะพี่จี๊ด..."
ประโยคต่อมาของพี่จี๊ดทำเอาใจฉันดังตู้ม ราวกับโดนถล่มด้วยซีโฟร์สี่ลูกซ้อน (ที่หัวใจห้องละลูกไงคะ)
...."เค้ามีเมียแล้วอ่ะดิ เป็นแอร์เก่า โคดขี้หึงเลย เช็คทุกไฟลท์ว่าพี่เค้าบินกะแอร์คนไหนมั่ง ถ้าใครสวย เธอจะจับตาดูเลยว่าสามีจะไปบินกับแอร์คนนั้นอีกบ่อยๆมั้ย ยัยปรางเพื่อนพี่มันเคยโดนมายืนดักที่ขาออกเลยอ่ะ เมียอะไรไม่รู้ ไม่ให้เกียรติผัว..แย่งมันเลยน้อง สวยๆแบบนู๋นี่นะ รับรอง..มีเฮ.."
อ้าววววว พี่จี๊ด เจ๊จะให้นู๋โดนหนามทุเรียนรึงัย
โธ่ๆๆๆๆๆๆ อุตส่าห์นึกว่ารักแรกพบ ที่ไหนได้ จะกลายเป็นรักแรกตบเอาซะ
พอเครื่องลง ฉันเลยเฉยๆกะเค้า แต่หน้าหล่อๆกระชากใจของเค้ามันชวนให้อยากลองสิ้นดี ..ชั่วจริงๆเลยชั้น
เช็คอินเข้าโรงแรม ว้ายตาย ฉันได้ห้องตรงข้ามกะเค้า ไม่รู้เค้าตั้งใจป่าว จนวันนี้ยังไม่เคยถาม
ตอนเช้า ฉันตื่นมาแต่งตัวเพื่อลงไปทานอาหารเช้าที่ทางโรงแรมจัดให้ฟรี ตามเวลาท้องถิ่น พวกเรามักจะลงไปประมาณแปดโมงเช้า เพื่อจะได้พร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งไฟลท์ โดยเฉพาะไปแถบตะวันออกกลาง แอร์จะจับกลุ่มกันมากเป็นพิเศษ มันเป็นประเทศที่ผู้หญิงไม่น่าไปเอาซะเลย
แต่งตัวเสร็จพอดี มีเสียงเคาะประตู ฉันดูที่ช่องตาแมว เห็นเค้านั่นแหละยืนอยู่
เปิดประตูออกไป เขายิ้มหวาน
ถามว่า "มีที่เป่าผมมั้ยครับ ขอยืมหน่อยครับ"
ฉันให้เค้ายืมที่เป่าผม เค้าบอกว่า
"เดี๋ยวเอามาคืนนะครับ รอพี่ด้วยน้า จะได้ลงไปทานอาหารด้วยกัน"
"ค่ะๆๆๆ" ใจอ่อนไม่เข้าเรื่องเล้ย
แล้วเราลงไปทานอาหารเช้าพร้อมกัน ตอนเดินเข้าห้องอาหาร มีลูกเรือหลายคนนั่งอยู่แล้ว ทุกคนหันมามองที่ฉันและเขา...
ขอโทษที่ช้านะคะ คนแก่รำลึกความหลัง ต้องค่อยเป็นค่อยไปค่ะ
ต่อเลย
ช่วงทานอาหาร สรุปกันว่าวันนั้นเราทั้งหมดจะไปเที่ยวชายทะเลกันทุกคน โดยมีผู้จัดการสถานี (station manager)จัดรถมารับเรา แล้วต่อด้วยอาหารเย็นที่บ้านท่านเลย
ลืมบอกไปว่าพี่เค้าเป็น co-pilot หรือนักบินที่สอง ยังไม่ได้เป็นกัปตัน ซึ่งหมายถึงนักบินที่หนึ่ง กัปตันจะมีหน้าที่ควบคุมรับผิดชอบการบินทั้งหมด และมีสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจคนเดียว
วันนั้น เค้าพยายามอยู่ใกล้ฉันตลอดเวลา คุยกันไปไม่รู้กี่เรื่อง คุยเรื่องอเมริกา เค้าเรียนจบจากที่นั่น คุยเรื่องหนังสือ คุยเรื่องดนตรี ฯลฯ
ช่างคุยกันได้ทุกเรื่อง ตอนอาหารเย็น มีการดื่มเหล้ากัน (ในประเทศที่ห้ามดื่ม- กฎมีไว้แหกเสมอ)
ฉันมันเด็กดี ดื่มไม่เป็น แอร์บางคนทั้งดื่มเหล้า ทั้งสูบบุหรี่
เรื่องส่วนตัว ไม่ว่ากัน อย่าเมาตอนทำงานละกัน
สายการบินนี้มีกฎห้ามดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชม.ก่อนบิน
พี่เค้าชักเริ่มเมา (หรือเมาดิบไม่รู้เหมือนกัน) เค้ามากระซิบว่า
"โอย.. ทำไมน้องสวยอย่างงี้ นี่ถ้าพี่ยังโสด จะขอน้องแต่งงานเดี๋ยวนี้เลย"
ฉันหน้าแดง (อันนี้พี่จี๊ดบอก) ไม่รู้จะพูดว่าไงดี เลยถามเค้าไปว่า
"พี่มีลูกกี่คนแล้วคะ"
"สองคนครับ ห้าขวบคนนึง เก้าเดือนคนนึง ผู้หญิงทั้งคู่"
เค้ามีเจ้าของๆๆๆๆท่องไว้ๆๆๆๆ
แต่หัวใจสาวน้อยไม่เคยมีแฟนมันเตลิด เพราะเค้าหล่อแถมมีเสน่ห์มั่กๆ จริงๆนะ
คืนนั้นจบลงด้วยการกลับห้องใครห้องมัน
เหตุการณ์เป็นแบบนี้ซ้ำๆ คือไปไหนๆกันทั้งไฟลท์ เค้าเกาะติดฉัน แยกย้ายกันเข้าห้อง แต่...ความสัมพัน์ของเราคืบหน้าอย่างเร็ว เพราะ...
เค้าโทร.มาที่ห้องฉัน คุยกันต่อคืนละสองสามชั่วโมง ทำเอาตอนเช้าฉันตื่นแทบไม่ไหว
สรุปคือ เค้าจีบฉันนั่นแหละ
ฉันเองก็ไม่ยักห้ามใจตัวเอง คิดแค่ว่า คุยกันขำขำ เดี๋ยวกลับ กทม.ก็ไม่เจอกันแล้ว
คืนสุดท้าย เค้ามาหาฉันที่ห้องจนได้ เค้าบอกว่ารักฉัน ตามสไตล์ผู้ชายที่อยากได้ของใหม่ๆ
แต่ตอนนั้นฉันปลื้มมากกว่าจะรู้ทัน
อย่าค่ะ อย่าเพิ่งคิดนะว่าฉันเสร็จเค้า ยี่สิบกว่าปีที่แล้วนะ
ฉันไม่เคยด้วย ไม่กล้า แต่โง่ไปเหมือนกัน เพราะสารภาพว่ารักเค้าด้วย ยังไงก็ตามฉันยืนยัน
"พี่กลับห้องดีกว่านะคะ"
ลงท้าย ได้แค่กอดๆหอมๆ ฉันก็ฝันดี แหม ตอนนั้นมันโง่นี่นา
รุ่งขึ้นบินกลับ เครื่องลง เดินออกมาที่ตรงผู้โดยสารขาออก ฉันมีความรู้สึกว่ามีสายตาจ้องมาที่ฉัน มองหา เจอะหน้าเค็มๆ ดุๆ (รู้สึกแบบนั้นจริงๆ) จ้องฉันเขม็ง
เธอคนนั้นดูอายุมากกว่าฉันเยอะ จูงเด็กผู้หญิงหน้าตาเหมือนพี่เค้าเด๊ะเลยมาด้วย พอพี่เค้าเดินออกไป ลูกสาวเค้าก็วิ่งเข้ามากอดขา (ลูกสาวห้าขวบตัวสูงยังไม่ถึงเอวพ่อเลย)
" นั่นไงๆ เมียเค้า มาดักอีกละ ท่าทางพี่เค้ากลัวเมียนิ" พี่จี๊ดเธอเม้าท์
ฉันกับเค้าจากกันวันน้นโดยไม่ได้ร่ำลา ไม่มีการขอเบอร์ ไม่มีการบอกว่าจะติดต่อกันอีก
สมัยนั้นมือถือยังไม่มีเลยค่ะน้องๆ
กลับบ้านไป ฉันคิดถึงเค้ามากจนนอนร้องไห้ตาบวม อีกสองวันต้องไปบินอีกไฟลท์นึง ชั้นจะมีเรี่ยวแรงไปบินมั้ย อกหักอย่างแรง อกหักครั้งแรก เค้ามีเจ้าของๆๆๆ
ร้องไห้มันทั้งสามคืนที่อยู่บ้านเลย คืนสุดท้ายร้องน้อยหน่อย เพราะกลัวตาบวม เดี๋ยวไม่สวย
ตอนเช้าไปบินจาร์กาต้า อินโดนีเซีย นอนค้างหนึ่งคืน
วันนั้นไม่เห็นนักบินเลย และคิดว่าไม่มีเค้าอยู่ด้วยหรอก เพราะเครื่องที่บินมันไม่ใช่แบบที่เค้าบิน
คือนักบินจะบินเครื่องแบบเดียวเท่านั้น ใครอยู่ fleet ไหนก็บินตามนั้น
ถ้าจะเปลี่ยนชนิดของเครื่องที่บิน ต้องเรียนใหม่ และถ้าจะกลับไปบินเครื่องที่เคยบินก็ต้องกลับไปเรียนใหม่อีก
ต่างจากแอร์ สจ๊วต ที่บินเครื่องไหนๆ ได้หมด เพราะการบริการมันเหมือนๆกัน ต่างกันแต่พวกอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องจำให้ได้หมดทุกเครื่องว่าอะไรอยู่ตรงไหน มีงงๆกันบ้าง ในที่สุดก็คุ้นไปเอง
ก่อนเครื่องลงที่จาร์กาต้า เจอนักบินเข้าจนได้ โอยยยย
คนนี้ยิ่งหล่อ อะไรกั๊น เค้าคัดนักบินที่หน้าตาหรือความสามรถนะ เสียวเครื่องตกอ่ะ
คนนี้เค้ามาแปลกค่ะท่านผู้อ่าน เค้าตรงเข้ามาหาฉันพร้อมกับดอกไม้ช่อใหญ่เบิ้ม...ยื่นให้..
"พี่...(กิ๊กไฟลท์เดียวของฉัน)...ฝากมาให้น้องครับ"
ท่ามกลางสายคตาประชาชี ฉันคงหน้าแดงอีกตามเคย
"ขอบคุณค่ะ"
มีจดหมายปิดผนึกมาด้วย
มาแล้วค่ะ ไปบ้านคุณแม่มา ไม่นึกว่าจะมีชาวพันทิปรออ่านเยอะแบบนี้เลย (แอบดีใจ)
นี่ไม่ใช่นิยาย เป็นเรื่องที่เขียนจากความทรงจำชนิดตีแผ่เรื่องตัวเองเลยค่ะ ยิ่งพิมพ์ยิ่งนึกนู่นนี่ออก เลยกะจะเล่าไปเรื่อยๆนะคะ ขอบพระคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านค่ะ
ต่อเลยค่ะ...
จดหมายปิดผนึก จ่าหน้าซองด้วยลายมือตัวโต๊ โต แบบที่ฉันไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน อยากอ่านจะแย่ แต่เป็นเวลาทำงาน ต้องเก็บใส่กระเป๋าถือไว้ รออ่านตอนเข้าห้องที่โรงแรมแล้ว
ก่อนเข้าห้อง ฉันแอบเห็นพี่นักบินคนที่หอบช่อดอกไม้มาให้เหล่ฉันใหญ่ แต่ฉันไม่สนร้อก ในเมื่อฉันสนอยู่แต่จดหมายจากอีกคนนึงต่างหาก
ไม่ได้นึกสังหรณ์เลยว่าคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตฉัน คือคนส่งดอกไม้นี่เอง
มาถึงตอนนี้ ท่านผู้อ่านอาจจะสับสน ตัวละครเพิ่มขึ้น ฉันขอตั้งชื่อให้เค้าทั้งสองคนเลยละกัน
คนแรกที่เจอแล้วปิ๊งสุดสุด สมมุติชื่อพี่อิน
คนที่หอบดอกไม้จากพี่อินมาให้ชื่อ พี่หนิง
ส่วนฉัน ชื่อริน
ฉันเข้าห้อง ล็อกประตู รีบเปิดจดหมายออกอ่าน ข้อความในนั้นทำเอาฉันน้ำตาซึม อ่านวนเวียนไปมาอยู่หลายรอบ
พี่อินเขียนมาว่า ...น้องรินครับ
พี่ตื่นขึ้นมาทุกวันด้วยความรู้สึกว่าชีวิตขาดอะไรไป ตั้งแต่พบน้องริน ดอกไม้บานในใจพี่เหลือเกิน
เมียพี่เค้ารู้ว่าพี่ชอบน้องริน เค้าบอกว่า เห็นเดินออกมาก็รู้เลยว่า พี่ไม่ปกติซะแล้ว
พี่ยอมรับกับเขาว่าพี่ชอบน้องริน แต่อยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม
พ่อพี่มีเมียสามคน แม่พี่เป็นคนที่สอง พี่ไม่อยากให้ลูกพี่ต้องมีพ่อเป็นอย่างพ่อพี่
แต่พี่ห้ามใจไม่ได้ น้องรินเป็นคนน่ารัก มีเสน่ห์เหลือเกิน
ธรรมดาพี่ไม่เคยชอบผู้หญิงผิวขาวเลย แต่น้องรินเป็นข้อยกเว้น
ในที่สุด เมียพี่เค้าบอกว่า จะชอบใครก็ได้ตามใจ แต่เค้าขอให้ BANGKOK เป็น TERRITORY ของเค้าเท่านั้น
พี่ยังหวังเสมอว่าจะได้พบน้องรินอีก พี่อยากเห็นน้องรินมีความสุขนะครับ
ถ้าคิดถึงพี่ ยิ้มเข้าไว้นะจ๊ะ อย่าเศร้า
ขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้เราได้พบกัน ถึงจะสาย
แต่พี่อดที่จะรักน้องรินไม่ได้เลย.......
จดหมายยาวกว่านี้อีก แต่ฉันจำได้เท่านี้
อ่านจดหมายอยู่นานแค่ไหนไม่รู้ โทรศัพท์ในห้องดัง ยุ้ยเพื่อนแอร์รุ่นใกล้ๆกัน และเรียนรร.เดียวกันมาตั้งแต่ ม.ปลาย โทร.มา
" ริน ไปกินข้าวเย็นกันป่ะ เคยกินขากบมั้ย เราจะพาไป"
"แหยะ ขากบรัยยุ้ย ไม่เห็นอยากกิน รินไม่ชอบกินตัวแปลกๆ" นึกถึงก็ไม่อยากกินแล้ว
"ไปเหอะริน พี่หนิงเค้าจะพาไป เค้าจีบเราอยู่ นะๆ ไปเป็นเพื่อนเราหน่อย" ยุ้ยตื๊อต่อ
"เอ๊า จีบกันแล้วให้เราไปเป็นกขค.ทำไม" ฉันสงสัย
"เหอะน่า แล้วจะเล่าให้ฟัง" ยุ้ยพูดชวนสงสัย
เอ้า ไปก็ไป ฉันแต่งตัวสวยลงมารอยุ้ยที่ล็อบบี้โรงแรม เจอกัปตัน ฉันยกมือไหว้ อย่างสวยงามตามที่ถูกอบรมมา
สายการบินนี้ถืออาวุโสจัด เจอกันต้องไหว้ เมื่อเช้าเพิ่งเจอ มาเจออีกตอนเย็นก็ต้องไหว้ ไหว้กันจนเวียนหัว
บางทีเผลอไปไหว้ลูกเรือสายการบินอื่นที่หน้าตาแบบคนไทยเข้าให้ เจอเค้าทำหน้างงๆตอบ
แต่ทำไงได้ เค้าสั่งให้ไหว้ ก็ไหว้ไว้ก่อน ไหว้ผิดไหว้ถูกช่างมัน ดีกว่าโดนรายงานว่าเจอผู้มีอาวุโส(ในการทำงาน)แล้วเมิน ไม่ทำความเคารพ
ระบบทหารชัดๆ สายการบินนี้
รอที่ล็อบบี้ครู่หนึ่ง ยุ้ยกับพี่หนิงลงลิฟท์มาพร้อมกัน ยุ้ยหน้าบาน แต่พี่หนิงทำหน้าเหนื่อยๆ ไม่ดูสดชื่นหวานแหววแบบคนจีบกันซักกะนิด
ไปทานข้าวเย็นกันสามคน พี่หนิงเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งที่ร้านอาหาร และฉันได้ชิมขากบเป็นครั้งแรก อืมมมม อร่อยมากๆ ไม่นึกว่าจะอร่อยขนาดนี้ เหมือนไก่ทอดกรอบๆหอมๆ กรุบๆ
ระหว่างทาน ฉันไม่ค่อยได้คุยอะไร ยุ้ยเป็นคนชวนพี่หนิงคุยมากกว่า ดูท่าทางที่ยุ้ยบอกว่า พี่หนิงจีบยุ้ยแล้วทำให้ฉันออกจะแปลกใจว่าตกลงยุ้ยจีบพี่หนิงหรือพี่หนิงจีบยุ้ยกันแน่
พี่หนิงพูดน้อยมาก กิริยามารยาทเรียบร้อย เป็นสุภาพบุรุษ ไม่เหมือนพี่อินที่คุยเก่ง แซวคนนั้นคนนี้ได้เรื่อย พี่หนิงดูขรึมมาก อาจจะเป็นเพราะเค้าเป็นแค่ S.O (system operetor)หรือนักบินที่สามเท่านั้น
นักบินที่สามนี่คือนักบินที่เพิ่งเข้าใหม่ ต้องนั่งข้างหลังนักบินที่หนึ่งและสอง ทำหน้าที่ติดต่อหอบังคับการ และเช็คปุ่มต่างๆมากมายใน cockpit ยังไม่ได้ขับเครื่องบิน จนกว่าระยะหนึ่งผ่านไป (อย่างน้อยสองปี) ถึงจะได้เลื่อนขึ้นเป็น co-pilot
ฉันทานข้าวไปแบบใจคอไม่ค่อยอยู่กับตัวเท่าไหร่ นึกถึงแต่พี่อิน ข้อความในจดหมายวนเวียนซ้ำซากอยู่ในหัว
พี่หนิงหันมาถามฉันว่า
"อร่อยมั้ยครับ ขากบร้านนี้อร่อยที่สุดในจาการ์ต้าเลยนะครับ"
"อร่อยค่ะ อร่อยมาก" ฉันคุยกับพี่หนิงแค่นั้นจริงๆ
จบมื้อเย็นด้วยการไปช้อปปิ้งที่ศูนย์การค้าแถวๆนั้น ฉันบอกยุ้ยว่า ขอแยกกันเดินละกัน มาเจอกันก่อนห้างปิด แล้วค่อยกลับด้วยกัน
อยากเปิดโอกาสให้เพื่อน บวกกับเดินดูของคนเดียวสบายดี ไม่ต้องพะวงรอใคร อยากดูอะไรดูได้ตามใจ
เดินในห้างไปมา ปะทะกับพี่หนิง เห็นเค้าอยู่คนดียว ถามได้ความว่ายุ้ยไปเข้าห้องน้ำ พี่หนิงบอกฉันว่า
"พี่อินบอกพี่มาว่าให้เอาดอกไม้ให้คนที่เห็นแล้วคิดว่าใช่คนที่พี่อินปลื้ม พี่เห็นรินแล้วคิดว่า ใช่แน่นอน "
พี่หนิงมองฉันแบบสบตาเปิดเผย ถ้ายุ้ยมาเห็นจะเป็นไงเนี่ย
ฉันขอตัวเดินไปทางอื่น เลิกนึกเรื่องพี่หนิง คิดถึงพี่อินแทน
ถึงเวลากลับโรงแรม นั่งแท็กซี่กลับ แยกย้ายกันเข้าห้อง โดยที่ฉันไม่รู้สักนิดว่าคืนนั้น พี่หนิงกับยุ้ยนอนห้องเดียวกัน
ความสัมพันธ์ของพี่หนิงกับยุ้ยเป็นที่รู้กันทั่ว ขาเม้าท์ทำหน้าที่อย่างเมามัน ว่าพี่หนิงน่ะหล่อจัด เรียนเก่ง พ่อแม่ปลาบปลื้มลูกชายคนนี้มาก แต่..ทุกอย่างมีข้อแม้
...พี่หนิงเป็นพ่อม่าย มีลูกติดด้วย...
เมียเก่าเป็นแอร์ที่ลาออกไปเพราะท้อง สมัยนั้นยังไม่มีการอนุญาตให้แอร์ท้องได้
กฎของบริษัทผิดหลักธรรมชาติมาก แต่งงานได้ แต่ท้องไม่ได้ ใครท้องต้องลาออกสถานเดียว
เม้าท์กันว่า เมียพี่หนิงเป็นรุ่นสุดท้ายที่ท้องแล้วต้องลาออก
ต่อจากนั้นมีการเปลี่ยนกฎบริษัทใหม่ ให้แต่งงานได้หลังพ้นระยะทดลองงาน และท้องได้หลังจากทำงานเกินสามปี
มีสิทธิ์ท้องได้ไม่เกินสองครั้ง ยกเว้นกรณีแท้ง ท้องใหม่ได้
ยังไงก็เป็นกฎพิลึกๆในความรู้สึกฉันอยู่ดี
พูดถึงกรณีให้ท้องได้ไม่ได้ ขอนอกเรื่องเล่าหน่อยว่า เวลาที่ท้อง ต้องรีบเอาใบรับรองแพทย์พร้อมด้วยทะเบียนสมรสไปแจ้งผู้บังคับบัญชา
ประมาณว่า ..หนูท้องมีพ่อนะเจ้าคะ
ถึงแม้จะเคยแจ้งบริษัทแล้วว่าแต่งงาน ยังต้องเอาทะเบียนสมรสไปโชว์อยู่ดี
มีแอร์บางคน ท้องกับสามีคนอื่น หรือท้องแบบผู้ชายไม่ตั้งใจให้ท้องแต่ผู้หญิงอยากท้อง หรือท้องแบบไม่ตั้งใจทั้งสองฝ่าย ฝ่ายชายไม่สามารถจดทะเบียนสมรสด้วยได้
ฝ่ายแอร์หญิงสาวต้องขอให้เพื่อนสจ๊วตสาวที่มือไม้อ่อนช่วยเซ็นต์ทะเบียนสมรสให้ที แล้วค่อยหย่าทีหลัง
เพื่อนสจ๊วตเอวอ่อน มืออ่อนหลายคนตกเป็นเครื่องมือรับใช้เพื่อนแอร์มาแล้ว
ผู้หญิงด้วยกัน ต้องเห็นใจกันจ้า
ไปนอนก่อนนะคะ พรุ่งนี้มาต่อ...
หลับฝันดีนะคะทุกท่าน
สวัสดีค่ะ อยากเขียนเยอะๆนะคะ แต่ภาระทางบ้านมากค่ะ
ตื่นมาทำงานบ้าน ทำกับข้าวให้ลูกทาน แล้วรีบมาเปิดคอมพ์เลยนี่แหละค่ะ
เรื่องมันยาวกว่าที่คิดไว้ เพราะไหนๆเล่าแล้วเลยอยากเล่าเรื่องเพื่อนร่วมงานรอบๆตัวและเรื่องภายในบริษัทด้วย
เพื่อให้องค์ประกอบของเรื่องดูเป็นซีรี่ส์ที่มีตัวละครหลายๆตัว
อยากให้ชาวพันทิปอ่านสนุกและได้ความรู้นิดๆหน่อยๆเรื่องชีวิตทาสบนฟ้าอ่ะคะ
ทั้งหมดมีตัวจริงในชีวิตเราค่ะ
ฉันทำงานต่อไป บินอีกหลายไฟลท์ รับฟังเรื่องราวชาวบ้าน โดยที่ตัวเองไม่ค่อยรู้จักใครนัก เพิ่งบินปีแรก
ได้แต่ฟังรุ่นพี่ๆเค้าเม้าท์กัน
บางเรื่องฟังแล้วมึน ว่า เออ แบบนี้มีด้วยเหรอ
นานเลย กว่าฉันจะรู้ด้วยตัวเอง ว่าอะไรก็เกิดขึ้นใต้ ภายใต้ดวงอาทิตย์ดวงนี้
ฉันยังนึกถึงพี่อินอยู่ แต่เขาเงียบหายไปเลย การที่จะมีโอกาสบินเจอกันนั้นยากมาก ลูกเรือและนักบินเยอะ ต่างคนต่างบิน ไม่มีการร่วมงานกันเป็นกลุ่ม
ใครอยากบินกับใครจริงๆต้องพยายามแลกตารางบินให้ตรงกัน
เป็นเรื่องวุ่นวายอยู่ตลอด เรื่องแลกไฟลท์ตามกัน หนุ่มสาวจีบกันยังเป็นเรื่องปกติ แต่บางคนที่มีแฟนแล้วหรือแต่งงานแล้ว แอบมาบินด้วยกัน บนเครื่องทำเมินใส่กัน ลงเครื่องลับหลังคน ..
นอนห้องเดียวกัน หลบชาวบ้านอยู่กันสองคน
คงไม่ต้องบรรยายว่าสองคนทำอะไรกัน...ท่านผู้อ่านนึกภาพออกใช่ป่าววว
วันนั้นฉันนอนอยู่บ้าน คิดอะไรเพลินๆ โทรศัพท์ดัง...
ฉันไม่รีบลุกไปรับหรอก เพราะรีบมาหลายครั้ง ผิดหวังทุกที
ดังอยู่นาน ฉันจึงยุรยาตรไปรับ "ฮัลโหลลลลล"
"น้องริน นี่พี่อินนะครับ พี่กำลังจะไปบิน โทร.ที่แอร์พอร์ต คิดถึงน้องรินมากครับ" เสียงกระตุ้นหัวใจฉันดังมาตามสาย
"น้องริน สบายดีมั้ยครับ คิดถึงพี่บ้างมั้ย"
อยากจะตอบว่า คิดถึงทุกลมหายใจก็พูดไม่ออก ได้แต่รับคำ "ค่ะ"
"น้องรินทำไมพูดได้แต่ค่ะ ค่ะ โกรธพี่เหรอครับ พี่ขอโทษที่โทร.มาช้า กว่าจะได้เบอร์น้องริน ..." เขาแก้ตัว
"พี่ต้องไปขึ้นเครื่องแล้วนะครับ ไปเดลี อยู่สี่วันแน่ะ อยากให้น้องรินไปด้วยจริงๆ " เขาพูดอยู่คนเดียว
"เทคแคร์นะครับ i love you"
"ค่ะ nice flight นะคะพี่อิน" อยากพูดอีกมากมาย แต่ไม่กล้าพูด รู้ตัวว่าเราไม่ควรพูดมาก เขามีเจ้าของๆๆๆๆท่องไว้ๆๆๆ
พี่อินวางสายไป ฉันร้องไห้ เจ็บหนึบๆที่หัวใจ โทรศัพท์ดังอีก
"ฮัลโหลลลลล"
"หวัดดีครับ นี่พี่หนิงพูดนะครับ รินจำได้มั้ย"
เฮ่อ ทำไมจะจำไม่ได้ ก็พี่เป็นหนุ่มสุดฮ็อตของบริษัท แอร์พูดถึงกันทุกไฟลท์
"จำได้ค่ะ มีธุระอะไรให้รินรับใช้เหรอคะ" ตอบไปอย่างเรียบร้อย
"วันนี้รินว่างมั้ยครับ ไปทานข้าวเย็นกับพี่ได้มั้ยครับ พี่อยากปรึกษารินเรื่องยุ้ยหน่อย"
คุยกันไปมา ฉันตกลงไปทานข้าวกับเขา นัดเจอกันที่เซ็นทรัลลาดพร้าว
ยุคนั้น ฉันยังสวยอยู่ ตรงสเป็คผู้ชายมากมาย แบบเดินไปไหนๆมีแต่คนมอง
มาถึงตอนนี้ ส่องกระจกแล้วปลง สังขารไม่เที่ยงจริงๆ
พี่หนิงดูยิ้มแย้มแจ่มใส เขาพาฉันไปทานข้าวที่ร้านเก่าแก่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
ที่ร้านอาหาร ฉันเจอพี่ตุ๊ก ดวงตา ตุงคะมณี รุ่นพี่ที่รร. พี่ตุ๊กเข้าวงการแล้ว ตัวจริงพี่ตุ๊กสวยมากกกกกกกกกกก
พี่ตุ๊กว่า "ริน อยากเล่นหนังมั้ย ท่าทางรินเป็นนางเอกได้สบายเลย "
"ไม่หรอกค่ะพี่ตุ๊ก รินไม่ขึ้นกล้อง ถ่ายรูปไม่เคยสวย อยู่ที่การบินไทย เค้าเอาไปเทสต์หน้ากล้อง จะให้ถ่ายโฆษณาก็ไม่ผ่าน ได้แต่ถ่ายภาพนิ่งทีสองที ไม่เอาไหนเลยพี่ตุ๊ก"ฉันสาธยาย
"แล้วนั่นแฟนรินเหรอ หล่อชะมัด"
"555 พี่ตุ๊กขา จะชวนเค้าไปเล่นหนังเหรอคะ เค้าเป็นนักบิน แฟนเพื่อนรินเอง"
"แฟนเพื่อน แล้วไหงมากับรินสองคนล่ะ"
"เค้ามีเรื่องเพื่อนรินจะคุยกับรินน่ะค่ะ"
"รินระวังเหอะ แผนเค้าจะจีบรินอ่ะดิ คนหล่อก็แบบนี้ เจ้าชู้ หว่านไปทั่ว"