N e x t to t h e Beginn ing !!
แบลลล่.... โฮะ...โฮะ...โฮะ....ฮัลโหล...ฮับ...
Group Blog
 
 
เมษายน 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
28 เมษายน 2550
 
All Blogs
 
แอร์กี่- ชีวิตรันทด

ขออนุญาตินำเรื่องของคุณ แอร์กี่ มาลงไว้ที่นี่นะคะ

ดังกล่าว โดยรวบรวมจาก Links ต่อไปนี้



ตอนที่ 1
//topicstock.pantip.com/lumpini/topicstock/2006/07/L4534465/L4534465.html

ตอนที่ 2.1
//topicstock.pantip.com/lumpini/topicstock/2006/07/L4542236/L4542236.html

ตอนที่ 2.2
//topicstock.pantip.com/lumpini/topicstock/2006/07/L4551949/L4551949.html

ตอนที่ 3.1
//topicstock.pantip.com/lumpini/topicstock/2006/07/L4560703/L4560703.html

ตอนที่ 3.2
//www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L4578383/L4578383.html

ตอนที่ 4.1
//topicstock.pantip.com/lumpini/topicstock/2006/07/L4578588/L4578588.html

ตอนที่ 4.2
//topicstock.pantip.com/lumpini/topicstock/2006/08/L4590836/L4590836.html

ตอนที่ 5
//topicstock.pantip.com/lumpini/topicstock/2006/08/L4590899/L4590899.html

ตอนที่ 6.1
//www.pantip.com/cafe/writer/topic/W4606281/W4606281.html

ตอนที่ 6.2
//www.pantip.com/cafe/writer/topic/W4607177/W4607177.html

ตอนที่ 7
//www.pantip.com/cafe/writer/topic/W4608394/W4608394.html

ตอนที่ 8
//www.pantip.com/cafe/writer/topic/W4609960/W4609960.html

ตอนที่ 9
//www.pantip.com/cafe/writer/topic/W4611793/W4611793.html

ตอนที่ 10
//www.pantip.com/cafe/writer/topic/W4637182/W4637182.html

ตอนที่ 11
//www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L4642982/L4642982.html

ตอนที่ 12
//www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L4664277/L4664277.html

ตอนที่ 13
//www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L4683048/L4683048.html

ตอนที่ 14
//www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L4715985/L4715985.html

ตอนที่ 15
//www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L4749757/L4749757.html

ตอนที่ 16
//www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L4792308/L4792308.html




Create Date : 28 เมษายน 2550
Last Update : 20 พฤษภาคม 2550 11:13:28 น. 39 comments
Counter : 848 Pageviews.

 
นี่คือเรื่องราวชีวิตของฉันที่วันนี้อยากเล่าให้ชาวพันทิปฟัง

อาจจะยาว ถ้าไม่ชอบ ผ่านไปเลยค่ะ

ยี่สิบกว่าปีที่แล้ว ฉันเรียนจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยรัฐที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆแห่งหนึ่ง ด้วยความที่ฉันชอบภาษาอังกฤษและเคยได้ทุนเอเอฟเอสไปอยู่อเมริกาหนึ่งปี ฉันจึงไปสมัครเป็นแอร์ที่สายการบินบ้านเรานี่เอง

ที่นั่นคือจุดเริ่มต้นความสุขที่สุดในชีวิต
ความทุกข์ที่สุดในชีวิต

รวมถึงความขมขื่นยาวนานที่ต่อเนื่องมาจนวันนี้ที่ฉันเข้าสู่วัยทองแล้ว

ความเป็นแอร์น้องใหม่ สดๆซิงๆ (ในความรู้สึกรุ่นพี่ผู้ชาย)
ทำให้มีคนมาจีบฉันมากมายหลายคน สมัยเรียนฉันไม่เคยมีแฟนมาก่อนเลยนะ เพราะบ้าเรียนมากๆ แถมเรียนเก่งด้วยสิ เลยยิ่งบ้าเรียนหนัก ย้อนกลับไปคิดก็เสียดายความสนุกสนานในชีวิตนิสิตที่ฉันค่อนข้างพลาดไปเสียหมด

ฉันเลยมาใจแตกเอาตอนทำงาน คนจีบเยอะ โอกาสเป็นใจ เวลาไปบินต่างประเทศ ต้องมีการนอนค้าง คืนเดียวบ้าง หลายคืนบ้าง เค้าจะจัดให้ลูกเรือพักคนละห้อง ใครจะเข้าห้องใครก็ไม่ใช่เรื่องของใคร เรื่องส่วนตั๊ว ส่วนตัว ที่ปิดกันให้แซ่ดไงล่ะ

วันดีคืนดีฉันก็ไปบินไฟลท์ยาวไฟลท์หนึ่ง ไปตะวันออกกลาง ฉันทำงานอยู่ตรงโซนกลาง ชั้น economy ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นคนไทยที่ไปขายแรงงานหลับกันไปหมดแล้ว ฉันยืนจัดข้าวของเตรียมเสิร์ฟมื้อเช้าก่อนเครื่องลงอยู่ มีเสียงห้าวๆดังมาจากข้างๆ " ขอกาแฟถ้วยนึงครับ"

ฉันหันไปหาเสียงนั้น โหยยยย ตาสบตา....วิ้ง วิ้ง วิ้ง
เขาเป็นชายหนุ่มร่างสูงและหน้าตาดีมากกก (สเป็คเลย) สวมเครื่องแบบนักบิน เอ๊ะ นักบินเดินมาทำอะไรตรงนี้นะ ถ้าจะขอกาแฟก็กดเรียกแอร์ที่ชั้นหนึ่งสิ ฉันเลยอาจจะทำหน้าเอ๋อๆ ไม่ทันตอบอะไร เค้าพูดต่อว่า

"อ้าว! งงเลยเหรอครับ มาขอกาแฟตรงนี้ไม่ได้เหรอครับ"

"ได้ค่ะได้" ฉันรีบยิ้มตอบ ใจเต้นตึกตักๆๆ โอ้ รักแรกพบหรือเปล่าเนี่ย

"กาแฟดำนะครับ น้ำตาลครึ่งซอง " เขาบอกอีก

"ค่ะ" ฉันรับคำ หันไปหยิบถ้วยกาแฟมากดกาแฟจากเครื่อง เติมน้ำตาลครึ่งซอง (มันแค่ไหนหว่า ครึ่งซอง กะๆเอาละกัน)

ระหว่างที่ฉันชงกาแฟ เค้าชวนคุยไปเรื่อยๆ

"น้องชื่ออะไรครับ ไม่เคยเห็นหน้าเลย สวยๆแบบนี้ไม่ค่อยมาบินเครื่องพี่เลย"

"พี่ชื่อ....." บอกชื่อ และนามสกุลเสร็จสรรพ

นามสกุลดังเลยเชียว แบบเอ่ยมารู้จักกันหมดแน่ ไม่เอ่ยดีกว่า

แล้วเขากับฉันคุยกันไปเรื่อยๆอย่างถูกคอ ฉันรู้สึกได้เลยว่า ฮั่นแน่ เราปิ๊งกันซะแล้ว แถมจะอยู่ที่เมื่องปลายทางตั้งสี่วัน อิอิอิ งานนี้ฉันคงได้แฟนซะที

คุยสักพัก เขากลับไป cockpit (ห้องนักบิน)

พอดีกับที่แอร์รุ่นพี่ที่เดินไปคุยกับเพื่อนที่ด้านหลังเดินกลับเข้ามา

"อุ๊ย หนู โดนพี่...เค้าจีบเหรอ เฮ้อ หนุ่มในฝันของแอร์อ่ะ แต่ว่า...."

"แต่ว่ารัยคะพี่จี๊ด..."
ประโยคต่อมาของพี่จี๊ดทำเอาใจฉันดังตู้ม ราวกับโดนถล่มด้วยซีโฟร์สี่ลูกซ้อน (ที่หัวใจห้องละลูกไงคะ)

...."เค้ามีเมียแล้วอ่ะดิ เป็นแอร์เก่า โคดขี้หึงเลย เช็คทุกไฟลท์ว่าพี่เค้าบินกะแอร์คนไหนมั่ง ถ้าใครสวย เธอจะจับตาดูเลยว่าสามีจะไปบินกับแอร์คนนั้นอีกบ่อยๆมั้ย ยัยปรางเพื่อนพี่มันเคยโดนมายืนดักที่ขาออกเลยอ่ะ เมียอะไรไม่รู้ ไม่ให้เกียรติผัว..แย่งมันเลยน้อง สวยๆแบบนู๋นี่นะ รับรอง..มีเฮ.."

อ้าววววว พี่จี๊ด เจ๊จะให้นู๋โดนหนามทุเรียนรึงัย

โธ่ๆๆๆๆๆๆ อุตส่าห์นึกว่ารักแรกพบ ที่ไหนได้ จะกลายเป็นรักแรกตบเอาซะ

พอเครื่องลง ฉันเลยเฉยๆกะเค้า แต่หน้าหล่อๆกระชากใจของเค้ามันชวนให้อยากลองสิ้นดี ..ชั่วจริงๆเลยชั้น

เช็คอินเข้าโรงแรม ว้ายตาย ฉันได้ห้องตรงข้ามกะเค้า ไม่รู้เค้าตั้งใจป่าว จนวันนี้ยังไม่เคยถาม

ตอนเช้า ฉันตื่นมาแต่งตัวเพื่อลงไปทานอาหารเช้าที่ทางโรงแรมจัดให้ฟรี ตามเวลาท้องถิ่น พวกเรามักจะลงไปประมาณแปดโมงเช้า เพื่อจะได้พร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งไฟลท์ โดยเฉพาะไปแถบตะวันออกกลาง แอร์จะจับกลุ่มกันมากเป็นพิเศษ มันเป็นประเทศที่ผู้หญิงไม่น่าไปเอาซะเลย


แต่งตัวเสร็จพอดี มีเสียงเคาะประตู ฉันดูที่ช่องตาแมว เห็นเค้านั่นแหละยืนอยู่

เปิดประตูออกไป เขายิ้มหวาน
ถามว่า "มีที่เป่าผมมั้ยครับ ขอยืมหน่อยครับ"

ฉันให้เค้ายืมที่เป่าผม เค้าบอกว่า
"เดี๋ยวเอามาคืนนะครับ รอพี่ด้วยน้า จะได้ลงไปทานอาหารด้วยกัน"

"ค่ะๆๆๆ" ใจอ่อนไม่เข้าเรื่องเล้ย

แล้วเราลงไปทานอาหารเช้าพร้อมกัน ตอนเดินเข้าห้องอาหาร มีลูกเรือหลายคนนั่งอยู่แล้ว ทุกคนหันมามองที่ฉันและเขา...
ขอโทษที่ช้านะคะ คนแก่รำลึกความหลัง ต้องค่อยเป็นค่อยไปค่ะ

ต่อเลย

ช่วงทานอาหาร สรุปกันว่าวันนั้นเราทั้งหมดจะไปเที่ยวชายทะเลกันทุกคน โดยมีผู้จัดการสถานี (station manager)จัดรถมารับเรา แล้วต่อด้วยอาหารเย็นที่บ้านท่านเลย

ลืมบอกไปว่าพี่เค้าเป็น co-pilot หรือนักบินที่สอง ยังไม่ได้เป็นกัปตัน ซึ่งหมายถึงนักบินที่หนึ่ง กัปตันจะมีหน้าที่ควบคุมรับผิดชอบการบินทั้งหมด และมีสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจคนเดียว

วันนั้น เค้าพยายามอยู่ใกล้ฉันตลอดเวลา คุยกันไปไม่รู้กี่เรื่อง คุยเรื่องอเมริกา เค้าเรียนจบจากที่นั่น คุยเรื่องหนังสือ คุยเรื่องดนตรี ฯลฯ

ช่างคุยกันได้ทุกเรื่อง ตอนอาหารเย็น มีการดื่มเหล้ากัน (ในประเทศที่ห้ามดื่ม- กฎมีไว้แหกเสมอ)

ฉันมันเด็กดี ดื่มไม่เป็น แอร์บางคนทั้งดื่มเหล้า ทั้งสูบบุหรี่
เรื่องส่วนตัว ไม่ว่ากัน อย่าเมาตอนทำงานละกัน

สายการบินนี้มีกฎห้ามดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชม.ก่อนบิน

พี่เค้าชักเริ่มเมา (หรือเมาดิบไม่รู้เหมือนกัน) เค้ามากระซิบว่า
"โอย.. ทำไมน้องสวยอย่างงี้ นี่ถ้าพี่ยังโสด จะขอน้องแต่งงานเดี๋ยวนี้เลย"

ฉันหน้าแดง (อันนี้พี่จี๊ดบอก) ไม่รู้จะพูดว่าไงดี เลยถามเค้าไปว่า

"พี่มีลูกกี่คนแล้วคะ"

"สองคนครับ ห้าขวบคนนึง เก้าเดือนคนนึง ผู้หญิงทั้งคู่"

เค้ามีเจ้าของๆๆๆๆท่องไว้ๆๆๆๆ

แต่หัวใจสาวน้อยไม่เคยมีแฟนมันเตลิด เพราะเค้าหล่อแถมมีเสน่ห์มั่กๆ จริงๆนะ

คืนนั้นจบลงด้วยการกลับห้องใครห้องมัน

เหตุการณ์เป็นแบบนี้ซ้ำๆ คือไปไหนๆกันทั้งไฟลท์ เค้าเกาะติดฉัน แยกย้ายกันเข้าห้อง แต่...ความสัมพัน์ของเราคืบหน้าอย่างเร็ว เพราะ...
เค้าโทร.มาที่ห้องฉัน คุยกันต่อคืนละสองสามชั่วโมง ทำเอาตอนเช้าฉันตื่นแทบไม่ไหว

สรุปคือ เค้าจีบฉันนั่นแหละ

ฉันเองก็ไม่ยักห้ามใจตัวเอง คิดแค่ว่า คุยกันขำขำ เดี๋ยวกลับ กทม.ก็ไม่เจอกันแล้ว

คืนสุดท้าย เค้ามาหาฉันที่ห้องจนได้ เค้าบอกว่ารักฉัน ตามสไตล์ผู้ชายที่อยากได้ของใหม่ๆ
แต่ตอนนั้นฉันปลื้มมากกว่าจะรู้ทัน

อย่าค่ะ อย่าเพิ่งคิดนะว่าฉันเสร็จเค้า ยี่สิบกว่าปีที่แล้วนะ
ฉันไม่เคยด้วย ไม่กล้า แต่โง่ไปเหมือนกัน เพราะสารภาพว่ารักเค้าด้วย ยังไงก็ตามฉันยืนยัน

"พี่กลับห้องดีกว่านะคะ"

ลงท้าย ได้แค่กอดๆหอมๆ ฉันก็ฝันดี แหม ตอนนั้นมันโง่นี่นา

รุ่งขึ้นบินกลับ เครื่องลง เดินออกมาที่ตรงผู้โดยสารขาออก ฉันมีความรู้สึกว่ามีสายตาจ้องมาที่ฉัน มองหา เจอะหน้าเค็มๆ ดุๆ (รู้สึกแบบนั้นจริงๆ) จ้องฉันเขม็ง

เธอคนนั้นดูอายุมากกว่าฉันเยอะ จูงเด็กผู้หญิงหน้าตาเหมือนพี่เค้าเด๊ะเลยมาด้วย พอพี่เค้าเดินออกไป ลูกสาวเค้าก็วิ่งเข้ามากอดขา (ลูกสาวห้าขวบตัวสูงยังไม่ถึงเอวพ่อเลย)

" นั่นไงๆ เมียเค้า มาดักอีกละ ท่าทางพี่เค้ากลัวเมียนิ" พี่จี๊ดเธอเม้าท์

ฉันกับเค้าจากกันวันน้นโดยไม่ได้ร่ำลา ไม่มีการขอเบอร์ ไม่มีการบอกว่าจะติดต่อกันอีก

สมัยนั้นมือถือยังไม่มีเลยค่ะน้องๆ
กลับบ้านไป ฉันคิดถึงเค้ามากจนนอนร้องไห้ตาบวม อีกสองวันต้องไปบินอีกไฟลท์นึง ชั้นจะมีเรี่ยวแรงไปบินมั้ย อกหักอย่างแรง อกหักครั้งแรก เค้ามีเจ้าของๆๆๆ

ร้องไห้มันทั้งสามคืนที่อยู่บ้านเลย คืนสุดท้ายร้องน้อยหน่อย เพราะกลัวตาบวม เดี๋ยวไม่สวย

ตอนเช้าไปบินจาร์กาต้า อินโดนีเซีย นอนค้างหนึ่งคืน

วันนั้นไม่เห็นนักบินเลย และคิดว่าไม่มีเค้าอยู่ด้วยหรอก เพราะเครื่องที่บินมันไม่ใช่แบบที่เค้าบิน

คือนักบินจะบินเครื่องแบบเดียวเท่านั้น ใครอยู่ fleet ไหนก็บินตามนั้น

ถ้าจะเปลี่ยนชนิดของเครื่องที่บิน ต้องเรียนใหม่ และถ้าจะกลับไปบินเครื่องที่เคยบินก็ต้องกลับไปเรียนใหม่อีก

ต่างจากแอร์ สจ๊วต ที่บินเครื่องไหนๆ ได้หมด เพราะการบริการมันเหมือนๆกัน ต่างกันแต่พวกอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องจำให้ได้หมดทุกเครื่องว่าอะไรอยู่ตรงไหน มีงงๆกันบ้าง ในที่สุดก็คุ้นไปเอง

ก่อนเครื่องลงที่จาร์กาต้า เจอนักบินเข้าจนได้ โอยยยย
คนนี้ยิ่งหล่อ อะไรกั๊น เค้าคัดนักบินที่หน้าตาหรือความสามรถนะ เสียวเครื่องตกอ่ะ

คนนี้เค้ามาแปลกค่ะท่านผู้อ่าน เค้าตรงเข้ามาหาฉันพร้อมกับดอกไม้ช่อใหญ่เบิ้ม...ยื่นให้..

"พี่...(กิ๊กไฟลท์เดียวของฉัน)...ฝากมาให้น้องครับ"

ท่ามกลางสายคตาประชาชี ฉันคงหน้าแดงอีกตามเคย

"ขอบคุณค่ะ"

มีจดหมายปิดผนึกมาด้วย
มาแล้วค่ะ ไปบ้านคุณแม่มา ไม่นึกว่าจะมีชาวพันทิปรออ่านเยอะแบบนี้เลย (แอบดีใจ)

นี่ไม่ใช่นิยาย เป็นเรื่องที่เขียนจากความทรงจำชนิดตีแผ่เรื่องตัวเองเลยค่ะ ยิ่งพิมพ์ยิ่งนึกนู่นนี่ออก เลยกะจะเล่าไปเรื่อยๆนะคะ ขอบพระคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านค่ะ

ต่อเลยค่ะ...

จดหมายปิดผนึก จ่าหน้าซองด้วยลายมือตัวโต๊ โต แบบที่ฉันไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน อยากอ่านจะแย่ แต่เป็นเวลาทำงาน ต้องเก็บใส่กระเป๋าถือไว้ รออ่านตอนเข้าห้องที่โรงแรมแล้ว

ก่อนเข้าห้อง ฉันแอบเห็นพี่นักบินคนที่หอบช่อดอกไม้มาให้เหล่ฉันใหญ่ แต่ฉันไม่สนร้อก ในเมื่อฉันสนอยู่แต่จดหมายจากอีกคนนึงต่างหาก

ไม่ได้นึกสังหรณ์เลยว่าคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตฉัน คือคนส่งดอกไม้นี่เอง

มาถึงตอนนี้ ท่านผู้อ่านอาจจะสับสน ตัวละครเพิ่มขึ้น ฉันขอตั้งชื่อให้เค้าทั้งสองคนเลยละกัน

คนแรกที่เจอแล้วปิ๊งสุดสุด สมมุติชื่อพี่อิน

คนที่หอบดอกไม้จากพี่อินมาให้ชื่อ พี่หนิง

ส่วนฉัน ชื่อริน


ฉันเข้าห้อง ล็อกประตู รีบเปิดจดหมายออกอ่าน ข้อความในนั้นทำเอาฉันน้ำตาซึม อ่านวนเวียนไปมาอยู่หลายรอบ

พี่อินเขียนมาว่า ...น้องรินครับ

พี่ตื่นขึ้นมาทุกวันด้วยความรู้สึกว่าชีวิตขาดอะไรไป ตั้งแต่พบน้องริน ดอกไม้บานในใจพี่เหลือเกิน

เมียพี่เค้ารู้ว่าพี่ชอบน้องริน เค้าบอกว่า เห็นเดินออกมาก็รู้เลยว่า พี่ไม่ปกติซะแล้ว

พี่ยอมรับกับเขาว่าพี่ชอบน้องริน แต่อยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม

พ่อพี่มีเมียสามคน แม่พี่เป็นคนที่สอง พี่ไม่อยากให้ลูกพี่ต้องมีพ่อเป็นอย่างพ่อพี่

แต่พี่ห้ามใจไม่ได้ น้องรินเป็นคนน่ารัก มีเสน่ห์เหลือเกิน

ธรรมดาพี่ไม่เคยชอบผู้หญิงผิวขาวเลย แต่น้องรินเป็นข้อยกเว้น

ในที่สุด เมียพี่เค้าบอกว่า จะชอบใครก็ได้ตามใจ แต่เค้าขอให้ BANGKOK เป็น TERRITORY ของเค้าเท่านั้น

พี่ยังหวังเสมอว่าจะได้พบน้องรินอีก พี่อยากเห็นน้องรินมีความสุขนะครับ

ถ้าคิดถึงพี่ ยิ้มเข้าไว้นะจ๊ะ อย่าเศร้า

ขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้เราได้พบกัน ถึงจะสาย

แต่พี่อดที่จะรักน้องรินไม่ได้เลย.......



จดหมายยาวกว่านี้อีก แต่ฉันจำได้เท่านี้

อ่านจดหมายอยู่นานแค่ไหนไม่รู้ โทรศัพท์ในห้องดัง ยุ้ยเพื่อนแอร์รุ่นใกล้ๆกัน และเรียนรร.เดียวกันมาตั้งแต่ ม.ปลาย โทร.มา

" ริน ไปกินข้าวเย็นกันป่ะ เคยกินขากบมั้ย เราจะพาไป"

"แหยะ ขากบรัยยุ้ย ไม่เห็นอยากกิน รินไม่ชอบกินตัวแปลกๆ" นึกถึงก็ไม่อยากกินแล้ว

"ไปเหอะริน พี่หนิงเค้าจะพาไป เค้าจีบเราอยู่ นะๆ ไปเป็นเพื่อนเราหน่อย" ยุ้ยตื๊อต่อ

"เอ๊า จีบกันแล้วให้เราไปเป็นกขค.ทำไม" ฉันสงสัย

"เหอะน่า แล้วจะเล่าให้ฟัง" ยุ้ยพูดชวนสงสัย

เอ้า ไปก็ไป ฉันแต่งตัวสวยลงมารอยุ้ยที่ล็อบบี้โรงแรม เจอกัปตัน ฉันยกมือไหว้ อย่างสวยงามตามที่ถูกอบรมมา


สายการบินนี้ถืออาวุโสจัด เจอกันต้องไหว้ เมื่อเช้าเพิ่งเจอ มาเจออีกตอนเย็นก็ต้องไหว้ ไหว้กันจนเวียนหัว

บางทีเผลอไปไหว้ลูกเรือสายการบินอื่นที่หน้าตาแบบคนไทยเข้าให้ เจอเค้าทำหน้างงๆตอบ

แต่ทำไงได้ เค้าสั่งให้ไหว้ ก็ไหว้ไว้ก่อน ไหว้ผิดไหว้ถูกช่างมัน ดีกว่าโดนรายงานว่าเจอผู้มีอาวุโส(ในการทำงาน)แล้วเมิน ไม่ทำความเคารพ


ระบบทหารชัดๆ สายการบินนี้
รอที่ล็อบบี้ครู่หนึ่ง ยุ้ยกับพี่หนิงลงลิฟท์มาพร้อมกัน ยุ้ยหน้าบาน แต่พี่หนิงทำหน้าเหนื่อยๆ ไม่ดูสดชื่นหวานแหววแบบคนจีบกันซักกะนิด

ไปทานข้าวเย็นกันสามคน พี่หนิงเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งที่ร้านอาหาร และฉันได้ชิมขากบเป็นครั้งแรก อืมมมม อร่อยมากๆ ไม่นึกว่าจะอร่อยขนาดนี้ เหมือนไก่ทอดกรอบๆหอมๆ กรุบๆ

ระหว่างทาน ฉันไม่ค่อยได้คุยอะไร ยุ้ยเป็นคนชวนพี่หนิงคุยมากกว่า ดูท่าทางที่ยุ้ยบอกว่า พี่หนิงจีบยุ้ยแล้วทำให้ฉันออกจะแปลกใจว่าตกลงยุ้ยจีบพี่หนิงหรือพี่หนิงจีบยุ้ยกันแน่

พี่หนิงพูดน้อยมาก กิริยามารยาทเรียบร้อย เป็นสุภาพบุรุษ ไม่เหมือนพี่อินที่คุยเก่ง แซวคนนั้นคนนี้ได้เรื่อย พี่หนิงดูขรึมมาก อาจจะเป็นเพราะเค้าเป็นแค่ S.O (system operetor)หรือนักบินที่สามเท่านั้น

นักบินที่สามนี่คือนักบินที่เพิ่งเข้าใหม่ ต้องนั่งข้างหลังนักบินที่หนึ่งและสอง ทำหน้าที่ติดต่อหอบังคับการ และเช็คปุ่มต่างๆมากมายใน cockpit ยังไม่ได้ขับเครื่องบิน จนกว่าระยะหนึ่งผ่านไป (อย่างน้อยสองปี) ถึงจะได้เลื่อนขึ้นเป็น co-pilot


ฉันทานข้าวไปแบบใจคอไม่ค่อยอยู่กับตัวเท่าไหร่ นึกถึงแต่พี่อิน ข้อความในจดหมายวนเวียนซ้ำซากอยู่ในหัว

พี่หนิงหันมาถามฉันว่า

"อร่อยมั้ยครับ ขากบร้านนี้อร่อยที่สุดในจาการ์ต้าเลยนะครับ"

"อร่อยค่ะ อร่อยมาก" ฉันคุยกับพี่หนิงแค่นั้นจริงๆ

จบมื้อเย็นด้วยการไปช้อปปิ้งที่ศูนย์การค้าแถวๆนั้น ฉันบอกยุ้ยว่า ขอแยกกันเดินละกัน มาเจอกันก่อนห้างปิด แล้วค่อยกลับด้วยกัน

อยากเปิดโอกาสให้เพื่อน บวกกับเดินดูของคนเดียวสบายดี ไม่ต้องพะวงรอใคร อยากดูอะไรดูได้ตามใจ

เดินในห้างไปมา ปะทะกับพี่หนิง เห็นเค้าอยู่คนดียว ถามได้ความว่ายุ้ยไปเข้าห้องน้ำ พี่หนิงบอกฉันว่า


"พี่อินบอกพี่มาว่าให้เอาดอกไม้ให้คนที่เห็นแล้วคิดว่าใช่คนที่พี่อินปลื้ม พี่เห็นรินแล้วคิดว่า ใช่แน่นอน "

พี่หนิงมองฉันแบบสบตาเปิดเผย ถ้ายุ้ยมาเห็นจะเป็นไงเนี่ย


ฉันขอตัวเดินไปทางอื่น เลิกนึกเรื่องพี่หนิง คิดถึงพี่อินแทน

ถึงเวลากลับโรงแรม นั่งแท็กซี่กลับ แยกย้ายกันเข้าห้อง โดยที่ฉันไม่รู้สักนิดว่าคืนนั้น พี่หนิงกับยุ้ยนอนห้องเดียวกัน
ความสัมพันธ์ของพี่หนิงกับยุ้ยเป็นที่รู้กันทั่ว ขาเม้าท์ทำหน้าที่อย่างเมามัน ว่าพี่หนิงน่ะหล่อจัด เรียนเก่ง พ่อแม่ปลาบปลื้มลูกชายคนนี้มาก แต่..ทุกอย่างมีข้อแม้

...พี่หนิงเป็นพ่อม่าย มีลูกติดด้วย...

เมียเก่าเป็นแอร์ที่ลาออกไปเพราะท้อง สมัยนั้นยังไม่มีการอนุญาตให้แอร์ท้องได้

กฎของบริษัทผิดหลักธรรมชาติมาก แต่งงานได้ แต่ท้องไม่ได้ ใครท้องต้องลาออกสถานเดียว

เม้าท์กันว่า เมียพี่หนิงเป็นรุ่นสุดท้ายที่ท้องแล้วต้องลาออก

ต่อจากนั้นมีการเปลี่ยนกฎบริษัทใหม่ ให้แต่งงานได้หลังพ้นระยะทดลองงาน และท้องได้หลังจากทำงานเกินสามปี

มีสิทธิ์ท้องได้ไม่เกินสองครั้ง ยกเว้นกรณีแท้ง ท้องใหม่ได้

ยังไงก็เป็นกฎพิลึกๆในความรู้สึกฉันอยู่ดี


พูดถึงกรณีให้ท้องได้ไม่ได้ ขอนอกเรื่องเล่าหน่อยว่า เวลาที่ท้อง ต้องรีบเอาใบรับรองแพทย์พร้อมด้วยทะเบียนสมรสไปแจ้งผู้บังคับบัญชา


ประมาณว่า ..หนูท้องมีพ่อนะเจ้าคะ

ถึงแม้จะเคยแจ้งบริษัทแล้วว่าแต่งงาน ยังต้องเอาทะเบียนสมรสไปโชว์อยู่ดี

มีแอร์บางคน ท้องกับสามีคนอื่น หรือท้องแบบผู้ชายไม่ตั้งใจให้ท้องแต่ผู้หญิงอยากท้อง หรือท้องแบบไม่ตั้งใจทั้งสองฝ่าย ฝ่ายชายไม่สามารถจดทะเบียนสมรสด้วยได้

ฝ่ายแอร์หญิงสาวต้องขอให้เพื่อนสจ๊วตสาวที่มือไม้อ่อนช่วยเซ็นต์ทะเบียนสมรสให้ที แล้วค่อยหย่าทีหลัง

เพื่อนสจ๊วตเอวอ่อน มืออ่อนหลายคนตกเป็นเครื่องมือรับใช้เพื่อนแอร์มาแล้ว

ผู้หญิงด้วยกัน ต้องเห็นใจกันจ้า
ไปนอนก่อนนะคะ พรุ่งนี้มาต่อ...

หลับฝันดีนะคะทุกท่าน
สวัสดีค่ะ อยากเขียนเยอะๆนะคะ แต่ภาระทางบ้านมากค่ะ

ตื่นมาทำงานบ้าน ทำกับข้าวให้ลูกทาน แล้วรีบมาเปิดคอมพ์เลยนี่แหละค่ะ

เรื่องมันยาวกว่าที่คิดไว้ เพราะไหนๆเล่าแล้วเลยอยากเล่าเรื่องเพื่อนร่วมงานรอบๆตัวและเรื่องภายในบริษัทด้วย

เพื่อให้องค์ประกอบของเรื่องดูเป็นซีรี่ส์ที่มีตัวละครหลายๆตัว

อยากให้ชาวพันทิปอ่านสนุกและได้ความรู้นิดๆหน่อยๆเรื่องชีวิตทาสบนฟ้าอ่ะคะ

ทั้งหมดมีตัวจริงในชีวิตเราค่ะ
ฉันทำงานต่อไป บินอีกหลายไฟลท์ รับฟังเรื่องราวชาวบ้าน โดยที่ตัวเองไม่ค่อยรู้จักใครนัก เพิ่งบินปีแรก

ได้แต่ฟังรุ่นพี่ๆเค้าเม้าท์กัน

บางเรื่องฟังแล้วมึน ว่า เออ แบบนี้มีด้วยเหรอ

นานเลย กว่าฉันจะรู้ด้วยตัวเอง ว่าอะไรก็เกิดขึ้นใต้ ภายใต้ดวงอาทิตย์ดวงนี้

ฉันยังนึกถึงพี่อินอยู่ แต่เขาเงียบหายไปเลย การที่จะมีโอกาสบินเจอกันนั้นยากมาก ลูกเรือและนักบินเยอะ ต่างคนต่างบิน ไม่มีการร่วมงานกันเป็นกลุ่ม

ใครอยากบินกับใครจริงๆต้องพยายามแลกตารางบินให้ตรงกัน

เป็นเรื่องวุ่นวายอยู่ตลอด เรื่องแลกไฟลท์ตามกัน หนุ่มสาวจีบกันยังเป็นเรื่องปกติ แต่บางคนที่มีแฟนแล้วหรือแต่งงานแล้ว แอบมาบินด้วยกัน บนเครื่องทำเมินใส่กัน ลงเครื่องลับหลังคน ..


นอนห้องเดียวกัน หลบชาวบ้านอยู่กันสองคน

คงไม่ต้องบรรยายว่าสองคนทำอะไรกัน...ท่านผู้อ่านนึกภาพออกใช่ป่าววว


วันนั้นฉันนอนอยู่บ้าน คิดอะไรเพลินๆ โทรศัพท์ดัง...

ฉันไม่รีบลุกไปรับหรอก เพราะรีบมาหลายครั้ง ผิดหวังทุกที

ดังอยู่นาน ฉันจึงยุรยาตรไปรับ "ฮัลโหลลลลล"

"น้องริน นี่พี่อินนะครับ พี่กำลังจะไปบิน โทร.ที่แอร์พอร์ต คิดถึงน้องรินมากครับ" เสียงกระตุ้นหัวใจฉันดังมาตามสาย

"น้องริน สบายดีมั้ยครับ คิดถึงพี่บ้างมั้ย"

อยากจะตอบว่า คิดถึงทุกลมหายใจก็พูดไม่ออก ได้แต่รับคำ "ค่ะ"

"น้องรินทำไมพูดได้แต่ค่ะ ค่ะ โกรธพี่เหรอครับ พี่ขอโทษที่โทร.มาช้า กว่าจะได้เบอร์น้องริน ..." เขาแก้ตัว

"พี่ต้องไปขึ้นเครื่องแล้วนะครับ ไปเดลี อยู่สี่วันแน่ะ อยากให้น้องรินไปด้วยจริงๆ " เขาพูดอยู่คนเดียว

"เทคแคร์นะครับ i love you"

"ค่ะ nice flight นะคะพี่อิน" อยากพูดอีกมากมาย แต่ไม่กล้าพูด รู้ตัวว่าเราไม่ควรพูดมาก เขามีเจ้าของๆๆๆๆท่องไว้ๆๆๆ


พี่อินวางสายไป ฉันร้องไห้ เจ็บหนึบๆที่หัวใจ โทรศัพท์ดังอีก

"ฮัลโหลลลลล"

"หวัดดีครับ นี่พี่หนิงพูดนะครับ รินจำได้มั้ย"

เฮ่อ ทำไมจะจำไม่ได้ ก็พี่เป็นหนุ่มสุดฮ็อตของบริษัท แอร์พูดถึงกันทุกไฟลท์

"จำได้ค่ะ มีธุระอะไรให้รินรับใช้เหรอคะ" ตอบไปอย่างเรียบร้อย

"วันนี้รินว่างมั้ยครับ ไปทานข้าวเย็นกับพี่ได้มั้ยครับ พี่อยากปรึกษารินเรื่องยุ้ยหน่อย"

คุยกันไปมา ฉันตกลงไปทานข้าวกับเขา นัดเจอกันที่เซ็นทรัลลาดพร้าว

ยุคนั้น ฉันยังสวยอยู่ ตรงสเป็คผู้ชายมากมาย แบบเดินไปไหนๆมีแต่คนมอง

มาถึงตอนนี้ ส่องกระจกแล้วปลง สังขารไม่เที่ยงจริงๆ

พี่หนิงดูยิ้มแย้มแจ่มใส เขาพาฉันไปทานข้าวที่ร้านเก่าแก่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา


ที่ร้านอาหาร ฉันเจอพี่ตุ๊ก ดวงตา ตุงคะมณี รุ่นพี่ที่รร. พี่ตุ๊กเข้าวงการแล้ว ตัวจริงพี่ตุ๊กสวยมากกกกกกกกกกก

พี่ตุ๊กว่า "ริน อยากเล่นหนังมั้ย ท่าทางรินเป็นนางเอกได้สบายเลย "

"ไม่หรอกค่ะพี่ตุ๊ก รินไม่ขึ้นกล้อง ถ่ายรูปไม่เคยสวย อยู่ที่การบินไทย เค้าเอาไปเทสต์หน้ากล้อง จะให้ถ่ายโฆษณาก็ไม่ผ่าน ได้แต่ถ่ายภาพนิ่งทีสองที ไม่เอาไหนเลยพี่ตุ๊ก"ฉันสาธยาย

"แล้วนั่นแฟนรินเหรอ หล่อชะมัด"

"555 พี่ตุ๊กขา จะชวนเค้าไปเล่นหนังเหรอคะ เค้าเป็นนักบิน แฟนเพื่อนรินเอง"

"แฟนเพื่อน แล้วไหงมากับรินสองคนล่ะ"

"เค้ามีเรื่องเพื่อนรินจะคุยกับรินน่ะค่ะ"

"รินระวังเหอะ แผนเค้าจะจีบรินอ่ะดิ คนหล่อก็แบบนี้ เจ้าชู้ หว่านไปทั่ว"


โดย: birdchicago วันที่: 28 เมษายน 2550 เวลา:18:54:43 น.  

 
....พี่ตุ๊กพูดจริงเลยเชียว....


พี่หนิงเล่าให้ฉันฟังว่า ยุ้ยติดเขามาก แลกไฟลท์บินตามเค้าตลอด เค้ายังไม่แน่ใจเลยว่าชอบยุ้ยแค่ไหน (เห็นมั้ย ชอบแค่ไหนไม่รู้ แต่เอาไปแล้ว)
เชอะๆๆๆ


เค้าอยากเลิกกับยุ้ย ยุ้ย"ไม่ใช่" สำหรับเขาเลย

ในสายตาฉัน ยุ้ยไม่สวยมาก แต่น่ารัก ดูดี คุณแม่เธอมีเชื้อสายราชนิกูล เป็นหม่อมราชวงศ์ คุณพ่อเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยที่ฉันจบมา แต่ยุ้ยกลับจบมหาวิทยาลัยเอกชนเพราะเอ็นท์ไม่ติด

น้าของยุ้ยท่านหนึ่ง เป็นหม่อมราชวงศ์ ทำงานเป็นสจ๊วต และเลื่อนขั้นเป็นเพอร์เซอร์แล้วในตอนนั้น

เพอร์เซอร์ คือ หัวหน้าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ก้าวมาจากเป็นสจ๊วตระยะหนึ่ง แล้วสอบเลื่อนขั้น ตอนฉันบินใหม่ๆ เพอร์เซอร์มีแต่ผู้ชาย

สิบกว่าปีให้หลัง ถึงเริ่มให้แอร์สอบเพอร์เซอร์ได้

คุยกันไป ทานข้าวไป ฉันรู้สึกเพลินดีเหมือนกัน ก็คนกำลังเจ็บปวด พอมีคนมาเอาใจ มาทำท่าดูแลเลยเริ่มสบายใจ

เข้าทางพี่หนิงเค้าแล้ว
พี่หนิงกลับไปส่งฉันที่เซ้นทรัล เขาเดินมาส่งฉันที่รถ แล้วถามว่า "พี่โทร.หารินอีกได้มั้ยครับ"

"ได้สิคะ เป็นเพื่อนกัน ทำไมจะโทร.ไม่ได้"

ฉันขับรถกลับบ้าน จัดกระเป๋าเตรียมบินตอนบ่ายวันรุ่งขึ้น
พออยู่คนเดียว คิดถึงพี่อินอีกแล้ว เวรกรรมรัยนี่ ต้องมารักคนมีเจ้าของ ชอกช้ำนักหนา

ร้องไห้อีกแล้ว

เอาน่า สู้ สู้ บอกตัวเองว่าอย่าทำอะไรให้พ่อแม่เสียใจนะ พ่อแม่เลี้ยงเรามาดีขนาดนี้ เราต้องเป็นคนดีสิ

วันรุ่งขึ้นไปบิน เวลาไปบินแต่ละไฟลท์ ต้องไปรายงานตัว สองชั่วโมงครึ่งก่อนเครื่องออก สมัยฉันบินใหม่ๆยังไม่มีศูนย์ลูกเรือใหญ่โตเหมือนปัจจุบันนี้ ต้องไปรายงานตัวที่สำนักงานใหญ่ ซึ่งจัดตึกเอาไว้ตึกหนึ่งสำหรับลูกเรือโดยเฉพาะ

เราต้องไปเซ็นต์ชื่อที่ตรงโต๊ะ supervisor on duty พี่พวกนี้เป็นแอร์เก่า คอยดูแลเราหัวจรดหาง เอ๊ย ไม่ใช่ หัวจรดเท้า

ดูว่าเราสวมเครื่องแบบเรียบร้อยมั้ย กระโปรงต้องอยู่พอดีเข่า ต้องสวมถุงน่องสีเข้ากับผิว รองเท้าคัทชูส้นสูงสีดำตามกฎบริษัท

ต้องทำเล็บมาให้สวย ทาเล็บด้วยเฉดสีแดง ส้ม ชมพู เท่านั้น จะมาทาสีม่วง สีน้ำเงิน สีทอง ไม่ได้

สียอดนิยมของแอร์คือสีน้ำตาลอ่อนอมชมพูอมส้ม เพราะมันเลอะหรือลอกแล้วสังเกตไม่ค่อยเห็น บางคนลืมทาเล็บมา มาทาในรถ เดินกางมือมาราวแม่เสือจะตะปบเหยื่อ

ทรงผม ถ้ายาวเลยไหล่ต้องรวบให้เรียบร้อย จะถักเปีย เกล้ามวย หรืออะไรก็ได้ที่เก็บผม ห้ามทำหางม้าไกวแกว่ง เดี๋ยวไปแกว่งโดนผู้โดยสารเข้าจะเดือดร้อน

แต่ฉันก็เห็นแอร์สายการบินอื่นเค้าไว้หางม้ากัน ไม่เห็นจะเป็นไร น่ารักดีออก

ถ้าผมสั้น ต้องตัดทรงสุภาพ ห้ามซอยทรงพิสดาร ส่วนใหญ่แอร์ผมสั้นจะไว้บ๊อบกัน ไม่ก็ซอยสั้นๆถ้าหน้าให้และหัวทุย


ห้ามทำสีผมเด็ดขาด


supervisor on duty หลายท่านจะเข้มวงดมาก ขนาดให้กางนิ้วดูเล็บเหมือนตอนอยู่ที่รร. ให้เปิดเสื้อดูว่าสวมสลิปหรือเปล่า

เพราะชุดไทยที่สวมตอนทำงานบนเครื่อง ตัวเสื้อจะสั้นและพอดีตัว ถ้าเราช่วยผู้โดยสารเก็บของไว้ที่ที่เก็บของเหนือศีรษะ เสื้อจะเลิกขึ้นไปเห็นเนื้อ หากไม่สวมสลิป


เป็นแอร์ รายละเอียดเยอะ กฎเกณฑ์มากมาย


รายงานตัวตามเวลาแล้วเข้าห้องbrief ตามไฟลท์ที่เราจะไป เพอร์เซอร์จะเป็นผู้ทำหน้าที่สรุปให้พวกเราฟังและเม็มไว้ในหัวว่า...


ไฟลท์นี้กัปตันชื่ออะไร ชั่วโมงบินประมาณกี่ชั่วโมง

ผู้โดยสารแต่ละคลาสกี่คน อาหารมีอะไรบ้าง

เรื่องอาหารนี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องทำการบ้านมา

ต้องรู้ว่าสิ่งที่เราเสิร์ฟปรุงมาจากอะไรบ้าง

ไวน์ที่เสิร์ฟผลิตปีไหน จากองุ่นแคว้นไหน ประเทศอะไร

ซึ่งบริษัทจะสอนเราในตอนเทรนนิ่งก่อนขึ้นบิน


ทุกคนต้องอัพเดทตัวเองเรื่อยๆ ถ้าตอบอะไรผู้โดยสารไม่ได้ในเรื่องที่ควรตอบได้ จะโดนมิใช่น้อย


ฉันถูกวางตำแหน่งให้ยืนรับผู้โดยสารที่ประตูสอง


บทบาทคือไหว้ แล้วขอดูบอร์ดดิ้งพ้าส (บัตรผ่านขึ้นเครื่อง จะมีชื่อผู้โดยสาร และหมายเลขที่นั่ง แยกสีตามชั้นที่ผู้โดยสารจ่ายเงินซื้อตั๋วไป)

ดูบอร์ดดิ้งพ้าส แล้วผายมือไปทางซ้าย ทางขวา แล้วแต่ที่นั่งผู้โดยสารจะไปทางไหน

ซึ่งจะมีแอร์และสจ๊วตที่เหลือยืนรอรับอยู่ตามจุดต่างๆในเคบิน

ระหว่างที่ฉันกำลังยืนรอรับผู้โดยสาร ขบวนนักบินเดินขึ้นเครื่องมา นำหน้าด้วยกัปตัน ปิดท้ายด้วย.... พี่หนิง
(โฮะ โฮะ มาได้งัยนี่ ตั้งใจป่าว)

ฉันยกมือไหว้ทุกคน นักบินตะเบ๊ะตอบ (ใส่หมวกอยู่)

พี่หนิงในเครื่องแบบหล่อจัดจริงๆน่ะแหละ ฉันเพิ่งมองเค้าชัดๆ เวลาสวมเครื่องแบบ

เค้าดูเท่ห์กว่าพี่อินอีก


กัปตันทักฉันว่า " ชุดไทยหนูสวยมาก"
ฉันยิ้มตอบ "ขอบคุณค่ะ"

เป็นชุดสีเหลืองมะนาว สไบสีทอง

พี่หนิงมาบอกทีหลังว่าวันนั้นเค้านึกว่าฉันเป็นนางฟ้าตัวจริงมาเลย

ปากหวาน เด็กสาวๆอย่างฉันก็ปลื้มไป

ลืมคิดถึงพี่อินไปชั่วขณะ
ขอบคุณที่สุดเลยที่ติดตามอ่านค่ะ แบบนี้มีกำลังใจเขียนต่อ

วันนี้คาดว่าเขียนไม่จบแน่ เอาเป็นว่าจะเขียนไปเรื่อยๆนะคะ ไม่มีกำหนดจบ จะได้เปิดอ่านกันทุกวันไงคะ

ต่อเลย...

ที่สิงคโปร์ พี่หนิงพาฉันกับเพื่อนอีกคนชื่อกิ๊บไปทานข้าวเย็น ฉันได้ทานบากูเต๋ (กระดูกหมูต้มเครื่องยาจีน มีซีอิ๊วดำใส่พริกคล้ายพริกชี้ฟ้าเป็นน้ำจิ้ม ทานกับข้าวสวย อร่อยมากๆ) ทานไอ๊ซ์กะจัง (คล้ายน้ำแข็งใสบ้านเรา อร่อยมากอีกละ)

จากนั้นย่อยอาหารด้วยการไปเดินช้อปปิ้งแถวถนนออร์ชาร์ด ถนนช้อปปิ้งที่ขึ้นชื่อของสิงคโปร์

เดินกันไปสามคน กิ๊บคุยกับพี่หนิงไปเรื่อยๆ กิ๊บเป็นคนสวย ขี้เล่น หูตาพราวแพรว คนรุมจีบตรึม แต่เท่าที่รู้ตอนนั้นกิ๊บเพิ่งเลิกกับแฟนที่เป็นสจ๊วตมาหมาดๆ ดูกิ๊บดี๊ด๊ากับพี่หนิงน่าดู

เดินเข้าร้านโน้นออกร้านนี้ ของแบรนด์เนมทั้งนั้นเลย แพงมากในความรู้สึกคนเพิ่งทำงานอย่างฉัน เข้าร้าน FENDI ฉันติดใจกระเป๋าสะพายใบเล็กๆ เป็นรูปสี่เหลี่ยมเกือบจตุรัส ตรงมุมมีโค้งๆเดินเส้นสวยด้วยหนังสีน้ำเงินเข้ม ตัวกระเป๋าเป็นผ้ายีนส์ลาย FENDI ฉันชื่นชมกระเป๋าใบนั้นอยู่นาน กิ๊บบอกว่า

"น่ารักจัง รินเอาสิ"

"ไม่เอาหรอก ชอบมากเลยนะ แต่รินว่ามันแพงไป คิดเป็นเงินไทยตั้งเกือบห้าพัน"

ห้าพันสมัยนั้นหากเทียบสมัยนี้คงสักสามหมื่นมั้ง

"โห ริน เดี๋ยวเราก็หาตังได้อีก เป็นแอร์ต้องแต่งตัวดีๆ ดูพวกรุ่นพี่ๆดิ หลุยส์ กุ๊ชชี่ ดิออร์ กันทั้งนั้น" กิ๊บยุ

สุดท้ายฉันก็ไม่ซื้อ แต่กิ๊บไปเข้าร้านกุ๊ชชี่แล้วซื้อกระเป๋าถือมาใบนึง สวยแต่ไม่ใช่แบบที่ฉันชอบ กิ๊บบอก

"เนี่ย เจ็ดพันกว่า เมืองไทยก็คงซักหมื่นต้นๆ ได้ของถูกเห็นป่าว"

เออ เพื่อนฉันคนนี้ซื้อของแพงได้ถูกกว่าที่เมืองไทยก็ดีใจแล้ว ช่างมองโลกในแง่ดี และช่างใช้เงินเก่งจริงๆ




ระหว่างนั้นกิ๊บคุยจ๋อยๆกับพี่หนิง ไม่ค่อยสนใจฉันหรอก แต่ฉันรู้ด้วยสัญชาตญาณผู้หญิงว่าพี่หนิงแอบมองฉันตลอด

พากันนั่งแท็กซี่กลับโรงแรม แยกย้ายกันเข้าห้อง นัดกันว่าเช้าวันรุ่งขึ้นเราจะไปแหล่งช้อปของถูก คือ PEOPLE'S PARK นัดกันสิบโมงเช้า ช้อปได้ถึงบ่าย บินกลับกรุงเทพฯตอนค่ำ


ฉันมารู้หลังจากนั้นอีกนานว่า คืนนั้นพี่หนิงนอนห้องเดียวกับกิ๊บ

ฉันมันโง่จริงๆ รู้อะไรๆทีหลังชาวบ้านเค้าหมด
วันนี้ขออนุญาตทิ้งไว้แค่นี้ก่อนนะคะ ต้องไปตลาด อตก.ให้คุณแม่

และคงอยู่บ้านคุณพ่อคุณแม่จนดึก ถ้าไม่ง่วงมากจะมาโพสท์ดึกๆค่ะ

ไม่ต้องรอนะคะ

ค่อยเข้ามาอ่านพรุ่งนี้ พรุ่งนี้รับรองมีหลายตอนแน่ๆค่ะ

ขอบพระคุณชาวพันทิปอีกครั้งที่ช่วยอ่านค่ะ
ขอโทษที่มาช้าค่ะ วันนี้ขอต่อด่วนเลย

ต่อค่ะ

หลังจากไฟลท์สิงคโปร์นั้น ฉันมีวันหยุดสองวัน และ stand by 1 วัน รุ่งขึ้นจาก stand by มีไฟลท์บินไปโอซาก้า ซึ่งฉันชอบไปมาก ชอบทุกอย่างที่เป็นของญี่ปุ่น มันคิกขุน่ารัก ซื้อของแค่ไม่กี่เยน คนขายจะแพ็คให้อย่างสวยงามจนไม่อยากแกะ

ยังไม่เคยเห็นแพ็คเกจจิ้งของที่ไหนเนี้ยบสวยเท่าญี่ปุ่นเลย

ผู้โดยสารญี่ปุ่นส่วนใหญ่มารยาทงาม แต่ติดบุหรี่มาก ทุกไฟลท์ที่ไปญี่ปุ่น ผู้โดยสารจะมีการแย่งนั่งที่ตรงโซน smoking

ต่างจากเที่ยวบินอื่นที่ผู้โดยสารไม่ค่อยขอที่นั่งสูบบุหรี่ ทั้งที่ตัวสูบบุหรี่ คือนั่งบริเวณไม่สูบแล้วไปยืนสูบบุหรี่แถวๆโซนสูบบุหรี่ ถ้ามีที่นั่งว่างแถวนั้นท่านจะนั่งสูบสบายใจ
แล้วกลับไปที่นั่งตนเองที่ตรงไม่สูบ จะได้หายใจสบายอก

แต่คนญี่ปุ่นเป็นชาติที่มีระเบียบวินัย สูบก็บอกว่าสูบ ไม่เอาเปรียบใคร

สังเกตได้ว่าผู้โดยสารญี่ปุ่นสูบบุหรี่อยู่ยี่ห้อเดียว คือ MILD SEVEN

ชาตินิยมเอาจริงเอาจัง

ตอนนี้ห้ามสูบบุหรี่บนเครื่องบินหมดแล้ว น้องๆแอร์รุ่นใหม่ไม่ต้องดมควันบุหรี่แบบรุ่นฉันเมื่อก่อน

สงสารคนญี่ปุ่น เวลาก่อนขึ้นเครื่องบินคงอัดบุหรี่ไว้ทั้งซอง


(เรื่องคนญี่ปุ่นมีอีกเยอะ ขอติดไว้เล่าทีหลัง)



เมื่อฉันมี stand by วันก่อนหน้าบินไฟลท์โอซาก้า ฉันจึงกลัวมากว่าจะโดนเรียกไปบินที่อื่นแล้วอดไปโอซาก้า วางแผนไว้ว่า ในวัน stand by จะไม่รับโทรศัพท์ ปล่อยให้ดังไป แต่ไม่ยกหูออก

stand by คือการที่ลูกเรือคนนั้นๆต้องเตรียมพร้อมที่จะไปบินได้ทันทีที่ถูกเรียก ต้องอยู่บ้านทั้งวัน ห้ามออกไปไหน
จัดกระเป๋าให้พร้อม ทาเล็บ ทำผมไว้ด้วย

คือทำตัวเหมือนวันนั้นจะไปบิน แต่ไม่ออกไปถ้าไม่ถูกเรียก

สมัยนั้น ทางแผนกจัดตารางบิน และดูแลรับโทรศัพท์ลากิจ ลาป่วย รับแลกตารางบิน ฯลฯอยู่ที่สำนักงานใหญ่ ชั้นล่างของตึกที่พวกเราไปรายงานตัวก่อนบิน

เรียกว่าแผนก OB ต่อมาเปลี่ยนเป็น OJ ปัจจุบันคือ OD

เจ้าหน้าที่ใน OB เกือบทุกคนเคยเป็นแอร์ แต่มีปัญหาต่างๆนานา ในการไปบินไม่สะดวก อาทิ สุขภาพไม่ดี อยากทำงานภาคพื้นดิน มีภาระทางครอบครัวทำให้ไปค้างคืนที่ไหนไม่ได้ มีปัญหากับลูกเรือด้วยกันจนอยู่ไม่ไหว ฯลฯ ต่างลงมาอยู่ที่แผนกนี้ และกลายเป็นแผนกไม้เบื่อไม้เมากับลูกเรือ เพราะพวกเธอลืมกันไปหมดว่าอดีตเคยเป็นแอร์ และพวกแอร์สจ๊วตต่างก็แสบไม่น้อยในการหลบเลี่ยงหน้าที่


ผู้จัดการแผนกตอนนั้นคือ คุณ ยุรภรณ์ แม็คอินทอช

คุณแม่ของวิลลี่และแหม่ม



ถึงวัน stand by ฉันจัดกระเป๋าไว้เรียบร้อย อยู่บ้านคนเดียว คุณพ่อคุณแม่ไปทำงาน น้องสาวน้องชายไปเรียน

ฉันบอกสมาชิกในครอบครัวไว้เรียบร้อยว่าอย่าโทร.มาที่บ้าน ถ้าไม่มีเรื่องด่วนจริงๆ เพราะฉันจะไม่รับโทรศัพท์ กลัวได้ไปเมืองแขกแทนไปญี่ปุ่น

ช่วงเช้า โทรศัพท์ดังสองครั้ง ฉันไม่รับ

ช่วงบ่ายดังอีกสามครั้ง ฉันไม่รับสายตามเคย

ตอนเย็น มีคนมากดกริ่งที่ประตูหน้าบ้าน ฉันใจหายวูบ

ตกใจเพราะนึกว่า OB ส่งเมสเซ็นเจอร์มาตาม

ในกรณีที่เราไม่รับโทรศัพท์ OB จะโทร.หา standby คนอื่นๆ แต่ถ้าใครๆไม่รับโทรศัพท์ล่ะ ..

สิงห์มอไซค์จะถูกส่งมาจิกตัวเราถึงบ้าน
แล้วจะหนีรอดมั้ยเนี่ยชั้น

เด็กที่บ้านออกไปดูว่าใครมา มาหาใคร แล้วเข้ามารายงานฉันว่า

"คุณรินขา มีผู้ชายมาหาคุณรินค่ะ หล่อออออมากกกกกค่ะ"
เอ่อ เมสเซ็นเจอร์สายการบินนี้หล่อด้วยเหรอ!!!

"แล้วเค้าบอกน้อยป่าวว่ามีธุระอะไร"

"ไม่ได้บอกค่ะ บอกแต่มาหาคุณริน"

" เค้าชื่ออะไรล่ะ" ฉันถามน้อย

" โอย ตาย น้อยลืมค่ะ มัวมองความหล่อจนลืมไปหมดว่าจะพูดอะไร" ยัยน้อยนี่จะออกแนวโก๊ะๆหน่อย

ทันใดนั้น พุทธิปัญญาพลันพรุ่งพรวดขึ้นมาในหัวฉัน ..พี่อินแหงๆ พี่อินมาหาฉัน อ้าว..เอ๊ะ.. แล้วเค้ารู้จักบ้านเราได้ไงเนี่ย


คิดพร้อมกระโจนพรวดไปหน้าบ้าน เกือบสะดุดน้องหมาล้ม

โน่น..ยืนยิ้มหล่ออยู่หน้าบ้าน

หัวใจหายวูบเลย ..ผิดหวังๆๆๆๆๆ

พี่หนิงมา ไม่ใช่พี่อิน

เอ..อาจเป็นได้ว่าพี่อินวานเขามา ยังแอบหวังอยู่


"สวัสดีค่ะพี่หนิง มาบ้านรินได้ไงคะนี่"

"พี่มีเรดาร์พิเศษครับ ตามหาตัวรินได้ตลอดเวลา" พี่รินพูดยิ้มๆ

ฉันทำไม่รู้ไม่ชี้ ถามต่อ

"พี่รินมีธุระอะไรกะรินเหรอคะ อย่าบอกนะว่า OB ใช้มาเรียกรินไปบิน"

"นั่นสิครับ นึกแล้วว่ารินไม่อยากโดนเรียก พี่โทร.มาตั้งหลายที ไม่รับสายเลย"

"แล้วตกลงพี่รินมาทำไมคะ จะมาคุยเรื่องยุ้ยเหรอคะ ท่าทางเรื่องด่วน"

"เปล่าคร้าบ พี่แวะเอาของมาให้รินต่างหาก" พี่หนิงทำหน้ามีนัยยะบอกไม่ถูก

"พี่อินฝากมาเหรอคะ" ฉันโพล่งไปตามที่ใจคิด

"ไม่ใช่อีกและครับ พี่เอามาฝากน้องรินด้วยตัวพี่เอง คอยแป๊บนะครับ พี่ไปเอาที่รถก่อน"


พี่หนิงเดินไปที่รถบีเอ็มซีรี่ส์ห้าสีดำ ติดฟิล์มมืดตึ๊ดตื๋อ จอดอยู่ใกล้ๆ หยิบถุงออกมา เดินกลับมาส่งถุงให้ฉัน


โฮ้โฮ.... ถุงกระเป๋า FENDI ใบที่ฉันอยากได้ตอนไปสิงคโปร์นั่นไง

................................................................

(มีต่อพรุ่งนี้ค่ะ)
คุณแม่ฉันเคยสอนบ่อยๆว่า อย่ารับของจากผู้ชายถ้าไม่คิดว่าจะสานต่อความสัมพันธ์กับเขา มันจะทำให้เราดูเป็นผู้หญิงโลภ แม้จะคบกันแล้ว ถ้ายังไม่แต่งงาน ไม่ควรรับของราคาแพงจากเขาเป็นอันขาด


"ไม่ควรให้ผู้ชายคิดว่าซื้อลูกได้ด้วยเงิน..."

คำสอนของแม่น่ะจำได้ แต่กระเป๋าที่ล่อใจอยู่ข้างหน้า ทำให้ฉันอึกอัก พี่หนิงเห็นท่าฉันแบบนั้นเลยพูดว่า

"เห็นรินอยากได้ พี่เลยแอบไปซื้อตอนก่อนเราบินกลับ เกือบกลับมาขึ้นรถไม่ทัน"

พี่หนิงหมายถึงขึ้นรถบัสรับพวกเราไปสนามบิน ซึ่งทุกคนต้องตรงเวลา

"รินชอบ แต่ไม่ยอมซื้อ พี่ชอบผู้หญิงมีความคิดแบบนี้ รินรับไปเถอะนะครับ อีกอย่าง รินเป็นเพื่อนยุ้ย เป็นที่ปรึกษาของพี่ เถอะนะครับ รับไปเป็นค่าปรึกษาไง"

พี่หนิงชักแม่น้ำห้าสิบสายมาพูด จนฉันใจอ่อนด้วยความอยากได้กระเป๋าบวกกับคารมพี่หนิงแบบที่ภาษิตว่า

"คารมเป็นต่อ รูปหล่อเป็นรอง"

แต่กับพี่หนิง ขอตั้งใหม่ว่า

"คารมเป็นต่อ รูปหล่ออีกเป็นกอง แล้วหญิงจะต่อรองยังไงไหว"

แฟนเพื่อนนะนั่น..

ลงท้ายด้วยการที่ฉันยอมไปทานข้าวเย็นสองต่อสองกับพี่หนิงที่ห้องอาหารในโรงแรมห้าดาว อาหารหรู มีชายหนุ่มสวมทักซิโด้เล่นเปียโน และสาวสวยในชุดราตรีงดงามร้องเพลงเบาๆ เข้ากับเปียโน

ฉันสบายใจมากในคืนนั้น พี่หนิงทำตัวน่ารัก สุภาพ

แบบนี้เรียกว่าทำให้ฉันตายใจ

สุดท้ายตายทั้งเป็นเพราะผู้ชายคนนี้


ฉันมันทั้งเห่ยทั้งโง่ที่คิดว่าพี่หนิงจริงใจ และเป็นสุภาพบุรุษ

ซาตานมักจะมาในคราบนักบุญก่อน อันนี้จริงที่สุด

พี่หนิงส่งฉันที่บ้าน พร้อมกับบอกว่าจะมารับพรุ่งนี้เช้า ไปส่งฉันไปบิน

ฉันนอนหลับ ไม่ฝันถึงพี่อินอีกแล้ว


ตอนเช้า พี่หนิงมาตามนัด สวมเครื่องแบบมาด้วย เขาไปบินโอซาก้ากับฉัน แต่ไม่บอกตั้งแต่เมื่อวาน กะจะเซอร์ไพร้ซ์ฉัน เขาเข้ามาสวัสดีพ่อแม่ฉันด้วย

"คนนี้หล่อมากนะลูก แต่ดูให้ดีๆก่อน เราเห็นหล่อ ผู้หญิงอื่นก็เห็นหล่อ เดี๋ยวลูกจะเวียนหัวทีหลัง"

"รินยังไม่อะไรหรอกค่ะแม่ ไปบินละค่ะ แล้วจะซื้อกากิมาฝากแม่ค่า"

กากิ คือลูกพลับสด ที่ญี่ปุ่น ลูกพลับสดจะมีในหน้าหนาว
หวาน หอม อร่อยมั่กๆ ช่วงกากิออก กระเป๋าทุกคนจะหนักเป็นพิเศษ

ซื้อกันเป็นลัง ขนาดใหญ่สุดเรียกว่า ขนาดสามแอล (3L)

นานๆจะมีสี่แอลบ้าง

ส่วนใหญ่ที่ขายจะมีตั้งแต่ หนึ่งแอลถึงสามแอล


ฉันเองไม่ทราบเหมือนกันว่าที่เรียกแบบนี้ย่อมาจากอะไร

ถึงบริษัท พี่หนิงช่วยฉันยกระเป๋าลงจากรถ แล้วขับไปสนามบินเลย
นักบินไม่ต้องไป brief ที่บริษัท พวกเขาจะ brief กันสามคน (คือนักบินที่หนึ่ง สอง สาม) ที่สนามบิน ในแผนกที่เรียกว่า dispatch

ทางแผนกนั้นจะรายงานกัปตันว่า ในเที่ยวบินนั้นๆ มีผู้โดยสารกี่คน น้ำหนักกระเป๋าและสัมภาระกี่ตัน คาร์โก้ (สินค้า) กี่ตัน มีสิ่งมีชีวิตอื่นๆใต้ท้องเครื่องกี่ชีวิต

สิ่งมีชีวิตอื่นๆ คือสัตว์ต่างๆทั้งที่เป็นอาหารและเป็นสัตว์เลี้ยง

สิ่งไม่มีชีวิตก็ขนส่งได้ (ศพไง)

กัปตันได้รับรายงานทั้งหมดแล้วจะคำนวณว่าควรจะสั่งน้ำมันกี่ร้อยตันถึงจะพาเครื่องไปยังจุดหมายได้ปลอดภัยที่สุด

การคำนวณน้ำมันเป็นเรื่องสำคัญ หากเครื่องเกิดลงที่สนามบินนั้นๆไม่ได้ จะต้องไปลงสนามบินอื่นที่ใกล้ที่สุด หรือต้องบินวน รอคิวที่จะลง น้ำมันจะต้องพอเพียงต่อเรื่องฉุกเฉินที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ


ที่ห้อง brief ฉันเจอกิ๊บอีกแล้ว กิ๊บรีบมาทักฉัน

"เราบินกะพี่หนิงอีกแล้ว มีคนเลี้ยงข้าวละ " กิ๊บพูดไปหัวเราะไป

"รินรู้ป่าวว่าพี่หนิงเค้าเลิกกะยุ้ยแล้วนะ เรากะจะเสียบต่อเลยดีมั้ย"

"ฮื่อ..ตามใจดิ" ฉันไม่เล่าเรื่องพี่หนิงกับฉันให้กิ๊บฟัง และฉันเองยังไม่รู้เรื่อง(แอบๆนอนกัน) ของพี่หนิงกับกิ๊บด้วย


ตามที่กิ๊บบอก เราไปทานอาหารเย็นกันสามคน เดินไปร้านข้างๆโรงแรม เย็นแล้ว อากาศหนาว อุณหภูมิที่กัปตันประกาศก่อนลงคือ แปดองศาเซลเชียส เราเลยเลือกทานร้านใกล้โรงแรม จะได้ไม่ต้องทนหนาวเดินไกล

วันนั้นมีปลาไข่ หรือที่พวกเราเรียกว่า " ชิชาโมะ"
เป็นปลาตัวเรียวๆขนาดทานสองสามคำ ทอดจนเหลืองกรอบ วางมาบนกระหล่ำปลีสดหั่นฝอย (อาหารญี่ปุ่นแทบทุกจานจะมีกระหล่ำปลีแบบนี้มาด้วย)

อร่อยๆๆๆ จนลืมสงสารปลา และไข่มากมายในท้องที่เราทานไป

พี่หนิงกลับชอบปลาดิบ ปลาดิบที่ญี่ปุ่นสดและถูก ต่างจากบ้านเราที่ขายแพงมากๆ

มีโอเด้งด้วย คล้ายๆพะโล้บ้านเรา เพียงแต่รสชาดแนวญี่ปุ่น โอเด้งนี่เขาจะทำขายให้ซดนำซุปร้อนๆเฉพาะในหน้าหนาวเท่านั้น

ระหว่างทานอาหาร กิ๊บคุยแจ้วๆกับพี่หนิงที่ไม่เห็นค่อยพูดซักเท่าไหร่ (แต่แอบมองฉันอีกละ)

ทานเสร็จ แวะซื้อกากิกัน เดินกลับโรงแรม ต้องรีบพักผ่อนเนื่องจากในตอนเช้าวันรุ่งขึ้นเราจะบินกลับกรุงเทพฯ

ฉันอาบน้ำเสร็จซักพัก โทรศัพท์ที่หัวเตียงดัง

"ฮัลโหล" ใจฉันนึกว่าพี่หนิงชัวร์

ไม่ผิดคาดสักนิด

" พี่ไปคุยด้วยแป๊บนึงได้มั้ยครับ ไม่รบกวนรินนานหรอก"

ในใจฉันต่อสู้กันอยู่สองสามวิ

"ได้ค่ะ"

พี่หนิงมาที่ห้องฉันด้วยชุดเสื้อยืด กางเกงขาสั้น

ในโรงแรมไม่หนาว มีเครื่องทำความร้อน (heater)

พี่หนิงเข้ามาในห้องฉัน "หอมจังครับ รินใช้น้ำหอมอะไรนะครับ"

"รินใช้ body spray ธรรมดาๆค่ะ" ฉันชักเขินๆ ไม่แน่ใจตัวเองว่าชอบพี่หนิงจริงๆหรือเปล่า

ความรู้สึกต่างจากที่ฉันรู้สึกกับพี่อิน

พี่หนิงบอกฉันว่า เลิกกับยุ้ยแล้ว ยุ้ยยังไม่ยอม โวยวาย แต่พี่หนิงยืนยันขอเลิก ลงท้ายด้วยการขยับมากอดฉันเฉยเลย

กอด แล้วจูบ จูบที่ทำเอาฉันแทบบ้า พี่หนิงจูบเก่ง และค่อยเป็นค่อยไป เร้าอารมณ์ดีชะมัด



โดย: birdchicago วันที่: 28 เมษายน 2550 เวลา:18:55:22 น.  

 
แต่นั่นแหละ สุดท้ายฉันไม่ยอม แม้จะเคลิ้มไปกับบทรักของพี่หนิง กับคำรำพันว่า "พี่รักริน รักรินเหลือเกิน"

พี่หนิงต้องกลับห้อง โดยไม่ได้มีเซ็กส์กับฉัน...

ตอนหลังเขามาเล่าให้ฉันฟังว่าเขาอารมณ์ค้างมาก เลยไปหากิ๊บ

เลวซะ....


( อีกหนึ่งชั่วโมงมาต่อค่ะ)
ความสัมพันธ์ของฉันและพี่หนิงก้าวหน้าไปเรื่อยๆเอื่อยๆพี่หนิงยังคงเอาใจฉันมากมาย จนวันหนึ่งยุ้ยโทร.มาหาฉัน

"ริน ยุ้ยอยากถามรินว่ารินทำแบบนี้ไปได้ยังไง"

ยุ้ยเสียงแข็งมาเลย

" เอาเป็นว่า รินไม่ได้แย่งพี่หนิงนะยุ้ย เค้าเลิกกับยุ้ยก่อนนะ ถึงมาหาริน"

"โหย รินพูดเข้าข้างตัวเองดีจริงเล้ย ยุ้ยไม่อยากพูดมาก พี่หนิงน่ะ เค้ามีอะไรๆกับยุ้ย ไม่ใช่แฟนกันธรรมดา พี่หนิงเค้ารักยุ้ย ทำให้ได้ทุกอย่าง"

"ทำให้ได้ทุกอย่าง.."ฉันทวนคำพูดยุ้ย

"ใช่สิ แบบทุกอย่างที่ทำให้ยุ้ยมีความสุขไง ทุกอย่าง ทุกเรื่อง.."

ยุ้ยสะอื้นมาตามสาย

"ยุ้ย อย่าร้องไห้เลย รินเองก็ยังไม่มีอะไรกับพี่หนิงนะ ดูๆกันไปก่อน อีกอย่าง รินยังไม่แน่ใจความรู้สึกตัวเอง จริงๆนะยุ้ย"

"เฮ่อ..เบื่อพวกแก้ตัว แย่งแฟนเพื่อน สวยๆแบบเธอน่าจะหาไม่ยากนะ ..บลาๆๆๆๆๆ"

ฉันวางสายก่อนที่ยุ้ยจะขึ้นเสียงสูงจนคอแตก

ช่วงนั้น บริษัทเปิดเที่ยวบินใหม่ไปยังเกาะคาลิโดเนีย หรือที่เรียกกันว่า"นูเมีย"

เป็นหมู่เกาะเล็กที่สวยงามในมหาสมุทรแปซิฟิก
และเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส

ใครที่ได้บินไปแล้วจะกลับมาเม้าท์ว่านูเมียสวยมาก ผู้คนน่ารัก บ้านเมืองน่าเอ็นดู

พวกเราต่างรอลุ้นตารางบินเดือนใหม่ว่าจะได้ไปนูเมียบ้างมั้ย

สัปดาห์หนึ่งมีสองไฟลท์ อยู่ที่นั่นสี่วัน กับห้าวัน

ฉันก็ไม่ต่างจากคนอื่นๆ ยิ่งได้ฟังว่านูเมียน่าไปอย่างนั้นอย่างนี้ ยิ่งอยากไป

ตารางบินจะออกล่วงหน้าหนึ่งเดือน โดยทาง OB จะเอาตารางบินของแต่ละคนไปใส่ไว้ในช่องใส่เอกสารส่วนตัวซึ่งมีลักษณะเป็นตู้ไม้ เจาะเป็นช่องๆ เรียงตามลำดับเลขประจำตัวพนักงาน ตั้งไว้ที่ห้องพักผ่อนก่อน brief ห้องนี้มีโซฟาเป็นชุดๆ ไว้ให้นั่งคุย นั่งพัก นั่งดื่มกาแฟ นั่งทาเล็บฯลฯ ก่อนบิน

และเป็นที่ระบายความคับแค้นใจจากผู้โดยสาร เพื่อนร่วมงาน หลังกลับจากบิน

สมัยก่อนนั้น เป็นช่องโล่งๆ สอดเอกสารขนาด A4 ได้อย่างสบาย ไม่มีช่องปิดล็อก ทำให้เกิดคดีเอกสารหายกันเป็นประจำ

ตารางบินใหม่ออกมา ฉันได้ไฟลท์ไปนูเมียห้าวัน ...ดีใจสุดๆ

เรื่องใหญ่เกิดขึ้นที่ไฟลท์นูเมียนี่เอง

(ต่อคืนนี้ค่ะ)
ขอโทษค่ะที่ให้ท่านผู้อ่านรอนาน

ขอสารภาพว่า ไม่สามารถพิมพ์ทีเดียวจบได้ตามที่หลายท่านบอกมา

เวลาไม่ค่อยมีค่ะ แต่พยายามแล้วที่จะเข้ามาตามที่ได้แจ้งไว้

ท่านที่สงสัยว่าจขกท. หรือพี่หนิง จะเป็นอย่างไร กรุณาอ่านไปเรื่อยๆนะคะ บอกก่อนก็ไม่หนุกสิคะ

จขกท. เองไม่ใช่คนดีนักหรอกค่ะ อ่านไปแล้วจะทราบ ที่มาเขียนนี่อยากให้บทเรียนชีวิตของตนเองกับท่านที่เข้ามาอ่าน

ขอบพระคุณทุกกำลังใจค่ะ ทุกท่านที่เข้ามาอ่านคือแรงใจของดิฉันจริงๆค่ะ



ต่อเลยนะคะ....



ก่อนที่จะไปนูเมีย ฉันมีวันว่างเมื่อไหร่เป็นต้องออกไปซื้อเสื้อผ้า เพราะได้ข่าวมาว่าที่พักเราอยู่ริมชายทะเล ต้องแต่งตัวให้ลุคแบบซัมเม่อร์ สีแจ๋นๆ ประเภทแขนกุด ขาสั้น (สมัยนั้นยังไม่นิยมสายเดี่ยว)

ฉันก็เหมือนผู้หญิงเกือบทั้งโลกที่ชอบความสวยงาม ไปตั้งห้าวัน รวมวันบินไป-กลับเป็นหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ

ฉันช้อปเสื้อผ้าซะเยอะแยะ ที่สยามนั่นแหละค่ะ แหล่งช้อปตลอดกาล ตอนนั้นยังไม่มีสยามดิสคัฟเวอรี่ มีแต่สยามสแควร์ กับสยามเซ็นเตอร์

ฉันเป็นขาประจำร้าน JASPAL มาตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงวันนี้ แม้จะมีเสื้อผ้าแบรนด์ใหม่อีกมากมาย ฉันยังคงแวะเวียนไปที่ JASPAL อยู่เสมอ

เชื่อไหมว่าโต๊ะไม้ตัวใหญ่ในร้านที่สยามเซ็นเตอร์อยู่มาตั้งแต่ตอนที่ฉันเริ่มเป็นลูกค้าร้านนี้ ทุกครั้งที่ฉันผ่านไป ฉันรู้สึกเหมือนเจอเพื่อนเก่าทุกที

เอ..หรือว่าจะเป็นโต๊ะตัวใหม่ที่ทำให้เหมือนตัวเก่า จะถามโต๊ะ คนคงว่าบ้าเนอะ

ได้เสื้อผ้าสะใจแล้ว ระหว่างนั้นฉันยังคงไปไหนมาไหนกับพี่หนิง ข่าวฉันคบกับพี่หนิงเริ่มแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว เป็นหัวข้อการสนทนาที่มันส์สุดๆของลูกเรือ

แอร์หลายคนถึงกับมาดักดูหน้าฉัน รวมกับเรื่องราวจากปากของยุ้ย ทำให้ฉันดูเป็นคน"แย่งได้แม้แต่แฟนเพื่อน"

เวลาไปบิน มีแต่คนมาถามฉันว่าเรื่องจริงมันเป็นไง เฮ้ออออ...น่าเบื่อจริงๆ

พี่อินหายเงียบไปจากชีวิตฉัน ทั้งที่ฉันคิดถึงเขาบ่อยๆ น้อยใจเล็กๆว่าทำไมเขาไม่ส่งข่าวมาบ้าง โทร.มาหาสักนิดก็ยังดี พี่หนิงบอกฉันว่าพี่อินเจ้าชู้จะตาย ตอนพี่อินฝากดอกไม้ไปให้ฉัน พี่หนิงไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ แต่พี่อินอาวุโสกว่า พี่หนิงเลยต้องทำ

ฉันเออออไปกับพี่หนิง ไม่บอกหรอกว่า ฉันแอบคิดถึงพี่อิน เวลาสามสี่วันที่ตะวันออกกลางฝังใจฉัน เรื่องราวต่างๆที่เราคุยกันมันแจ่มชัดในความทรงจำ ฉันจำได้แม้แต่เสื้อผ้าที่พี่อินสวมทุกวัน จำรองเท้าเขาได้ จำแว่นกันแดดอันสวยของเขาได้...

ตอนนั้นฉันไม่รู้ซึ้งว่าฉันน่ะ "รัก" พี่อิน ไม่ใช่พี่หนิง

พี่หนิงเคยเป็นทหารอากาศ มีนิสัยหลายอย่างแบบทหาร หากช่วงที่คบกันเขายังไม่แสดงออกมา ฉันแค่รู้สึกลึกๆว่า ฉันกับพี่หนิงคุยกันไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ ไม่เหมือนอยู่กับพี่อิน เราต่างสนใจในเรื่องเดียวๆกัน คุยกันถูกคอ และ...ถูกใจ

แต่พี่อินมีเจ้าของ พี่หนิงเลยเข้ามาแทนที่แบบเบลอๆ ฉันปลื้มที่เค้าเอาใจ เค้าหล่อ เค้าเป็นที่หมายปองของสาวๆมากมาย ไปไหนกับเค้ามีแต่คนมอง

ฉันน่าจะเฉลียวใจ และออกจากชีวิตพี่หนิงเสียตอนนั้น จะได้ไม่มีแผลเป็นให้เจ็บใจมาจนวันนี้

ก่อนไปนูเมียหนึ่งวัน พี่หนิงมารับฉันไปนอกบ้านอย่างเคย

เขาดูซีเรียสเชียว

"รินครับ รินไม่ไปนูเมียได้มั้ยครับ ตั้งหลายวัน พี่คิดถึง ลา sick แล้วไปเที่ยวต่างจังหวัดกับพี่ดีกว่า รินอยากไปไหนพี่จะพาไป"

"โอ๊ยยย พี่หนิง รินอยากไปนี่คะ ไม่กี่วันหรอก เสียดายที่เค้าเอา DC-8 ไป ไม่ใช่แอร์บัส ไม่งั้นพี่หนิงก็แลกไปบินกับรินได้"

ฉันพูดไปแล้วพลันนึกขึ้นได้ว่า เฮ่ย พี่อินเค้าบิน DC-8 นี่นา ยังไม่ทันนึกอะไรต่อ พี่หนิงรีบบอกว่า


"นั่นแหละ ที่พี่ไม่อยากให้รินไป พี่อินเค้าบินไฟลท์นี้ด้วยนะครับ"

ฉันไม่รู้หรอกว่าตัวเองทำหน้ามีพิรุธออกไปหรือเปล่า ปากตอบไปตามที่ควรตอบประสาแฟนที่ดีว่า

"พี่หนิงไม่ต้องห่วงรินเล้ย รินเอาตัวรอดหรอกค่ะ กับพี่หนิงยังรอดอยู่เลย..."

ฉันพูดยิ้มๆทั้งที่ใจเต้นตึกตัก ตึกตัก ..ดีใจจะได้เจอพี่อิน

นี่ฉันกำลังจะได้เจอพี่อิน จะได้อยู่กันตั้งหลายวัน ฉันคงได้คุยกับเค้าหลายๆเรื่องที่ยังค้างคาใจ

ฉันคิดเพลิน ปากก็ตอบโต้กับพี่หนิงไปเรื่อยๆ พี่หนิงเอาแต่บ่นไม่อยากให้ฉันไป ฉันบอกเขาว่าไม่ใช่จะได้ไฟลท์นี้ง่ายๆ ถ้าฉันไม่ไป กว่าจะได้ใหม่คงอีกนาน พูดๆกันอยู่ดีๆ พี่อินเลี้ยวรถเข้าม่านรูดเฉยเลย

ความรู้สึกตอนนั้นของฉัน ไม่ได้คิดว่าพี่หนิงดูถูกหรืออะไร คิดแต่ว่าเค้ารักฉัน และคงอยากมีอะไรๆกับฉันก่อนที่ฉันจะไปบินกับพี่อินตามที่เค้าโน้มน้าวฉันด้วยคำพูดหวานๆของเค้า

ฉันเลวมั้ย ใจแตกเพราะพี่หนิงพาอารมณ์ฉันให้กระเจิดกระเจิง กู่ไม่กลับ

ฉันยอมเข้าไปในนั้นกับพี่หนิง


และตกเป็นของพี่หนิงในวันนั้น

พี่หนิงเก่งเรื่องบนเตียงมาก จริงอย่างที่ยุ้ยเคยบอกว่าพี่หนิงทำได้ทุกอย่าง

ฉันไม่เคยมีอะไรกับใครมาก่อน ฉันทำตามที่พี่หนิงสอน เขารู้จักจังหวะอ่อนหวานที่จะพาฉันไปถึงความรู้สึกเยี่ยมยอดนั้นเป็นอย่างดี

ฉันอยู่ในโรงแรมม่านรูดกับพี่หนิงจนค่ำ พี่หนิงทำให้ฉันรู้จักความหมายของเซ็กส์ที่ฉันไม่เคยคาดมาก่อนว่ามันจะดื่มด่ำได้ขนาดนั้น

ตอนนั้นฉันยังแยกไม่ออกว่าฉันรักพี่หนิงเพราะเค้าเติมเต็มรสชาดของชีวิตให้ฉันจนล้น

ไม่ใช่รักที่ตัวเขา แต่รักเพราะติดใจบทบาทของเค้า


พี่หนิงพาฉันไปส่งบ้าน พร้อมกับนัดมารับฉันไปบินในวันรุ่งขึ้น

ฉันจัดกระเป๋า นึกถึงว่าพรุ่งนี้เจอพี่อิน ฉันจะทำไงดี ฉันกลายเป็นอีกคนหนึ่งแล้ว

ไม่ใช่สาวน้อยใสๆที่พี่อินเจอครั้งแรก

ฉันมีตำหนิเสียแล้ว

(มีต่อค่ะ)
พี่หนิงมารับฉันตอนเช้า ทำท่าเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเต็มที่

เขาให้ฉันสัญญาว่าจะพูดคุยกับพี่อินเท่าที่จำเป็นแค่นั้น

ฉันสัญญาไปอย่างดี กำชับว่าไม่ต้องห่วง ฉันไม่สนใจพี่อินหรอก (โกหก)

ฉันคาดว่าฉันคงเจอพี่อินบนเครื่องเลย แต่คนที่ฉันเจอก่อนพี่อินนี่สิที่ทำให้ฉันรู้สึกแย่จนกลายเป็นฮึด

คนนั้นคือเมียพี่อิน ที่อยู่ๆโผล่มาจากตรงไหนไม่รู้ มาประชิดตัวฉันตอนที่ฉันกำลังจะขึ้นรถลูกเรือไปสนามบิน

ฉันจำหน้าดุๆนั้นได้ มองใกล้ๆ เธอเป็นคนสวยทีเดียว สูง อวบนิดหน่อย ผิวคล้ำเนียน ถ้าไม่ทำหน้าเค็มๆดุๆ แบบนั้นคงสวยขึ้นจม

"จำใส่หัวไว้นะ ว่าอย่ายุ่งกับพี่อิน" เธอพูดกับฉัน ซึ่งยังคงบอกไม่ถูกว่าจะรู้สึกไงดี
"ถ้าชั้นรู้ว่าเธอยุ่งกะเค้า เธอชะตาขาดแน่"..

ยัยบ้า กลัวจะตายละ ประสาท หึงสามีขนาดนี้เลยเหรอ มิน่า พี่อินถึงเก็บกด ต้องหาที่พึ่งเป็นแอร์สวยๆ ให้ขัดหูขัดตาขัดใจคุณภรรยาซะงั้น

ฉันแค่นึก ไม่ได้พูดอะไรกับเธอคนนั้นสักคำ ขึ้นรถลูกเรือไปนั่งสงบสติอารมณ์ ดีนะ ไม่มีใครได้ยินที่เธอพูด ไม่มีใครสนใจว่าเธอมาคุยอะไรกับฉัน

ถ้ามีใครสักคนได้ยิน คงยิ่งสนุกปากขาเม้าท์เค้าหล่ะ

เมียพี่อินร้ายน่าดู คอยดูฉันสิ จะแกล้งซะเลย


บนเครื่อง ฉันได้หน้าที่ยืนรับผู้โดยสารตามเคย

ขบวนนักบินมาแล้ว ฉันไหว้ทุกคน พี่อินตะเบ๊ะตอบ ยักคิ้วทำหน้าทะเล้นใส่ฉัน ฮึ!!! นี่คงยังไม่รู้ว่าฉันเพิ่งเจอเมียเขามาสกัดดาวรุ่ง


ชั่วโมงบินยาวเก้าชั่วโมงกว่า พี่อินออกมาขอกาแฟที่ฉันเหมือนย้อนอดีตครั้งแรกที่เราพบกัน

"รินทำไมไม่ตอบจดหมายพี่เลย"

พี่อินต่อว่า

"รินไม่เห็นได้จดหมายพี่อินเลย พี่อินส่งผิดคนมั้งคะ"

"พี่ส่งจริงๆ พี่เขียนจดหมายใส่ BOX รินทุกครั้งที่พี่ไป HEAD OFFICE เลยนะครับ"

ฉันมารู้ทีหลัง(ตามเคย) ว่าพี่หนิงเก็บจดหมายพี่รินไปหมด
และเอามากระทบกระแทกแดกดันฉันในภายหลัง

"พี่คิดถึงรินมากเลย เป็นห่วงรินด้วยนะ หนิงเค้าไม่ใช่อย่างที่รินคิด"

"ยังไงเหรอคะพี่อิน"

"หนิงเจ้าชู้มากนะริน พี่สนิทกับเมียเก่าเค้า หนิงร้ายมาก"

ต่างคนต่างว่าอีกฝ่ายเจ้าชู้ พี่หนิงไม่เคยพูดถึงภรรยาเก่า ฉันเองก็ไม่เคยถาม ต่อไปคงต้องถามซะแล้ว

"อร เมียเก่าหนิงเค้าห่วงรินนะ "

"ไม่เป็นไรค่ะพี่อิน รินยังไม่มีอะไร แค่ดูๆอยู่"

"ให้มันจริงนะครับริน"

แล้วพี่อินก็เดินกลับ cockpit และไม่ออกมาอีกเลย


นูเมียเป็นเมืองที่สวยสมคำร่ำลือ สองข้างถนนทุกสายเต็มไปด้วยต้นไม้ที่มีดอก ทั้งที่ฉันรู้จักและไม่รู้จัก ที่เห็นมากที่สุดคือดอกชบาสีสดหลากหลายสี ดอกโตๆบานเต็มต้น ตามบ้านทุกหลัง (ขอย้ำว่าทุกหลังที่ได้เห็นจริงๆ) เต็มไปด้วยต้นไม้ และดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้ บานแฉ่งไปหมดทั้งเกาะ

ผู้คนที่นั่น ส่วนมากเป็นคนผิวดำที่ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดภาษาฝรั่งเศสที่ฉันพูดได้เสียด้วย

นั่นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ฉันได้ไปนูเมีย ด้วยหลังจากนั้นไม่นาน บริษัทตัดสินใจเลิกบิน เพราะผู้โดยสารน้อย บินไปก็ขาดทุน



...เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ฉันได้ทำความเข้าใจกับพี่อินในเรื่องของเราเช่นกัน...

(ขอต่อพรุ่งนี้บ่ายนะคะ)
ตั้งกระทู้ใหม่แล้วค่ะ ขอบพระคุณท่านผู้อ่านทุกท่านทีสละเวลามาอ่านนะคะ

ขอต่อเลยค่ะ


โรงแรมที่นูเมียน่ารักมาก เล็กๆดูอบอุ่นน่าพักมากกว่าโรงแรมใหญ่โตหรูหราส่วนใหญ่ที่เราพักตามประเทศอื่นๆ

ตามปกติ ทางโรงแรมจะจัดให้ลูกเรือพักชั้นเดียวกันหมด แต่ที่นูเมีย ห้องพักไม่พอกับจำนวนพวกเรา จึงต้องแยกกันอยู่สองชั้นติดกัน

ฉันอยู่คนละชั้นกับพี่อิน แต่เราถามเบอร์ห้องกันไว้แล้ว ก่อนแยกย้ายเข้าห้อง

เข้าห้อง ยังไม่ทันหายใจ พี่อินโทร.มา

"ริน น้องริน พี่ขออนุญาตไปหาที่ห้องนะ รับรองไม่มีอะไรเกินเลยครับโผม"

"พี่อินไม่เหนื่อยเหรอคะ รินว่า อาบน้ำนอนก่อนดีกว่าเนอะ พรุ่งนี้ค่อยคุยกันก็ได้นี่คะ อยู่อีกตั้งหลายวัน"

"ไม่ได้ค้าบ ไม่ได้จริงๆ พี่ต้องคุยวันนี้ โอ๊ยยย อกจะแตกอยู่แล้ว มีเรื่องอยากพูดเยอะเลย รินเชื่อใจได้ พี่ไม่ทำรัยรินหรอกน่า พี่ไม่ยุ่งกะแฟนคนอื่น"

แล้วเค้าก็ต่อว่า

"แม้จะเป็นแฟนของคนที่พี่ไม่ชอบเอาซะเลย"

ฉันบอกพี่อินไปว่าขออาบน้ำก่อนดีกว่า อีกสักครึ่งชั่วโมงค่อยมาคุยกัน

แล้วพี่อินก็มา อาบน้ำมาแล้วเช่นกัน พี่อินสวมเสิ้อยืดโปโลสีส้มจัด กับยีนส์สีแดง พี่อินสูง ขายาว สวมยีนส์แล้วดูวัยรุ่นเชียว

ส่วนฉัน เสื้อยืดลายทางหลากสีกับกางเกงสามส่วนสีเบจ

"พี่อินดื่มอะไรมั้ยคะ รินมีโค้กกับน้ำส้มมา"

"พี่อยากดื่มกาแฟมากกว่า รินมีกาต้มน้ำร้อนมั้ยล่ะครับ "

"มีค่ะ กาแฟก็มี เดี๋ยวรินทำให้"

กาต้มน้ำร้อนเล็กๆเป็นอุปกรณ์ยังชีพของลูกเรือส่วนใหญ่ บางคนอาหารในประเทศที่ไปไม่ถูกปาก แค่มีกาน้ำร้อนกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็อยู่รอดแล้ว

จนพวกเราชอบแซวกันว่า อย่างพวกเราตายแล้วไม่เน่าหรอก สารกันบูดในตัวเยอะ

ฉันเดินไปเดินมาในห้อง ชงกาแฟให้พี่อิน พร้อมขนมที่ฉันตุนไปด้วย

"พี่อินลองทานพายไก่นี่สิคะ ซื้อแถวบ้านรินเอง อร่อยน้า"

พี่อินดื่มกาแฟ ทานพายไก่กับฉัน ความรู้สึกดีๆหลั่งไหลเข้ามาในหัวใจฉันอีกแล้ว ฉันนึกอยู่ว่าจะบอกพี่อินดีมั้ยเรื่องภรรยาเขามาด่าฉัน แต่จะบอกไปแล้วได้อะไร สู้ทำไม่รู้ไม่ชี้ดีกว่า เอาไงดี สับสนจิต จนพี่อินเอ่ยขึ้นว่า

"รินคิดอะไรอยู่ครับ คิดถึงคนนั้นเหรอ.."

"เปล่าค่ะ รินคิดเรื่องอื่น"

"เรื่องรัย เล่าให้พี่ฟังมั่งสิจ๊ะ"


"ไม่มีรัยหรอกค่ะ เรื่องจุกจิกของผู้หญิงไม่น่าฟังหรอก ผู้ชายไม่ชอบหรอกค่ะ"
ฉันตัดสินใจยังไม่เล่าเรื่องยัยหน้าดุคนนั้น ไม่อยากเครียด

"งั้นพี่ถามรินหน่อยว่า รินน่ะ ชอบหนิงมันจริงๆหรือเปล่า หรือรินทำประชดพี่"

พี่รินเนี่ย พูดเข้าข้างตัวเองจัง แต่มันก็จริง(มั้ง)

"รินบอกพี่อินตามตรงเลยนะคะว่า รินคิดถึงพี่มากเลย แต่มันเป็นไปไม่ได้ซักอย่าง แล้วพี่อินจะให้รินร้องไห้ไปจนตายเหรอคะ พี่หนิงเค้าดีกับริน ดีมาก พ่อแม่รินชอบเค้า รินก็ชอบเค้า แต่คนละอย่างกับที่ชอบพี่"

พูดไปพูดมา ฉันร้องไห้ ร้องไม่หยุดเลย

"โอ๋ๆๆๆเด็กน้อยที่แสนจะสับสน พี่ไม่น่าวุ่นวายกับชีวิตรินเลย แต่พี่เจอรินปุ๊บ พี่ชอบปั๊บ แล้วพี่ลืมคิดไปว่าคนที่บ้านเค้าจะคิดยังไง พี่มันเหมือนผู้ชายทั่วไป ได้คืบจะเอาศอก รินอยากน่ารักทำไม ที่จริงมันเป็นความผิดของรินน้าที่เกิดมาให้พี่รักนะเนี่ย"

พี่รินกอดฉัน ปลอบฉัน และเราต่างหลับไปบนเตียงในห้องฉัน

ไม่มีบทบาทรักอะไรที่เกินเลยตามที่พี่อินบอกไว้จริงๆ

ฉันตื่นขึ้นเพราะเสียงโทรศัพท์ดัง

"รินครับ เป็นไงมั่ง " เสียงพี่หนิงมาตามสาย พอดีกับที่พี่อินถามฉันว่า

"ใครโทร.มาครับริน"

พี่หนิงได้ยินเสียงพี่อินเต็มหูแน่ ก็ตัวพี่อินนอนอยู่ติดกับฉัน พี่หนิงโวยลั่นมาเลย

"รินทำอะไรลงไป รินบ้าเปล่า รินไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น กลับมาแหลกแน่"

พี่หนิงกระแทกหูไปดังโครม ฉันหันไปมองพี่อินที่ยิ้มกว้างอยู่ข้างๆแล้วบอกพี่อินว่า

"พี่หนิงเค้าโทร.มาค่ะ..."

ฉันยังพูดไม่ทันจบ พี่อินพูดขึ้นมาว่า "พี่ได้ยินแล้ว เสียงหนิงมันโกรธน่าดู 555 สมน้ำหน้า"

อ้าว พี่อิน พี่ไม่คิดเลยหรือว่ารินรู้สึกยังไง รินจะตายแล้ว

ความรู้สึกของนางวันทองหรือนางกากีเป็นแบบนี้หรือเปล่าน้อ


ยังไม่ทันพูดอะไรกับพี่อิน เสียงโทรศัพท์ดังอีก พี่หนิงโทร.มาแน่เลย

"รับเถอะริน คุยกะเค้าดีๆ ให้เค้าคุยกับพี่ก็ได้"

พี่อินบอกจะคุยกับพี่หนิงว่าไม่ได้มีอะไรกับฉันอย่างที่พี่หนิงคิด

ฉันรับโทรศัพท์ ไม่ใช่พี่อิน แต่เป็นหนุ่ย สจ๊วตสาว เพื่อนรุ่นเดียวกับฉัน

"ฮาโล๋ๆๆๆ ยัยริน เกิดเรื่องใหญ่แร้ววว" หนุ่ยทำเสียงเล็กเสียงน้อยแบบตื่นเต้นมากกว่าตกใจกับ"เรื่องใหญ่"ที่หล่อนบอก

ฉันยกนิ้วชี้ปิดที่ปาก เพื่อให้พี่อินเงียบๆ

"เรื่องรัยของแก แกอ่ะ ขรี้ไม่ออกก็ว่าเรื่องใหญ่" ฉันว่าไป

"เออ แหม แกนี่ ตาคมแล้วยังปากคมอีก ..นี่ๆๆๆๆ พี่สุทธ์ปล้ำยายแอน ยายแอนมันโวยซะ แกนอนกินบ้านกินเมืองเหรอ ไม่รู้อะไรเลย หรือใครนอนทับแกอยู่ฮะ ถึงหูตึงซะ"

พี่สุทธ์คือพี่เพอเซอร์ที่น่ารักคนหนึ่ง ดูเค้าไม่เห็นเจ้าชู้ตรงไหน รู้ๆกันว่าเค้าตามจีบแอน แอร์หน้าตาน่าเอ็นดู ปากนิดจมูกหน่อยเหมือนตุ๊กตา ท่าทางแอนดูมีใจกับพี่สุทธ์อยู่เหมือนกันนี่นา

ไหงกลายเป็นคดีปล้ำกันไปได้

หยุ่ยต่อมาอีกว่า

"ยัยริน ลงมาที่ล้อบบี้เร้ว กัปตันเรียกเจอทุกคน เออ แต่co-pilot หาย แอบอยู่ห้องแกป่าวว้า ชั้นเห็นน้า เค้าแอบเหล่แกตลอดเลยในรถ crew อีนี่ เสน่ห์แรงนัก แบ่งมาให้เพื่อนมั่งสิยะ หลายวันมานี่ยังไม่มีปู้จายตกถึงท้องเล้ย ว่าจะไปเดินหาเหน็บเอวกลับมาวักสองสามคน ดั๊นนน มามีเรื่องอีก อะไรกันนักหนาเนี่ย เสียงานชั้นหมด"



หนุ่ยพูดไปเรื่อยๆ เพื่อนสาวประเภทนี้มักจะพูดได้หลายเรื่องในคราวเดียวกัน โดยไม่ติดขัด และไม่รอรับฟังคำตอบจากคนที่เธอพูดด้วยอีกต่างหาก

(มีต่อค่ะ)
ฉันลงไปที่ล้อบบี้พร้อมพี่อิน ไม่เห็นมีใครเลย นอกจากหนุ่ยกับแอน

"แล้วเค้าไปไหนกันหมดล่ะหนุ่ย ไหนว่ากัปตันเรียกทั้งไฟลท์ไง" ฉันถามหนุ่ย

"555 555"เป็นเสียงหัวเราะประสานเสียงของหนุ่ยกับแอน

ฉันโดนสองคนนั่นอำเอาซะแล้ว พี่อินหัวเราะขำใหญ่

แล้วเราทั้งหมดชวนกันไปทานอาหารเช้าที่โรงแรมจัดให้

ตามเคย เจอลูกเรือทั้งไฟลท์นั่งตามโต๊ะต่างๆ พี่สุทธ์รีบลุกมาเลื่อนเก้าอี้ให้แอนที่ยิ้มหวานรับ

กัปตันถามพี่อินว่า "อินไปไหนมาแต่เช้า ผมโทร.ไปที่ห้อง ไม่มีคนรับสายเลย"

"อ๋อ..ครับ พอดีผมตื่นเร็ว เลยออกไปวิ่งที่ชายหาดมา อากาศดีครับกัปตัน"

พี่อินพูดไม่จริงแบบหน้าตายมาก

หลังอาหารเช้า ตกลงเช่ารถมินิบัส พร้อมคนขับไปเที่ยวรอบเกาะแบบ sightseeing กัน แวะตามที่ต่างๆ พี่อินทำไม่รู้อะไร ประกบฉันจนหนุ่ยมากระซิบว่า

"นี่ เค้าจีบหล่อนเหรอยะ ชั้นว่าตานี่เอาจริงแฮะ แล้วเค้าไม่รู้เหรอว่าเธอมีแฟนเป็นอีตาพี่หนิง แต่ชั้นว่าพี่อินเค้าหล่อไม่เลวน้า ไม่เก๊กด้วยแหละ พี่หนิงของแกนะ เก้กโคด "

สรรพนามที่หนุ่ยเรียกฉันเปลี่ยนไปเรื่อยๆตามใจคนพูด

"เอ๊า แม่คนสวย ว่าไงล่ะยะ เอาใครแน่ คิดจะรวบหมดหล่ะซี้ ต๊ายยย ชั้นไม่รู้มาก่อนเลยอ่ะว่า ท่าทางคุณหนูหญิงๆ อย่างคุณรินจะเจ้าชู้ อิจฉา เกิดชาติหน้าขอสวยหยั่งแกมั่งดี๊ ชั้นจะกินผู้ชายวันละโหลมื้อ เออ แล้วมันจะจุกมั้ย"

"โฮ้ยย หนุ่ย ไปกันใหญ่ ไม่มีรั้ยยย พี่เค้าเหมือนพี่ชาย เค้าแต่งงานแล้ว" ฉันรีบแก้ตัวกับหนุ่ย

"เช้อ..แต่งงานแล้ว แล้วไง เราไม่ได้ไปเอาเมียเค้านี่หว่า เราเอาผัวเค้า ฮิฮิ แล้วดูยัยแอนดิ หน้าบานแข่ง:-)กชบานูเมีย พี่สุทธ์เอาใจชิ้พพ อุ๊ย แกดูเด็กฝรั่งคนนั้นสิ น่าร้ากกกก"

หนุ่ยชี้ให้ดูเด็กชายวัยรุ่นผมทอง ที่เดินสวนทางไป

"หนุ่ยเอ๊ยยย พรากผู้เยาว์นะแกร๊ ท่าทางอายุยังไม่ถึงสิบสามเลยมั้งนั่น"

"น่านแร้ะ กะลังน่ากิ๊นน"

พี่อินเดินเข้ามาฉันพร้อมแก้วน้ำมะพร้าว หนุ่ยล้อพี่อินว่า

"แก้วเดียวเหรอฮะพี่ ของหนุ่ยไม่มีเหรอ"

"หนุ่ยจะทานเหรอครับ พี่ได้ยินแต่ว่าอยากทานผู้ชาย พอดีผู้ชายไม่มีขาย พี่เลยไม่ซื้อมาฝาก" พี่อินแซวหนุ่ย

หนุ่ยเดินไปหาพี่ปิ๋ม แอร์อีกคนโดยยังไม่ทันฟังพี่อินพูดจนจบด้วยซ้ำ

เราเที่ยวกันอย่างสนุกสนาน ทานข้าวเย็นร้านริมทะเล อาหารรสจัด แบบพื้นเมืองบ้าง แบบฝรั่งเศสบ้าง ฉันทานได้เยอะมาก

แปลกที่ฉันไม่กังวลถึงพี่หนิง ไม่ได้คิดจะโทร.ไปปรับความเข้าใจกับเค้าด้วยซ้ำ

แบบนี้เค้าเรียกว่า ไม้เลื้อยเนอะ อยู่ใกล้อะไรก็พันๆๆๆ เข้าไป

กลับถึงโรงแรมค่ำมาก แยกย้ายกัน พี่อินมาหาฉันที่ห้องอีก

อีกคืนหนึ่งผ่านไป โดยที่เราคุยกันสารพัดเรื่อง ดูทีวีกัน
และต่างคนต่างหลับ บนเตียงเดียวกัน


โดย: birdchicago วันที่: 28 เมษายน 2550 เวลา:18:55:59 น.  

 
พี่อินบอกว่าขออยู่กับฉันแบบนั้นก็มีความสุขแล้ว เค้าบอกว่าทุกครั้งที่เค้าคิดถึงฉัน เค้าไม่เคยคิดเรื่องบนเตียงเลย

ฉันเชื่อเขานะ

รุ่งขึ้นเราไปเที่ยวกันทั้งไฟลท์อีก คราวนี้นั่งเรือไปอีกเกาะหนึ่งที่ขึ้นชื่อว่าหาดทรายสวยมาก ฉันขออภัยจริงๆที่จำชื่อเกาะนั้นไม่ได้เสียแล้ว

เราไปเล่นน้ำทะเลกันที่นั่น ฉันสนุกมาก พี่อินคอยดูแลฉันตลอด ท่ามกลางความงงของลูกเรือคนอื่นๆ ที่คงคิดว่าฉันมันก็ผู้หญิงแร่ดๆอีกคน มีแฟนแล้วยังไม่หยุด อะไรแบบนั้น

ฉันโดนนินทากระจาย ตอนนั้นฉันยังไม่ค่อยเข้าใจสังคมในหมู่ลูกเรือนัก ต่อมาจึงได้ทราบว่า มันเหมือนการเมืองเลย

คือ "ไม่มีมิตรแท้ และไม่มีศัตรูถาวร"

คนที่คุยกับเราต่อหน้าอย่างดี หลอกล่อให้เราเล่าเรื่องของเรา ทำเป็นอบอุ่นเข้าอกเข้าใจ เป็นคนเดียวกับที่เอาเรื่องของเราไปแต่งเติมเพิ่มสีสัน เล่าต่อๆกัน จนฉันยังงงว่านี่มันเรื่องของฉันหรือนี่

คนประเภทนี้มีทุกสังคม ไม่เฉพาะในสายการบินที่ฉันทำงานเท่านั้น

คืนที่สามที่นูเมีย ฉันอยู่กับพี่อินเหมือนเคย

กลางดึกคืนนั้น เสียงเคาะประตูห้องฉันดังมากจนฉันและพี่อินตกใจตื่น

เปิดประตูห้องไปโดยลืมดูตาแมว เพราะนึกว่าใครมีเรื่องด่วน พี่อินหลบไปอยู่ที่ห้องน้ำ

มีคนยืนตะหง่าน หน้าหงิก อยู่หน้าห้องฉัน

ไม่ใช่คนเดียว แต่ป็นสองคน

พี่หนิงกับ....ภรรยาพี่อิน!!!


(ต่อพรุ่งนี้บ่ายค่ะ)
ฉันยืนตัวตรง พยายามนับลมหายใจและควบคุมจิตที่มันตื่นตระหนกให้นิ่ง
ตามที่เคยเรียนมากับอาจารย์ สดใส พันธุมโกมล ในคลาสวิชาศิลปการแสดงพื้นฐานที่ฉันเรียนตอนอยู่ปี 1 และได้นำมาใช้ในชีวิตจริงตลอดมา

ไม่นานมานี้ เห็นการจัดงานวันเกิดครบเจ็ดรอบของท่าน

ที่เราเรียกกันว่า "ครูใหญ่" ในข่าวทีวี ยังปลื้มใจว่าฉันเองเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ของท่านเช่นกัน

ครูใหญ่ยังสวยสดใสแข็งแรงสมชื่อเลย

และครูใหญ่ท่านนี้แหละที่เป็นสาวไทยท่านแรกที่เข้าประกวดนางงามจักรวาล

" ริน ทำยืนไม่รู้ไม่ชี้ เปิดประตูกว้างๆหน่อย ฉันจะเข้าไปดูซิว่าเธอกับไอ้อินมีความสุขกันแค่ไหน"

พี่หนิงตะโกน สรรพนามที่เรียกฉันเปลี่ยนไป กลายเป็น "ฉัน" และ "เธอ"

พี่หนิงตะโกนต่อ(ตรงนี้ต้องเซ็นซ่อร์).....

ฉันเพิ่งได้ประจักษ์ความโมโหร้ายของพี่หนิงเป็นครั้งแรกนับแต่เป็นแฟนกันมา หากตอนนั้นฉันมิได้เฉลียวใจว่านิสัยแท้จริงพี่หนิงเป็นคนพาล และโมโหร้าย คิดแค่ว่าพี่หนิงหึงจนลมออกหู เป็นผู้ชายคนไหนๆ เจอแฟนทำอย่างนี้คงมีปฏิกิริยาแบบพี่หนิงทั้งนั้น

ฉันโง่ครั้งที่เท่าไหร่แล้วเนี่ย

ภรรยาพี่อิน(เธอชื่อคุณ จิ๋ม)ไม่ทันพูดอะไรแต่..

สายตาเธอที่มองฉันมันช่างเหยียดหยามและดูแคลนสิ้นดี


พี่หนิงผลักฉันจนเซ ก้าวเข้าห้อง ตามติดด้วยคุณจิ๋ม

"ไหนวะ ไอ้คนทุเรศ ไอ้แมวขโมย ไอ้.......(เซ็นเซ่อร์อีก)"
พี่หนิงเดินไปที่ห้องน้ำ

เป็นเวลาเดียวกับที่เสียงเคาะประตูห้องฉันดังอีกครั้ง พร้อมเสียงหนุ่ยดังเข้ามา

"แม่คุณเอ๊ยยย ไฟไหม้ หรือฟ้าผ่ายะ ใครมาแสดงอำนาจบารมีแถวนี้ ขอนังหนุ่ยดูหน้าหน่อยซี้ ริน ริน เปิดๆๆประตูด่วน ไม่งั้นหนุ่ยจะเรียก รปภ.มาเปิด ริน รี๊นนนนน"

หนุ่ยยังพูดไม่จบขณะที่ฉันเปิดประตูให้หนุ่ยเข้ามา เป็นเวลาเดียวกับที่พี่หนิงก้าวเข้าไปในห้องน้ำ

หนุ่ยแทรกตัวเข้ามา จับมือฉันแน่น มองหน้าคุณจิ๋มที่ยังคงทำสายตาเผาผลาญฉันอยู่ แปลกที่เธอไม่เข้ามาตบฉันให้คว่ำไปแบบในละคร เธอนิ่งได้อย่างน่านับถือมาก

หนุ่ยบีบมือฉัน พร้อมกับตามพี่หนิงไปที่ห้องน้ำ

"ใจเย้นนน ใจเย็นสิฮะพี่หนิง รินเค้าป่าวทำอะไรอย่างที่พี่หนิงคิดเล้ยย เค้าอยู่กับหนุ่ยกะแอนทู้กวัน วันก่อนที่พี่หนิงโทร.มา พวกเราก็อยู่ห้องนี้กัน พอดีพี่อินเค้ามาขอยืมกาต้มน้ำ แล้วเสียงมันลอดโทรศัพท์ไป เนี่ย รินเค้ากลุ้มใจจะตายไปนะฮ้า ร้องไห้ซบอกหนุ่ยทั้งวี่ทั้งวัน ไม่เป็นอันทำไรเลย ไม่ได้กินไม่ได้นอน ดูดิฮะ ผอมซีดเป็นไก่ต้มแบบยังไม่ทันราดซ้อสเบอร์กันดี"

พี่หนิงโผล่ออกมาจากห้องน้ำด้วยสีหน้ายิ่งกว่าทศกัณฐ์สิบหน้ารวมกัน

ฉันตกใจจนเอ๋อ พยายามควบคุมสติเต็มที่

เวรกรรมแท้ๆเลยเรา พี่หนิงทำอะไรพี่อิน

ทำไมห้องน้ำเงียบจัง...

หนุ่ยพูดต่อ

"เห็นมั้ยฮะพี่หนิง ไม่มีอะไรในห้องรินซักหน่อย อย่าว่าแต่พี่อินตัวโตๆเล้ยย มดซักตัวยังไม่มี หนุ่ยดูแลรินเค้าดีฮ่ะ มดไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม"

หนุ่ยหันมายักคิ้วให้ฉัน ทำนอง..เห็นฝีมือชั้นยัง

" คุณหนิง ไม่เจออินเหรอคะ ลองดูหลังม่านสิคะ"
คุณจิ๋มเอ่ยเอื้อนประโยคแรก เธอไม่มองหน้าฉันแล้ว

พี่อินเดินไปตบๆที่ม่านตามที่คุณจิ๋มแนะนำ หนุ่ยชิงพูดขึ้นมาอีก

"วู้ยยย พี่หนิง ทำไรอย่างกะในหนัง ไม่ต้องหาหรอกฮะ พี่อินเค้าคงหลับฟี้อยู่ที่ห้องเค้าแหละฮ่า เนี่ย พี่หนิงใจเย็นๆให้มากหน่อยน้า ป่านนี้คนตื่นกันหมดทั้งโรงแรมแล้ว เดี๋ยว CNN มันเอาไปออกข่าวน้าว่า นักบินไทยหึงแฟน ควบคุมสติไม่อยู่ ..แบบนั้นสยองมั่กๆนะฮ้า ถ้าบริษัทรู้เรื่อง พี่หนิงแหละจะโดนสอบสวน จะเป็นกัปตันได้ไงฮ้า ถ้าสงบจิตไม่อยู่...เฮ้อ.."

"พอได้แล้วหนุ่ย ไม่เจอไม่ได้แปลว่าไม่ได้เคยอยู่ ริน มาไปกับพี่กับคุณจิ๋ม ไปดูที่ห้องสามีคุณจิ๋มกัน" พี่หนิงทำหน้าผิดคาดที่ไม่เจอพี่อินในห้องฉัน

ฉันสิยิ่งประหลาดใจ งงไปหมด

พี่อินหายตัวไปได้ยังไง
พี่อินพักอยู่คนละชั้นกับฉัน พอไปถึงหน้าห้องพี่อิน พี่หนิงเคาะประตูดังแบบไม่เกรงใจใครตามเคย

พี่อินเปิดประตู สวมชุดนอน หน้าตาแบบคนเพิ่งตื่นนอน

"อ้าว..จิ๋ม มาได้ไง" พี่อินทักภรรยา

"หนิง ตามมาดูเพราะแค่ได้ยินเสียงเราในโทรศัพท์เหรอ ใจคอไม่หนักแน่นเอาเลย แล้วจิ๋มพากันมากับหนิงได้ไง"

พี่อินหันไปถามคุณจิ๋ม เธอตอบสะบัดๆว่า

"มาได้แล้วกัน อย่ามานึกว่าจิ๋มไม่รู้นะว่าอินขอไฟลท์ตามแฟนคนอื่นเค้ามา น่าเกลียด จิ๋มจะไปฟ้องคุณพ่อ คอยดูนะ อินต้องโดนลงโทษให้เข็ดเสียที จิ๋มเบื่อ..เบื๊ออ เบื่อ.."

ฉันรู้ทีหลังว่าพี่อินเกรงใจคุณพ่อคุณจิ๋มมาก เพราะท่านเป็นเพื่อนสนิทของคุณพ่อพี่อิน

หนุ่ยหัวเราะคิกคัก
"ว้ายย แหม คุณพี่ขา พี่อินเค้ายังไม่ทันทำอะไรซักนิด ใคร้ ใครมันบอกคุณพี่ว่าพี่อินขอไฟลท์ตามริน พวกบ่างที่มันอิจฉารินอ่ะดิฮ้า คุณพี่น่าจะหนักแน่นกว่านี้นะฮะ เอ แต่ก็อย่างว่านะฮ้า มีผัวหล่อ ต้องคอยทำตัวเป็นโกลด์มือกาวยิ่งกว่าสราวุธซะอีก ข้าศึกคอยจ้องจะทำประตูกันซะ"

สราวุธ ที่หนุ่ยพูดถึง คือ สราวุธ ปทีปกรณ์ชัย อดีตผู้รักษาประตูคนเก่งของทีมฟุตบอลชาติไทยสมัยนั้น

คืนนั้น หนุ่ยเป็นฮีโร่ของฉัน หนุ่ยเล่าว่า พี่อินปีนจากหน้าต่างห้องน้ำในห้องฉัน เป็นหน้าต่างบานยาวแบบฝรั่งเศส มาลงที่ระเบียงห้องหนุ่ยที่อยู่ติดกับห้องฉัน และหนุ่ยรู้เรื่องของฉันกับพี่อินตั้งแต่กลางวัน ฉันเล่าให้หนุ่ยฟังว่าพี่หนิงโทร.มาคืนก่อน ได้ยินเสียงพี่อินแล้วโมโหมาก แต่ฉันแปลงเรื่องเป็นว่า พี่อินมายืมกาต้มน้ำที่ห้องฉัน

หนุ่ยบอกว่า พี่อินมาเคาะที่หน้าต่างห้องหนุ่ยพร้อมกับเล่าอย่างรวบรัดเรื่องพี่หนิงและคุณจิ๋มมา หนุ่ยจึงบอกให้พี่อินรอในห้องหนุ่ย พอหนุ่ยเข้าไปในห้องฉันได้แล้ว ให้พี่อินกลับห้อง และทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

พี่อินทำตามแผนของหนุ่ยอย่างได้ผล ขอบคุณฟ้าดินเหลือเกินที่ช่วยให้ฉันไม่ดูเลวร้ายไปกว่าที่ควร

หนุ่ยหัวไว อันที่จริงหนุ่ยเป็นคนเรียนเก่งมาก จบรํฐศาสตร์บัณฑิต เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เหรียญทอง หนุ่ยมาเป็นสจ๊วตรุ่นเดียวกับฉัน พร้อมกับเรียนปริญญาโทไปด้วยทุนของมหาวิทยาลัย จบโทแล้ว หนุ่ยลาออกไปทำปริญญาเอกที่อเมริกาด้วยทุนมหาวิทยาลัยเหมือนเดิม

เดี๋ยวนี้หนุ่ยมีตำแหน่งใหญ่มากใน ครม.

เห็นหนุ่ยออกทีวีทีไร ฉันต้องอมยิ้มทุกที

ไม่เจอกันนานแล้ว หนุ่ยยังจำรินและเรื่องรักของรินที่นูเมียได้มั้ยน้อ


( ต่อวันจันทร์ 15.00 นค่ะ)
สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่าน..

วันนี้เข้าพันทิบ ตกใจ ปลื้มใจ ดีใจ มีความสุขล้นเหลือ

ชื่อ แอร์กี่ อยู่อันดับที่ 1 ในการค้นหาข้อมูลของเว็บพันทิบ

กราบขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตาม ดิฉันยังเขียนเรื่องไม่จบเลยค่ะ

แต่ขอเอาตอนที่สาม(ต่อ) และ ตอนที่สี่ มาลงให้อ่านก่อนน้า

ติดตามได้เลยค่ะ....


คืนนั้น หลังจากการไกล่เกลี่ยของหนุ่ย บวกกับความเพลียของทุกคนในเหตุการณ์ จึงต่างแยกย้ายกันไปนอน
แน่นอนว่าพี่หนิงต้องมาอยู่ห้องเดียวกับฉัน คุณจิ๋มอยู่กับพี่อิน

ทันทีที่อยู่กันสองคน พี่หนิงแสดงอาการโมโหจัดขึ้นมาอีก

"เรื่องนี้ไม่จบง่ายๆหรอกนะเธอ ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าเธอโกหกฉันหรือเปล่า"

พี่หนิงเริ่มใช้สรรพนาม "ฉัน กับ "เธอ" อีกแล้ว

เรื่องพี่หนิงว่าฉันโกหกเขานี่เป็นเรื่องที่เขาพูดบ่อยมาก ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นในภายหลัง เขาจะต้องหาว่าฉันน่ะ "โกหก" เสียทุกที

ทั้งที่เขานั่นเองเป็นคนที่ "โกหก" ฉันตลอดมา

เรื่องพี่หนิงกับคุณจิ๋มมาถึงนูเมียได้อย่างไร เป็นเรื่องที่เดาได้ง่าย ทันทีที่พี่หนิงรู้ว่าพี่อินอยู่ในห้องฉัน พี่หนิงโทร.ไปบ้านพี่อิน และคุยกับคุณจิ๋ม ทั้งสองคนตกลงว่าตอนเช้าต้องรีบไปจัดการเรื่องการเดินทางไปนูเมีย พี่หนิงเป็นนักบิน ไม่ยากที่จะหาข้อมูลสายการบินต่างๆจากแผนก operation ส่วนคุณจิ๋มมีเพื่อนสนิททำงานสถานทูตฝรั่งเศส
ช่วยเร่งให้วีซ่าของทั้งสองคนเสร็จภายในวันเดียวเพื่อจะออกเดินทางมานูเมียโดยสายการบินอื่น

ระหว่างที่พี่หนิงและคุณจิ๋มเดินทางมา ต่างคนต่างหาข้อมูลอีกฝ่าย พี่หนิงบอกฉันว่า คุณจิ๋มสังเกตว่าพี่อินเปลี่ยนไปมากหลังจากที่สารภาพกับเธอว่าชอบฉัน

และคุณจิ๋มซึ่งป็นแอร์เก่ามีเพื่อนทำงานใน OB (แผนกจัดตารางบิน) ทำหน้าที่เป็นสายลับคอยแจ้งว่าพี่อินไปบินกับแอร์คนไหนบ้าง

เรื่องพี่อินไปนูเมียกับฉัน คุณจิ๋มรู้ช้าไป สายลับของเธอลาพักร้อนไปหลายวัน กว่าจะมารู้ว่าฉันบินกับพี่อินเลยสายไป บังคับให้พี่อินเปลี่ยนตารางบินไม่ทัน รวมทั้งพี่อินบอกเธอว่า ฉันเป็นแฟนพี่หนิงไปแล้ว พี่อินไม่เกี่ยว

แต่คุณจิ๋มอดไม่ได้ที่จะมาปรามฉันไว้ก่อนในวันเดินทาง คุณจิ๋มคงลืมไปว่าคนเรานั้นถ้ายังไม่มีวุฒิภาวะพอ การมาดักด่าว่าฉันนั้นมันเปรียบเสมือน "ยิ่งว่าก็ยิ่งยุ"

ตอนนั้นฉันเป็นแค่เด็กสาวเพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัย จะให้คิดอะไรออกมากมายเหมือนตอนนี้เล่า

สองวันต่อมาที่นูเมียทำให้ฉันรู้ซึ้งถึงที่เค้าพูดกันว่า นับวินาทีรอ ฉันรอนาทีที่จะเดินทางกลับกรุงเทพฯอย่างใจจดใจจ่อ

พี่หนิงอารมณ์กลับไปกลับมา แต่ฉันไม่เฉลียวใจว่านั่นคือตัวตนแท้จริงของเค้า กลับคิดไปว่าพี่หนิงโมโหหึง

ฉันมาสรุปรวมอุปนิสัยทั้งหมดของพี่หนิงได้ทั้งหมด หลังจากวันนั้นอีกหลายปี

ซึ่งทุกอย่างมันสายไปหมดแล้ว

ความรู้สึกของฉันตอนนั้นคือ ฉันเป็นของพี่หนิง ฉันต้องแต่งงานกับพี่หนิง อารมณ์บรรเจิดที่พี่หนิงสร้างให้เกิดกับตัวฉันยามอยู่บนเตียงด้วยกัน ทำให้ฉันติดพี่หนิง พอหายโกรธก็ดีกัน จบลงบนเตียง

ฉันลืมวิจารณญาณในการเลือกคู่ไปสนิท

วันเดินทางกลับ พี่หนิงกับคุณจิ๋มเปลี่ยนมานั่งเครื่องเดียวกับที่พี่อินและฉันทำงาน ด้วยหน้าที่ ฉันต้องบริการคุณจิ๋ม ซึ่งนั่งเป็นผู้โดยสาร คุณจิ๋มยังคงทำหน้าเครียด เค็ม แบบเดิม เมื่อฉันเอาอะไรไปเสิร์ฟ เธอเพียงแต่ปรายตามอง

ฉันหมั่นไส้คุณจิ๋มมาก

นานต่อมาฉันจึงเข้าใจความรู้สึกคุณจิ๋มในวันนั้น

หากฉันได้มีโอกาสพบเธออีก ฉันจะเข้าไปกราบขอโทษเธอที่ฉันทำให้เธอรู้สึกแย่ปานนั้น

พี่หนิงนั่งเป็นผู้โดยสารเช่นเดียวกัน แต่คนละที่นั่งกับคุณจิ๋ม ผู้โดยสารไม่มากนัก

รักสามเส้าสี่เส้าของพวกเราสี่คน โดนเม้าท์ลับหลังตามเคย

"ยัยริน ชั้นมีข่าวจะมาบอก" หนุ่ยบอกฉันระหว่างที่เราทำงานเสร็จแล้ว กำลังทานอาหารกัน
ฉันยังไม่ทันพูดต่อ หนุ่ยแทรกขึ้นมาอีก
"อู๊ยยย พี่ปิ๋มให้อาหารกัปตันมา ชั้นอุบอิ๊บอั๊บกินละนะ สเต๊กๆๆๆ เนื้อหนุ่มฝรั่งเศสป่าวหว่า วุ้ยๆ เพิ่มพลังๆนังหนุ่ย"

อาหารสำหรับลูกเรือบนเครื่องจะถูกจัดมาต่างหาก ไม่ปะปนกับผู้โดยสาร และต่างจากอาหารผู้โดยสารอย่างสิ้นเชิง และบุคคลพิเศษที่ต้องทานอาหารไม่เหมือนใครเลยบนเครื่องคือนักบินที่หนึ่ง หรือกัปตัน นั่นเอง

อาหารของกัปตันทุกอย่าง จะมีฉลากกำกับมาว่า "CAPT"
นั่นคืออาหารเฉพาะที่กัปตันต้องทาน ทำไมหรือจึงต้องทานอาหารแตกต่างจากคนอื่นๆ

นั่นคือหากเกิดกรณีที่กัปตันทานอาหารเข้าไปแล้วอาหารเป็นพิษ ท้องเดิน หรืออะไรก็ตามอันเป็นผลมาจากอาหาร
นักบินคนอื่นๆ จะไม่เป็นไปด้วย เพราะทานอาหารต่างกัน จะทำหน้าที่แทนกัปตันได้พอสมควร

ในทางกลับกัน หากนักบินคนอื่นได้รับผลกระทบจากอาหารที่ทาน ก็ยังมีกัปตันดูแลเครื่องได้

เป็นนโยบายเพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารและลูกเรือทั้งหมดนั่นเอง

แต่นั่นแหละ กฎย่อมมีข้อยกเว้น แอร์ที่เสิร์ฟอาหารให้นักบินจึงมักถูกถามบ่อยๆจากกัปตันทั้งหลายว่า

"อาหารคนอื่นมีอะไรมั่ง ผมเอียนสเต๊กจะแย่แล้ว กินมาตั้งแต่ฟันดีๆจนจะใส่ฟันปลอมอยู่แล้ว..."

แอร์ที่ชำนาญงานและมีประสบการณ์มานาน (โดยมากคือแอร์ชั้นหนึ่ง หรือแอร์ชั้นนักธุรกิจ) จะบรรยายเมนูอื่นๆให้นักบินฟังจนเกิดอาการอยากทานอาหารไปตามๆกัน ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่หิว

"ที่เฟิร์สคลาสมีคาร์เวียร์ แซลมอน เบาๆดี กัปตันรับมั้ยคะ เดี๋ยวหนูเอามาให้ หรือว่าพ้อร์กช้อปดีคะ มีซ้อสสองอย่าง......ฯลฯ "

แล้วนักบินทั้งหมดก็อิ่มท้อง อิ่มใจกันไป

หนุ่ยพูดต่อ "QUICHE นี่ก้อหร่อยนะ ฮ้อม หอมเนยฝรั่งเศส เออ ริน กินๆเข้าไป ไม่ต้องกลัวหรอก เรื่องของเธอน่ะ ขึ้นหน้าหนึ่งวันเดียว เดี๋ยวก็มีข่าวพี่ปิ๋มกลบ ฮ่าๆๆๆ"

หนุ่ยหันไปแซวพี่ปิ๋ม แอร์เฟิร์สคลาสที่หนุ่ยสนิทด้วย ว่าไปแล้ว ไม่เห็นหนุ่ยจะไม่สนิทกับใคร หนุ่ยเป็นคนที่มีน้ำใจดีอย่างที่ฉันเคยบอก ใครๆจึงไม่รังเกียจที่จะคบหนุ่ย แต่หนุ่ยมักจะบอกทุกคนว่า อย่าบอกความลับกับหนุ่ย เพราะหนุ่ยเป็นพวกฆ้องปากแตก มีเพื่อนสนิทเยอะนับร้อย และเพื่อนสนิททั้งหลายของหนุ่ยต่างมีเพื่อนสนิทอีกนับเป็นร้อยๆเช่นกัน

"ช่ายมะ พี่ปิ๋ม เรื่องพี่ปิ๋มมันช่างแสบสันต์หรรษาขาเม้าท์กว่าเรื่องรินอีก ใจเย็นๆเหอะโยม"

หนุ่ยคะยั้นคะยอให้ฉันทานอาหารชนิดนั้นชนิดนี้ ซึ่งไม่ไช่อาหารลูกเรือสักอย่าง

ทานกันไปโดยได้รู้เรื่องพี่ปิ๋มเป็นกับแกล้ม ว่าพี่ปิ๋มโดนเพื่อนสนิทที่เป็นแอร์ด้วยกันสอยเอาสามีไปแล้ว หลังจากแต่งงานได้ไม่กี่ปี สามีพี่ปิ๋มเป็นนายตำรวจหน้าตาดีมีอนาคต แถมมาด้วยอุปนิสัยพิเศษของผู้ชายหน้าตาดีมีอนาคตส่วนใหญ่ คือ "ความเจ้าชู้"

พี่ปิ๋มบอกฉันว่าเพิ่งจับได้สดๆร้อนๆก่อนเธอมาบินไฟลท์นี้ และเธอตัดสินใจว่า ยอมร้องไห้ตอนนั้น ดีกว่ายื้อเขาเอาไว้ และเจ็บเป็นพักๆไปเรื่อยตลอดชีวิต

ฟังเรื่องพี่ปิ๋มแล้วนึกถึงยุ้ย นี่ฉันแย่งพี่หนิงมาจากยุ้ยจริงๆหรือเปล่า เปล่าน่า เค้ายังไม่ได้แต่งงานนี่นา คนเราหนอ(นึกได้ทีหลังตามเคยว่าฉันนี่) คิดเข้าข้างตัวเองไปได้เรื่อยๆ

"หนุ่ย ไอ้ที่บอกว่ามีรัยจะมาบอกรินน่ะ บอกมาซะทีสิ มัววกไปเรื่องคนนู้นคนนี้ ลืมเหรอที่ว่าจะบอกอะไรรินน่ะ"
ฉันถามหนุ่ยตอนที่นึกขึ้นได้ว่า หนุ่ยบอกว่ามีอะไรจะมาบอกแต่ยังไม่ทันบอก เพราะเฉไฉไปเรื่องพี่ปิ๋มเสียก่อน

"น่านดิ ชั้นก็เป็นแบบนี้แหละริน คิดรัยได้ก็พูด สมองมันแล่นเร็ว "

"จ้า รินรู้ว่าหนุ่ยน่ะพหูสูต เอ้า บอกมาเรื่องรัย"

หนุ่ยลดเสียงลง

"พี่อินฝาก จอ มอ รอ ให้รินน่ะดี๊"

"อารัยนะหนุ่ย จอ มอ รอ" ฉันงงกับอักษรย่อของหนุ่ย นึกว่าหนุ่ยมาอำอีกแล้ว

"โฮ้ยยย คุณนู๋ริ้น ...ช่างอินโนเซ้นส์ซะ..จอ มอ รอ ก้อ love letter งัยยะ ฮี่ๆๆๆ ขออ่านด้วยคนน้า"

"ไหนล่ะจดหมาย ฝากมากะใคร อย่าบอกพี่หนิงนะ" ฉันรับจดหมายที่หนุ่ยหยิบออกจากกระเป๋ากางเกงมาส่งให้

เป็นเวลาเดียวกับที่พี่หนิงโผล่หน้าเข้ามาใน galley
(แกลลี่ คือชื่อเรียกบริเวณที่เป็นส่วนทำงานของลูกเรือ จะกั้นม่านไว้หากไม่ใช่เวลาให้บริการผู้โดยสารทั้งเครื่อง)

หนุ่ยตาไว รีบเอาจดหมายใส่กลับคืนไว้ในกระเป๋ากางเกง โดยที่พี่อินยังไม่ทันเห็น ไม่งั้นฉันคงโดนหนักอีก..เฮ้อ

ฉันได้อ่านจดหมายพี่อินก่อนเครื่องลง โดยเอาไปอ่านในห้องน้ำ ขณะที่เปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดไทยเป็นยูนิฟอร์มของบริษัท

(ต่อตอนที่สี่ค่ะ)
นี่คือข้อความในจดหมายพี่อิน

รินจ๋า..

สองวันหลังที่นูเมีย พี่ว่านูเมียมันขาดเสน่ห์ไปพะเรอ

พี่คิดถึงริน แต่ต้องทำเป็นไม่สนใจ พี่สงสารจิ๋ม พี่นี่เลวมากๆ พี่ยังรักจิ๋มอยู่ เขาเป็นแม่ของลูก แต่พี่ก็รักรินด้วย พี่เข้าใจอารมณ์ผู้ชายที่มีเมียน้อยเอาตอนนี้เอง

พี่เลวมากเลยใช่ไหมครับริน

พี่ขอโทษ ถ้าทำอะไรให้รินไม่สบายใจ พี่อยากเห็นรินสดใสร่าเริง ยิ้มหวาน หน้าบานเหมือนดอกชบานูเมีย

เราคงไม่มีโอกาสได้คุยกันอีกซักเท่าไหร่ 'cause we're meant to be apart

พี่ขอให้รินรู้ไว้ว่า พี่จริงใจ แต่ไม่อาจทำอะไรให้รินได้ พี่ผิด พี่ไม่ดี

รู้ไหมว่า เมื่อวานนี้ พี่ออกไปเดินคนเดียวเกือบทั่วเกาะ
เห็นอะไร ในใจมันร่ำร้อง...ริน ริน ริน

เดินจนเหนื่อย กลับมาหลับเป็นตาย ตื่นมาบินนี่แหละครับ

พี่พูดมากไปแล้วใช่ไหม แต่มันอยากพูดนี่ครับ

.....พี่รักรินมากเสมอนะครับ...

จาก.... พี่อิน
(เขียนใน cockpit เที่ยวบิน.....NOUMEA-BANGKOK)


โอย อ่านแล้วจะร้องไห้ แต่ร้องไม่ได้ รีบนึกว่าจะเก็บจดหมายพี่อินไว่ที่ไหนดีที่พี่หนิงจะไม่เห็น ฉันรู้ว่าพอลงจากเครื่องได้ พีหนิงต้องค้นของฉันกระจุยแน่ เพื่อหาหลักฐานที่จะเอามาปรักปรำฉันอีก

รู้ละ ฝากไว้ที่หนุ่ยดีกว่า แล้วค่อยนัดไปเอาวันหลัง

ฉันเลยไปฝากจดหมายไว้กับหนุ่ย นัดว่าค่อยเจอกันวันหลังที่เราว่างตรงกัน และพี่หนิงไปบิน

กลับถึงกรุงเทพฯ จริงดังที่หนุ่ยพูดไว้ เรื่องของฉันดังไม่เท่าเรื่องพี่ปิ๋ม

ชีวิตฉันดำเนินต่อไปโดยไม่ได้ข่าวพี่อิน ฉันนึกถึงเขาบ่อยๆ แต่ความปรารถนาทางกายกับพี่หนิงก็รุนแรงเพิ่มขึ้นตามลำดับ

จนวันหนึ่งที่ฉันรู้ว่าตัวเองท้อง

ฉันบอกพี่หนิง พี่หนิงโกรธว่าท้องได้ยังไง ป้องกันอย่างดีแล้ว แถมยังโทษอีกว่า ฉันไปมีอะไรกับใครอีกหรือเปล่า เขาว่าฉันน่ะเชื่อไม่ค่อยได้

โถ... พี่หนิง กิตติศัพท์ความโมโหหึงของพี่หนิงระบือไปทั่วขนาดนี้ ใครเค้าจะมายุ่งกับริน

แล้วฉันก็แต่งงานกับพี่หนิงหลังจากมีเรื่องวุ่นวายนานาประการจากครอบครัวของเราทั้งคู่

ในงานแต่งงานของฉันนั่นเองที่ลูกสาวพี่หนิงมาก่อเรื่องให้ฉันหน้าแตก

ฉันเคยเจอเด็กคนนี้มาบ้างก่อนที่จะแต่งงานกับพี่หนิง พี่หนิงจะไปรับเธอมาจากภรรยาเก่าของพี่หนิง ที่พี่หนิงชอบบอกฉันลับหลังว่า

"พี่ไม่ได้รักอรเลย พ่อแม่รู้จักกัน ให้แต่งก็แต่ง อยู่กันไม่ได้ก็เลิก"

ฉันเชื่อพี่หนิงตามเคย

ลูกสาวพี่หนิงชื่อน้องหนอน เป็นเด็กหน้าตาไม่น่ารักเลย ไม่เหมือนพี่หนิงซักนิด ฉันไม่เคยเห็นพี่อร ภรรยาเก่าพี่หนิง แต่เคยได้ยินมาว่าเธอสวยนะ อ้าว แล้วทำไมลูกออกมาหน้าตาแปลกๆ สงสัยเอาส่วนไม่ดีของพ่อแม่มามั้ง

เด็กคนนี้เป็นคนหนึ่งที่ต้องเคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรของฉันมาแต่ชาติปางก่อนแน่ๆ

เวลาพี่หนิงพาเธอไปไหนกับฉัน ฉันจะตามใจน้องหนอนมาก อยากได้อะไรได้หมด เพราะฉันอยากเอาใจพี่หนิง และสงสารน้องหนอนด้วย รวมกับเห็นว่าพี่หนิงดูรักน้องหนอนไม่น้อยเลย

ตอนนั้นน้องหนอนอายุยังไม่ถึงสามขวบ แต่ฉลาด ช่างพูด จนฉันให้อภัยความล้นๆ เอาแต่ใจของเจ้าหล่อนไป คิดว่าเด็กมีปัญหาเป็นแบบนั้นเอง ฉันต้องเอาใจเธอมากๆ เธอจะได้รักฉัน

หารู้ไม่ว่าฉันไม่เคยได้ "ใจ"น้องหนอนเลย

เรื่องหน้าแตกที่น้องหนอนก่อขึ้นในวันแต่งงานของฉันคือ ในขณะที่พี่หนิงกับฉันเดินถ่ายรูปกับแขกตามโต๊ะ น้องหนอนมองตาม และอยู่ๆ เธอก็ลุกขึ้นปีนไปยืนบนโต๊ะ พร้อมกับทำท่าเหมือนร่ายรำและร้องเพลงเหมือนตะโกนว่า

"พ่อหนิงของหนอน เจอผู้หญิงสะตอ เบอรี่คนใหม่ จะเอามาเป็นแม่หนอน ..."

ทุกสายตาหันไปตามเสียงน้องหนอน

น้องสาวฉันพุ่งไปจับน้องหนอนลงจากโต๊ะ อุ้มไปนอกห้องจัดเลี้ยง

น้องสาวฉันบอกกับฉันในตอนหลังว่าจากการสอบสวนของคุณแม่และน้องสาวฉัน น้องหนอนให้ปากคำว่า คนที่สอนให้เธอร้องเพลงนั้น และยุให้ขึ้นไปยืนบนโต๊ะ คือ พี่หนิม น้องสาวพี่หนิง เป็นแอร์รุ่นพี่ฉันประมาณสองปี และเธอไม่ชอบหน้าฉันเลย

ฉันทำให้ครอบครัวเป็นห่วงตั้งแต่นั้นมา

เนื่องจากฉันรีบแต่งงาน เรือนหอยังไม่มี พี่หนิงจึงบอกให้ไปอยู่กับเขาที่บ้านของเขาก่อน แล้วค่อยหาบ้านอยู่กันทีหลัง

แต่งงานได้ไม่กี่วันฉันไปลาพัก เอาทะเบียนสมรสไปยืนยันว่าท้อง

ใครๆเม้าท์ว่าฉันท้องก่อนแต่ง แต่แล้วก็เงียบๆไป เพราะฉันไช่คนแรกและคนสุดท้ายที่ท้องก่อนแต่ง

ช่วงที่ลาท้อง ทางบริษัทจะมีทางเลือกให้เราสองอย่าง คือ ทำงานภาคพื้นดิน รับเงินเดือนครึ่งเดียว
หรือ ลาพักไปเลยโดยไม่รับเงินเดือน เรียกว่า leave without pay

ฉันเลือกอย่างหลัง

เลือกผิดตามเคย

ฉันอยู่ร่วมบ้านกับครอบครัวพี่หนิงได้ไม่กี่วันเท่านั้น สามารถแยกแยะได้ว่า บ้านพี่หนิงนั้น ผู้หญิงทุกคน (นอกจากฉัน) เป็นใหญ่

คุณแม่พี่หนิงมีลักษณะธรรมดา แต่งตัวง่ายๆ แต่การพูดจา รวมทั้งการกระทำของคุณแม่ไม่เคยธรรมดา

พี่สาวพี่หนิงเป็นแอร์เฟิร์สคลาส เธอสวยและนิสัยดีมากในสังคม แต่อยู่ที่บ้าน เธอเป็นอีกคนหนึ่งที่แตกต่างจากที่ทุกคนรับรู้

เธอชื่อ พี่หน่อย เธอแต่งงานแล้วกับนักการธนาคารจากครอบครัวร่ำรวย ชื่อพี่ มณฑล

พี่หน่อยปลูกบ้านอยู่ในบริเวณอันกว้างขวางของบ้านคุณพ่อคุณแม่เธอ

น้องสาวพี่หนิง ตัวร้ายในชีวิตฉันอีกคนหนึ่งคือพี่หนิมคนที่เสี้ยมสอนน้องหนอนให้แอนตี้ฉัน แต่งงานแล้วเช่นกันกับนักธุรกิจลูกครึ่งจีน รวยมากเหมือนกัน


โดย: birdchicago วันที่: 28 เมษายน 2550 เวลา:18:56:53 น.  

 
ฉันมารู้ทีหลัง(อีกละ)ว่า ครอบครัวนี้เค้าหายใจเป็นเงิน

ในเมื่อฉันท้อง และไม่ต้องไปทำงาน ฉันจึงนอนตื่นสาย เมื่อลงมาข้างล่าง คุณแม่พี่หนิงจะพูดลอยๆว่า
"ที่บ้านรินนี่ท่าจะตื่นสายกันหมดใช่มั้ย กินอาหารเช้ากันกี่โมงน่ะ"
ไม่ก็ดูนาฬิกา แล้วตวัดสายตามามองฉัน

แต่ทีลูกสาวตัวเองตื่นสายกลับไม่ว่าอะไร

"หน่อยท่าจะบินมาเหนื่อย ยังไม่ตื่นเลย แย้ม ไปทำกับข้าวไป๊ เดี๋ยวคุณหน่อยตื่นเดินมาบ้านนี้จะไม่มีอะไรกิน"
(ตอนนั้นบ่ายสามโมง)

กับฉัน คุณแม่ไม่สนใจว่าจะมีอะไรหรือไม่มีอะไรกิน
ผิดกับเวลาพี่หนิงอยู่ ที่คุณแม่มักจะมาเคาะห้อง โผล่หน้ามายิ้มแย้มแจ่มใส เช่น

"หนิงกับรินเอาต้มเลือดหมูหน้าปากซอยมั้ย แม่จะให้แย้มไปซื้อ..."

ฉันเป็นคนหัวอ่อน ไม่ค่อยมีปากมีเสียง และรู้ตัวว่าครอบครัวพี่หนิงไม่ค่อยอยากต้อนรับคนท้องก่อนแต่งเท่าไหร่นัก

ดีนะที่ครอบครัวฉันพอมีฐานะอยู่บ้าง คุณพ่อฉันมีชื่อเสียงมากในวงการวิทยาศาสตร์

ไม่อย่างนั้นฉันอาจจะไม่ได้แต่งงานกับพี่หนิง

บางวันพี่หนิงไปบิน ฉันตัดรำคาญโดยไปค้างที่บ้านคุณพ่อคุณแม่จนกว่าพี่หนิงจะกลับ

วันหนึ่ง ฉันกลับจากบ้านคุณพ่อคุณแม่ แล้วเลยแวะรอพี่หนิงที่สนามบิน โดยพี่หนิงไม่รู้ล่วงหน้าว่าฉันจะมารับ

ฉันมองที่จอทีวี วงจรปิด ที่ติดไว้บอกเวลาเครื่องลง เครื่องพี่หนิงลงก่อนเวลาเล็กน้อย วันนั้นพี่หนิงกลับมาจากสิงคโปร์ เป็นไฟลท์ที่นอนค้างหนึ่งคืน มีเวลาไปทานอาหารค่ำ ช้อปปิ้ง และอยู่ต่ออีกวันหนึ่งเต็มๆ เหมือนที่ฉันเคยไปกับพี่หนิงและกิ๊บสมัยพี่หนิงจีบฉันใหม่ๆ

ผู้โดยสารเริ่มทยอยออกมา สักพักฉันเห็นกัปตันเดินมากับS.O น่าจะเป็นกัปตันไฟลท์พี่หนิงนะ ฉันจำได้ว่ากัปตันท่านนี้อยู่ fleet เดียวกับพี่หนิง

แต่ไม่มีพี่หนิง ตอนนั้นพี่หนิงเป็น CO-PILOT แล้ว

ฉันนึกไปว่า สงสัยพี่หนิงคงแวะโทรศัพท์หาฉันละมั้ง เลยรอต่อไป ไม่คิดอะไรมาก

โดยทั่วไป เวลาผู้โดยสารออกจากเครื่องหมดแล้ว นักบินจะออกจากเครื่องตามไปเลย แต่ลูกเรือยังต้องอยู่เก็บสัมภาระต่างๆก่อน เช่น เดินเก็บนิตยสารที่ผู้โดยสารอ่านทิ้งไว้ตามที่นั่ง เก็บเมนูอาหาร ผ้าห่ม ฯลฯ ไปรวบรวมไว้ในถุงผ้าขนาดใหญ่แยกสีตามของที่จะต้องเก็บ พวกเราเรียกว่า pouch

ที่ปากถุงจะมีรูกลมๆให้ใช้ห่วงเหล็กร้อย และใส่กุญแจไว้ด้วย

นอกจากนี้ยังต้องล็อกตู้ต่างๆที่สำคัญ โดยใช้กุญแจเหมือนๆกันหมด และลูกเรือทุกคนจะได้รับแจกกุญแจสำหรับไขตู้และ pouchเหล่านี้

การเก็บงานหลังจากผู้โดยสารลงจากเครื่องจะกินเวลาเกินสิบนาที บางคนที่ช่างเอาเปรียบอาจจะไม่สนใจเก็บงาน เก็บแต่ข้าวของตัวเอง ลากกระเป๋าลงจากเครื่องไปก่อนเพื่อนร่วมงานก็มี แต่มีน้อยมาก

ส่วนใหญ่จะช่วยกันจนเสร็จแล้วลงจากเครื่องพร้อมๆกัน

ฉันรอพี่หนิงจนเห็นลูกเรือเดินออกมา โน่น พี่หนิงอยู่รั้งท้าย กำลังคุยตาหวานกับแอร์หน้าหมวยคนนึง

ฉันระแวงขึ้นมาเดี๋ยวนั้น สัญชาตญาณบอกว่า พี่หนิงกำลังจะทำอะไรไม่ดีแน่เชียว

(มีต่อเร็วๆนี้ค่ะ)
สวัสดีค่ะ ขอโทษ(อีกละ)ที่มาช้านะคะ ภาระกิจเยอะแยะยุ่งเหยิงค่ะ

เขียนแล้ว ต้องกลับมาแก้ไขใหม่อีก เพราะบัตรผ่านไม่สามารถแก้ไขข้อความได้ ไม่สามารถทำลิ้งค์ได้ โพสท์แล้วโพสท์เลย มาอ่านทวน ตรวจปรู๊ฟแล้วมีที่ผิดหลายแห่งค่ะ ท่านผู้อ่านโปรดอภัยให้มือใหม่หัดเขียนด้วยนะคะ


ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตาม

ขอบพระคุณท่านที่ทำลิ้งค์ให้ด้วยนะคะ

......รักสวนลุม...รักพันทิปดอทคอมพ์...


จากใจแอร์กี่


ต่อเลยนะคะ


พี่หนิงกับแอร์คนนั้นถ้อยทีถ้อยคุยกันจนไม่ทันสังเกตเห็นฉันที่ยืนอยู่ ก่อนที่จะเดินมาถึงตัวฉัน มีเสียงทักขึ้นมา

"อ้าวววว ริน ริ้น ริน มารับพี่หนิงเหรอเพื่อน"

กิ๊บนั่นเอง เธอเดินนำหน้าพี่หนิงกับแอร์คนนั้นมาพร้อมกับหนุ่ย ทั้งคู่ชะลอฝีเท้าลงราวกับนัดกัน เพื่อให้พี่หนิงกับสาวแอร์ที่เดินตามมาทันได้ยินเสียงกิ๊บ ฉันยังไม่ทันตอบอะไรกิ๊บ หนุ่ยหันขวับไปด้านหลังและบอกแอร์สาวสวยที่เดินมาคู่กับพี่หนิงหน้าตาเฉยว่า

"นี่ๆๆ หนูลูกไก่ขา นี่ไงค้า พะ-ริ-ยา พี่หนิง เห็นมะ พี่บอกแล้วว่าพี่หนิงมีเมียสวย เชื่อยังค้า น้องลูกไก่"

พี่หนิงกับลูกไก่ทำหน้าแปลกๆที่ตอนนั้นฉันผู้แสนโง่ยังไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร

ลูกไก่มองฉันเฉยๆ ไม่ยกมือไหว้

พี่หนิงหันไปบอกลูกไก่ว่า

"ไปก่อนนะครับ แล้วเจอกัน"

ลูกไก่ยิ้มหวานให้พี่หนิงแล้วรับคำ "ค่ะ"


มองฉันอีกหนึ่งแว้บแล้วเดินต่อไปทางที่รถลูกเรือจอดอยู่

ฉันหน้าหงิกแล้วตอนนั้น พี่หนิงยิ้มแบบไม่มีอะไรในกอไผ่ ทำหน้าซื่อถามฉัน

"รินมารอรับพี่เหรอ เมื่อยมั้ย แล้วเอาไงดี พี่ต้องไปแวะคอร์ทเทนนิส เอาของไปให้เพื่อนที่นั่น แล้วถ้าไปกับริน พี่ต้องจอดรถไว้ที่นี่ รินกลับบ้านไปก่อนดีมั้ย พี่กลัวรินเหนื่อยแย่ เดี๋ยวเจอกันที่บ้านละกัน"

พี่หนิงพูดแบบไม่ติดขัด ไม่มีพิรุธ ฉันเลยรับคำพี่หนิง ขับรถกลับบ้าน แวะซื้อของกินที่พี่หนิงชอบก่อนเข้าบ้าน รวมทั้งซื้อไปฝากคุณพ่อคุณแม่พี่หนิงด้วย

รออยู่สักพัก พี่หนิงโทร.มาบอกว่า

"รินทานข้าวไปก่อนนะ เพื่อนพี่ชวนคุยอีกแป๊บ อย่ารอพี่เลย เดี๋ยวตัวเล็กในท้องหิวแย่"

มารู้ทีหลังจากหนุ่ยและกิ๊บว่า พี่หนิงขับรถตามลูกไก่ไปที่บริษัท รับลูกไก่ไปด้วยกัน คงโทร.หาฉันจากบริษัทนั่นเอง

นั่นเป็นอีกหนึ่งคดีที่พี่หนิงก่อ แต่ฉันทราบทีหลังคนอื่นตลอด

เพราะฉันมันหัวอ่อน เชื่อคนง่าย ไม่รู้เท่าทันผู้ชายแบบพี่หนิง คนที่โกหกเก่งอย่างเหลือเชื่อ ตีหน้าไร้พิรุธได้แนบเนียนราวนักแสดงอาชีพ

นี่ถ้าพี่หนิงไปเป็นดารา คงเป็นพระเอกที่แสนดังด้วยการตีบทแตกกระจุย บวกความหล่อแถมหุ่นดี รางวัลทองๆต่างน่าจะได้มาไม่ยาก

พอพี่หนิงบอกไม่กลับ ฉันชักเริ่มระแวงเล็กๆ เหมือนกัน เลยพยายามคลายเครียดด้วยการเปิดแผ่นเลเซอร์ดิสก์ดู

สมัยนั้นยังไม่มีวีซีดี ดีวีดี มีแต่วีดีโอเทป ส่วนเลเซอร์ดิสก์ยังเป็นของใหม่มาก แต่พี่หนิงบ้าเครื่องเสียง เลยหอบหิ้วมาจากสิงคโปร์ พร้อมซื้อแผ่นหนังต่างๆมาจากต่างประเทศทั้งสิ้น เพราะที่เมืองไทยแพงมาก

แผ่นเลเซอร์ดิสก์มีขนาดใหญ่เท่าแผ่นเสียง แต่มีทั้งภาพและเสียง หนังที่เปิดดูทุกเรื่องจะชัดมาก ฉันว่าชัดกว่าดีวีดีสมัยนี้อีก หรือฉันอุปาทานไปเองก็ไม่ทราบ

ฉันมีหนังเรื่องโปรดอยู่หลายเรื่อง แต่ที่ฉันดูแล้วประทับใจสุดๆมีสองเรื่อง คือ THE WIZARD OF OZ และ THE SOUND OF MUSIC

เป็นหนังเพลงสมัยคุณแม่ยังสาว ตั้งแต่ฉันยังไม่เกิด

ฉันชอบนางเอกทั้งสองเรื่องมาก ทั้งคู่สวย และมีเสียงที่ไพเราะสุดยอด

รวมไปถึงเพลงที่เธอทั้งสองร้อง และเพลงประกอบอื่นๆในสองเรื่องนี้ ฉันว่ามันกินขาดหนังใหม่ๆมากมาย

บ่อยครั้งที่ฉันท้อแท้ ฉันจะฮัมเพลง OVER THE RAINBOW ที่จูดี้ การ์แลนด์ ร้องในเรื่อง THE WIZARD OF OZ

ให้กำลังใจฉันได้จนถึงทุกวันนี้ น่ารันทดใจที่คนร้องเธอไม่ใช้เพลงนี้ปลอบประโลมชีวิต เธอจึงเสียชีวิตแบบน่าเสียดายในเวลาอันสั้น

ส่วนเพลงของจูลี่ แอนดรูว์ ในเรื่อง THE SOUND OF MUSIC ชวนให้ฉันฉงนสนเท่ห์ใจเหลือเกินว่าทำไมหนอฉันจึงรักดนตรีมากมาย ทั้งที่เล่นดนตรีไม่เป็น ร้องเพลงไม่เอาไหน

ฉันเคยได้ยินใครสักคน (จำไม่ได้จริงๆ) บอกไว้ว่า

"ดนตรีเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดที่มนุษย์สร้างสรรขึ้นมา"

และดนตรีเป็นสิ่งเดียวที่ฉันและพี่หนิงคุยกันได้


นอกนั้นไม่เคยมีอะไรตรงกันสักอย่าง ..เฮ้อ..

ฉันนอนดูหนังจนเผลอหลับไป พี่หนิงกลับมาเมื่อไหร่ไม่รู้
แต่พอฉันตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นเขา ทราบว่าเขากลับมาเพราะกระเป๋าที่เอาไปบินวางอยู่ในห้อง

ฉันลงบันไดไปข้างล่าง พี่หนิงนั่งคุยโทรศัพท์อยู่ ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส

พอเห็นฉัน พี่หนิงพูดเบาลง ฉันจับความไม่ได้มาก พี่หนิงวางหู หันมาหาฉัน

"รินตื่นแล้ว ทานข้าวยัง "

"พี่หนิงกลับช้าจัง รินรอซะหลับ "

"ทีหลังรินไม่ต้องรอหรอกน้า ยังไงๆ พี่ก็กลับมาอยู่ดี"

จริงของเขา ยังไงเขาก็กลับมา กลับมาหลังจากไปอิ่มเอมกับสาวๆคนอื่นๆมาน่ะสิ

เรื่องลูกไก่ผ่านไป พี่หนิงไม่พูดถึงเธอเลย ฉันถามถึง เขาบอกเพิ่งคุยกันตอนเครื่องลงเอง พี่หนิงอ้างว่าเขาแวะซื้อของที่ร้านค้าปลอดภาษีเลยทำให้ออกมาช้า เจอกลุ่มลูกเรือเข้าพอดี

อืมมม ช่างพอดี พอเหมาะไปเสียทุกอย่าง

พี่หนิงเป็นเลิศในการแต่งเรื่องเกลี้ยกล่อมให้ฉันเชื่อเขาจนได้

ในตอนหลัง เมื่อฉันนึกทบทวนไปถึงพฤติกรรมต่างๆของพี่หนิง ฉันได้แต่ปวดร้าว เจ็บลึกลงไปในหัวใจ ทำไมหนอ ฉันจึงไม่รู้เท่าทันพี่หนิงเลย

ไม่ได้แกล้งโง่ แต่โง่เง่าเสียจริง

หลายวันต่อมา พี่หนิงไปบินตามตารางของตนเองบ้าง ไม่ตามบ้าง อ้างว่าเพื่อนขอแลก ฉันไม่ได้สงสัยอะไร จึงไม่ได้ติดตามเสาะหาข้อเท็จจริงว่าพี่หนิงแลกไฟลท์เพราะอะไรกันแน่

ที่แท้พี่หนิงบินตามลูกไก่ และลูกไก่บินตามพี่หนิง

ฉันทราบเรื่องพี่หนิงกับลูกไก่หลังจากคลอดลูก และกลับไปบิน

ฉันได้ลูกสาว หน้าตาน่ารักมาก ฉันซึ้งกับลูกเหลือเกิน ตอนที่ท้อง รู้สึกอยากเห็นหน้าลูก อยากรู้ว่าลูกจะหน้าตาเป็นยังไง เหมือนใคร แต่ความรัก ความผูกพันมากมายเกิดขึ้นหลังจากได้เห็นหน้าลูก ได้กอดลูก หอมลูก ให้นมลูก ปากน้อยๆที่ดูดนมแม่นั้นช่างน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก

คนที่มีโอกาสได้เป็นแม่ส่วนใหญ่ในโลกนี้คงรู้สึกเช่นเดียวกับฉัน ในขณะเดียวกัน ฉันนึกรักคุณแม่ตนเองขึ้นมาอีกมากมาย เนื่องจากได้สัมผัสความรักแสนวิเศษเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นเมื่อฉันเป็นแม่คน

ฉันตั้งชื่อลูกสาวฉันว่า "รุ้ง" ด้วยในวันที่ฉันคลอดเธอ ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาเห็นสายรุ้งพาดไปกับขอบฟ้า เจ็ดสีชัดกระจ่างราวกับภาพวาด รวมกับความรักเพลง OVER THE RAINBOW ฉันจึงไม่ลังเลเลยว่าลูกฉันน่าจะชื่อนี้


เมื่อรุ้งอายุสี่เดือน ฉันเตรียมตัวกลับไปบิน ทั้งที่อยากอยู่กับลูกเหลือเกิน พี่หนิงบอกให้ฉันลาออกจากงานเพื่อดูแลลูกเอง แต่ฉันอยากกลับไปทำงาน ฉันรักงานแอร์ ฉันไม่อยากเลิกทำงานนี่นา

พี่หนิงอยากให้ฉันลาออก เพื่อที่เขาจะได้มีอิสระเต็มที่ในเรื่องผู้หญิงต่างหาก

นี่คือจุดอ่อนของพี่หนิง เขารักตัวเองมากเกินกว่าจะให้ความรักกับคนอื่น

แม้คนเหล่านั้นจะเป็นลูกเมียของเขาเอง
ก่อนจะกลับไปบิน ฉันต้องลดน้ำหนักให้รูปร่างดี สวมชุดไทยชุดเดิมได้ เนื่องจากต้องมีการไปให้หัวหน้าแอร์ "ดูตัว" ก่อนกลับไปทำงาน

หมายถึงการไปพบหัวหน้า ให้เธอดูรูปร่างหน้าตา ลองสวมชุดไทยให้ดูว่าผอมดีแล้วหรือยัง

บางคนยังผอมไม่ถึงขนาดที่จะสวมชุดไทยของตัวเองได้ เลยยืมของเพื่อนที่ตัวใหญ่กว่ามาสวมก็มี

หากหัวหน้าดูแล้วยังไม่ผ่าน ต้องกลับไปลดน้ำหนักต่อ แล้วกลับไปให้ดูใหม่

แอร์ที่เพิ่งคลอดลูกจะถูกเรียกว่า "แอร์แม่ลูกอ่อน"

บรรดาแอร์แม่ลูกอ่อนจะชอบจับกลุ่มคุยกันเรื่องลูก พกอัลบั้มลูกเป็นเล่มๆ แลกเปลี่ยนความรู้กันเรื่องลูก จนทำให้แอร์ที่ยังไม่มีลูกต้องออกจากวงสนทนาด้วยความเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง

เมื่อกลับไปบิน เรื่องของพี่หนิงเริ่มลอยมาเข้าหูจากผู้ปรารถนาดีแต่หวังร้าย หรือหวังดีแต่ใจร้าย หรือทั้งหวังดีทั้งเอาใจช่วย

มีทุกรุปแบบ เหมือนสังคมธรรมดาทั่วไป

ฉันเริ่มระแวง เริ่มหึง เริ่มสืบค้นหาความจริง

ความจริงที่ทราบทีหลังชาวบ้านทั้งบริษัท

ความจริงที่ทำให้ฉันทะเลาะรุนแรงกับพี่หนิง

หนุ่ยเล่าว่า พี่หนิงกับลูกไก่ปิ๊งกันตั้งแต่ไฟลท์ที่ฉันไปรับพี่หนิงนั่นเอง หนุ่ยเห็นฉันกำลังท้อง ไม่ต้องการให้ฉันเสียสุขภาพจิต เลยเลือกไม่บอก

กิ๊บเล่าเหมือนกันกับหนุ่ย แต่ข้ามช้อตเรื่องที่เธอเคยมีอะไรๆกับพี่หนิงไปราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้น รวมกับฉันไม่เคยทราบ

(เรื่องกิ๊บกับพี่หนิง ฉันทราบจากปากพี่หนิงเองในตอนหลัง)

ก่อนที่ฉันจะทะเลาะกับพี่หนิง ฉันถามเขาดีๆว่ามีอะไรให้บอกกัน ฉันรับได้ แต่อย่าโกหก

พี่หนิงบอกฉันว่า ลูกไก่เป็นแค่สาวรักสนุก เคยประกวดนางงามได้ตำแหน่ง และไปบินด้วยกันครั้งแรก เธอเองเป็นฝ่ายชวนพี่หนิงเข้าห้อง

พี่หนิงตอกย้ำอีกว่า

"รินไม่เห็นต้องคิดมาก พี่เป็นผู้ชาย ไม่เสียหายอะไร พี่ไม่ทิ้งรินกับลูกอยู่แล้ว รินอยู่เฉยๆ แล้วดีเอง เชื่อพี่เถอะ"

เฮอะๆๆ เชื่อพี่เถอะ ... แถมพี่หนิงยังต่ออีกว่า

"รินจำที่เราไปโอซาก้ากันได้มั้ย วันนั้นพี่ออกจากห้องรินไปก็ไปหากิ๊บเลย มันทนไม่ไหว"

"เอาเล่นไปงั้นแหละ รินอย่าคิดมาก ..."

วันนั้นพี่หนิงบรรยายหมดว่าเคยมีอะไรกับแอร์คนไหนบ้าง

โอยยยยยยยยยยย เครียดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

หลายคนที่พี่หนิงเอ่ยมาเป็นคนที่ฉันรู้จัก บางคนสนิทสนมกันดี

ขอร้องโอยยยยย อีกทีนึง ...โอยยยยยยยยยยยยยยยยยย

ตกลงฉันกลายเป็นของตายไปแล้วหรือนี่

ฉันโมโหมากกับความจริงที่ออกมาจากปากพี่หนิง ฉันขึ้นเสียงดังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

"พี่หนิงทำงี้ได้ไง พี่หนิงเห็นรินเป็นตัวอะไร พี่หนิงไม่รักริน.."

ฉันร้องไห้ โวยวาย อย่างที่นึกย้อนไปแล้วสมเพชตนเองยิ่งนัก

สุดท้ายลงเอยบนเตียง พี่หนิงหลั่งความรักความใคร่จนฉันต้องพ่ายแพ้ต่อกิเลสตัณหาของตนเองจนได้

นี่คือความสัมพันธ์ซับซ้อนของคนที่เป็นสามีภรรยากัน เมื่อเรื่องเพศอันเป็นปัจจัยหนึ่งในชีวิตคู่เข้ามาเกี่ยวข้อง เมื่อนั้นการตัดสินใจอะไรมันจึงเกี่ยวพันโยงใยกันไปเสียหมด

การที่ใครๆรู้เรื่องฉันแล้วบอกฉันว่า เลิกเลย รินยังสาว ยังสวย หาใหม่ได้ไม่ยาก เรื่องอะไรยอมพี่หนิง.....

พูดง่าย ทำยาก ใครไม่เจอด้วยตนเอง ย่อมไม่ประจักษ์แจ้งแก่ใจ

พี่หนิงสรุปกับฉันอย่างหัวเราะๆว่า ถ้าฉันไม่พอใจ พี่หนิงจะเลิกกับลูกไก่

แต่จริงๆแล้วพี่หนิงไม่ได้เลิกกับลูกไก่เพื่อเอาใจฉันเลย

พี่หนิงกำลังคั่วเด็กใหม่

........นางมารร้ายที่สุดในชีวิตฉัน........

ระหว่างนั้น ฉันเริ่มบินไกลขึ้น มีไฟลท์ยาวบ่อยมาก ได้เลื่อนขั้นไปทำงานชั้นหนึ่งหรือ FIRST CLASS

เมื่อเริ่มทำงาน แอร์ทุกคนต้องทำงานในชั้นประหยัด หรือ ECONOMY CLASS บางสายการบินเรียกว่า ชั้นนักท่องเที่ยว

อย่างไรก็ดี คือส่วนที่ราคาตั๋วถูกที่สุดในเครื่อง

ต่อจากนั้น เป็นชั้นนักธุรกิจ หรือ BUSINESS CLASS ซึ่งตั่วแพงขึ้น ที่นั่งกว้างขึ้น อาหารมีให้เลือกมากขึ้น ทุกอย่างเป็นขั้นกว่า

แต่ขั้นที่แพงสุด คือ FIRST CLASS ชั้นหนึ่ง

เมื่อเลื่อนจากแอร์ชั้นประหยัดไปเป็นแอร์ชั้นธุรกิจ เราต้องไปอบรมการบริการเพิ่มเติม และเมื่อเลื่อนไป FIRST CLASS ก็เช่นเดียวกัน ต้องอบรมเพิ่มอีก การทำงานต้องเนี้ยบเรียบร้อย มีคนสำคัญ วีไอพี ใช้บริการกันมาก

การเลื่อนขั้นไม่ได้เป็นไปตามรุ่น แต่เป็นไปตามผลงานและความงาม

จึงมีกรณีพิพาทบ่อยๆ เรื่องรุ่นน้องข้ามหน้าข้ามตา ได้ทำ FIRST CLASS เร็วกว่าแอร์รุ่นพี่ที่บินมานาน แต่บังเอิญไม่ค่อยสวย

เพราะรุ่นน้องสวยกว่า สาวกว่า ผู้โดยสารให้อภัยเวลาทำอะไรผิดๆ เพราะความสดใสมีชัยไปกว่าครึ่ง

แปลกที่ว่าในโลกนี้มีผู้หญิงมากกว่าผู้ชายหลายเท่า แต่ผู้โดยสารกลับเป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง

สายการบินแถบเอเชียจึงมักเอาแอร์เป็นจุดขาย

แต่สายการบินในยุโรป อเมริกา แอร์เป็นจุดบอด

ล้วนแต่ป้าๆทั้งนั้น ฉันเคยไปนั่งเครื่องโดยสารภายในสหรัฐอมริกา เกิดอยากดื่มน้ำขึ้นมาช่วงที่ไม่มีการออกมาบริการอาหาร ฉันจึงเดินไปขอในแกลลี่ แอร์คุณป้าเธอยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู แล้วบอกประมาณว่า "นี่เธอ ยังไม่ถึงเวลาเสิร์ฟนะยะ" แต่ก็เอาน้ำให้ฉันแบบหน้าบูดๆ

โห ป้าขา มานั่งสายการบินเมืองไทยสิค้า เสิร์ฟได้ตลอดเวลา กดเรียกปุ๊บมาปั๊บ ไวปานวอก ไม่ต้องมีการันตีภายในสามสิบนาที แต่มาภายในสามสิบวินาทีต่างหาก

เมื่อเป็นแม่แล้ว การไปบินไม่ค่อยสนุกเหมือนเคย ฉันคิดถึงแต่ลูก เฝ้าโทรศัพท์กลับมาถามพี่เลี้ยงลูกว่า น้องเป็นยังไง

ฉันจ้างพี่เลี้ยงมาจากศูนย์บริการจัดหาคนเลี้ยงเด็กซึ่งใครๆมักจะเตือนว่าต้องดูให้ดีๆ ไม่พอใจรีบเปลี่ยนคนใหม่ได้

แต่ฉันโชคดี ได้คนดีมาเลี้ยงลูก

เธอชื่อ นิ่มนวล และนิ่มนวลสมชื่อ มีอะไรไม่บอก อดทน เก็บเงียบทุกอย่าง

ทั้งที่เธอโดนคุณแม่พี่หนิงคุกคามอย่างหนัก


(มีต่อวันศุกร์ค่ะ)
สวัสดีค่ะ ชาวห้องสมุด

เรื่องนี้เป็นตอนที่หก แต่เพิ่งเอาเข้ามาโพสท์ในนี้เพื่อให้เป็นไปตามกฎของพันทิปค่ะ

ตอนที่หนึ่งถึงห้า ติดตามได้ที่กระทู้นอกเรื่อง ห้องสวนลุมพินีนะคะ


ตอนที่หก

นิ่มนวลเป็นพี่เลี้ยงเด็กที่ฉันจ้างมาจากศูนย์ส่งพี่เลี้ยงเด็กที่มีชื่อเสียงแห่งหึ่ง เธอเป็นคนจังหวัดขอนแก่น เข้ามาเรียน ปวช. ในกรุงเทพ ฉันเรียกเธอสั้นๆว่านวล นวลกับฉันถูกชะตากันทันที่ที่ได้เห็นหน้ากัน

นวลเล่าว่า เธอเรียนหนังสือจนจบม.สามที่ขอนแก่น และเข้ามาเรียนปวช.ในกรุงเทพ จบแล้วยังหางานทำไม่ได้ เลยลองสมัครอบรมพี่เลี้ยงเด็กดู นวลเคยเลี้ยงเด็กมาแค่คนเดียว เลี้ยงอยู่ไม่ถึงปี พ่อแม่ก็พาลูกไปอยู๋ต่างประเทศ นวลจึงมาเลี้ยงน้องรุ้งเป็นคนที่สอง

ตามสัญญาว่าจ้าง นวลจะเลี้ยงเด็กอย่างเดียว ไม่ต้องทำงานอย่างอื่น มีวันหยุดสัปดาห์ละหนึ่งวัน หากไม่ได้หยุด ค่าล่วงเวลาคือวันละสามร้อยบาท


แต่การณ์กลับกลายป็นว่า นวลโดนคุณแม่พี่หนิงใช้ทำงานอื่น และอ้างว่าดูน้องรุ้งให้เอง นวลก้มหน้าทำตามที่ได้รับคำสั่งโดยฉันไม่เคยรู้เรื่องเพราะต่อหน้าฉัน คุณแม่พี่หนิงไม่ใช้อะไรนวลเลย

ขอเล่าเรื่องคุณพ่อคุณแม่พี่หนิงสักหน่อย

คุณแม่พี่หนิงเป็นสาวสวยในจังหวัดที่คุณพ่อพี่หนิงซึ่งเป็นนายทหารอากาศไปประจำกองบินที่นั่น เรื่องรักของคุณพ่อคุณแม่พี่หนิงคงเหมือนนิยายเรื่องเก่าทั้งหลายที่เกิดขึ้นซ้ำซาก

สาวสวยประจำจังหวัดพบรักกับนายทหารหนุ่ม ทั้งคู่อยู่ด้วยกันจนมีลูกสามคน คือพี่หน่อย พี่หนิง พี่หนิม

เมื่อย้ายกลับมากรุงเทพ คุณแม่ซึ่งเคยค้าขายอยู่กับครอบครัวตัวเองมาก่อนก็หาช่องทางทำมาหากินเสริม เพราะเงินเดือนทหารของคุณพ่อไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย คุณแม่จึงทำกับข้าวขายอยู่หน้าบ้านพักในกองทัพอากาศ เก็บหอมรอมริบ ส่งลูกชายและลูกสาวไปเรียนในโรงเรียนเอกชนชั้นดีมากในกรุงเทพ

ต่อมาคุณแม่เริ่มเป็นนายหน้าค้าที่ดิน และจัดสรรที่ขายเอง จนร่ำรวยเป็นปึกแผ่น ฉันเคยเห็นในเซฟของคุณแม่มีโฉนดที่ดินอัดแน่น ทั้งที่ดินของเธอเอง ที่ดินที่มีคนเอามาจำนองรวมทั้งที่ดินที่หลุดจำนอง

อีกเซฟหนึ่ง มีทองอัดแน่น ทั้งทองแท่ง และทองรูปพรรณ น่าปล้นยิ่งนัก

ฉันไม่เคยได้แม้ทองสักสลึงจากเธอ

เพราะ คุณแม่พี่หนิงเป็นประเภทยิ่งรวยยิ่งเหนียว เรื่องจะมีน้ำใจกับคนอื่นนอกจากลูกๆตนเองนั้น ยากส์ส์ส์ส์มั่กๆ เอาเป็นว่าตั้งแต่เป็นแม่ผัวลูกสะใภ้กันมา คุณแม่ไม่เคยให้อะไรฉันเลย แม้แต่จะซื้อขนมมาฝากหลานยังไม่เคย

ถ้าเล่าต่ออีก นี่เรียกว่า แฉ หรือเปล่าน้อ

ตัดสินใจว่าจะเล่าเลยเล่าต่อเลยตามเลย

เรื่องแรกที่ฉันเสียความรู้สึกกับคุณแม่พี่หนิงนอกจากเรื่องชอบกระทบกระเทียบอย่างที่ฉันเคยเล่าแล้ว คือเรื่อง แหวนแต่งงานของฉัน

ตอนแต่งงาน คุณพ่อคุณแม่ฉันไม่ได้เรียกร้องอะไร ทางบ้านพี่หนิงรับจัดงาน โดยท้ายสุดคนจ่ายคือคุณแม่ฉัน เพราะคุณแม่หนิงเฝ้าแต่บ่นว่าแพงเกิน จนคุณแม่ฉันต้องควักกระเป๋าจ่ายเพื่อลูก คือตัวฉันเอง ฉันนี่มันเป็นลูกที่ทำความผิดหวังให้คุณพ่อคุณแม่มาก แต่ท่านทั้งสองให้อภัยและไม่เคยซ้ำเติมฉันเลย แม้ในเวลาต่อมาฉันต้องเจ็บปวดเจียนตาย ท่านทั้งสองเท่านั้นที่เฝ้าดูแลปลอบโยน

ไม่มีรักใดใหญ่ยิ่งเท่าความรักของพ่อแม่----------->จริงๆนะ เชื่อฉันเถอะ

คุณแม่พี่หนิงบอกพี่หนิงว่าไม่ต้องไปซื้อแหวนให้ฉัน เพราะของคุณแม่มีเยอะ จะเลือกมาให้ฉันเอง ทำให้ฉันดีใจมากเมื่อได้แหวนเพชรเม็ดเดี่ยวประมาณสองกะรัตกว่า น้ำงามใสแจ๋วมาสวมใส่ในวันแต่งงาน ใครเห็นใครชมว่าแหวนสวยมากๆ

เมื่อฉันเข้าไปอยู่ในบ้านพี่หนิงได้ไม่ถึงเดือน คุณแม่พี่หนิงถามหาแหวนวงนั้นกับฉัน เธอบอกฉันว่าให้เอาแหวนมาคืนเธอเพราะเธอแค่ "ให้ยืม" ไม่ใช่ "ให้เลย"

ฉันเลยต้องคืนแหวนให้คุณแม่พี่หนิงไป และคุณแม่สำทับไว้ว่า "อย่าบอกหนิงนะ"

เรื่องที่สองที่ฉันโกรธมากคือ วันหนึ่งฉันกลับมาจากบินตอนบ่ายๆ เหนื่อยและร้อนมาก ช่วงนั้นเป็นเดือนเมษายน กลับถึงบ้าน ฉันรีบขึ้นข้างบนไปดูน้องรุ้งในห้องนอน

น้องรุ้งนอนรวมกับฉันในห้องนั่นเอง ไม่ได้มีห้องต่างหากทั้งที่บ้านพี่หนิงมีห้องว่างอยู่ที่เคยเป็นห้องพี่สาวน้องสาวเขา แต่คุณแม่ไม่ยอมให้หลานอยู่ อ้างว่าเจ้าของห้องไม่อนุญาต

นวลต้องนอนข้างล่าง ปูเสื่อนอน ฉันซื้อที่นอนพับได้ให้นวล และให้ขึ้นมานอนบนห้องฉันเวลาที่ฉันและพี่หนิงไม่อยู่ ถ้าฉันอยู่โดยไม่มีพี่หนิง ฉันมักจะให้นวลขึ้นมานอนในห้องฉัน แต่ถ้าพี่หนิงอยู่โดยไม่มีฉัน พี่หนิงจะเข้าไปนอนในห้องน้องสาวหรือพี่สาวเขา โดยให้นวลดูแลน้องรุ้ง พี่หนิงไม่เคยช่วยเลี้ยงลูกเลย

บ่ายวันนั้น ฉันจำได้ติดตามาจนวันนี้ ฉันเปิดประตูเข้าไป เห็นนวลนั่งอยู่ข้างเตียง กำลังเอาพัดแบบสานพัดกระพือลมให้น้องรุ้ง น้องรุ้งหลับอยู่บนที่นอน เหงื่ออกเต็มทั้งตัวและหัว

"นวล ทำไมไม่เปิดแอร์ล่ะ แอร์เสียเหรอ" ฉันถามนวล

"เปล่าค่ะ คุณย่าไม่ให้เปิด บอกให้เปิดพัดลมเอา พอดีพัดลมมันเสีย นวลเอาไปซ่อมไว้ค่ะ"

ฉันโหโหขึ้นมาทันที คนเป็นแม่นี่แปลก ใครทำตัวเรานี่ไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่ทำลูกเรานี่ไม่ได้เลยเชียว

"ประหยัดไฟบ้าอะไรกัน ชั้นให้เงินเค้าตั้งเดือนละห้าพัน ยังมางกอีก "

ห้าพันบาท สมัยนั้นคงประมาณสองสามหมื่นบาทสมัยนี้

จากการบอกเล่าของนวลที่ฉันค่อยๆเค้นออกมาจึงได้ความว่า นวลต้องช่วยแย้มซึ่งเคย


โดย: birdchicago วันที่: 28 เมษายน 2550 เวลา:18:57:16 น.  

 
ทำงานบ้านคนเดียวทำงานบ้านด้วย

และโดนคุณแม่ใช้สาระพัด

เวลาที่คุณแม่ใช้นวล คุณแม่จะดูแลน้องรุ้งเอง แต่เป็นการ"ดู" เฉยๆ จริงๆ คือถ้าลูกฉันร้องก็เรียกนวล ถ้าเปียกก็เรียกนวล นวลต้องวิ่งไปมาทำทั้งดูน้องและงานบ้าน

"ตายหละ นวลไม่บอกพี่เลยนะ เอาเถอะๆ พี่จะไปพูดกับคุณแม่ให้รู้เรื่องว่าควรทำกับนวลแบบไหน"

ด้วยความโกรธ ฉันวิ่งลงบันไดไปอย่างเร็ว เลยพลัดตกบันไดเพราะกระโปรงเครื่องแบบที่สวมนั้นแคบมาก เมื่อฉันก้าวพรวดลง ฉันเลยเสียหลัก กลิ้งลงไปถึงชานพักบันได

เจ็บน่าดูเลย ที่ร้ายกว่านั้น คือฉันแท้งลูกโดยยังไม่รู้ตัวว่าท้องในวันนั้นเอง

คุณพ่อพี่หนิงเป็นคนพาฉันไปโรงพยาบาล ฉันเลือดออกมาก หมอบอกว่าฉันเสียเด็กในท้อง อายุราวหกสัปดาห์ไป

ฉันได้รับการขูดมดลูก นอนโรงพยาบาลหนึ่งวัน
พี่หนิงกลับจากบินมาดูอาการฉันในวันรุ่งขึ้น รวมทั้งรับฉันกลับบ้าน

คืนนั้นฉันบอกพี่หนิงเรื่องแหวน เรื่องคุณแม่เขาไม่ยอมเปิดแอร์ให้หลาน เรื่องนวล เรื่องฉันโดนกระทบกระเทียบเปรียบเปรยต่างๆ

"แล้วพี่หนิงรู้มั้ยคะว่ารินใส่ซองให้คุณแม่เดือนละห้าพันทุกเดือน ตั้งแต่เข้ามาอยู่ พี่หนิงไปถามคุณแม่สิว่าจะเอาเท่าไหร่ ถึงจะเปิดแอร์ให้น้องรุ้งได้น่ะ"

ยิ่งพูด เสียงฉันยิ่งดัง

"รินอดทนมานานแล้วนะ ทำกันแบบนี้รินกลับไปอยู่บ้านตัวเองดีกว่า แม่รินก็อยากเลี้ยงหลาน ไม่ต้องมาห่วงกลัวลูกนอนร้อนตับแตกอยู่บ้านนี้น่ะ"

ฉันเริ่มร้องไห้ มันโมโห น้อยใจ อัดอั้น

"คุณพ่อพี่หนิงน่ะดีกับรินนะ แต่ทำไมต้องเงียบตลอด กลัวคุณแม่มากเลยหรือไง "

ฉันพูดตามที่ตัวเองสังเกตว่าคุณพ่อพี่หนิงซึ่งเกษียณอายุราชการแล้วอยู่บ้านเฉยๆนอนอ่านหนังสือพิมพ์ ดูทีวี วันๆไม่พูดจากับใครเลย แรกๆฉันกลัวคุณพ่อพี่หนิงมาก แต่ตอนหลังเริ่มสังเกตและเข้าใจว่าคุณพ่อเงียบเพราะไม่มีพาวเวอร์ในบ้าน คุณแม่หาเงินเก่งกว่า กำอำนาจไว้ รวมทั้งให้ท้ายลูกที่ล้วนแต่เอาแต่ใจตนเองเป็นใหญ่กันทั้งนั้น

นั่นคงป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่งที่พี่หนิงไม่อยากเป็นผู้ชายแหยๆกลัวเมียอย่างคุณพ่อของเขา กลับบ้าอำนาจ ข่มเมียมากขึ้นๆในเวลาต่อมา

ขณะที่ฉันพูดไป ร้องไห้ไป แต่ไม่ยอมหยุดพูด เสียงแช้ดๆแปร๊ดๆของฉันคงดังมากจนคุณแม่พี่หนิงเปิดประตูเข้ามา

"มีอะไรกันน่ะ รุ้งเป็นอะไร แล้วเก้าอี้นั่นมันมาอยู่ห้องนี้ได้ยังไง ใครเอามา ชั้นก็หาอยู่ว่าเก้าอี้หายไปไหนตัวนึง"

เธอชี้ไปที่เก้าอ้ไม้กลมๆไม่มีพนัก ราคาไม่กี่บาท ที่มีอยู่หลายตัวทั่วบ้าน และพี่หนิงเอามาไว้นั่งในห้องนอนของเราสองคนตัวหนึ่ง

"หนิงเอามาเองแหละครับแม่ ไม่มีอะไรแม่ รินเค้าเหนื่อยน่ะ"

"เหนื่อย หรือกำลังฟ้องอะไรหนิงล่ะ"

ฉันหันหลังให้คุณแม่พี่หนิง นับหนึ่งถึงสิบถึงร้อยถึงพัน พอเธออกจากห้องไปพร้อมกับทิ้งท้ายว่า

"ใครฟ้องอะไร หนิงฟังหูไว้หูละกัน"

"ครับ แม่" พี่หนิงรับคำ

ฉันเงียบ ลมออกหู กดโทรศัพท์ไปที่บ้าน คุณแม่มารับสาย ฉันบอกคุณแม่ว่า

"แม่ขา รินทนไม่ไหวแล้ว รินอยู่นี่ไม่ได้ รินจะกลับไปอยู่บ้าน ฮือๆๆๆๆๆๆ"

"ใจเย็นๆลูก มีเรื่องอะไรเล่าให้แม่ฟังก่อน อย่าเพิ่งวู่วาม"

"แม่อย่าเพิ่งให้รินเล่าเลย รินขอเก็บของก่อน เดี๋ยวถึงบ้านแม่แล้วรินเล่านะคะ"

"เอาหลานมาด้วยนะลูก"

"ค่ะ แม่ เดี๋ยวคุยกัน"

ฉันบอกนวลให้เก็บของ พี่หนิงที่ยืนบื้ออยู่นานพูดขึ้นมาว่า

"รินไปอยู่บ้านรินซักพักก็ดีนะ ใจเย็นแล้วค่อยกลับมา"

ที่แท้พี่หนิงแอบดีใจที่ฉันจะกลับไปอยู่บ้านตัวเอง เพราะเขาจะได้ไปหาคู่ขาคนใหม่ที่กำลังหลงหัวปักหัวปำ

เธอคนนั้นเป็นแอร์ ชื่อ เชอร์รี่


(มีต่อดึกๆค่ะ)
ฉันกับนวลช่วยกันเก็บของใช้เท่าที่จำเป็นไปก่อน เสร็จแล้วฉันอุ้มน้องรุ้งลงไปข้างล่าง พี่หนิงกำลังนั่งดูทีวีกับคุณแม่เขา ฉันเข้าไปนั่งคุกเข่าบอกคุณแม่เขาว่า

"รินจะไปอยู่บ้านแม่ซักพักนะคะ ไปละค่ะ"

ฉันยกมือไหว้ลาเธอ เธอรับไหว้แล้วเมิน ทำเป็นสนใจทีวี ส่วนคุณพ่อเข้านอนไปแล้ว

พี่หนิงรับน้องรินไปอุ้ม หอมแก้มลูก ทำหน้าซื่อ(ตามเคย)

"ไปอยู่กับคุณยายดีๆนะลูก แม่เค้างอน แล้วพ่อจะไปหานะ"

น้องรุ้งเพิ่งสิบเดือน หน้าตาแป๋วๆของลูกทำให้ฉันมาคิดทีหลัง(อีกนานจากนั้น)ว่า ลูกออกจะน่ารักขนาดนี้ ทำไมพี่หนิงจึงเห็นแก่กิเลสตัณหามากกว่าครอบครัวตัวเองไปได้นะ

ทำไม ทำไม ทำไม มีอีกหลายทำไมที่ฉันพยายามหาเหตุผล หาคำตอบว่าทำไมพี่หนิงจึงซ่อนความเป็นตัวตนของเขาได้แนบเนียนขนาดนั้น

ฉันน้อยใจพี่หนิงมากที่ไม่ยื้อให้ฉันอยู่ที่บ้านเขาต่อ ปล่อยให้ฉันไปกับน้องรุ้งและนวล ฉันขับรถไปสะอื้นไป ถึงบ้านคุณแม่ ประตูเปิดรออยู่แล้ว ฉันอุ้มลูกลงจากรถ นวลเก็บข้าวของ คุณแม่ คุณพ่อออกมายืนหน้าบ้านทั้งคู่ทันทีที่ฉันขับรถเข้าไปจอด ราวกับท่านคอยอยู่นานแล้ว

ด้วยความที่ฉันเป็นลูกคนเดียว พ่อแม่จึงรักมาก แต่ฉันทำให้ท่านเสียใจหลายครั้ง ท่านอาจจะโกรธ โมโหในตอนแรก แต่สุดท้ายท่านมีแต่คำว่าให้อภัย

ใครเป็นพ่อแม่คน คงทราบความรู้สึกนี้ดี แต่ถ้ายังไม่ได้เป็น อาจจะทราบ แต่ไม่ซึ้ง

ฉันเข้าบ้าน เรื่องต่างๆพรั่งพรูออกมาจากปาก

"แล้วหนิงเค้าไม่ว่าเหรอที่ลูกมาอยู่บ้านเรา" คุณแม่ถาม

"ไม่เห็นว่าอะไรนี่คะ เค้าเกรงใจแม่เค้า เค้าบอกให้รินอยู่ให้สบายใจก่อนค่อยกลับไป"

"ผัวเมีย ห่างกันมาก แยกกันอยู่ไม่ดีนะลูก"คุณแม่ฉันสอน

"แม่ว่ารินชวนหนิงมาอยู่บ้านเราดีกว่า แม่จะได้เลี้ยงหลานให้เพลิน"

แม่ฉันเคยเป็นนางพยาบาล เลี้ยงเด็กเก่ง ทำอาหารเสริมให้หลานทานจนน้องรุ้งอ้วนขึ้นกว่าเดิมมาก น้องรุ้งเป็นแก้วตาดวงใจของคุณตาคุณยายเลยเชียว ส่วนนวล คุณแม่จัดห้องแอร์อย่างดีให้นวลอยู่ และเอาน้องรุ้งไปนอนด้วยเสียเอง

คุณแม่ชอบล้อฉันว่า

"แม่ว่าแม่รักรินมากแล้วน้า แต่แม่รักหนูรุ้งมากกว่าอีก นี่แหละโบราณเค้าว่า... แขนงแรงกว่าหน่อ"

ฉันอยู่บ้านตัวเองอย่างมีความสุข พี่หนิงโทร.มาหาบ้าง ฉันชวนเขามาอยู่ด้วยกัน เขากลับบอกว่า

"พักนี้แม่ไม่ค่อยสบาย พี่ว่าพี่ยังไม่น่าไปนะ เอาไว้พี่จะไปหาละกัน แต่อยู่เลยคงไม่ได้"

พี่หนิงแวะมาค้างกับฉันและลูกบ้าง แต่ไม่ใช่ทุกวันที่เขาและฉันว่างตรงกัน ฉันมัวชื่นชมลูกเพลิน ไปบินที่ไหนก็ซื้อแต่ของให้ลูก บ้าเห่อลูกตัวเองจนลืมระวังสามีไปสนิท

วันหนึ่งพี่หนิงมาค้าง และคุยให้ฉันฟังว่า

"วันนี้เจอแฟนรินด้วย รินรู้มั้ยเค้าไม่ผ่าน evaluate สมน้ำหน้า"

ฉันทำหน้าเฉยทั้งที่รู้ว่าพี่หนิงหมายถึงพี่อิน ตั้งแต่แต่งงาน จนคลอดลูกและกลับไปบินมาสี่เดือนกว่าแล้วฉันยังไม่ได้ข่าวหรือพบเจอพี่อินเลย

"พี่หนิงพูดถึงใครล่ะคะ แฟนรินเยอะจาตาย" ฉันทำเป็นตลก

"หือ รินอย่ามาเฉไฉหน่อยเลย ก็ไอ้อินไง เนี่ย รินต้องเคยมีอะไรกับมันแหงๆ โอ๊ย เขียนจดหมายพร่ำพรรณนาถึงรินเยอะแยะ" พี่หนิงเริ่มบทประชด

"อ๋อ พี่หนิงเองล่ะซี้ เก็บจดหมายรินไปหมด "

"รินเพิ่งรู้เหรอ นึกว่ารู้นานแล้ว"

พี่หนิงทำประชดประชันไปงั้น ให้ฉันตายใจว่าเขารักเขาหวง

พี่หนิงเล่าว่าถึงคิวพี่อินเข้า evaluate เป็นกัปตัน (นักบินที่หนึ่ง) แต่พี่อินไม่ผ่านในขณะที่ co-pilot คนอื่นๆ ที่evaluate พร้อมพี่อินผ่านกันหมด เพื่อเริ่มการเทรนเป็นกัปตันต่อไป

EVALUATE คือการที่นักบินแต่ละคนจะได้รับการทดสอบและดูแลฝีมือการบินจากครูฝึก ครูฝึกส่วนใหญ่เป็นกัปตันที่ได้รับการยอมรับในฝีมือ ได้รับการเลือกมาทำหน้าที่ครูสอนนักบินด้วย ทำหน้าที่บินดูแลลูกศิษย์ไปด้วย เรียกว่า SV.PILOT (SV ย่อมาจาก supervisor)

SV.PILOT จะมีหัวหน้าหกท่าน ทั้งหกท่านนี้จะทำหน้าที่พิจารณาดูว่านักบินคนใดมีชั่วโมงบินและมีฝีมือพอที่จะเลื่อนขั้น จากนักบินที่สามเป็นนักบินที่สอง และนักบินที่หนึ่ง ตามลำดับ

เมื่อเลือกนักบินที่สมควรจะเลื่อนขั้นได้แล้ว จะมาถึงขั้นตอนประเมินผลว่านักบินคนนั้นๆสมควรได้รับการเลื่อนขั้นหรือไม่ เรียกว่า การ EVALUATE

SV.PILOT จะบินตามดูนักบินคนนั้นๆอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วประกาศออกมาว่าใครผ่าน ใครไม่ผ่าน ด้วยการลงมติกัน ทั้งหกท่านต้องเห็นพ้องต้องกันว่าให้ผ่าน หากมีเพียงเสียงเดียวค้านขึ้นมา คือการไม่ปล่อยผ่าน

หากผ่าน จะได้เข้าไปรับการเทรนนิ่ง หรือการฝึกต่อไป
ขั้นตอนนี้จะควบคุมโดยหัวหน้านักบินทั้งหก บินสอนด้วย ประเมินผลด้วย

หากเทรนนิ่งไม่ผ่าน จะไม่ได้รับการเลื่อนขั้น

แต่ละขั้นตอนกินเวลานานหลายเดือน โดยเฉพาะการเทรนกัปตันจะเป็นช่วงระยะเวลาที่นักบินทุกคนเครียดมาก ต้องอ่านหนังสือ ต้องทำการบ้านก่อนบินให้ดี เพราะหากเทรนผ่าน ได้เป็นกัปตัน หมายถึงได้รับการยอมรับในฝีมือว่าสามารถคุมเครื่องได้เป็นเลิศ เมื่อมีปัญหาจะต้องตัดสินใจได้เฉียบพลันคนเดียวทุกสถานะการณ์

กัปตันทั้งหลายจึงมักจะเชื่อมั่นในตัวเองและบางคน(ขอย้ำว่าบางคนเท่านั้น)บ้าอำนาจ เพราะการได้เป็นนักบินที่หนึ่งหรือเป็นกัปตันจะได้ทั้งเงินเพิ่มขึ้นอีกมาก ได้ค่าตำแหน่งสูง ได้ค่าชั่วโมงบินมากกว่าลูกเรือคนอื่นๆ ได้ทั้งสวัสดิการเหนือพนักงานทั่วไป

เรียกว่าได้เทียบเท่าระดับผู้บริหารของบริษัท นักบินทั้งหลายจึงต้องมีความตั้งใจจริง ขยันไปบิน ขยันอ่านตำรา รวมทั้งวางตัวดีต่อหน้าผู้ใหญ่ด้วย

พี่หนิงจึงเรียบร้อย สุภาพเยือกเย็น ดูเป็นผู้ชายอบอุ่นน่ารัก

นั่นคือบุคลิกที่พี่หนิงผู้ชาญฉลาดสร้างไว้ตบตาผู้ใหญ่ เมื่อถึงเวลาพี่หนิงได้เป็นกัปตัน พี่หนิงจึงป็นกัปตันคนหนึ่งที่ลูกเรือไม่ชอบหน้า ซึ่งจะเล่าในภายหลัง

วันนันพี่หนิงกระทบกระเทียบเรื่องพี่อินมากมาย บอกว่าพี่อินปากไม่ดี ชอบเถียง SV. ฉันเข้าใจว่าน่าจะเพราะพี่อินเป็นนักเรียนนอก เรียนหนังสือที่อเมริกาตั้งแต่อายุสิบกว่าขวบ พี่อินจึงมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง ที่พี่อินเข้ามาเป็นนักบินได้เพราะพี่อินเก่งมาก หากพออยู่ไปอยู่มา นักบินส่วนใหญ่ที่เป็นทหาร(เช่นพี่หนิง)จะไม่ชอบนิสัยตรงไปตรงมาของพี่อิน พี่อินจึงไม่ผ่านการ EVALUTE ต้องรอครั้งใหม่ต่อไป ไม่ทราบว่านานอีกเท่าใดที่จะได้รับการพิจารณาใหม่

พี่หนิงทิ้งท้ายบทสนทนาในวันนั้นไว้ว่า

"คอยดูสิ พี่จะเป็นกัปตันก่อนมัน รินคิดไม่ผิดหรอกที่แต่งงานกับพี่ อีกหน่อยก็นั่งเฟิร์สคลาสเป็นคุณนาย ชี้นิ้วใช้เพื่อนแอร์"

วันที่ฉัน "ได้นั่งเครื่องบินเป็นคุณนาย"อย่างที่พี่หนิงบอกมาถึงจริง พร้อมกับความขมขื่นใหญ่หลวงของฉัน

เมื่อมีน้องรุ้งเป็นแก้วตาดวงใจ ประกอบกับพี่หนิงทำตัวดีแสนดี ทำให้ฉันเลิกระแวงพี่หนิง เมื่อน้องรุ้งโตขึ้นเรื่อยๆฉันเริ่มเก็บเงินได้มากขึ้น ฉันจึงคิดอยากมีบ้านของตัวเอง

"พี่หนิง รินอยากมีบ้าน รินว่าเราอยู่แบบนี้มันยังไงไม่รู้ ต่างคนต่างบิน ต่างคนต่างอยู่ ลูกโตขึ้นทุกวัน รินอยากให้ลูกเห็นพ่อแม่อยู่บ้านเดียวกันเสียที นะคะพี่หนิง"

พี่หนิงโดนฉันตื๊อเรื่องบ้านบ่อยเข้า เขาเลยมาบอกฉันว่าคุณแม่เขาให้ปลูกบ้านในบริเวณบ้านเขาเอง แล้วคุณแม่จะจัดการแบ่งที่ให้ทีหลัง ให้เราปลูกบ้านไปก่อนเลย

ฉันดีใจมากที่จะมีบ้านของตัวเอง ลืมนึกไปเลยว่าตามกฎหมายแล้ว บ้านปลูกอยู่บนที่ดินของใครย่อมเป็นของเจ้าของที่ดิน

เรื่องบ้านนี่ฉันโง่อีกแล้ว

พี่หนิงให้เพื่อนเขาที่เป็นสถาปนิกออกแบบบ้านโดยไม่ถามความต้องการของฉันสักเท่าไหร่ ถามเหมือนกัน แต่สุดท้าย การตัดสินใจเป็นของเขา บางทีฉันโมโหเหมือนกัน ฉันอยากได้อย่าง ออกมาอีกอย่าง

เงินค่าปลูกบ้าน พี่หนิงจะไปกู้สหกรณ์ออมทรัพย์ของบริษัทแต่คุณแม่พี่หนิงบอกให้พี่หนิงมายืมจากคุณแม่ฉัน เธออ้างว่าระยะนั้นเธอไม่มีเงินสดพอให้เราปลูกบ้าน พ่อแม่ฉันที่แสนจะรักลูกจึงให้ยืมเงินปลูกบ้านที่ค่าก่อสร้างบานปลายมาก พี่หนิงเพิ่มตรงนั้น เติมตรงนี้จนสถาปนิกที่ออกแบบบ้านบอกฉันว่าอย่าบอกใครว่าเขาเป็นคนออกแบบ เนื่องจากพี่หนิงกับผู้รับเหมาก่อสร้างเปลี่ยนแบบของเขาเสียเกือบหมด

มาถึงการตกแต่งภายใน ฉันอยากได้แบบโมเดิร์น แต่ต้องปล่อยตามใจพี่หนิงอีก พี่หนิงอยากได้แบบอะไรไม่ทราบ ฉันเรียกไม่ถูก โดยพี่หน่อย พี่สาวของพี่หนิงแนะนำคนทำมาให้ เป็นช่างไม้ประเภท BUILT IN ที่บิ๊ว บิ๊ว บิ๊ว ทั้งบ้านเต็มไปด้วยไม้ ซึ่งพี่หนิงปลื้มมาก บอกใครๆว่าเป็นไม้สักเชียวนะนั่น ฉันไม่ชอบหลายๆอย่างในบ้าน แต่ด้วยความที่รักพี่หนิง ไม่อยากมีเรื่อง จึงปล่อยไป ไม่บ่นไม่ว่าอะไร ยังไงฉันก็มีบ้านแล้ว

เงินไม่พอ ยืมคุณพ่อคุณแม่ฉันตามเคย ท่านทั้งสองไม่ได้ร่ำรวยมากมาย หากรักลูก รักหลาน ยอมให้ยืมเงินถึงห้าล้านบาท เป็นเงินเก็บเกือบทั้งหมดที่ท่านมี

คุณแม่ฉันเป็นลูกสาวนักประพันธ์ชื่อดังมากในยุคที่ฉันเป็นเด็ก ฉันจำคุณตาได้ไม่มากนัก เนื่องจากท่านเสียชีวิตไปตอนที่ฉันยังเด็กมาก ส่วนคุณยายยิ่งแล้วใหญ่ ฉันเคยเห็นแต่รูป เพราะท่านเสียชีวิตตั้งแต่คุณแม่ฉันอายุเพียงเก้าขวบ

คุณตาทิ้งมรดกไว้ให้คุณแม่กับคุณลุงฉันคือลิขสิทธิ์บทประพันธ์ของท่านที่แม้แต่ปัจจุบันยังมีการตีพิมพ์อยู่บ้าง หากไม่เป็นที่นิยมของคนรุ่นใหม่เท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม บทประพันธ์ของคุณตาฉันได้รับการยกย่องให้เป็น หนึ่งในหนังสือร้อยเรื่องที่คนไทยควรอ่าน

ปัจจุบัน คุณแม่ฉันเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เพียงผู้เดียวเพราะคุณลุง พี่ชายคุณแม่เสียชีวิตไปแล้วด้วยโรคเดียวกับคุณตา คือโรคเบาหวาน

คุณแม่จึงพอมีเงินให้ฉันและพี่หนิงยืม ต่อมาภายหลัง เมื่อฉันทะเลาะกับพี่หนิงและทวงเงินแทนคุณแม่ พี่หนิงจะบอกว่า

"ไม่รู้ทั้งนั้น ให้มาเอง ช่วยไม่ได้" พาลมั้ยล่ะ

.............แค้นชะมัดเลย...........

(มีต่อค่ะ)
เราย้ายเข้าไปอยู่บ้านใหม่ตอนที่น้องรุ้งอายุสองขวบ ฉันเพลิดเพลินกับการซื้อของจากต่างประเทศมาแต่งบ้าน พี่หนิงมาบอกข่าวดีเรื่องได้รับการEVALUATE เป็นกัปตัน

ช่วงนั้นฉันได้เจอพี่อร ภรรยาเก่าพี่หนิงที่มาหาฉันถึงบ้าน เธอเป็นคนน่ารักทีเดียว เธอถามฉันว่าอยู่กับพี่หนิงเป็นอย่างไร ฉันบอกเธอว่าโดยรวมจัดว่าดี สุดท้ายพี่อรออกปากฝากน้องหนอนไว้กับฉันชั่วคราว เนื่องจากเธอจะแต่งงานใหม่กับพ่อม่ายชาวสวิส เธอบอกฉันว่าจะย้ายไปอยู่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์กับสามีใหม่ และจะมารับน้องหนอนไปอยู่ด้วยเมื่อจัดการทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทางแล้ว

ฉันบอกพี่อรว่าไม่ต้องห่วง ฉันจะดูแลน้องหนอนให้อย่างดี
พี่อรขอบอกขอบใจ แต่ไม่วายมองฉันอย่างสำรวจด้วยสายตาแปลกๆที่ฉันมาเข้าใจความหมายในตอนหลังอีกตามเคย

เอกลักษณ์ของฉันคือ เก่งแต่ตำราเรียน โง่เรื่องชีวิต รู้อะไรทีหลังคนอื่น แม้แต่เรื่องของพี่หนิง สามีฉันเอง

ตอนนั้น้องหนอนอายุหกขวบ กำลังจะต้องเข้าเรียนชั้นประถมปีที่หนึ่งซึ่งต้องย้ายโรงเรียนเพราะโรงเรียนที่น้องหนอนเรียนอยู่ตอนนั้นเป็นแค่โรงเรียนอนุบาลใกล้บ้าน ไม่มีชั้นประถม

ฉันพาน้องหนอนไปเข้าโรงเรียนหญิงล้วนที่ฉันเคยเรียน น้องหนอนได้เข้าเรียนโดยไม่ต้องสอบ เพราะเด็กอื่นสอบกันไปหมดแล้ว แต่ด้วยความกรุณาของอาจารย์ใหญ่ที่เคยสอนฉันมาและเมตตาฉันเป็นพิเศษ น้องหนอนจึงได้ไปเรียนในโรงเรียนเดิมที่ฉันเคยเรียน

วันไหนว่าง ฉันจะไปรับไปส่งน้องหนอนที่โรงเรียน พาน้องรุ้งไปด้วย ฉันดูแลน้องหนอนอย่างดี โดยพี่อรไม่ติดต่อมาพักใหญ่ หลายเดือนมาก

เมื่อเธอติดต่อมาภายหลัง เธอขอคุยโทรศัพท์กับน้องหนอน แต่เธอไม่เคยมารับน้องหนอนไปอยู่ด้วยเลย

พี่หนิงผ่านการ evaluate และเข้าเทรนกัปตันด้วยการลุ้นของฉันและครอบครัวเขา

วันหนึ่งฉันไปบินฮ่องกง แบบที่เรียกว่า quickturn คือไปถึงฮ่องกง พอผู้โดยสารลงจะมีพนักงานขึ้นมาทำความสะอาด เปลี่ยน อาหารและเครื่องใช้ในการบริการ เรียกรวมๆว่าเปลี่ยน catering

ลูกเรือเตรียมงานรับผู้โดยสารใหม่โดยไม่มีการลงจากเครื่อง บินกลับกรุงเทพเลย

ไฟลท์นั้นเองที่ฉันเจอลูกไก่ และได้รู้เรื่องของพี่หนิงกับเชอร์รี่

ลูกไก่ทำหน้าตาเฉยมาเล่าให้ฉันฟังว่าพี่หนิงกับเชอร์รี่มีอะไรๆกันมานานแล้ว

"ใครๆเค้ารู้กันทั้งนั้น พี่รินยังไม่รู้ เป็นไปได้ไง" ลูกไก่ทำเสียงสูงแบบประหลาดใจสุดๆ

"พี่รินดีเกิน พี่หนิงได้ใจแย่ พี่รินต้องร้ายมั่ง ถ้าเป็นลูกไก่นะ ยัยรี่นั่นไม่ได้ผุดได้เกิดชัวร์"

ลูกไก่บ่นปนเล่าให้ฉันฟังว่าพี่หนิงกับเชอร์รี่บินด้วยกันบ่อย มาก (คงเหมือนกับที่ครั้งหนึ่ง พี่หนิงกับเธอตามกันไปตามกันมาจนเลิกรากันไป)

"พี่รินมัวไปบินยุโรปนานๆ มัวเลี้ยงลูก ระวังนะคะ พี่หนิงเค้าไม่ธรรมดา ลูกไก่โชคดีมั่กๆที่มีแฟนใหม่ซะได้ ค่อยโล่งอกหน่อย ไม่งั้นพี่หนิงตื๊ออยู่นั่นแหละ"

ดูเธอพูดเข้า ไม่สนใจเลยว่าฉันผู้เป็นภรรยาถูกต้องตามกฎหมายของพี่หนิงจะคิดอย่างไร

ฉันกลับจากไฟลท์นั้นด้วยความรุ่มร้อนใจ พี่หนิงนะพี่หนิง เสียแรงที่รินทั้งรักทั้งไว้ใจ แต่แล้วก็ปลอบตัวเองว่าพี่หนิงคงสนุกไปตามประสาผู้ชาย

หารู้ตัวไม่ว่ากำลังเผชิญศึกใหญ่ ใหญ่หลวงเหลือเกิน

ศึกที่ฉันยอมแพ้อย่างบอบช้ำที่สุดในชีวิต


(ต่อตอนที่เจ็ดเร็วๆนี้ค่ะ)
ระหว่างทางกลับบ้าน ใจฉันวูบแล้ววูบอีก หายแล้วหายอีก เกิดอาการเจ็บร้าวที่หัวใจเหมือนครั้งที่รู้เรื่องลูกไก่ ครั้งนั้นฉันยังไม่มีลูกที่ต้องห่วงใย มาคราวนี้ ฉันน้ำตาตกใน ลูกรุ้งกำลังน่ารักเหลือหลาย ทำไมพี่หนิงทำเราสองคนได้ลง

สมองสั่งงานให้เข้มแข็ง แต่หัวใจซึ่งเป็นกล้ามเนื้ออย่างเดียวที่สมองสั่งงานไม่ได้บอกให้ฉันเจ็บ เจ็บหยั่งรากลึก และยิ่งลึกลงไปอีกเมื่อได้คุยกับพี่หนิง

คราวนี้พี่หนิงไม่ยอมรับ แต่กลับบอกว่า

"รินเอาอะไรมาพูด ลูกไก่มันแค้นที่พี่ไม่เอามันจริง มันเลยแต่งเรื่องมาเป่าหูริน อย่าไปเต้นตามมันสิ"

"แล้วพี่หนิงเจอเชอร์รี่บ่อยอย่างที่เค้าบอกหรือเปล่าล่ะ"

พี่หนิงทำท่าโมโหขึ้นมา

"รินอย่ามาซักไซร้ พี่บอกว่าไม่มีอะไรก็เชื่อกันมั่งสิ นี่พี่กำลังเทรนกัปตันแล้วนะ รินน่าจะให้กำลังใจผัว ไม่ใช่มาต้อนไปต้อนมาให้จน พี่ไปอ่านตำราดีกว่า เดี๋ยวโดนด่าอีก คราวที่แล้วกัปตันศักดิ์ศรีด่าใน cockpit เลยว่า โธ่เอ๊ย อ้ายหนิง กรูนึกว่าเมิงจะเจ๋ง ที่แท้ก็ห่วย shipหาย..แบบนี้รินเข้าใจมั้ยว่าพี่กำลังกดดัน พี่ไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่นหรอก นอกจากเรื่องเทรนกัปตันเนี่ย..."

พี่หนิงทำเป็นดุ แสร้งโมโห เพื่อให้ฉันเงียบ

ฉันเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งที่พี่หนิงพูด พยายามหันเหความสนใจจากเรื่องยัยเชอร์รี่ที่ฉันยังไม่เคยเห็นหน้าตา เข้าไปอาบน้ำ พอออกมาจากห้องน้ำ พี่หนิงหายไปแล้ว

"หมี คุณหนิงไปไหน บอกไว้หรือเปล่า"

ฉันถามเด็กทำงานบ้านที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกับน้อย แม่บ้านของคุณแม่ฉัน

"ไม่ได้บอกค่ะ"

"งั้นหมีเดินไปดูที่บ้านคุณแม่หน่อยนะ ถามคุณหนิงทีว่ากลางวันจะทานอะไร"

แม้จะยังไม่หายข้องใจ ฉันยังห่วงใยพี่หนิงเสมอ ใกล้เที่ยงแล้วด้วย พี่หนิงคงเดินไปบ้านคุณแม่เขาละมัง คงโมโห เดี๋ยวกลับมาเองแหละ

ฉันเข้าข้างตัวเองแบบนั้น หมีกลับมาบอกว่าพี่หนิงไม่ได้ไปที่บ้านคุณแม่ ฉันฉุกใจคิดว่าระยะหลังๆนี้พี่หนิงแทบไม่อยู่บ้านเลย ขนาดวันหยุดตรงกัน เขายังมีเรื่องออกจากบ้านตลอด ไปติวกับเพื่อนที่เทรนบ้าง ไปตีเทนนิสบ้าง ไปกินข้าวกับเพื่อนคนนั้นคนนี้ โดยไม่เคยชวนฉันไปด้วย ฉันเองติดลูก ปล่อยให้พี่หนิงไปตามสบาย

ฉันนึกทบทวน เริ่มฉลาดขึ้นนิดนึง ตัดสินใจเรียกนวลมาถามว่าพี่หนิงอยู่บ้านมากน้อยแค่ไหน นวลเป็นคนซื่อ เลยบอกฉันหมดว่าพี่หนิงแทบไม่อยู่บ้านเลย ไม่ค่อยเล่นกับลูกด้วย น้องรุ้งวิ่งตามพ่อไปที่รถบ่อยๆเวลาพี่หนิงจะออกจากบ้าน แต่พี่หนิงบอกลูกว่าพ่อมีธุระ เดี๋ยวกลับ ขนาดน้องรุ้งร้องตาม เขายังไม่หันมาโอ๋

ฉันได้ข้อมูลจากนวล ดูนาฬิกา ใกล้จะได้เวลาต้องออกไปรับน้องหนอน ฉันเคยบอกแล้วว่า วันที่ฉันว่างจากการไปบิน ฉันจะไปรับส่งน้องหนอนที่โรงเรียน พอดีกับเสียงโทรศัพท์ดัง
เป็นโทรศัพท์จากคุณครูประจำชั้นของน้องหนอน โทร.มาบอกให้ฉันไปที่โรงเรียนด่วน เพราะน้องหนอนอาละวาดตบตีเพื่อน

เด็กหกขวบนี่นะ อาละวาดตบตีเพื่อน ฉันรีบไปที่โรงเรียน ให้น้องรุ้งอยู่บ้านกับนวล คุณครูเล่าว่าน้องหนอนทำตัวเหมือนมาเฟียคุมห้องเรียน เพื่อนทุกคนต้องยอมเธอ แต่น้องจ๋ากับน้องแววไม่ยอม เลยเกิดการทะเลาะกันบ่อยๆ วันนั้น น้องหนอนกระโดดเข้าดึงผมเปียคู่ของน้องจ๋าจนหน้าหงาย แล้วตบหน้าน้องจ๋าหลายครัง พอน้องแววเข้ามาช่วย เลยโดนไปด้วย

ฉันเห็นหน้าน้องจ๋าและน้องแววแล้วสะท้อนใจ นี่น้องหนอนทำลงไปได้อย่างไรกัน น้องจ๋ามีรอยแดงมากที่แก้มทั้งสองข้าง ผมเปียหลุดหล่ย มีผมสองสามกระจุกตกอยู่ที่พื้น ส่วนน้องแววมีรอยแดงที่แก้มเช่นกัน

"น้องหนอน บอกอารินหน่อยว่าหนูทำเพื่อนแบบนี้ได้ไงคะ"

ฉันเริ่มสอบสวนน้องหนอน ด้วยความที่ฉันค่อนข้างใจเย็นจึงยังไม่โวยวายเอากับเธอ

"ทำแค่นี้ยังน้อยไปนะอาริน มันกวนติง eสองคนนี่มันเลว หนอนจะทำอีก ไม่ยอมแค่นี้หรอก"

ประโยคต่อมาของน้องหนอนทำเอาฉันและคุณครูอึ้งไปตามๆกัน

"ทีพ่อยังตบแม่แรงกว่านี้อีก ไม่เห็นจะเป็นไร"

น้องหนอนเอาอะไรมาพูด พ่อตบแม่ หมายถึงพี่หนิงตบพี่อรน่ะหรือ ไม่น่าเป็นไปได้นี่นา

"อารินรู้มั้ย พ่อเคยเอาขวดน้ำปลาตีหัวแม่ด้วย"

ฉันยังไม่หายตกใจจากคำบอกเล่าของน้องหนอน คุณแม่ของน้องจ๋าและน้องแววมาถึงในเวลาไล่เลี่ยกันพอดี

วันนั้นเป็นวันที่วุ่นวายมากวันหนึ่ง คุณแม่ของเด็กทั้งสองโกรธมากที่เห็นลูกถูกทำร้ายร่างกาย โวยวายจะให้ไล่น้องหนอนออกจากโรงเรียน อาจารย์ใหญ่ต้องมาไกล่เกลี่ยและให้น้องหนอนขอโทษเพื่อน พร้อมกับสัญญาว่าจะไม่ทำอีก

อาจารย์ใหญ่กำชับฉันให้ดูแลน้องหนอนดีๆ เพราะน้องหนอนชื่อดังมากในทางลบไปเสียแทบทุกเรื่อง

คุณครูประจำชั้นบอกฉันว่าน้องหนอนดื้อมาก นึกอยากทำอะไรก็ทำ ฉันต้องขอโทษแทน แก้ตัวแทน พร้อมสัญญาว่าจะสั่งสอนน้องหนอนให้มากขึ้น

ฉันพาน้องหนอนกลับบ้านด้วยความอ่อนเพลียละเหี่ยใจ นี่ราหูเข้าฉันหรือไร เหตุการณ์ในวันเดียวมันจึงชุลมุนอย่างนั้น น้องหนอนหลับหรือแกล้งหลับไม่ทราบตลอดทางกลับบ้าน

ต่อมาภายหลัง ฉันจึงได้รู้เหตุผลที่พี่อรทิ้งน้องหนอนไว้กับฉัน เธอสารภาพหลังจากนั้นอีกนานว่าน้องหนอนนิสัยเหมือนคนบ้านพี่หนิงมากจนเธอทนไม่ไหว เธอสั่งสอนลูกตัวเองไม่ได้ เลยเอามาฝากฉัน เพราะ"พี่ทนอยู่กับหนอนไม่ได้ มันเหมือนหนิงเกินไป"


โดย: birdchicago วันที่: 28 เมษายน 2550 เวลา:18:58:50 น.  

 
ตอนที่พี่อรคุยกับฉันเรื่องน้องหนอนนั้นเป็นเวลาที่ฉันรู้ซึ้งแล้วว่าทั้งพี่หนิงทั้งน้องหนอนเป็นคนแบบไหน ฉันต่อว่าพี่อรเรื่องไม่เตือนฉันเลย พี่อรย้อนว่าถ้าเตือนแล้วฉันจะเชื่อหรือ ที่พี่อรเลิกกับพี่หนิงก็เพราะเรื่องเจ้าชู้ มักมากในกามคุณ และยังทำร้ายร่างกายพี่อร คุณแม่พี่หนิงให้เงินพี่อรสามล้านบาท แลกกับการปิดปากไม่พูดมากไปให้เจ้านายพี่หนิงรู้เรื่อง ไม่อย่างนั้น พี่หนิงจะไม่ก้าวหน้าในอาชีพการงาน อาจโดนดองไม่ได้เป็นกัปตันไปจนเกษียณ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนบ้านเขารับไม่ได้ เฮอะ แต่ตบตีเมีย กลับรับได้

ฉันไม่เข้าใจพี่อรนักหรอก ว่าทำไมเธอเลือกที่จะเอาเงินมากกว่าบอกใครๆเรื่องพี่หนิง เธอคุยกับฉันมากมายเรื่องพี่หนิง และบอกว่าสงสารฉัน

"รินนี่ซื่อมากเลยนะ ตอนนี้หนิงเค้าทำดีกับรินเพราะเกรงใจคุณพ่อคุณแม่ริน กับกลัวไม่ได้เป็นกัปตัน ลองได้เป็นกัปตันสิ ลายออกหมดแน่ รินคอยดูเหอะ รินต้องใจเย็นมากๆนะ ยังไงๆเห็นแก่ลูกเรา...บลาๆๆๆ"

พี่อรเธอพูดเก่งมาก พูดไม่หยุดจนฉันชักฉงนว่าทำไมพี่อรบอกให้ฉันใจเย็นเห็นแก่ลูก แต่ตัวเธอเองกลับไม่เห็นแก่น้องหนอน แถมยังเอาน้องหนอนมาทิ้งไว้ให้ฉันเลี้ยงอีก


ถึงบ้าน พี่หนิงยังไม่กลับ ฉันอุ้มน้องหนอนที่ยัง(ทำเป็น)หลับอยู่ลงจากรถ พาขึ้นไปนอน ด้วยจิตใจหดหู่ เริ่มเศร้ากับพฤติกรรมน้องหนอนที่ ฉันจะทำอย่างไรดี พี่หนิงยังไม่กลับ

ฉันทำกิจวัตรประจำวันไปตามความเคยชินมากกว่า วันนั้นฉันรู้สึกเหมือนวิญญาณถูกดูดออกจากร่าง ฝืนยิ้มแย้มกับลูกรุ้งไปตามแกน ในหัวพี่แต่เรื่องพี่หนิง เชอร์รี่ น้องหนอน รวมทั้งย้อนคิดไปถึงผู้หญิงอีกหลายๆคนของพี่หนิง คิดถึงคำพูดพี่อร วกไปวนมาจนฉันปวดศีรษะไปหมด ตลอดเย็นจนดึกวันนั้น ฉันทานพาราไปสี่เม็ด โดยทั้งวันไม่มีอาหารตกถึงท้องเลย

พี่หนิงกลับถึงบ้าน เวลาตีสี่ ฉันตื่นแล้ว เพราะต้องไปบินไฟลท์เช้ามาก ต้องถึงห้อง BRIEF หกโมงครึ่ง

"พี่หนิงไปไหนมา เรื่องเยอะเลยเมื่อวานน่ะ รู้มั่งมั้ยว่าอะไรเกิดขึ้นมั่ง ไปไหนไม่บอก ตามตัวไม่ได้ แพ็คลิ้งก์ก็ไม่เอาไป พี่หนิงจะเอายังไงกะรินคะ จะต้องทนไปถึงไหน"

"โวร้ยยยยยย รินบ้าอะไรขึ้นมาอีก พี่ไปเทรน มี school flight ด้วย แกดุจะตาย ha แล้วกลับมาเจอเมียแว้ดๆอีก มีอะไรบอกมาดีๆ คนมันเครียดรู้ซะมั่ง"

พี่หนิงเอานิ้วมาจิ้มแรงๆที่ขมับขวาของฉัน จนฉันสะดุ้งเฮือก

"ไว้รินกลับมาค่อยพูดกัน รินต้องไปทำงานละ"

ฉันจนใจที่จะต่อบทสนทนากับพี่หนิง พี่หนิงบอกว่าไป school flight คือการเทรนกัปตันแบบฝึกบินโดยไม่มีผู้โดยสาร ต้องรอเครื่องบินว่าง จึงจะฝึกบินได้ กว่าเครื่องบินทุกลำจะว่างให้ใช้ได้ มักจะเป็นเวลาดึกมาก เนื่องจากเครื่องบินทุกลำจะถูกใช้งานแทบตลอดเวลา

ดังนั้น การไป school flight จึงมักเป็นเวลาดึกๆที่เครื่องจอดว่างอยู่เพื่อใช้งานในไฟลท์เช้าต่อไป

การไปฝึกกับเครื่องเปล่าแบบนี้ ครูฝึกจะสอนการบังคับเครื่องขึ้นลง และการ แท็กซี่ คือ หลังจากบังคับเครื่องลงบนรันเวย์แล้ว จะต้องบังคับเครื่องยนต์ให้เบาลง และค่อยๆขับไปยังที่จอด เรียกว่า เครื่องกำลัง แท็กซี่

จะบินขึ้นบินลงอยู่แบบนั้นหลายครั้ง หลายคืน จนกว่าจะเป็นที่พอใจของครูฝึก ขั้นตอนต่อไปคือนั่งทำหน้าที่เป็นกัปตันตัวจริงในไฟลท์จริง โดยมีครูฝึกหรือ SV. นั่งเป็น co-pilot ให้ ฝึกกันต่อไปจนกว่าจะเป็นที่พอใจของ SV. ทั้งหกว่าจะให้ผ่านหรือไม่ผ่าน

(มีต่อค่ะ)
วันนั้นฉันไปบินด้วยหัวใจที่รวดร้าว แต่ในเมื่ออาจารยสดใสเคยสอนว่า the show must go on นั่นคือไม่ว่าเราจะอยู่ในสภาวะใด หน้าที่คือหน้าที่ จะเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับงานไม่ได้

เวลาทำงาน ฉันจะลืมเรื่องส่วนตัวได้เยอะ มัวแต่ห่วงผู้โดยสารแทน ฉันปรับสีหน้าให้ยิ้มแย้มได้ทันทีที่เริ่มทำงาน

แอร์หลายคนที่หน้าตาบูดบึ้งมาจากบ้าน บ่นกับเพื่อนร่วมงานว่ามีปัญหาส่วนตัวสารพัด พออยู่บนเครื่องและเพอร์เซอร์ประกาศว่าผู้โดยสารกำลังมาเท่านั้นแหละ สีหน้าจะเปลี่ยนได้ทันควัน แม้แววตาจะยังไม่ค่อยเปลี่ยนอย่างที่เรียกว่า "ปากยิ้ม ตาไม่ยิ้ม"

บางคนยังทำหน้าหงิกงอ จะมีเพื่อนร่วมงานเอานิ้วไปจี้มเหนือเอวด้านหลังพร้อมกับบอกด้วยเสียงมันส์ๆว่า

"อ้ะๆ เสียบปลั๊กๆ บาร์บี้ทั้งหลาย ยิ้ม ยิ้มเร้วววว"

ไม่ใช่ว่าพวกเราเสแสร้งแสดงละครเลย ส่วนใหญ่เต็มใจและตั้งใจทำงาน การที่จะมีเรื่องส่วนตัวมากวนใจคงมีด้วยกันในทุกปุถุชน

ไฟลท์นั้นฉันบินกับหนุ่ยและพี่ปิ๋มที่เคยไปนูเมียด้วยกัน พี่ปิ๋มคนที่โดนเพื่อนแอร์แย่งสามี ผ่านมาเกือบสามปี พี่ปิ๋มยังสวยเหมือนเดิม ฉันเคยได้ข่าวแว่วมาก่อนพบเธอว่าพี่ปิ๋มกำลังมีรักครั้งใหม่กับกัปตันท่านหนึ่งที่มีครอบครัวแล้ว ฉันยังไม่ค่อยเชื่อกับข่าวนั้นเลย พี่ปิ๋มเคยโดนแย่งสามี แล้วเธอจะไปแย่งสามีคนอื่นทำไมเล่า

พี่ปิ๋ม ฉัน และหนุ่ยกรี๊ดกร๊าดทักกันอย่างดีใจ เราสามคนไม่ได้บินด้วยกันนานมากแล้ว มาคราวนี้ไปนาโกย่า อยู่ตั้งสามวัน คงสนุกน่าดู ฉันค่อยคลายเรื่องทุกข์ใจไปหน่อย

ไฟลท์นั้นมีแอร์เฟิร์สคลาสสองคนคือพี่ปิ๋มและฉัน พี่ปิ๋มอาวุโสมากกว่าจึงทำงานเฟิร์สคลาส ส่วนฉันทำงานชั้นธุรกิจข้างล่าง มีแอร์รุ่นน้องอีกคนหนึ่งทำงานชั้นธุรกิจข้างบน

เครื่องที่ฉันไปบินวันนั้นคือเครื่องแบบโบอิ้ง747-200 ตอนที่บริษัทซื้อเครื่องแบบนี้มาใช้ใหม่ๆพวกเราจะเรียกกันว่า เครื่องหัวโตบ้าง จัมโบ้บ้าง เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นเครื่องบินมีสองชั้น

ด้านหัวเครื่อง ทางเข้าผู้โดยสารเฟิร์สคลาสจะมีบันไดขึ้นไปชั้นบนที่เป็นห้องนักบินและที่นั่งผู้โดยสารชั้นธุรกิจ มีอยู่เพียง 16 ที่นั่ง ลูกเรือที่ทำงานบนนั้นจะมีหน้าที่ดูแลนักบินด้วย

หลายครั้งที่เพอร์เซอร์ได้รับการขอร้องจากแอร์หรือสจ๊วตบางคนว่าอย่าปล่อยเขาหรือเธอขึ้นไปทำงานบนนั้น สาเหตุเพราะไม่ชอบหน้านักบิน เเบบนี้เพอร์เซอร์มักจะเห็นใจ เปลี่ยนเอาคนที่ทนไหวขึ้นไปแทน มีการเปลี่ยนกลางอากาศบ้างด้วยซ้ำไป คือทำงานไปแล้วฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่พอใจกัน จะมีการเปลี่ยนตัวกันขึ้นไปแทน เปลี่ยนแต่ลูกเรือนั่นแหละ นักบินเปลี่ยนไม่ได้ มีอย่างไรลูกเรือต้องพยายามพอใจอย่างนั้น

ฉันว่าที่มาของสำนวน "ถูกเปลี่ยนในอากาศ"หรือ "ถูกย้ายกลางอากาศ" ที่ใช้กันทั่วอาจจะมาจากเรื่องของพวกเราก็เป็นได้

ที่นาโกยานั่นเอง ที่เรื่องราวของพี่หนิงกับเชอร์รี่ถูกไขออกมาโดยเพื่อนรักของฉันที่อดทนปิดปากมานาน(มาก)เพราะเห็นแก่เพื่อนแต่แล้วทนไม่ไหวเสียเอง

(มีต่อเร็วๆนี้ค่ะ)


(มีต่อเร็วๆนี้ค่ะ)
ก่อนโพสท์เรื่องราวต่อไป ต้องขอขอบพระคุณท่านผู้อ่านที่ให้กำลังใจมามากมาย รวมทั้งท่านที่มาทำลิ้งค์ให้เป็นประจำ ขออภัยที่ไม่เอ่ยนามทั้งหมด แต่เชื่อเถอะค่ะว่าดิฉันเซฟไว้ทุกๆล้อกอิน จำได้มากแล้วด้วยเพราะหลายล้อกอินมาทุกครั้งที่ดิฉันโพสท์เรื่อง รวมถึงท่านที่อ่านแต่ไม่ได้เข้ามาคอมเม้นต์ก็ขอบพระคุณด้วยค่ะ

หลายท่านที่เป็นห่วงและถามมาถึงวันนี้ว่ารินเป็นอย่างไรบ้าง

วันนี้รินเค้าสบายดีมากค่ะ ไม่ได้อยู่กับหนิงแล้ว รินเค้าอยากส่งกำลังใจให้ทุกท่านที่ประสบปัญหาชีวิต ว่า ไม่มีอะไรเอาชนะความเข้มแข็งของเราได้

กว่าจะมาถึงวันนี้ หากไม่เข้มแข็งพอ ยอมล้มเสียก่อน คงไม่มีนามปากกาแอร์กี่มาเล่าเรื่องให้ทุกท่านฟัง ณ.วันนี้

ขอขอบพระคุณอีกครั้ง จากใจจริงค่ะ

...................แอร์กี่.....................




ตอนที่แปด


วันนั้นผู้โดยสารค่อนข้างน้อยผิดกับไฟลท์ญี่ปุ่นทั่วไป หากเป็นไฟลท์ไปโตเกียวหรือโอซาก้า ผู้โดยสารจะเต็มแน่น ถึงกับบางวันต้องมีหลายไฟลท์

ผู้โดยสารน้อย ทำให้มีเวลาว่างมาก หนุ่ยทำงานคู่กับฉัน หนุ่ยทำงานเนี้ยบและเร็ว หากแอร์คนไหนได้จับคู่กับหนุ่ยเรียกว่าสบายไปหลายร้อยอย่าง หนุ่ยจะแย่งงานแอร์ทำหมด จนวันนั้นฉันต้องถามหนุ่ยว่า

"หนุ่ย เธอจะไฮเปอร์อะไรขนาดนี้ รินเหนื่อยวุ้ย ทำงานไม่ทันทศกัณฐ์หนุ่ยเล้ยยย"

"บร้า ยัยริน มาว่าชั้นเป็นทศกัณฐ์ ชั้นมันนางสีดาตาหากล่ะยะ เออ แต่ชั้นชอบรามเกียรติ์นะ ที่อ่านๆวรรณคดีมา ชั้นเห็นพระรามเนี่ยแหละรักเดียวใจเดียว ไม่โรเนียวหลายร้อยก๊อปปี้ ..เหมือนบางคน เชอะ ยัยรินเอ๊ยยย ทำหน้าระรื่นอยู่ได้ไงเนี้ยะ ผัวมีเมียน้อยตัวเป็นๆอยู่ใกล้ๆ ยังเช้ยย เฉยยย อยู่ด้ายย"

หนุ่ยพูดพร้อมกวัดแกว่งมือจนฉันต้องหลบ กลัวมือเธอจะมาโดนตัวฉันเข้าแรงๆคงเจ็บแย่ ถึงหนุ่ยจะเป็นผู้ชายนะยะ เรี่ยวแรงที่มีมันก็เท่าเทียมกับผู้ชายปกตินี่เอง

"ว่าไงนะหนุ่ย เมียน้อยอะไรอีก"

ฉันถามทั้งที่ใจเต้นตุบตับ ตึกตัก จนกลัวหนุ่ยจะได้ยิน

หนุ่ยค้อนขวับ

"เอ๊า คุณหนูริน นี่โง่จริงหรือแกล้งโง่ เธอยังไม่รู้เรื่องยัยผลไม้ใส่ค้อกเทลนั่นอีกเหรอยะ "

"รินรู้มามั่งแหละ แต่พี่หนิงเค้าบอกว่าไม่มีอะไร พอดีรินยุ่งๆหลายเรื่อง รินเลยเอาไว้ก่อน แต่หนุ่ยรู้อะไรก็บอกรินมั่งดินะ"

คราวนี้หนุ่ยทำหน้าเคร่งขรึม เอื้อมมือสองข้างมาจับตัวฉันไว้

"ริน ตัวไม่รู้เหรอว่าพี่หนิงกับยัยผลไม้น่ะ เค้าไปไหนๆกัน คนเห็นจนทั่วบ้านทั่วเมือง ถามจริง ทำไมรินไม่รู้ ถามจริง รินเชื่อพี่หนิงมากป่าว ไม่งั้นหนุ่ยจะกลายเป็นเพื่อนเลว เฮ้อออ ใครๆเค้าว่าเรื่องผัวเมียอย่าเข้าไปแจมนี่ท่าจะจริงเนอะ .."

หนุ่ยพูดจบพร้อมถอนหายใจเฮือก เฮือก

พี่ปิ๋มเดินเข้ามาพอดี เธอเห็นทีท่าถอนหายใจแบบระทวยระทมของหนุ่ยแล้วปิดปากหัวเราะคิกคัก

"คุณนายหนุ่ย ถอนใจทำไมจ๊ะ เมนส์ไม่มาเหรอ 5555"

"ไม่ขำเลยเจ๊ ไม่ขำ " หนุ่ยบอกพร้อมกับค้อนพี่ปิ๋มอีกครั้ง

พี่ปิ๋มยังคงหัวเราะคิก

"ค้อนอีกๆ อิอิ พี่ไม่เคยเห็นสาวคนไหนค้อนสวยเท่าหนุ่ยเลยนะเนี่ย แล้วใกล้รับปริญญายัง"

"โอ๊ย พี่ปิ๋ม เฉิ่มเบ๊อะ เชย โก๊ะ หนุ่ยรับป.โทไปตั้งตะปีที่แล้ว เนี่ย บินอีกไม่กี่ไฟลท์ก็จะลาออกไปเรียนเอกละ หนุ่ยคงคิดถึงพวกเราตายเลย แต่อ่ะนะ เพื่ออนาคต มันต้องตัดใจ ใช่มั้ยริน ตัดใจซะวันนี้ เพื่อสิ่งที่เจ๋งกว่า cool กว่าในวันหน้า" ประโยคหลังหนุ่ยทำหน้าตามีเลศนัยกับฉัน

"ยังไม่ทันไปเมืองนอกเล้ย มาคงมาcool เป็นอเมริกันไปด๊าย หนุ่ยนี่เก่งนะ จบด็อกเตอร์กลับมาแล้วอย่าลืมเลี้ยงพี่น้า" พี่ปิ๋มบอก

"รับรองๆ เจ๊ หนุ่ยไม่ลืมพวกเราหรอก" หนุ่ยให้คำมั่นจริงจัง

หลังจากนั้นต่อมา เมื่อหนุ่ยพกปริญญาเอกกลับมากรุงเทพ หนุ่ยเชิญพวกเราไปทานอาหารที่บ้านอันใหญ่โตมโหฬารของคุณพ่อคุณแม่หนุ่ยจริงอย่างที่หนุ่ยพูดไว้

"เนี่ย พี่ปิ๋ม ถ้าหนุ่ยจบเอก กลับมาทำงานกะชาวบ้านอื่นเค้า ต้องเก๊กแมนแค่ไหนก็ไม่รู้ ชีวิตหนุ่ยมันระทมขมขื่นยิ่งกว่ารินอีกนะ "

"อีกละ อีกละ หนุ่ยวกมาเรื่องรินอีกละ เอาเหอะหนุ่ย เล่ามา รินฟังได้ เจอมาเยอะแล้ว"

พี่ปิ๋มกับหนุ่ยมองหน้ากัน ต่างคนต่างเกี่ยงให้อีกฝ่ายหนึ่งบอกฉัน

ในที่สุด หนุ่ยเป็นคนเล่า ได้ความว่าพี่หนิงเปิดเผยมากเรื่องเชอร์รี่ บอกใครๆว่าเธอตรงสเป๊คสุดๆ เชอร์รี่เองเล่าให้คนอื่นฟังว่าพี่หนิงจะหย่าแต่ฉันไม่ยอม เธอจึงต้องคอยก่อน

พี่หนิงบอกเชอร์รี่ว่าฉันท้อง ต้องรับผิดชอบ เขาไม่ได้รักฉันเลย ไม่อยากอยู่ด้วย แต่กำลังเทรนกัปตัน ไม่อยากมีเรื่องกับฉัน เกรงจะกระทบการงานของเขา เลยขอให้เชอร์รี่ใจเย็นๆรอก่อน

ฉันฟังหนุ่ยเล่าจนจบด้วยอาการเจ็บจี๊ดขึ้นสมอง ไล่มาตามคอ สันหลัง และทั้งตัว เป็นความรู้สึกที่ทรมานมาก โดยเฉพาะขณะนั้นกำลังทำงาน ร้องไห้ไม่ได้เสียด้วย ต้องอดทน ข่มความรู้สึกอยากจะปล่อยโฮเอาไว้ในอก

ฉันทำงานต่อจนเครื่องลงอย่างไม่มีแก่จิตแก่ใจ ฉันฝืนยิ้มจนรู้สึกว่าหน้าตึงไปหมด ขมับตึง ร้อนในอก ร้อนที่ตัว ร้อนที่หัว สลับกันอยู่อย่างนั้น

เครื่องลงที่นาโกยาตามเวลา ปกติแล้วฉันชอบนาโกยามาก โรงแรมที่เราพักอยู่ในเมือง ไม่ได้พักโรงแรมชานเมืองเหมือนที่โตเกียวหรือโอซาก้า เดินไปนิดเดียวจะถึงแหล่งช้อปปิ้ง อย่างที่เคยเล่าแล้วว่า ของญี่ปุ่นน่าซื้อ แพ็คเกจจิ้งงดงามจนบางครั้งไม่อยากจะแกะเลย

เมื่อถึงโรงแรม เข้าห้องได้ ฉันร้องไห้ ร้อง ร้อง ด้วยความปวดใจ คับแค้นใจ โมโห ความรู้สึกเลวร้ายทั้งมวลถาโถมเข้ามา

ฉันเปิดกระเป๋าถือ หยิบรูปลูกในอัลบั้มบางๆออกมาดู ฉันจัดรูปลูกไว้ตามอายุที่โตขึ้น น้องรุ้งจ้องตาโตตอบมาราวจะปลอบแม่ว่าแม่ยังมีหนูอยู่ทั้งคน ค่อยๆคิดนะจ๊ะแม่จ๋า

นั่งพลิกรูปลูกไปมา ทนคิดถึงลูกม่ไหว โทร.ไปหาลูกดีกว่า

การโทรศัพท์หาลูกเป็นเรื่องหนึ่งที่พี่หนิงชอบบ่นฉัน เขาบอกว่าค่าโทรศัพท์ทางไกลมันแพง โทร.ไปแล้วทำอะไรได้ในเมื่อเราอยู่ไกล เปลืองเงินอีกด้วย

พี่หนิงไม่ทราบหรอกว่า เสียงของลูกน้อยปลอบประโลมใจฉันได้ทุกครั้ง ครั้งนั้นเช่นกัน นวลรับโทรศัพท์ พอทราบว่าเป็นฉัน เธอรีบให้น้องรุ้งพูดทันที ฉันคุยกับลูก บอกว่าแม่จะซื้อคิตตี้ไปฝากนะลูกนะ

วางหูจากลูก นึกถึงพี่หนิงที่ชอบบ่นเรื่องฉันใช้เงินไม่เข้าท่า อย่างเช่น เวลาฉันไปส่งน้องหนอนกลับมาบ้านแล้วแวะซื้อของกินหน้าปากซอยมาเยอะ พี่หนิงจะบ่นว่า ซื้อมามากมายทำไม เช่น

"แล้วปาท่องโก๋นี่ รินกินไม่หมด ทีหลังซื้อสองบาทพอแล้ว"

ฉันไม่อยากเถียงหรอก ในใจนึกว่า คนขายตื่นมานวดแป้งตั้งแต่ตีสองตีสาม ขายเท่าไหร่ไม่เห็นจะร่ำรวย สมัยนั้นปาท่องโก๋คู่ละหนึ่งบาท แต่ฉันมักจะซื้อครั้งละสิบบาทหรือยี่สิบบาท เอาไปฝากนวล และฝากคนบ้านพี่หนิงกับบ้านพี่หน่อย พี่สาวพี่หนิง จนพี่หนิงห้ามว่าไม่จำเป็นต้องซื้อฝากใคร

"ใครอยากกินก็ให้ซื้อเองสิ" นั่นคือคำพูดของพี่หนิง

ยิ่งอยู่นาน ความแตกต่างระหว่างเรายิ่งชัดขึ้น พอมาทราบเรื่องเชอร์รี่เข้า ดูเหมือนฉันจะหมดความอดทนทีเดียว ฉันเริ่มคิดถึงการแยกทางกับพี่หนิง คิดถึงคุณพ่อคุณแม่ คิดถึงลูกว่าแต่ละคนจะรู้สึกอย่างไรที่ฉันไม่สามารถประคับประคองนาวาครอบครัวลำนี้ของฉันไปได้โดยราบรื่น ฉันจะทำอย่างไรดีนะ

วันรุ่งขึ้น ฉันฝืนออกไปเดินเล่นแถวแหล่งช้อปปิ้งตามการคะยั้นคะยอของหนุ่ยที่โทร.มาตามแต่เช้า

"คนสวยจ๋า อย่ามัวนึกถึงผัวอกตัญญูอยู่เลย ไปช้อปกันดีกว่า ที่ไดเอะมีเซลด้วยนะ แต่งตัวสวยๆไปยั่วหนุ่มยุ่นกันแต่ฮึ!!!ชั้นไม่อยากเดินกะเธอเลย เดินกะเธอแล้วชั้นดับซะไม่มี"

ไปเดินดูข้าวของกับหนุ่ยและพี่ปิ๋ม ได้ข้อมูล "ยัยผลไม้ใส่ค้อกเทล" จากหนุ่ยและพี่ปิ๋มเพิ่มเติมอีก ล้วนแต่เรื่องเสียดแทงใจทั้งนั้น

ฉันเอามือกุมอก ทำหน้าเจ็บปวด ที่จริงไม่ต้องทำหหน้ามันคงฟ้องอยู่ว่ายัยคนนี้ไม่มีความสุขเอาเสียเลย

"หนุ่ยจ๋า ได้โปรด พลี้สสสส please หยุด stop talking โอย รินจาตาย รับไม่ไหวแล้ว"

ฉันทำแกล้งเป็นมุขขำขำ แต่หนุ่ยกับพี่ปิ๋มรู้ทัน ทั้งสองสังเกตเห็นว่าฉันทานอะไรไม่ลงเลย

ฉันอดทนอยู่จนวันกลับ ก็ถ้าไม่ทนจะทำอะไรได้ โทร.กลับบ้านหลายครั้ง พี่หนิงไม่เคยอยู่เลย

จนกระทั่งวันกลับมาถึง พวกเรานั่งรอเครื่องที่บินมาจากกรุงเทพและจอดแล้ว ผู้โดยสารกำลังลงจากเครื่อง สักพักต่อมาลูกเรือเริ่มทยอยกันออกมาทีละคนสองคน เครื่องจัมโบ้นี้ใช้ลูกเรือทั้งหมดยี่สิบเอ็ดคน

หนุ่ยสะกิดฉัน "ว้ายยยยตาย ริน นั่นไง ยัยค้อกเทลผลไม้ เอ๊ย พูดผิด ยัยผลไม้ใส่ค้อกเทล"

ฉันมองตามหนุ่ย นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นเชอร์รี่
เธอเป็นสาวพิมพ์นิยม คือหน้าหมวย ขาว ไม่สวยมากนัก มองเผินๆคล้ายลูกไก่เหมือนกัน แต่ลูกไก่สวยกว่า เธอเดินตัวตรง ลากกระเป๋า เชิดหน้าออกมา ไม่มองมาทางฉันเลย

"ดูมันนะริน ทำเป็นเชิด มันน่า...นัก"

หนุ่ยพูดเสร็จแล้วลุกขึ้นเดินตรงไปหากลุ่มลูกเรือตามคนอื่นๆที่ลุกขึ้นไปทักทายเพื่อนฝูงที่มากับเครื่องจากกรุงเทพ ฉันยังคงนั่งนิ่ง ตาพร่าไปชั่วขณะ เสียงเรียกฉันดังขึ้น

"ริน อ้าว ใจลอยจัง " แอนนั่นเอง แอนหน้าตาจิ้มลิ้มที่ตกลงเป็นแฟนกับพี่สุทธ์และกำลังจะแต่งงานเข้ามาทักฉัน

"รินสบายดีมั้ย ไม่เจอตั้งนาน แอนเอาการ์ดไปใส่ BOX รินแล้วนะ"

"ดีใจด้วยแอน แต่งวันไหน ถ้าไม่ติดบิน รินจะไปงานแอนนะ อยากได้อะไรเป็นของขวัญดีน้อ" ฉันถามแอน

"ไม่อยากได้อะไรหรอกริน แอนอยากให้รินสบายใจ มีความสุขน่ะนะ "

แอนพยักเพยิดไปทางเชอร์รี่ที่ยังคงทำเป็นไม่มองฉัน

"ยัยนี่ร้ายลึก แต่รินไม่ต้องคิดมาก แอนว่าถ้าพี่หนิงคิดจริงจังคงบ้าละ พี่หนิงเค้าคงเล่นๆไปแบบคนอื่นๆ รินอย่าซีเรียสนะ แอนเป็นห่วง"

"ขอบคุณนะแอน แล้วเจอกัน"

ฉันยิ้มให้แอน ลากกระเป๋าเข้าไปเตรียมทำงานบนเครื่อง

กระเป๋าลูกเรือที่ส่วนใหญ่พวกเรามักจะใส่ไว้ในรถเข็นเล็กๆ แล้วลากเอานั้นได้รับแจกจากทางบริษัท ลูกเรือทุกคนต้องใช้เฉพาะของบริษัทแจกเท่านั้น จะมาใช้ของแบรนด์เนมตามใจชอบไม่ได้เป็นอันขาด

ทั้งเครื่องแบบ กระเป๋า รองเท้า บริษัทแจกทั้งสิ้น จนกระทั่งมีการคุยกันบ่อยๆในหมู่ผู้ชายว่า...ขอบคุณบริษัทที่ให้บ้าน ให้รถ ให้เงิน แถมภรรยาให้ด้วย...

ฉันทำงานกลับอย่างเหนื่อยใจที่สุด ดีที่ทำงานกับหนุ่ย หนุ่ยแสดงความเป็นยอดกัลยาณมิตรออกมาให้เห็น เขาทำงานอย่างรวดเร็ว เอางานของฉันไปทำแทนเสียมากมาย หนุ่ยทำให้ฉันประทับใจมากในไฟลท์นั้น


กลับถึงบ้าน พี่หนิงไม่อยู่ ไปบิน ฉันต้องรอจนเขากลับมาในวันรุ่งขึ้น และเปิดฉากทะเลาะ คุยกันดีๆคงไม่ได้แล้ว

"พี่หนิง รินรู้หมดแล้วเรื่องเชอร์รี่น่ะ พี่หนิงทำไมไม่นึกถึงรินกะลูกมั่ง จะเอาเราสองคนไปแลกผู้หญิงคนนั้นเหรอ.."

ฉันขึ้นเสียงดังด้วยอารมณ์โกรธจัด

"รินนี่ หาเรื่องอยู่ได้ทุกวัน นี่ถ้าชั้นไม่ได้เป็นกัปตันคงเพราะเธอแหละ น่ารำคาญ "

พี่หนิงตีหน้ายักษ์ใส่ฉัน

"บอกแล้วว่าให้อยู่เฉยๆ บอกไม่เชื่อใช่มั้ย ชั้นชักโมโหเหมือนกันนะ เธอจะซักให้มันได้อะไร..."

ถ้อยคำไม่สุภาพเริ่มออกมาจากปากพี่หนิง ฉันได้กลิ่นสุราจากลมหายใจเขาด้วย

"เมาเหรอพี่หนิง พูดจาอะไรอย่างนั้น รินไม่ชอบนะ"

"เออ แม่ผู้ดี แล้วมายุ่งกะชั้นทำไม ชั้นมันชาวบ้าน ชาวสวน ไม่ผู้ดีอย่างพวกเธอหรอก"

ฉันทะเลาะกับพี่หนิงไม่หยุด ตะโกนใส่กันอย่างดุเดือด ดีนะที่ตอนนั้นลูกเราหลับไปแล้ว นวลดูแลอยู่ข้างบน

คืนนั้นพี่หนิงไปนอนบ้านคุณแม่เขา และให้แย้มมาเอาเสื้อผ้าของใช้ที่บ้านเรา

แย้มคุยให้หมี แม่บ้านของฉันฟังว่า เคยเห็นพี่หนิงพาเชอร์รี่ไปที่บ้านคุณแม่เขาด้วยเวลาที่ฉันไม่อยู่ แถมคุณแม่พี่หนิงต้อนรับเชอร์รี่อย่างดี ทำราวกับพี่หนิงเป็นคนโสดงั้นแหละ

เรื่องราวของฉันเป็นเรื่องสนุกปากของชาวบ้านไปทั่วทั้งซอย ลามไปถึงสังคมที่ฉันและพี่หนิงอยู่

พี่หนิงพาเชอร์รี่ไปที่บ้านคุณพ่อคุณแม่เขา ตายหละ บ้านรั้วติดกันนี่เอง ระหว่างบ้านเราและบ้านคุณแม่เขามีแค่รั้วเตี้ยๆกั้น มีประตูเล็กที่ไม่เคยล็อกเปิดถึงกันได้ตลอดเวลา
เพื่อให้คุณแม่พี่หนิงเปิดเข้ามาหยิบของใช้ไปจากบ้านฉันในเวลาที่ฉันไม่อยู่

พี่หนิงหลบหน้าฉันไปอยุ่บ้านคุณแม่เขา ฉันไม่ตาม ไม่ง้อ แค้นถึงที่สุด คิดเรื่องหย่า คิดเรื่องลูก คิดถึงตอนรักกัน คิดถึงวันแต่งงาน โอย คิดวนเวียน คิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรดี

ฉันไปบินตามปกติ ก่อนจะเข้าห้อง BRIEF ฉันจะเข้าไปเช็ค BOX ส่วนตัว ที่ลูกเรือทุกคนจะมีอยู่ที่ห้องห้องหนึ่งในบริษัท หน้าตาของมันคือตู้ไม้ซึ่งกั้นเป็นช่องๆราวสิบสองคูณหกนิ้ว เปิดด้านหน้าไว้ ไม่มีกุญแจ เป็นการให้เกียรติกันว่าของใครของมัน

คดีของฉันกับเชอร์รี่นี่เองที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง มีการใส่กุญแจ BOX ในเวลาต่อมา

ฉันเข้าไปเช็ค BOX มีเศษกระดาษใส่ไว้ เขียนไว้หยาบมาก จนต้องเซ็นเซ่อร์ ประมาณว่า ฉันทนอยู่ได้อย่างไรทั้งที่สามีไม่รัก หน้าทำด้วยอะไร และบอกหมดว่าเธอกับพี่หนิงทำอะไรกันบ้าง


ฉันอ่านแล้วตกใจมาก นี่เชอร์รี่เขียนหรือใครแกล้ง ฉันยังไม่นึกว่าเชอร์รี่จะหยาบคายอย่างนั้น ฉันเก็บกระดาษนั้นไว้

ต่อมาฉันได้รับโน้ตทำนองนี้อีกทุกครั้งที่ไปบิน ล้วนบรรยายบอกว่าพี่หนิงไปไหนกับเธอบ้าง ใช้ภาษาพ่อขุนรามราวกับผู้เชี่ยวชาญศิลาจารึก

ฉันเก็บเศษกระดาษเหล่านั้นไว้ อัดอั้นใจ พี่หนิงคอยแต่หลบหน้า ฉันได้แต่ไฟลท์บินไกลๆ ไปครั้งละหลายวัน

แม้แต่วันที่พี่หนิงได้เป็นกัปตัน เชอร์รี่ต่างหากที่เป็นคนไปรับพี่หนิงลงจากไฟลท์สุดท้ายที่ตัดสินว่าพี่หนิงเทรนผ่านหรือไม่ มันควรจะเป็นฉันกับลูกมิใช่หรือที่ไปรอคอยเขาน่ะ


ไฟลท์สุดท้ายของการเทรน SV.ทั้งหกจะยกหน้าที่ให้ท่านใดท่านหนึ่งมาควบคุมบนเครื่อง และก่อนลงกรุงเทพจะมีการติดขีดสี่ขีดบนบ่าให้แก่กัปตันคนใหม่ รวมทั้งมอบหมวกใบใหม่ที่มีช่อชัยพฤกษ์ที่หน้าหมวก แตกต่างจากนักบินและลูกเรือคนอื่นๆ

ขีดที่บ่งบอกตำแหน่งบนบ่าจะมีสองแบบคือขีดเล็กและขีดใหญ่

ขีดเล็กคือลูกเรือ ขีดใหญ่คือนักบิน เห็นมั้ย นักบินเค้าใหญ่กว่าลูกเรือตั้งแต่ขีดบนบ่าแล้ว

พี่หนิงได้เป็นกัปตัน ฉันยังไม่รู้เลย จนคุณแม่เขาเดินมาบอกที่บ้าน

"รินรู้หรือยังว่าหนิงได้เป็นกัปตันแล้ว" คุณแม่เธอถามฉัน

"รินไม่ทราบเลยค่ะ พี่หนิงไม่มาบอก"

คุณแม่บ่นฉันว่าไม่สนใจสามี ปล่อยให้ไปอยู่ที่บ้านเธอ คุณแม่พี่หนิงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เรื่องเชอร์รี่ ฉันเลยไม่พูด

เอาไว้แก้แค้นทีเดียว ฉันคิด เริ่มฮึดสู้แล้ว
ขอบพระคุณทุกกำลังใจค่ะ ตอนนี้อาการดีขึ้นมากแล้ว ทั้งทานยาที่คุณหมอให้ ทานผลไม้(ยกเว้นเชอร์รี่ 55) ดื่มน้ำเยอะๆตามที่หลายท่านแนะนำ

กำลังใจจากท่านผู้อ่าน ทำให้ขยันเขียนมากขึ้นหลายเท่า

ท่านที่สงสัยว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่...ขอให้อ่านชื่อเรื่องอีกครั้งนะคะ

ขอบพระคุณมากที่สุด

.................แอร์กี่.......................



ตอนที่เก้า

ขณะที่ฉันกำลังหาทางแก้ปัญหาชีวิตด้วยความแค้นใจสามีตนเอง ฉันยังมีเรื่องต้องทำอีกมาก ทั้งไปบิน ทั้งดูแลน้องหนอนกับน้องรุ้ง น้องหนอนมีปัญหากับเพื่อนจนต้องย้ายห้องเรียน ย้ายไปก็ไปก่อปัญหาอีก จนน้องหนอนดังในทางลบตั้งแต่อยู่ ป.1 จนจบ ม.6

ไม่มีใครกล้าแหยมกับน้องหนอน ครูบาอาจารย์ส่ายหน้า ฉันมีหน้าที่วิ่งวุ่นแก้ปัญหา ซื้อของไปเซ่นคุณครู รวมกับตัวเองเคยเป็นเด็กประวัติดี ทำชื่อเสียงให้โรงเรียน ทำให้น้องหนอนอยู่ยงคงกระพันเป็นตำนานของโรงเรียนมาจนทุกวันนี้


โดย: birdchicago วันที่: 28 เมษายน 2550 เวลา:19:01:18 น.  

 
ฉันมาทราบจากนวลว่า พี่หนิม น้องสาวพี่หนิง คอยสอนให้น้องหนอนไม่ชอบฉัน เธอบอกเด็กว่าฉันเสแสร้งแกล้งทำ ไม่รักน้องหนอนจริง เอาใจไปอย่างนั้นเพื่อให้พ่อน้องหนอนดีใจ

ด้วยความเป็นเด็กที่เอาแต่ใจ และไม่ฟังเหตุผล ทำให้น้องหนอนดื้อกับฉันมากขึ้น ขณะเดียวกับที่น้องรุ้งโตขึ้นเรื่อยๆ หน้าตาสะสวยน่ารัก พากันไปไหนมีแต่คนชมน้องรุ้ง ยิ่งทำให้น้องหนอนกดดัน

เวลาแห่งการแก้แค้นของฉันยังไม่ได้เริ่ม มีเรื่องใหม่มาให้กลุ้มอีก

.....................ฉันท้อง...................

เพราะช่วงที่เรื่องกำลังคาราคาซัง ทะเลาะกันกับพี่หนิงนั้น บางคืนพี่หนิงแอบมาหาฉัน เรื่องมันเลยกลายเป็นว่าฉันเองลึกๆโหยหาอารมณ์พิศวาส จึงยอมมีอะไรกับพี่หนิงบ่อยๆ

มีเสร็จ โมโหตัวเองที่ยอมเขาทุกที บางทีคงเป็นเพราะฉันคิดว่าการที่พี่หนิงมานอนกับฉัน เป็นการง้อของเขา ฉันใจอ่อนตามเคย (กรุณาอย่าเอาเยี่ยงอย่าง)

มาถึงวันนี้ ฉันเข้าใจคนที่ทนอยู่กับสามีเลวๆแค่เพราะเรื่องอย่างว่า เรื่องสัญชาตญาณดิบของมนุษย์ที่แฝงอยู่ในตัวทุกคน แต่ละคู่จึงไม่เหมือนกัน เรื่องนั้นจะสำคัญตอนเราเป็นหนุ่มสาววัยเจริญพันธุ์ ฮอร์โมนทำงานพลุ่งพล่านเท่านั้น หากเราอดทนได้ มันจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ของชีวิตจนนิดเดียว

ท่านสุนทรภู่เคยเขียนไว่ในวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผนตอนนางพิมต่อว่าพลายแก้ว

"อดข้าวดอกนะเจ้าชีวิตวาย ไม่ตายดอกเพราะอดเสน่หา"

ถ้าฉันใจแข็งสักนิดตอนนั้น ไม่ยุ่งเกี่ยวกับพี่หนิง ตัดขาดไปเลย ฉันจะมีลูกเพียงคนเดียวคือน้องรุ้ง หากฟ้าคงประทานลูกอีกคนมาให้ฉัน มาอยู่เป็นเพื่อนฉันตราบจนวันนี้

ฉันไปลาท้องก่อนที่พี่หนิงจะรู้เสียอีก พอบอกเขา เขาว่า

"ดีแล้ว พี่ชอบมีลูกเยอะๆ บ้านเราใหญ่ น่าจะมีเด็กหลายๆคน"

พี่หนิงเป็นคนรักเด็ก รักลูก รักตามแบบฉบับของเขา คือเล่นกับเด็ก แหย่เด็ก แต่ไม่ช่วยอุ้มชูเลี้ยงดู เหมือนมีลูกไว้เล่นเพลินๆ

ท้องครั้งนั้นฉันลาหยุดอยู่บ้านเหมือนตอนท้องน้องรุ้ง ขับรถไปส่งน้องหนอนและน้องรุ้งที่โรงเรียนทุกวัน น้องรุ้งสี่ขวบกว่าแล้ว

พี่หนิงยังคงไปๆมาๆระหว่างบ้านคุณแม่เขา และบ้านเรา อย่างหนึ่งที่ต้องชมพี่หนิงคือ เขาเป็นคนขยันเหมือนคุณแม่เขา
เขาไม่เคยอยู่เฉย เขาจะหาอะไรทำเสมอ ขุดดินฟันหญ้า ปลูกต้นไม้ ทำบ่อเลี้ยงปลา เลี้ยงนก ไปเล่นเทนนิส พี่หนิงเล่นเก่งจนได้เป็นตัวแทนบริษัทไปแข่งระหว่างองค์กรอยู่หลายปี ถ้วยรางวัลเต็มบ้าน

ช่วงนั้น เชอร์รี่ไปกับพี่หนิงทุกที่ แข่งเทนนิสเธอไปเกาะริมคอร์ทเชียร์ จนใครๆจากบริษัทอื่นที่ไม่เคยรู้จักพี่หนิงนึกว่าเธอเป็นแฟนตัวจริงของพี่หนิง ส่วนคนในบริษัทเดียวกับพี่หนิงและฉันกลับผะอืดผะอม กลืนไม่เข้า คายไม่ออก ไปตามๆกัน

ตอนนี้ฉันทราบแล้วว่าพี่หนิงชอบให้ฉันท้องเพราะอะไร เพราะฉันจะได้มัววุ่นกับลูกๆจนไม่มีเวลาวุ่นกับเขา เขาคงไม่คิดจะเลิกรากับฉัน แต่คิดมีใหม่ไปเรื่อยๆมากกว่า

เรียกว่าพี่หนิงเป็นคนมักมากในกามคุณ เขาเคยบอกฉันว่า ถ้าไม่ได้ปลดปล่อยแค่วันเดียว เขาก็หงุดหงิดแล้ว ร่างกายพี่หนิงคงมีต่อมอะไรผิดปกติเป็นแน่แท้

เชอร์รี่เงียบไป ฉันไม่ได้ไปบิน ไม่ต้องไปเจอเศษกระดาษเขียนด่าใน BOX ไม่ต้องเสียอารมณ์เวลาเพื่อนร่วมงานเอ่ยถึงเรื่องราวของเราสามคน บางคนถามไปถึงพี่อร แม่น้องหนอน ถามถึงน้องหนอน ซักไซร้จนฉันจะบ้าตาย

ฉันโดนเม้าท์ทั้งจากคนที่ชอบและไม่ชอบ เพราะพี่หนิม น้องสาวพี่หนิง เอาฉันไปพูดไม่ดีต่างๆ เธอไม่ชอบหน้าฉันตั้งแต่ฉันยังไม่แต่งงานกับพี่หนิงด้วยซ้ำ เธอเคยว่าฉันว่าเป็นผู้หญิงไม่ดี อ่อยพี่ชายเธอ ท้องก่อนแต่ง จับพี่ชายเธอ เพราะบ้านเธอร่ำรวยมีฐานะ ฯลฯ

เธอไม่เคยเล่าว่า คุณแม่เธอทำอะไรกับสะใภ้คนนี้บ้าง ฉันเป็นคนไม่พูดเรื่องส่วนตัวให้ใครฟังมาก ยกเว้นคนที่คิดว่าไว้ใจได้ เพียงแต่คนที่ฉันคิดว่าไว้ใจได้ บางคนยังทำร้ายฉันด้วยคำพูดลับหลังเลย

เรื่องครอบครัวพี่หนิงทำอะไรกับฉัน ฉันไม่อยากเล่าให้เพื่อนร่วมงานรู้ แต่เมื่อทนอัดอั้นไม่ไหว ฉันจะโทร.ไประบายกับเพื่อนสนิทที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ ป.หนึ่งและจบจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน คณะเดียวกัน คุณพ่อคุณแม่เป็นเพื่อนกัน เพื่อนคนนี้ชื่อหยก

หยกบอกฉันว่า ครอบครัวนี้ใจดำ เธอสงสารฉัน อยากให้ฉันหย่าและกลับไปอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ ฉันเองที่โลเล ตัดสินใจไม่ได้ จนกระทั่งท้องขึ้นมาอีกครั้ง

(มีต่อค่ะ)
ฉันเคยเล่าแล้วว่าตอนท้องน้องรุ้ง ฉันชอบดูหนังมาก ถึงท้องที่สอง (ถ้านับที่แท้งไป นี่เป็นท้องที่สาม) ฉันเลยเปิดหนังดูเวลาว่าง น้องหนอนชอบดู INDIANA JONES มาก รบเร้าให้เปิดวันละหลายครั้ง ฉันเลยต้องเห็นหน้า พระเอกที่ชื่อ แฮริสัน ฟอร์ด ทั้งวัน

ผลพลอยได้ ที่จริงหรือเปล่าพิสูจน์ไม่ได้จากการดู INDIANA JONES ทั้งสามภาคทำให้ลูกชายฉันออกมาหน้าตาเหมือนลูกฝรั่งเลย

คุณหมอที่ทำคลอดมาบอกว่า ลูกชายฉันหล่อสุดในห้องพักเด็กแรกคลอด ใครๆมาดูกันใหญ่

คุณพ่อคุณแม่มาเยี่ยมฉันที่โรงพยาบาล คุณแม่บอกหลานชายน่ารักเหลือเชื่อ หน้าตาดีกว่าน้องรุ้งอีก ฉันเองยังไม่เห็นหน้าลูกชาย ฉันลุกไม่ไหวเนื่องจากผ่าตัดคลอด และที่โรงพยาบาลที่ฉันไปคลอดนั้น จะไม่อนุญาตให้นำเด็กออกมาจากห้องพักเด็กเลย เป็นนโยบายป้องกันการติดเชื้อ รวมทั้งรักษาความปลอดภัยไปพร้อมกัน

นวลพาน้องรุ้งและน้องหนอนไปดูน้อง น้องรุ้งกลับมาบอกแม่ว่า

"แม่ขา น้องน่ารักจัง หนูจะตั้งชื่อน้องเอง"

ส่วนน้องหนอนบอก

"หยี เด็กอะไร น่าเกลียดออก"

ฉันไม่ถือสาน้องหนอนหรอก รู้นิสัยกันอยู่ แต่จริงๆแล้วการที่ฉันปล่อยน้องหนอนตามความพอใจของเธอมากไปไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับน้องหนอนเลย เพราะเมื่อเธอโตขึ้น เธอเป็นคนที่มองโลกในแง่ร้าย มองคนอื่นในแง่ร้าย ทำให้อยู่ในสังคมได้ยาก นิสัยเธอถอดแบบมาจากพี่หนิงกับพี่หนิมโดยแท้

ฉันกอดน้องรุ้งและน้องหนอน ถามว่า

"ให้น้องชื่ออะไรดีคะลูก"

"หนูอยากให้น้องชื่อ ก้อนเมฆ ค่ะแม่ น้องตัวขาวเหมือนก้อนเมฆเลย"

อืมม ช่างคิดจังลูกเรา ก้อนเมฆอยู่บนฟ้ากับสายรุ้ง ฉันจึงให้ลูกชายชื่อก้อนเมฆเสียเลย ต่อมาเรียกสั้นๆว่า"น้องเมฆ" มีน้องรุ้งคนเดียวที่ยังคงเรียกน้องชายว่า ก้อนเมฆ ทำเอาน้องชายอายต่อหน้าเพื่อนหลายครั้ง

แล้วชื่อ ก้อนเมฆ นี่มันตลกเหรอ ฉันว่าน่ารักดีออก

คุณพ่อคุณแม่พี่หนิงปลาบปลื้มมากที่ได้หลานชาย คุณแม่พี่หนิงถึงกับเอาทองมาให้หลานหนึ่งเส้น หนักหนึ่งบาท เคยบอกแล้วว่าเธอมีทองอัดแน่นเต็มเซฟ แต่ไม่เคยให้ใคร ที่ตัดใจมาให้น้องเมฆคงเป็นเพราะเธอและคุณพ่อพี่หนิงปลื้มที่มีหลายชายสืบสกุล ก็พี่หนิงเป็นลูกชายคนเดียว ทั้งพี่สาวและน้องสาวพี่หนิงมีแต่ลูกสาวกันหมด พี่หน่อยมีลูกสาวหนึ่งคน พี่หนิมมีลูกสาวสองคน และทั้งคู่มีสามีที่ยอมยกอำนาจให้ภรรยาโดยสิ้นเชิง

เห็นไหมที่เคยบอกว่าบ้านพี่หนิงน่ะ ผู้หญิงทุกคน(ยกเว้นฉัน)เป็นใหญ่ คุณแม่เค้าเทรนกันมาเยี่ยมมาก

ฉันพาลูกชายกลับบ้าน รำลึกว่าเรามีลูกสองคนแล้ว ไหนจะน้องหนอนอีก ปล่อยพี่หนิงไป เดี๋ยวคงคิดได้เอง รวมกับฉันเห็นผู้ชายรอบด้านมีบ้านเล็กบ้านน้อย ไม่เห็นเมียหลวงจะถือสาหาความ


ฉันพักหลังคลอดอยู่บ้าน ลูกชายเหมือนเด็กลูกครึ่งฝรั่งจริงๆด้วย หน้าตาคล้ายน้องรุ้ง แต่ขาวกว่า ออกฝรั่งมากกว่า นี่พ่อ แฮริสัน ฟอร์ด ทำพิษซะแล้ว

ไม่ใช่อะไรหรอก คุณปู่ฉันต่างหากที่เป็นฝรั่ง คุณพ่อเป็นลูกครึ่ง ฉันเป็นลูกเสี้ยว (คือมีความเป็นฝรั่งอยู่ยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์)

ตามกฎพันธุกรรม เชื้อสายในตัวของเราถ่ายทอดไปได้จนถึงหลานเหลนโหลน แต่ไม่ใช่ทุกคนจะได้รับเท่ากัน น้องเมฆจึงได้พันธุกรรมตะวันตกมามากกว่าน้องรุ้ง

วันหนึ่งฉันกำลังออกกำลังกาย เพื่อจะลดน้ำหนักหลังคลอด โทรศัพท์ดัง ฉันรับสาย

"ฮัลโหล"

"จะเอาลูกมาเรียกผัวกลับบ้านเหรอ e dok ยังไงผัว mung ก็ไม่กลับ e-n-a-d-a-n....(เซ็นเซ่อร์)" เสียงเชอร์รี่ ฉันจำได้ ลืมเล่าไปว่า ก่อนที่ฉันจะไปคลอด เธอเคยโทร.มาครั้งหนึ่ง พอฉันรับ เธอพูดฉอดๆใส่ว่า

" e.....(หยาบมาก ขอเซ็นเซอร์) ขอให้ลูกเมริงตาย ขอให้ลูกเมริงไม่มีหัว..."

(ตอนนั้นโกรธมาก เล่าให้พี่หนิงฟัง พี่หนิงบอกเหมือนเคยว่ามันแค้นที่พี่ไม่เอามัน------->โกหกตามสไตล์เขาล่ะ)

ฉันรีบวางหู โมโหจัง ยัยนี่มันจะเอาไง อุตส่าห์ปล่อยแล้วนะ แต่นี่มันนานไปแล้ว พี่หนิงน่าจะเลิกกับมันไปแล้วนี่นา ทำไมราวีอยู่ได้ ฉันน่าจะเป็นฝ่ายตามด่ามากกว่านะเนี่ย นี่อะไร เมียน้อยตามด่าเมียหลวงไม่ลดละ

ฉันว่าเชอร์รี่นี่หล่อนไม่ธรรมดา มีพรสวรรค์ในหการจัดจังหวะโจมตี และแย่งสามีคนอื่นไปได้ในท้ายสุด

น่าชื่นชมเธอในความใจเย็น และอดทนรอคอย รวมทั้งวางแผนเก่งเสียเหลือเกิน ถ้าใครคิดจะวางแผนชั่วร้ายให้ประสบความสำเร็จควรไปปรึกษาเชอร์รี่ได้ รับรองเห็นผลล้านเปอร์เซ็นต์ (รับประกันโดยแอร์กี่5555)

เชอร์รี่โทรศัพท์มาสามเวลาหลังอาหาร บางทีแถมมื้อดึกด้วย แต่เธอไม่เคยโทร.มาตอนพี่หนิงอยู่บ้านเลย


พี่หนิงเห่อลูกชาย แต่เขายังคงสโลแกนเดิม ทำตัวเหมือนเดิม เวลาฉันพูดเรื่องเชอร์รี่ เขาจะบอกว่า

"รู้ว่าเป็นมันโทร.มาก็วางหูสิ ไปฟังมันทำไม ไร้สาระ"

เสริมอีกว่า

"มันก้บอกพี่ว่ารินโทร.ไปด่ามันทั้งวัน"

อ้าว ยัยนี่ น่าจะเปลี่ยนชื่อจากเชอรี่เป็นรี่อย่างอื่น ฉันเถียงพี่หนิงไปว่า

"พี่หนิงเชื่อเค้าเหรอว่ารินทำแบบนั้น พี่หนิงมีมากี่คน รินไม่เคยไปยุ่งด้วยสักที เบอร์เค้า รินยังไม่รู้เลย"

"เอาน่า ริน ลูกสองแล้วนะ ยังมาหึงมาหวง พี่ไม่ไปไหนหรอก บอกให้อยู่เฉยๆแล้วดีเอง"

ฉันกลับไปบินใหม่ ด้วยความอาลัยอาวรณ์ลูกๆ ไฟลท์แรกที่ได้คือ กรุงเทพ-โตเกียว-ซีแอ๊ตเติ้ล-ดัลลัส (BANGKOK-TOKYO-SEATTLE-DALLAS) รวมสิบสี่วัน
(ปัจจุบันเส้นทางบินสายนี้ปิดไปแล้ว)

นั่นคือเราจะบินไปพักที่โตเกียวก่อนสองถึงสามวัน แล้วรับเครื่องที่มาจากรุงเทพต่อไปซีแอ๊ตเติ้ล พักที่ซีแอ๊ตเติ้ล รอรับเครื่องที่มาจากโตเกียวเพื่อบินไปดัลลัส ค้างคืนที่ดัลลัส บินกลับซีแอ๊ตเติ้ล พักที่ซีแอ๊ตเติ้ลอีก แลวบินกลับไปพักที่โตเกียว กว่าจะกลับกรุงเทพจึงนานมาก

ที่โตเกียวนั่นเอง ที่ฉันได้เจอพี่อินอีกครั้งหลังจากไม่เจอมาห้าปี

(มีต่อเร็วๆนี้ค่ะ)

ชีวิตรันทด...เรื่องจริงผ่านคอมพ์ ตอนที่สิบ (พี่แอร์กี่ฝากโพสต์ค่ะ)
ตอนนี้สงสัยหล่ะซี้ว่าทำไมรินไม่เจอกับพี่อินตั้งห้าปี แล้วจะมีรักรีเทิร์นมั้ย

ติดตามได้ในตอนที่สิบข้างล่างนี้เลยค่ะ
|
|
|
|

|
v


โดย: birdchicago วันที่: 28 เมษายน 2550 เวลา:19:02:04 น.  

 
ตอนที่สิบ


ถ้าจะถามความในใจลึกๆว่าคิดถึงพี่อินบ้างไหม คิดถึงแบบไหน ฉันคาดว่าผู้หญิงหลายคนเป็นแบบฉัน ฉันนึกถึงพี่อินในบางครั้งที่ว่างจริงๆ หรือเห็นอะไรบางอย่างที่ทำให้นึกถึงเขา แต่ไม่ใช่ว่าจะคิดถึงเขามากมายจนทนไม่ไหวอะไรแบบนั้น ฉันมีหน้าที่แม่และเมีย(หลวง)ที่หนักหนาพออยู่แล้ว ไม่อยากจะมามัวฝันเพ้อแบบเด็กสาวๆต่อไป ทั้งที่บางทีอดไม่ได้ที่จะแว้บๆบ้าง แต่ผู้หญิงเราทำได้แค่นั้น คนดีๆที่มีสติคงไม่ลุกขึ้นมาตามล่าหารักที่ผ่านพ้นไป แถมต้องห้ามคืนมาหรอก

แค่แอบคิดถึงวันคืนหวานๆกับพี่อิน แล้วบอกตัวเองว่าดีออก เก็บไว้ในความทรงจำ ไว้คิดถึงแบบใจยิ้มๆ ยามโลกแห่งความเป็นจริงมันไม่ค่อยจะชวนยิ้มนัก โดยเฉพาะเวลาไปบินแล้วต้องเจอโน้ตใส่เศษกระดาษจากเชอร์รี่ ประณามหยามเหยียดว่าฉันเป็นเมียหลวงที่โง่เง่าเสียนี่กระไร เจอโน้ตจากหล่อนบ่อยจนบางวันลุ้นว่าวันนี้หล่อนจะเอาข้อมูลอะไรนักหนามาส่งการบ้านฉันอีก บางวันอารมณ์ดีมาก ลุ้นว่าหล่อนจะใช้กระดาษสวยๆมั่งมั้ยเนี่ย คนอารั้ย ไร้รสนิยมมาก ใช้แต่เศษกระดาษเขียนอยู่นั่นแล้ว ฉันเก็บเศษกระดาษจากหล่อนไว้ได้เยอะแยะ อันเป็นผลดีต่อฉันในภายหลัง

ไม่เช็ค BOX ไม่ได้อีก เดี๋ยวตกข่าวที่บริษัทส่งมาให้ อัพเดทความรู้ไม่ทัน พาลโดนว่าไม่ศึกษามา แย่เลย เดี๋ยวมีไวน์ใหม่ ของแจกใหม่ เดี๋ยวมีอาหารแปลกๆ ต้องพร้อมจะรับรู้และซึมซับข้อมูลตลอดเวลาเพื่อเก็บไว้สอบเลื่อนขั้นต่อไป

เข้าเรื่องว่าฉันเจอพี่อินที่โตเกียวตรงไหน อย่างไร

อันที่จริงต้องพูดว่าฉันเจอพี่อินที่นาริตะมากกว่า สนามบินที่โตเกียวจะอยู่ชานเมือง เรียกกันว่าสนามบินนาริตะ สถานที่ตั้งสนามบินคือเมืองนาริตะ ไกลจากตัวเมืองโตเกียวมากพอดู ขับรถประมาณชั่วโมงกว่าขึ้น (แล้วแต่ประสิทธิภาพของรถ)

มีต่อค่ะ
สายการบินส่วนใหญ่จึงให้ลูกเรือพักที่โรงแรมใกล้ๆสนามบิน เพื่อความสะดวนการเดินทาง ไม่ต้องเหนื่อยนั่งรถนาน พร้อมกับเป็นการช่วยเหลือบริษัทประหยัดงบ เนื่องจากโรงแรมในโตเกียวแพงมาก

ระหว่างทางจากสนามบินไปโรงแรม พวกเราพากันมองแต่สองข้างทาง ทุกปากจะมีคำว่า ..สวยจังๆๆ.. ปนอยู่ในคำพูด (อยู่ญี่ปุ่น พูดอะไรมีคำว่า "จัง" มันฟังดูเข้าบรรยากาศญี่ปุ่นดี สวยจัง อิ่มจัง อยากได้จัง เบื่อจัง รักจัง...เป็นอาทิ)

ช่วงนั้นดอกซาkuระบานสวยงาม สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นซาkuระ สดใสไปทั่วรัศมีสายตา สีชมพูทุกเฉดคละเคล้าปะปนกัน เป็นโชคดีที่ได้บินญี่ปุ่นแล้วเห็นซาkuระบาน ในปีหนึ่ง ซาkuระจะบานอยู่ประมาณสองสัปดาห์เท่านั้นเอง

พวกเราเช็คอินเข้าโรงแรม นัดกันว่าจะ "ฮานามิ"กัน แถวๆโรงแรมพรุ่งนี้เย็น วันนี้ตัวใครตัวมันก่อน จะค่ำแล้วไปไหนลำบาก แค่นั่งรถบัสของโรงแรมไปหาอะไรทานแถวสถานีรถไฟเท่านั้นพอ

"ฮานามิ" ไม่ใช่ข้าวเกรียบ แต่มาจากชื่อเทศกาล โอฮานามิ (OHANAMI) หรือเทศกาลชมดอกไม้ของญี่ปุ่น จะเริ่มต้นตั้งแต่ดอกซาkuระเริ่มบาน ไปจนกระทั่งดอกซาkuระร่วงหล่นหมดไป ชาวญี่ปุ่นเชื่อกันว่าเมื่อดอกซากุระบาน พวกเขาจะต้องนำสาเกและปลาไปถวายเทพเจ้าซากามิ หรือเทพเจ้าแห่งภูเขา เพื่อให้พืชพันธุ์ธัญญาหารเจริญเติบโตงอกงาม จึงเป็นประเพณีชมดอกไม้สืบทอดกันมา

แล้วสุดท้ายคนถวายเครื่องบูชากลับนำเอาเครื่องบูชามาดื่มกินกันเอง เหมือนชาวจีนไหว้เจ้า ชาวไทยแก้บน เสร็จแล้วเอาอาหารมารับประทานกัน ถือว่าเหลือจากเทพแล้วเสียดาย มาทานกันเองดีกว่าปล่อยให้เสียไป ของออกจะแพง มาถึงยุคหลังๆ การณ์กลับเป็นว่าหนุ่มสาวญี่ปุ่นพากันจับจองที่ใต้ต้นซาkuระเพื่อปิกนิกตอนเย็น เฮฮาดื่มเหล้าดื่มเบียร์ พร้อมนำอาหารกล่องมาแบ่งกันทาน หลายคู่ตกลงปลงใจกันใต้ต้นซาkuระนั่นเอง ( ตกลงเป็นแฟนกั๊น อย่าคิดลึก)

ฉันเข้าห้อง อาบน้ำไม่ทัน ได้แค่เปลี่ยนเสื้อผ้า ขืนมัวอาบน้ำต้องไม่ทันรถไปสถานีรถไฟแน่นอน ฉันเปิดประตุห้องออกมา ภาพที่เห็นคือ...ช่อดอกซาkuระวางอยู่หน้าห้องสามช่อ สวยสดราวกับเพิ่งเด็ดออกมาจากต้น ฉันหยิบขึ้นมาดู ยกขึ้นมาดม หอมเป็นบางช่อแฮะ ดมอีก เออแปลก ทำไมดอกซากุระกลิ่นมันไม่เหมือนกัน มาทราบภายหลังจากคนให้ว่า ดอกไม้สามช่อนั้นคือ ซาkuระ ดอกท้อ และดอกบ๊วย มองเผินๆ ดูคล้ายกันมาก หากเมื่อลงไปในรายละเอียดจะเห็นความแตกต่าง ดอกไม้ปล..ทราบแล้วค่ะ ว่าติด ที่คำว่า ซาkuระนี่เองค่ะ..ต่อค่ะ
--------------------------------------------------------

จำได้ไหม ฉันเคยเล่าที่พี่อินบอกว่าเวลาเขาคิดถึงฉัน เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องบนเตียงเลย

ฉันยกมือไหว้พี่อิน ยิ้มหน้าบานของเขาทำเอาฉันรีบยิ้มรับแทบไม่ทัน พี่อินคนเดิม แต่..มีอะไรบางอย่างดูแปลกไป

พี่อินตัดผมสั้น สั้นมากจนแทบจะเป็นสกินเฮด ทำไมต้องตัดผมสั้นขนาดนั้นด้วย

"ดูรินมองพี่เข้า ทำหน้าสงสัยอะไรจ๊ะ ดีใจจังที่ได้เจอรินอีก ไม่เจอกันนานเลยนะ"

"แล้วพี่อินไปบินไหนมา ทำไมรินไม่เจอพี่เลย "

ฉันคงทำหน้าบอกไม่ถูกอยู่อย่างนั้น มันบอกไม่ถูกจริงๆนี่ ไม่รู้จะวางตัวแบบไหน ไม่รู้จะพูดอะไรดี ไม่รู้ไปหมด

พี่อินเล่าว่า หลังจากที่เขาไม่ผ่านการ EVALUATE ถึงสองครั้ง เขาจึงท้อใจ ลาออกไปทำงานที่สายการบินประเทศเพื่อนบ้านที่โด่งดังเป็นเยี่ยมทางด้านบริการเป็นเลิศ รับตำแหน่งกัปตันหลังผ่านการทดสอบฝีมือในการบินแล้ว เงินเดือนสูงกว่าที่บริษัทเรา แต่ต้องไปอยู่ที่ประเทศนั้น เขาเลยพาภรรยากับลูกไปอยู่ด้วยกัน ทั้งครอบครัวเขามีความสุขกันดี

พี่อินบอกว่าเห็นฉันตั้งแต่เข้ามาเช็คอิน หากเขาไม่อยากเข้าไปทัก เกรงผู้คนจะครหานินทา แต่อดไม่ได้ ต้องลงไปในสวนของโรงแรม แล้วเก็บดอกไม้มาให้ฉัน เพื่อแสดงว่า...

"พี่ไม่เคยลืมรินเลยนะครับ"

เพียงคำพูดเท่านั้น แต่ทำไมสะเทือนใจฉันนักหนา ฉันคุยกับพี่อินต่อไปเรื่อยๆจนเลยเวลาขึ้นรถบัสไปสถานีรถไฟนาริตะ ช่างมัน ไม่ไปสถานีรถไฟแล้ว เดี๋ยวรถบัสออก เพื่อนร่วมงานไม่เห็นฉันคงทราบเองว่าฉันเปลี่ยนใจไม่ไป

พี่อินพาฉันเดินออกทางด้านหลังของโรงแรมไปที่ร้านอาหารเล็กๆขายแต่อาหารจำพวกปลา ที่นั่นฉันทานได้ทานปลาย่างซีอิ๊วที่อร่อยที่สุดในโลก พี่อินทานปลาดิบ เขาชวนฉันให้ทาน แต่ฉันไม่ชอบปลาดิบสักนิด ฉันทานอาหารที่ไม่ปรุงสุกไม่ได้ เราเลยทานกันคนละอย่าง ไม่มีลูกเรือคนไหนมาที่ร้านนี้อาจจะเพราะเป็นร้านเดียวตั้งอยู่โดดๆ ไม่สนุกเหมือนนั่งรถบัสไปที่สถานีรถไฟ ที่นั่นร้านอาหารมีให้เลือกมาก มีซุปเปอร์มาร์เก็ต มีร้านขายของน่ารัก และยังเดินไปห้างสรรพสินค้าจัสโก้ได้ด้วย บางคนอยากไปเที่ยวกลางคืนในโตกียว ไปช้อปปิ้งที่ฮาราจูกุ แหล่งรวมแฟชั่นก็สามารถขึ้นรถไฟไปได้เลย

ดีแล้วที่ไม่เจอคนอื่น ขี้เกียจโดนนินทา พี่อินมาถึงนาริตะวันวันเดียวกับฉัน จะอยู่สามคืนแล้วบินไปลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา ขากลับมาแวะที่นาริตะอีก

"พี่จะไปแอลเอ รินไปซีแอ๊ตเติ้ล แล้วเราจะได้กลับมาเจอกันอีก.."

"ริน สบายดีจริงป่าวครับ ลูกๆเป็นไงบ้าง สงสัยหน้าตาดี พ่อก็หล่อ แม่ก็สวย”

พี่อินทราบข่าวฉันตลอดจากเพื่อนนักบินคนหนึ่ง เขาบอกว่าเขาห่วงฉันมากเพราะ...

"หนิงรอบจัด คนอย่างรินไม่ทันเค้าหรอก"

สุดท้ายฉันเผลอเล่าเรื่องลูกไก่และเชอร์รี่ไปจนได้

เล่าไปเล่ามาเลยพาลร้องไห้ ตอนนั้นเราเดินกันอยู่ในสวนดอกไม้ของโรงแรม ต้นไม้ใหญ่น้อยเต็มไปด้วยดอกไม้ ชวนให้นึกถึงคราวที่ไปนูเมียกับพี่อิน ยิ่งร้องหนักขึ้น มันเศร้านี่

พี่อินหยิบผ้าเช็ดหน้าลายทางสีหม่นออกมาจากกระเป๋ากางเกง ส่งให้ฉัน

"รินจ๋า อย่าร้องไห้ แล้วนี่พี่จะช่วยรินได้ยังไงดี เฮ้ออออ กลุ้ม..กลุ้ม...กลุ้ม..."

ฉันรับผ้าเช็ดหน้ามาจากพี่อิน ซับน้ำตาเอง คงไม่ค่อยดีถ้าจะให้พี่อินมาซับน้ำตาให้แบบในหนัง ฉันเตือนตัวเองให้นึกถึงลูกรุ้งกับลูกเมฆตลอด

ลูกเป็นความรักที่มีความหมายกับฉัน มากกว่าความรักอื่นใด ลูกเปรียบเสมือนเนวิเกเตอร์ชี้ทางทุกครั้งที่ฉันจะเดินไปในทางผิดๆ

พี่อินเปลี่ยนเรื่องคุยจากเรื่องของฉันเป็นเรื่องอื่น

"รินดูสิครับ ว่าต้นนี้ต้นอะไร ทายซิ"

"พี่อินจะมาแกล้งอะไรริน รินกำลังเศร้านะคะ นี่มันต้นซาkuระเห็นๆ ถามมาได้ไงคะเนี่ย""รินดูดีๆ กลีบดอกมันบางกว่าซาkuระ สีก็แดงกว่า หอมด้วย ดมสิครับ พี่บอกตั้งแต่แรกที่เจอรินวันนี้แล้วว่ามันดอกอะไรเอ่ย.."

ตอนท้ายพี่อินทำเสียงล้อๆราวกับล้อเด็ก

ฉันสบตาเขา นึกขึ้นได้ "ดอกเหมยๆ ใช่มั้ยคะพี่อิน"

"ใครบอก ดอกบ๊วยตาหาก" พี่อินทำหน้าทะเล้น

"โอย พี่อินอำรินอีกแล้ว ซากุระ ดอกเหมย ดอกบ๊วย รินงงแล้วนะ"

"เห็นมั้ย รินหยุดร้องไห้แล้ว พี่เห็นรินร้องไห้แล้วใจไม่ดี หัวใจจะวายตาย"

" พี่อินนี่น้า พูดเอาๆ แล้วตกลงดอกไม้นี่มันดอกอะไรกันแน่คะ อธิบายมาด่วน " ฉันเริ่มหายเศร้า ขำพี่อินที่พยายามเปลี่ยนอารมณ์ฉันได้สำเร็จ
แก้ไขเมื่อ 20 ส.ค. 49 01:53:51

จากคุณ : แทนพี่แอร์กี่ค่ะ (noomint) - [ 20 ส.ค. 49 01:26:30 ]พี่อินเป็นคนชอบต้นไม้ เป็นข้อหนึ่งที่เหมือนพี่หนิง เขาอธิบายให้ฉันฟังว่าที่แท้ดอกบ๊วยคือดอกเหมยที่คนจีนเรียก มีทั้งแบบมีผลทานได้และไม่มีผล คนญี่ปุ่นเรียกว่า UME เป็นดอกไม้ชนิดแรกที่บานในฤดูใบไม้ผลิ โดยจะเริ่มบานตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม มีช่วงที่บานนานถึงเดือนเมษายน จะค่อยๆบาน ค่อยๆร่วง กลีบดอกหนากว่าซาkuระ และหอมมาก เป็นสัญญลักษณ์แห่งความโชคดี มีอายุยืนยาว มีความอ่อนเยาว์ยืนยง เป็นดอกไม้แห่งความหวัง

ฉันเลยติดใจดอกเหมยเหรือดอกบ๊วยเข้าให้ในวันนั้นเอง ต่อมาทุกครั้งที่เห็นถุงบ๊วยต่างๆมีรูปดอกบ๊วย ฉันจะนึกถึงดอกบ๊วยจริงๆที่ฉันเห็นที่นาริตะเสมอ และจะคอยบอกใครๆว่า

"รู้ป่าว ดอกบ๊วยนี่นะมันคือดอกเหมยจ้า" แล้วบรรยายคุณสมบัติของดอกเหมยพ่วงเข้าไปอีก

กลับถึงโรงแรมค่ำมาก อากาศเริ่มเย็น เราเดินเกือบถึงตัวโรงแรมแล้ว พี่อินหันมาหาฉัน ประคองหน้าของฉันไว้ แล้วจูบฉันที่หน้าผาก

"พรุ่งนี้ไปวัดนาริตะซังกันมั้ยครับริน ใกล้ๆนี่เอง พี่อยากพารินไปไหว้พระ รินจะได้มีความสุข รินเคยไปแล้วยังครับ"

"ยังค่ะ ไปค่ะ"

เรานัดพบกันตอนเช้าที่ประตูหลังสวนในโรงแรม พี่อินบอกว่าไม่อยากให้ใครเห็นเราสองคน เขาไม่อยากให้ใครมาเข้าใจผิด

ฉันแยกกับพี่อินตรงนั้น เขาบอกให้ฉันเข้าโรงแรมไปก่อน เข้าไปถึงล็อบบี้ เจอพี่จี๊ด (แอร์คนที่เคยไปตะวันออกกลางกับพี่อินและฉัน)นั่งคุยอยู่กับน้องบิว (เจ้าของชื่อบอกว่าย่อมาจาก BEAUTIFUL) สจ๊วตสาวที่สวยเหมือนผู้หญิงจริงๆ นอกเครื่องแบบแล้วบิวแต่งตัวสวย สวมกางเกงขายาวเข้ารูป กับเชิร้ตตัวสั้น รวบชายเสื้อมาผูกเป็นโบว์ไว้เหนือเอวนิดหน่อย ศีรษะมีผ้าโพกผมพันไว้อย่างเก๋ ชวนมอง คนที่ไม่รู้จักบิว ต้องคิดว่าบิวเป็นหญิงแท้แน่นอน

บิวลุกขึ้นยืน เดินเข้ามาหาฉันทันทีที่ก้าวเข้าไปถึงล็อบบี้ กระซิบกระซาบว่า

“ใครน่ะ พี่ริน บิวไม่ได้อยากแอบดูนะ มันเห็นเอง”

ตายหละ มีคนเห็น แล้วเรื่องแบบนี้จะลอดหูลอดตาขาเม้าท์ไปได้อย่างไรกันบิวทำเสียงเล็กเสียงน้อย แล้วการสอบถามเรื่องฉันกับพี่อินก็หวนกลับมาอีก ฉันบอกพี่จี๊ดกับบิวไปว่า พี่อินกับฉันบังเอิญมาพบกันจริงๆ แล้วชวนทั้งสองคนให้ไปวัดด้วยกันในวันรุ่งขึ้น



“ไหนๆก็ไหนๆ แล้ว พรุ่งนี้เราไปวัดด้วยกันเลยดีมั้ย จะได้เห็นกันไปว่า แบตเก่าที่พี่จี๊ดว่ามามันหมดอายุไปนานแล้ว ไปดูให้เห็นกับตา จะได้เป็นพยานให้รินได้ ถ้าเกิดพี่หนิงรู้ขึ้นมา”

“พี่รินกลัวพี่หนิงด้วยเหรอฮ้า บิวว่าพี่หนิงน่าจะกลัวพี่ริน เอ๊ย เกรงใจพี่รินมากกว่าน้า พี่หนิงออกจะเจ้าชู้ขนาดนั้น คนเจ้าชู้น่ะ กลัวเมีย แต่แหม เมียอย่างพี่ริน น่ากลัวตาย พี่รินต้องเล่นบทโหดๆมั่ง เอาป่ะ เดี๋ยวบิวเทรนให้ บทนางร้ายเหนือนางร้าย บิวเชี่ยวนะ ขอบอกๆ”

บิวเจื้อยแจ้วไปได้เรื่อย มองเธอแล้วเพลินจริงๆ หน้าเล็กๆ สวยงาม ผิวเนียนละเอียด พระเจ้าคงใส่เพศให้บิวผิดเป็นแน่

เปลี่ยนเรื่องคุยกันไปเรื่องนั้นเรื่องนี้ พี่จี๊ดกับบิวน่ารักมากตรงที่ไม่ถามฉันเรื่องพี่หนิงกับเชอร์รี่เลย

สองคนตกลงไปด้วย เช้าไปวัด บ่ายช้อปปิ้ง เย็นไปฮานามิ

“บิวอย่าแต่งตัวเซ็กส์ซี่มากนักล่ะ พรุ่งนี้ไปวัด เอาเรียบร้อยหน่อย เดี๋ยวพระท่านเห็นบิวแล้วเกิดซู่ซ่าขึ้นมามันจะไม่ดีนะ บาปรู้มั้ย”

พี่จี๊ดสั่งสอนบิว มาคราวนี้พี่จี๊ดดูธรรมะธรรโมขึ้น ไม่เหมือนครั้งแรกที่ไปตะวันออกกลางด้วยกัน เธอนินทาภรรยาพี่อิน แถมยุให้ฉันแย่งพี่อินเอาเสียด้วย

คืนนั้น พี่อินไม่ได้โทร.มาที่ห้องฉัน ไม่มีบทโรแม้นซ์อะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น แล้วแบบนี้จะไม่ให้ใจฉันยิ้มเวลานึกถึงพี่อินได้อย่างไร

วันรุ่งขึ้น เมื่อเจอพี่อินตามนัด ฉันบอกพี่อินว่า ฉันชวนพี่จี๊ดกับบิวไปด้วยเพื่อกันข้อครหา พี่อินไม่ว่าอะไร

พี่จี๊ดลงมาก่อนบิว ทักทายพี่อินอย่างคนรู้จักคุ้นเคยกันมาก่อน บิวลงมาช้าสุด มาถึงรีบยกมือไหว้กราด

“บิวขอโทษนะฮะที่มาช้า บิวมัวหาชุดเรียบร้อยอยู่ โอย กว่าจะครีเอทได้ ดูสิฮ้าพี่จี๊ด ชุดนี้เป็นไง หวานแหววมั้ย”



บิวหมุนตัวไปมา ฉันเพิ่งสังเกตว่าบิวมีหน้าอกด้วย เธอสวยเหมือนผู้หญิงจริงๆ
ความสวยของบิวเป็นที่ยอมรับกันในหมู่ลูกเรือว่าฟ้าส่งเธอมาเกิดผิดแท้ๆ

บิวสวมเสื้อเชิ้ร์ตแขนยาวสีขาวจุดดำ สอดชายเสื้อไว้ในกางเกงขายาวสีดำ คล้องเอวไว้หลวมๆด้วยสายไข่มุกเม็ดใหญ่น้อยร้อยแบบพันกันไว้ สวมรองเท้าคัทชูสีดำประดับริบบิ้นเล็กๆ โพกผมด้วยแพรสีขาว

หลังจากชมเชยความสวยแบบเชียร์กันเองของแต่ละคนแล้ว เราทั้งสี่ออกเดินทางไปวัดนาริตะซัง


เหตุการณ์วันนั้นเป็นเรื่องที่ฉันลืมไม่ลงอีกเรื่องหนึ่งในชีวิต

---------------------------------
จบ ตอนที่พี่แอร์กี่ส่งมาแล้วค่ะ
ชีวิตรันทด...เรื่องจริงผ่านคอมพ์ ตอนที่สิบเอ็ด
(อ่านตอนนี้แล้ว อย่าเพิ่งเกลียดรินนะคะ...ผิดไปแล้ว...)


ตอนที่สิบเอ็ด

วัดนาริตะซังอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟมากนัก วัดอันแสนสวยงามนี้สร้างขึ้นประมาณหนึ่งพันกว่าปีมาแล้ว บริเวณวัดประกอบด้วยวิหารหลายหลัง งดงามแบบญี่ปุ่นโบราณ ฉันชอบดูงานศิลปะที่คนสมัยก่อนสร้างไว้ ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรม หรือศิลปกรรมแขนงอื่นล้วนมีความงดงามอยู่ในตัว การที่ฉันได้เป็นแอร์นับเป็นโอกาสดียิ่งที่ฉันได้เห็นผลงานศิลปะหลากหลายทั่วโลก ไว้เล่าตอนหลังดีกว่า(ถ้าไม่ลืม)ว่าที่ไหนมีอะไรน่าชมบ้าง

พี่อินดูแลเราสามสาวอย่างดี ขอเรียกบิวรวมในหมู่สาวด้วย ไม่มีใครมองออกว่าบิวเป็นผู้ชาย แม้แต่เสียงของเธอก็ยังไม่ห้าว พูดออกมาเหมือนผู้หญิง แล้วแบบนี้จะไม่ให้เรียกว่าพระเจ้าติดเพศให้บิวผิดได้อย่างไร

วัดนาริตะซังเป็นวัดที่บูชาเทพเจ้าแห่งไฟ มีเทวรูปของเทพเจ้าองค์นี้ที่มีนามว่า “ฟุโดเมียวโอ” ให้สักการะ ชาวญี่ปุ่นนิยมมาทำบุญที่วัดนี้กันมาก พี่อินเล่าว่าเขามานาริตะทีไร ต้องแวะเวียนมาไหว้ขอพรจากเทพเจ้าเสมอ พี่อินแอบกระซิบทีเล่นทีจริงกับฉันว่า

“พี่มาขอเทพเจ้าแห่งไฟให้ช่วยดับไฟให้พี่ที ห้าปีกว่าแล้วพี่ยังทำใจไม่ได้เรื่องริน ..ไฟรักรินมันสุมอก...เว่อร์เนอะครับริน อย่าถือพี่นะ พี่ไม่ควรพูดจาแบบนี้กับรินอีกแล้ว”

“ไม่เป็นไรค่ะพี่อิน รินดีใจนะที่พี่ยังไม่ลืมริน รินเองไม่เคยลืมพี่อินเหมือนกัน แต่เรามีหน้าที่ของเราใช่มั้ยคะพี่อิน”

ฉันพูดจามีเนื้อหาดีจัง แต่จะพูดอะไรได้มากกว่านี้ ในเมื่อเราสองคน พี่อินกับฉัน มันไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะสานความรู้สึกเก่าๆหรือเริ่มความสัมพันธ์ใหม่ๆ การได้มาพบกันครั้งนี้ ไม่ควรมีสิ่งไม่ดีงาม(ในสายตาชาวบ้าน)เกิดขึ้น การใกล้ชิดพี่อินอีกครั้งทำให้ฉันคลายความเครียดจากเรื่องพี่หนิงและเชอร์รี่ไปได้มากทีเดียว โดยไม่รู้ตัวเลยว่า เวลาสิบสี่วันของไฟลท์นี้ พี่หนิงลาพักร้อน พาเชอร์รี่ไปเที่ยวยุโรปเพราะเจ้าหล่อนอยากไป เนื่องจากยังไม่ได้บินยุโรป ดูพี่หนิงทำกับฉันเข้าสิ

วันนั้น พี่อินสวมเสื้อเชิ้ร์ตแขนสั้นสีเหลืองอ่อน กับกางเกงขายาวผ้าฝ้ายสีน้ำตาลเข้ม พี่อินแต่งตัวเท่ห์ เสื้อผ้าของเขาจะมีลูกเล่นเล็กๆน้อยๆที่ดูดีมีเทสต์ ต่างจากพี่หนิงที่ไม่สนใจเรื่องเสื้อผ้าเลย มีอะไรจับใส่ได้ทั้งนั้น พี่หนิงมีเสื้อตัวโปรดที่ฉันไม่ชอบเอามากๆอยู่ตัวหนึ่ง แต่ฉันไม่เคยบอกเขาหรอกว่าฉันไม่ชอบ ฉันถนอมน้ำใจพี่หนิงเสมอ หากเขาไม่เคยถนอมน้ำใจฉันเลย

เราทั้งสี่คนเดินชมวิหารไม้สนในวัดนาริตะซังที่มีหลายหลัง เดินชมดอกไม้ในสวนญี่ปุ่นที่จัดไว้น่ารักน่าเอ็นดู
ใจฉันพองๆอย่างไรพิกล จนบิวแอบแซวว่า
ชีวิตรันทด...เรื่องจริงผ่านคอมพ์ ตอนที่สิบเอ็ด

วัดนาริตะซังอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟมากนัก วัดอันแสนสวยงามนี้สร้างขึ้นประมาณหนึ่งพันกว่าปีมาแล้ว บริเวณวัดประกอบด้วยวิหารหลายหลัง งดงามแบบญี่ปุ่นโบราณ ฉันชอบดูงานศิลปะที่คนสมัยก่อนสร้างไว้ ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรม หรือศิลปกรรมแขนงอื่นล้วนมีความงดงามอยู่ในตัว การที่ฉันได้เป็นแอร์นับเป็นโอกาสดียิ่งที่ฉันได้เห็นผลงานศิลปะหลากหลายทั่วโลก ไว้เล่าตอนหลังดีกว่า(ถ้าไม่ลืม)ว่าที่ไหนมีอะไรน่าชมบ้าง

พี่อินดูแลเราสามสาวอย่างดี ขอเรียกบิวรวมในหมู่สาวด้วย ไม่มีใครมองออกว่าบิวเป็นผู้ชาย แม้แต่เสียงของเธอก็ยังไม่ห้าว พูดออกมาเหมือนผู้หญิง แล้วแบบนี้จะไม่ให้เรียกว่าพระเจ้าติดเพศให้บิวผิดได้อย่างไร

วัดนาริตะซังเป็นวัดที่บูชาเทพเจ้าแห่งไฟ มีเทวรูปของเทพเจ้าองค์นี้ที่มีนามว่า “ฟุโดเมียวโอ” ให้สักการะ ชาวญี่ปุ่นนิยมมาทำบุญที่วัดนี้กันมาก พี่อินเล่าว่าเขามานาริตะทีไร ต้องแวะเวียนมาไหว้ขอพรจากเทพเจ้าเสมอ พี่อินแอบกระซิบทีเล่นทีจริงกับฉันว่า

“พี่มาขอเทพเจ้าแห่งไฟให้ช่วยดับไฟให้พี่ที ห้าปีกว่าแล้วพี่ยังทำใจไม่ได้เรื่องริน ..ไฟรักรินมันสุมอก...เว่อร์เนอะครับริน อย่าถือพี่นะ พี่ไม่ควรพูดจาแบบนี้กับรินอีกแล้ว”

“ไม่เป็นไรค่ะพี่อิน รินดีใจนะที่พี่ยังไม่ลืมริน รินเองไม่เคยลืมพี่อินเหมือนกัน แต่เรามีหน้าที่ของเราใช่มั้ยคะพี่อิน”

ฉันพูดจามีเนื้อหาดีจัง แต่จะพูดอะไรได้มากกว่านี้ ในเมื่อเราสองคน พี่อินกับฉัน มันไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะสานความรู้สึกเก่าๆหรือเริ่มความสัมพันธ์ใหม่ๆ การได้มาพบกันครั้งนี้ ไม่ควรมีสิ่งไม่ดีงาม(ในสายตาชาวบ้าน)เกิดขึ้น การใกล้ชิดพี่อินอีกครั้งทำให้ฉันคลายความเครียดจากเรื่องพี่หนิงและเชอร์รี่ไปได้มากทีเดียว โดยไม่รู้ตัวเลยว่า เวลาสิบสี่วันของไฟลท์นี้ พี่หนิงลาพักร้อน พาเชอร์รี่ไปเที่ยวยุโรปเพราะเจ้าหล่อนอยากไป เนื่องจากยังไม่ได้บินยุโรป ดูพี่หนิงทำกับฉันเข้าสิ

วันนั้น พี่อินสวมเสื้อเชิ้ร์ตแขนสั้นสีเหลืองอ่อน กับกางเกงขายาวผ้าฝ้ายสีน้ำตาลเข้ม พี่อินแต่งตัวเท่ห์ เสื้อผ้าของเขาจะมีลูกเล่นเล็กๆน้อยๆที่ดูดีมีเทสต์ ต่างจากพี่หนิงที่ไม่สนใจเรื่องเสื้อผ้าเลย มีอะไรจับใส่ได้ทั้งนั้น พี่หนิงมีเสื้อตัวโปรดที่ฉันไม่ชอบเอามากๆอยู่ตัวหนึ่ง แต่ฉันไม่เคยบอกเขาหรอกว่าฉันไม่ชอบ ฉันถนอมน้ำใจพี่หนิงเสมอ หากเขาไม่เคยถนอมน้ำใจฉันเลยฉันบอกตัวเอง เตือนตัวเองให้นึกถึงลูก นึกถึงพี่หนิง นึกถึงคำนินทาของผู้คน ฉันพยายามอย่างหนักที่จะสั่งหัวใจให้ได้ว่า หยุดๆๆๆๆๆ ยู้ดดดดดดดดดดดดดดดด หยุดคิดเรื่องไร้สาระ หยุด....

แต่พี่อินทำให้ฉันหยุดไม่ได้ เย็นนั้นพี่อินไม่ไปฮานามิกับพวกเรา แต่แยกไปกับกลุ่มลูกเรือสายการบินเขา ก่อนแยกกัน พี่อินบอกฉันว่า

“คืนนี้พี่จะโทร.ไปคุยนะครับริน”

ฉันรับคำ แล้วไปฮานามิกับลูกเรือในเที่ยวบินของฉัน เราต้องอยู่กันอีกเกือบสองสัปดาห์ ต้องทำความคุ้นเคยกันหน่อย

ตารางบินของพวกเรา ไม่ใช่จะเลือกได้ว่าจะบินกับใคร นอกจากคอยแลกไฟลท์ตามกัน (โดยเฉพาะพวกจีบกันใหม่ๆ) บางคน เจอกันครั้งหนึ่ง ไปด้วยกันหลายวัน สนิทสนมกันดี ลงจากไฟลท์อาลัยอาวรณ์ เป็นแบบนี้ไม่นานก็เจอคนใหม่ให้สนิทไปเรื่อยๆ อย่างที่หนุ่ยเคยบอกฉันว่า หนุ่ยมีเพื่อนสนิทนับร้อย และเพื่อนสนิทของหนุ่ยแต่ละคนยังมีเพื่อนสนิทอีกเป็นร้อยๆเช่นกัน

สังคมของพวกเรา มองดูน่าสนุก ได้ไปโน่นมานี่ รายได้ดี มีของสวยๆงามๆใช้ แต่เบื้องหลังคือความเหนื่อยอย่างสาหัสในการทำงานที่ไม่ตรงเวลากับชาวบ้าน ต้องอดหลับอดนอน ต้องยิ้มเสมอ ต้อง..ต้อง...เป็นอะไรที่ภาพพจน์ดีงามตลอดเวลา ดังนั้นเวลาที่ไม่ทำงาน ลูกเรือที่เก็บกดทั้งหลายมักจะจับกลุ่มไปไหนมาไหนด้วยกัน คุยกันแบบคนหัวอกเดียวกัน จึงทำให้สนิทกันได้ง่ายดายรวดเร็ว

คืนนั้นฉันสนุกสนานกับการฮานามิมาก อาหารเหลือเฟือ รวมไวน์ญี่ปุ่นที่บางคนซื้อมา กับการคะยั้นคะยอของบิว(ที่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่มา เป็นชุด “ล่อตะเข้ตี๋ยุ่น”-ตามสำนวนของบิว ) ทำให้ฉันลองทั้งไวน์ทั้งสาเกจนมึนไปหมด

กลับถึงห้อง ฉันง่วงมากด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ เนื่องจากปกติฉันไม่ได้เป็นคนเที่ยวหรือดื่ม แต่ทำแจ๋นดื่มตามคนอื่นเลยทั้งเมาทั้งมึน

เมื่อพี่อินมาเคาะห้อง ฉันจึงเปิดอย่างเต็มใจ เต็มใจให้พี่อินเข้ามาในห้อง
คนเราหนอ โทษแอลกอฮอล์ ไม่โทษตัว
เต็มใจให้พี่อินกอด เต็มใจให้พี่อินจูบ เต็มใจให้พี่อินถอดเสื้อผ้า และลูบไล้ร่างกายฉัน

เต็มใจนอนกับพี่อิน ด้วยความสุขสม ด้วยใจที่โหยหา
ตอบสนองความต้องการของเราทั้งคู่ที่เก็บมานาน



พี่อินกับฉันตื่นสายมาก ฉันตื่นก่อน ลืมตามองพี่อิน เขาหลับปุ๋ย รอยหยักที่มุมปากเชิดขึ้น ดูเขาน่ารักจังเลยแต่แล้ว ..ความจริงที่หลั่งไหลเข้ามาในหัวทำให้ฉันใจหาย โอยยย ... นี่ฉันทำอะไรลงไป ตายๆๆๆๆๆๆๆๆ
แล้วจะทำไงดีเนี่ย ฉันถามตัวเองอย่างเหนื่อยใจ

พี่อินตื่นหลังจากฉันไม่นาน เขายิ้มหน้าชื่น ไม่ทำท่าสักนิดว่าตัวเองผิด นี่แหละผู้ชาย สุดท้าย..เหมือนกันหมดฮึ!!!!!!!!!

เราต่างไม่พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ฉันแน่ใจว่าเราคิด พี่อินชวนฉันออกไปหาอะไรทาน แต่ฉันบอกให้เขากลับไปห้องก่อน พี่อินไม่ยอมกลับ เขาสัมผัสฉันอีก จุดไฟในตัวฉันขึ้นอีก ไฟปรารถนาที่ยากจะหยุดยั้งได้ ณ.ตอนนั้น

แล้วเรื่องเดิมก็เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก คราวนี้จะโทษอะไร ไม่ได้มึน ไม่ได้เมาด้วยแอลกอฮอล์ แต่เมามึนด้วยรสรักของพี่อิน ฉันเองช่างเลวไม่ต่างจากเชอร์รี่เลย เคยบอกแล้วว่าอ่านไปเรื่อยๆจะทราบว่ารินเองไม่ได้เป็นคนดีมากเท่าไหร่

คราวนี้รู้แล้วว่าทำไมคุณจิ๋มเธอจึงหวงหึงพี่อินนักหนา

และรู้ว่าทำไมเชอร์รี่ถึงยอมพี่หนิง

ที่จริง ถ้าเชอร์รี่จะอยุ่ของหล่อนเงียบๆ ไม่มาวีนฉัน เรื่องมันคงไม่ยุ่งเหยิงขนาดที่เกิดขึ้นมาหรอก


มาถึงวันนี้ ฉันมองย้อนไปวันนั้นแล้วสมเพชตัวเองมาก ฉันได้ทำสิ่งไม่ดีในชีวิตหลายเรื่อง ฉันยุ่งกับผู้ชายอื่นทั้งที่ตัวเองมีสามีแล้ว ไม่ว่าจะหาข้อแก้ตัวให้ตัวเองอย่างไร มันก็คือความผิดบาป ความไม่ดีอยู่นั่นแหละ

ฉันจึงต้องชดใช้กรรมต่ออีกนานหลังจากนั้น

พี่อินถามฉันว่าดูของที่เขาให้ฉันหรือยัง ฉันหยิบห่อของออกมาเปิดดู

พี่อินให้จี้คริสตัลรูปดอกเหมย ร้อยด้วยสร้อยทองคำขาวเส้นบางๆ

สร้อยเส้นนั้นยังอยู่กับฉันจนถึงวันนี้

พี่อินกับฉันอยู่ด้วยกันอีกหนึ่งคืน วันต่อมาเราต่างแยกย้ายไปบิน ฉันไปซีแอ๊ตเติ้ล พี่อินไปลอสแอนเจลิส แล้วเราจะกลับมาพบกันที่นาริตะอีกในตอนขากลับจากสหรัฐอเมริกา

น่าแปลกที่พอเรามีอะไรกัน เราทั้งคู่กลับไม่พูดถึงมัน หรือแบบนี้เค้าเรียกว่า “แค่มองตาก็เข้าใจ”

ฉันทำงานไปซีแอ๊ตเติ้ลแบบหวิวๆยังไงไม่รู้ สุขปนทุกข์ใจ แต่ไม่ยอมหยุด (นึกถึงความน่ารักของพี่อิน)

คิดถึงลูก ใจแป้ว.. ต้องไม่ให้ลูกรู้เรื่องนี้เด็ดขาดเรื่องเล่านี้ ต้องห้ามรุ้งกับเมฆมาอ่าน....จุ๊...จุ๊... อย่าเอ็ดไป


(มีต่อเร็วๆนี้ค่ะ)


โดย: birdchicago วันที่: 28 เมษายน 2550 เวลา:19:03:10 น.  

 
ชีวิตรันทด...เรื่องจริงผ่านคอมพ์ ตอนที่สิบสอง
สวัสดีค่ะ

ต้องขออภัยอย่างสูงที่มาช้ามาก ไม่อยากแก้ตัวเลยค่ะ

ขอบพระคุณทุกความเห็น ทุกกำลังใจ (ก็อปคำพูดเดิมๆ อิอิ)

ยังอ่านคอมเม้นต์ไม่หมดเลย เดี๋ยวโพสท์ก่อนแล้วอ่านต่อค่ะ

ตอนที่ 12 นี้อ่านดีๆ มีรางวัลด้วยน้า


ชีวิตรันทด...เรื่องจริงผ่านคอมพ์ ตอนที่สิบสอง


จากนาริตะไปซีแอ๊ตเติ้ล ฉันทำงานคู่กับบิวในชั้นธุรกิจข้างล่าง พี่จี๊ดทำงานที่เฟิร์สคลาสกับพี่ป๋อง มีพี่ตุ้ยเป็นเพอร์เซ่อร์ พี่กล้าเป็นอินไฟลท์แมแนเจอร์ ชั่วโมงบินยาวกว่าปกติเนื่องจากเครื่องของเราบินต้านลม จากปกติประมาณ 15 ชั่วโมง กลายเป็นเกือบ 17 ชั่วโมง

ผู้โดยสารในชั้นหนึ่งและชั้นธุรกิจไม่มากนัก แต่ชั้นประหยัดค่อนข้างเต็ม มีคณะคนไทยกลุ่มหนึ่งประมาณเกือบหนึ่งร้อยคน นั่งมาจากกรุงเทพเพื่อจะไปลงดัลลัส จุดหมายปลายทางสุดท้ายของเส้นทางบินนี้

เวลาบินไฟลท์ที่ต่อเนื่องและมีการเปลี่ยนลูกเรือ ทุกๆครั้งที่เครื่องลง ผู้โดยสารจะต้องลงไปทรานสิท (transit) ที่สนามบินนั้นๆเป็นเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง เพื่อให้พนักงานขึ้นมาทำความสะอาดเครื่อง มีการเปลี่ยนอาหารใหม่ เอาตู้อาหารเก่าลงไป อาหารใหม่ขึ้นมาตามจำนวนผู้โดยสาร เพิ่มเติมเผื่อขาดไว้บ้าง ส่วนลูกเรือที่จะลงไปพัก ณ. ประเทศนั้นๆจะเตรียมงานเท่าที่ทำได้ไว้ให้ลูกเรือที่ขึ้นมาใหม่ มีการเขียนโน้ตถึงกัน บอกไว้ว่าผู้โดยสารท่านใด ลงที่ไหน ชอบเครื่องดื่มอะไร เป็นต้น อย่างเที่ยวบินนี้เป็นเที่ยวบินยาว ต้องส่งต่อเครื่องกันหลายตลบ โน้ตที่พวกเราส่งต่อกันบางทีอ่านแล้วขำ บางทีอ่านแล้วเครียด บางทีอ่านแล้วนึกถึงหน้าคนเขียนว่ามันคิดได้งัยนี่

ตัวอย่างที่ 1

เตรียมงานไว้หมดแล้ว ห้ามด่าลับหลังนะยะ...

!!!! ระวัง 3A !!!!

อุ๊บส์...ไม่มีไรหรอก...หล่อม้ากกก ลูกเจ้าของ NORDSTORM (ห้างสรรพสินค้าดังแห่งหนึ่งในอเมริกา)

คุยดีๆ แจกบัตรลดราคา แถม GIFT VOUCHER จริงๆนะ อย่ามาว่าชั้นโม้

ขอให้เพลิดเพลินจำเริญใจกับ Sleepless in Seattle **** (แอบใส่หูฟังด้วยนะ)
ตัวอย่างที่ 3

ชั้นแอบเอาแซนด์วิชที่โหลดมาจากบ้านเราไว้ในตู้เย็น เผื่อหิวกันจะได้ไม่อดตาย

ปอกผลไม้ไว้ให้พวกแกรด้วย อย่าลืมสัน-ระ-เสิน คนปอก่อนกิน ไม่งั้นมีแช่ง

ผู้โดยสารคนไทยที่ไปดัลลัส มีคนนึงเป็นญาติกรูเอง นั่ง 27 J ฝากด้วย

ดูแลให้ดีเหมือนเป็นญาติเมริงเองเลยน้า

ถึงซีแอ๊ตเติ้ลแล้วมีอะไรลดราคาออนเซลบอกไว้ที่เคาน์เต้อร์ด้วยนะเวร้ยยย

From : ญาติคนอ่านแหละ (ซะที่ไหน)

----------------------------------------------------------------------------------------------------------


เอาแค่นี้ก่อน บางคนที่จีบกันแต่พยายามแลกไฟลท์ไม่ได้ จะส่งต่อเครื่องด้วยการแนบจดหมายไว้ให้กันอ่าน โดยใช้กระดาษของบริษัท ซองของบริษัท

พวกเรามักจะถือวิสาสะหยิบของบนเครื่องไปใช้ส่วนตัวเล็กๆน้อยๆ แล้วแซวกันเองว่า

“โอ๊ยยย ที่บ้านมีของบนเครื่องหมดแล้ว ขาดแต่เครื่องบิน อิอิ”


เข้าเรื่องดีกว่า มาอยู่ห้องนอกเรื่องนี่ดีที่สุด นอกเรื่องไปไหนได้ทั้งนั้น (ชอบห้องนี้จัง)

ฉันทำงานเสร็จเร็ว เพราะผู้โดยสารของฉันกับบิวมีไม่มาก ฉันบอกบิวว่า

“บิวดูผู้โดยสารนะ พี่จะไปช่วยข้างหลัง”

“อือฮึ” บิวรับคำ ต่อท้ายไล่หลังมาว่า

“พี่รินยังมีกะใจทำงานเนอะ เป็นบิวคงร้อนรุ่มกลุ้มจาย ทำอะไรไม่ได้เล้ยย คิดถึง Sleepless in Narita ใช่ม้าพี่ริน บอกบิวมาเลย บิวดูออก บิวเป็นคนอยากรู้แล้วต้องรู้ ไม่งั้นตายตานอนไม่ลืมเล่าไปเลยว่า ไฟลท์นั้น ผู้โดยสาร 3A ของพี่จี๊ดเป็นหนึ่งในเจ้าของห้างสรรพสินค้า Nordstorm จริงๆ ส่วนข้อมูลอื่น..ผิดโม้ดด

มหาเศรษฐีคนนั้นแก่แล้ว อายุน่าจะเฉียดเจ็ดสิบ หัวค่อนข้างล้านตามแบบฝรั่งอายุมาก หน้าตาใจดีมีเมตตา ท่านถามพี่จี๊ดว่าลูกเรือทั้งหมดกี่คน พี่จี๊ดบอกว่า 21 คน คุณตาท่านบอกเลขา(หนุ่ม)ผู้น่าจะเป็นที่มาของข้อมูลว่าหล่อมั่กๆ ให้หยิบกระเป๋าเอกสารหลุยส์ วิตตอง อย่างสวยของท่านออกมาเปิด หยิบซองสวยงามประทับตราห้างส่งให้พี่จี๊ด 21 ซอง ให้พี่จี๊ดแจกลูกเรือทุกคน คนละซอง


ซองยาวหรูมาก เป็นกระดาษแข็งสีครีม เดินขอบทอง แต่ของในซองทำเอาพวกเราอึ้งไปเลย

บัตรของขวัญ ใบละ100 เหรียญ 5 ใบ (อื้อหือ โอ้โฮ..รวยแถมใจดีอีกต่างหาก)

บัตรทองวีไอพี ใช้ลดราคาสินค้าทุกแผนก (ไม่มียกเว้นฟาสฟู้ดส์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต แผนกอื่นๆ....แบบห้างบ้านเรา) 40% มีอายุการใช้งานสองปี ซื้อได้ไม่จำกัด ส้มหล่นเจงๆ เจ้าค่ะ

นี่แหละของจริง ไม่ต้องมีโปรโมชั่นใดๆ ให้เมื่อย




เครื่องลงที่สนามบินซีแท็คตามเวลา สนามบินระหว่างประเทศ ( International Airport)ที่ซีแอ๊ตเติ้ลมีสองแห่ง คือ SEATTLE TACOMA INTERNATIONAL AIRPORT
กับสนามบิน KING COUNTY INTERNATINAL AIRPORT

สนามบินแรก ที่เครื่องของเราไปลง เรียกกันย่อๆว่า ซีแท็ค (SEATAC) เป็นสนามบินสำหรับเครื่องบินพาณิชย์ สนามบินนี้ใหญ่มาก เพราะซีแอ๊ตเติ้ลเป็นเมืองหลวงของรัฐวอชิงตัน เป็นเมืองท่า เมืองอุตสาหกรรม แถมยังอากาศดีตลอดปีเหมาะแก่การท่องเที่ยวอีก จนได้ชื่อว่า THE EVERGREEN STATE

ส่วนสนามบินที่สองเป็นสนามบินสำหรับพวกไฮโซ เซเลบริตี้ทั้งหลายแหล่ มีเครื่องบินส่วนตัวไปไหนมาไหน รวดเร็ว ไม่ต้องกลัวรถติด ไม่ต้องกลัวตกเครื่อง มีนักบินส่วนตัว ลูกเรือส่วนตัว สุขสบายสมฐานะ

อะไรจะรวยกันปานนั้น แต่คำกล่าวที่ว่า เงินซื้ออะไรไม่ได้ทุกอย่างตอนนี้ยังไม่เข้มข้นใช่มั้ยล่ะคะ อ่านไปก่อนๆ ใจเย็นๆ อยากเล่าเรื่องซีแอ๊ตเติ้ลให้ฟังเพราะชอบเมืองนี้มากพอๆกับชอบซานฟรานซิสโก นึกซะว่าแอร์กี่พาเที่ยวคลายเครียดเรื่องรักซ้อนซ่อนรักของรินเสียหน่อย เพราะเรื่องที่เกิดต่อมามันทรมานใจนัก ฮือๆๆๆๆๆ (เล่าแน่แต่รอแป๊บ ขอพาทัวร์ซีแอ๊ตเติ้ลหน่อยน่า ไหนๆก็ไหนๆแล้ว)

โรงแรมที่พวกเราพักที่ซีแอตเติ้ลเป็นโมเต็ลเล็กๆ มีตึกสองชั้นซึ่งใช้เป็นร้านอาหารไทยชื่อร้านใบตอง (ที่อร่อยขึ้นชื่อมาก)อยู่ด้านหน้า ถัดไปมีบันไดหินราวสิบห้าขั้นสำหรับเดินขึ้นไปอีกตึกหนึ่ง (ซีแอ๊ตเติ้ลเป็นเมืองที่มีเนินเขามากเหมือนซานฟราน บ้านเมืองเลยไม่เป็นแถวเป็นแนวในทางตรง แต่จะเป็นแถวเป็นแนวแบบขึ้นๆลงๆ)

สองข้างทางบันไดเป็นแปลงดอกกุหลาบดอกโต กลีบแข็ง ไปเมื่อไหร่ก็เห็นออกดอกหลากสี แม้ยามอากาศหนาวเย็นมาก สมชื่อ EVERGREEN STATE พวกเราหลายคนเคยพยายามเอากุหลาบที่นั่นมาปลูกแต่ไม่ค่อยสำเร็จ ถิ่นใครถิ่นมันมั้ง ต้นไม้ของที่ใดย่อมเคยคุ้นกับการเติบโตแบบอากาศที่นั้นมากกว่าแปลกที่

ตึกที่สองที่ต้องขึ้นบันไดไปนั้นเป็นที่พักของพวกเรา เดินเข้าไปเป็นล้อบบี้ มีหม้อกาแฟแก้วตั้งไว้บนเตาพร้อมถ้วยกระดาษแบบดื่มแล้วทิ้งและเครื่องปรุงรสกาแฟเพียบพร้อม

คนอเมริกันนิยมดื่มกาแฟกันตลอดเวลา ไปไหนๆมีหม้อกาแฟแบบนี้ตั้งไว้ทั่วไปหมด รสชาดกาแฟเหมือนๆกันคือค่อนข้างจืดๆใสๆ ไม่เข้มข้น เอาไว้ดื่มกันได้ดื่มกันดีทั้งวี่ทั้งวัน
อยู่อเมริกาเลยต้องเล่าเรื่องไปเรื่อยๆไม่เข้มข้น เลียนแบบกาแฟตามหม้อแก้วในอเมริกา

ยกเว้นที่สตาร์บั๊คส์

ร้านกาแฟ STARBUCKS ร้านแรกอยู่ที่ซีแอ๊ตเติ้ลนี่เอง

พวกเราตกลงกันว่าจะเช่ารถไปเที่ยวในเมืองกันเลย ทั้งที่ควรจะนอนพัก แต่เรื่องเที่ยวล่อใจอยู่เลยลุยเที่ยวก่อน

จุดหมายแรกคือ PIKE PLACE MARKET ตลาดนัดกลางเมืองที่มีทู้กอย่าง ถูกใจขาช้อปแบบพวกเราอย่างยิ่ง วันนั้นเป็นวันเสาร์ นักท่องเที่ยวและชาวเมืองเดินกันให้วุ่น จนพี่กล้ากับพี่ป๋องบ่นว่าเราเดินกันห้าคนน่ากลัวจะมีหลงกันแน่ เลยหาจุดนัดพบไว้ว่าเป็นอีกสามชั่วโมงเจอกันที่ร้านสตาร์บั๊คส์ ที่ที่เรายืนตอนนั้นหนุ่ยเรียนจบปริญญาเอกแล้ว รับราชการอยุ่ที่กระทรวงการต่างประเทศ หนุ่ยบอกพวกเราว่ามาประชุมที่ซีแอ๊ตเติ้ล และจะกลับกรุงเทพในอีกสองวัน ซึ่งจะไม่ได้เจอพวกเราบนเครื่อง เพราะเป็นวันที่เราต้องบินไปเมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส

“ริน เป็นไงมั่ง ผอมจังเนี่ย พี่หนิงเลี้ยงไม่ดีใช่มั้ย แล้วแม่บิวตี้ฟูล ฟูลออพชั่นนี่ หยุดจ้องจะกินเพื่อนชั้นซักทีได้มั้ย เฮอะ พี่ป๋องอ่ะ ปากดำ หยุดสูบบุหรี่ซักทีสิฮะ บุหรี่มวนหนึ่งทำลายชีวิตไปสิบเอ็ดนาที พี่กล้าตอนนี้เลื่อนจากสวส. เป็น ผกก.ยัง แล้วพี่จี๊ด สวยขึ้นจม เอ๊ะ ยัยบิวนี่ ชั้นบอกไม่ให้จ้องๆ เสียมารยาทหญิงไทยหมดนะตะเอง....บลาๆๆๆ”

หนุ่ยยังคงพูดต่อเนื่องแบบไม่สนใจคนฟังเหมือนเคย บิวค้อนขวับใส่หนุ่ย
“เอ๊า เพื่อนพี่หนุ่ยอยากเกิดมาหล่อทำมั้ย แล้วดูดิ ต่อหน้าพี่หนุ่ยแท้ๆ มองบิวอย่างกะผีเห็นโลงไม่แย่งหรอกน่า แฟนหนุ่ยที่เดนมาร์กหล่อแบบนี้แหละ เห็นมาร์คแล้วเลยเสียว คิดถึงแฟน ฮี่ๆๆๆ”

เย็นวันนั้น หนุ่ยกับมาร์คไปดินเน่อร์อาหารทะเลกับพวกเราที่ ALKI BEACH ชายหาดที่มีทางเดินยาวมากเลียบชายหาด มีร้านขายของมากมายอีกแล้ว

อาหารทะเลที่นั่นสดมาก หนุ่ยชวนฉันทานปูที่ตัวโตที่สุดที่เคยเห็นมา เนื้อหวานมาก ไม่ต้องจิ้มอะไรเลยก็อร่อย กุ้งล็อปสเตอร์ตัวใหญ่ เนื้อแน่นหอม อืมมม อาหารทั่วโลกนี่ล้วนแต่อร่อย ยิ่งหากได้ทานกับกลุ่มเพื่อนที่เข้ากันได้ยิ่งอร่อยไปกันใหญ่ ข้างๆโต๊ะเรามีวงดนตรีเล่นเพลงเอลวิส พอดื่มไวน์ได้ที่ พี่กล้าเข้าไปคุยกับนักดนตรี โดยที่พวกเราไม่ทราบมาก่อนว่าพี่กล้าชอบร้องเพลง พี่กล้ารับไมค์จากนักดนตรี แล้วเสียงทุ้มนุ่มก็ดังขึ้นพี่กล้าร้องเพลงราวนักร้องอาชีพ ราวเอลวิสคืนชีพ เพลงของพี่กล้าทำเอาฉันตัวร้อนวูบวาบ คิดถึงพี่อินกับเรื่องที่เกิดขึ้นสดๆร้อนๆ (ฉันนี่เลวจัง ขอด่าตัวเองหน่อย)

พี่กล้าทำเอาทุกคนปรบมือดังลั่นหลังเพลงจบ มีคนขอให้ร้องอีก พี่กล้าปฏิเสธอย่างสุภาพ แถมมาบอกพวกเราว่า ของดีมีน้อย เลยได้รู้กันวันนั้นว่าพี่กล้ามีสายเลือดศิลปิน พี่สาวพี่กล้าทั้งสวยทั้งเป็นนักร้องที่ดังมากในยุคก่อนหน้านั้น

แปลกที่พี่กล้าไม่ยึดการร้องเพลงเป็นอาชีพ แต่กลับมาเป็นสจ๊วตเพราะพี่กล้าบอกว่า คนแบบพี่กล้ามาทำงานบริการดีกว่าเป็นนักร้อง เดี๋ยวมีสาวมาติดแล้วไม่รู้จะบอกยังไงไงว่า ชั้นไม่ชอบผู้หญิง

พี่กล้า นอกจากเป็นอินไฟลท์แมแนเจอร์แล้วยังมีตำแหน่งหน้าที่ สืบสวน สอบสวนลูกเรือที่กระทำผิดกฎบริษัท เช่น ลืมไปบิน ไม่อยู่บ้านตอนสแตนด์บาย แต่งกายผิดกฎ ทะเลาะกับผู้โดยสารหรือเพื่อนร่วมงานและโดนรายงานจากคู่กรณี พี่กล้าจะเรียกตัวลูกเรือที่ทำผิดหรือโดนหาว่าผิดไปสอบสวน (หนุ่ยเลยเรียกพี่กล้าว่า สวส.=สารวัตรสืบสวน)

เมื่อมีโอกาส ฉันจึงคุยกับพี่กล้าเรื่องที่ฉันได้โน้ตหยาบคายจากเชอร์รี่ พี่กล้าบอกให้ฉันเอาไปให้พี่กล้าดู เพื่อที่พี่กล้าจะได้ “ดำเนินคดี” กับเชอร์รี่

โน้ตที่เก็บไว้ ช่วยฉันได้ตอนนั้นเอง ขอเล่าข้ามไปเลยว่า เมื่อฉันเอาโน้ตไปให้พี่กล้า พี่กล้าอ่านแล้วตกใจมากว่าทำไมเชอร์รี่ถึงเขียนอะไรได้แบบนั้น พี่กล้าเอาลายมือเชอร์รี่ไปเทียบกับลายมือที่หล่อนเขียนไว้ตอนสมัครเข้าทำงาน ให้ผู้เชี่ยวชาญทางลายมือพิสูจน์ หลักฐานมัดตัวจนเชอร์รี่ต้องรับสารภาพ

โทษที่เชอร์รี่ได้รับคือ ...หักเงินเดือน 25 % เป็นเวลาหนึ่งปี

รวมกับทำทัณฑ์บนไว้ว่าถ้าเธอเขียนด่าฉันอีก จะต้องโดนลาออกจากบริษัท

และเป็นที่มาของการใส่กุญแจBOX ทั้งหมดของลูกเรือ

สิ่งที่เชอร์รี่ทำกับBOX ของฉัน และฉันโกรธมากคือ หล่อนเอารูปที่ฉันถ่ายบนเครื่องกับพระบรมวงศานุวงศ์องค์สำคัญที่ทรงน่ารักเหลือเกินองค์หนึ่งไปทั้งอัลบั้มที่มีคนอัดมาใส่BOX ให้ฉัน เชอร์รี่เอารูปฉันไปทำอะไรรู้ไหม

หล่อนเลือกตรงที่มีใบหน้าฉัน เอามีดกรีดๆไว้ แล้วตัดรูปเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ส่งคืนมาใน BOX
ย้อนกลับมาที่ซีแอ๊ตเติ้ล คืนนั้นสนุกสนานมาก ฉันไม่ค่อยมีโอกาสคุยกับหนุ่ยเป็นการส่วนตัวมากนัก พวกเราแยกกับหนุ่ยกลับโรงแรมที่พัก ฉันหลับไปด้วยความเพลียมาทั้งวันทั้งคืน

ตื่นมาอีกที แปดโมงเช้า เสียงโทรศัพท์ดัง

“ฮัลโหล” ฉันงัวเงียรับโทรศัพท์

“รินค้าบบบ พี่ตามหาตัวรินจะแย่ เมื่อวานไปไหนมา พี่โทร.มาหลายครั้งเลย”

พี่อินนั่นเอง เขาโทร.มาจากแอลเอ

“รินไปเที่ยวในเมืองมาค่ะ เจอหนุ่ยด้วย สนุกดีค่ะ”

ฉันตอบพี่อินไปและเล่าเรื่องพี่กล้าร้องเพลงเพราะ เรื่องบิวแต่งตัวสวย เรื่องหนุ่ย

“เล่าใหญ่เลย ได้ยินเสียงรินแล้วชื่นใจจัง อีกสี่วันเจอกันที่นาริตะนะจ๊ะ”

คุยกันสักพัก วางหูกันไป ฉันคำนวณเวลา ตอนนั้นบ้านเราห้าโมงเย็น ความรู้สึกผิดในใจทำให้ฉันไม่ค่อยอยากโทร.กลับบ้าน เกรงว่าพี่หนิงจะจับพิรุธได้ ..

ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าพี่หนิงไประเริงอยู่กับยัยผลไม้ที่ยุโรป

และไม่รู้ว่าจะไม่ได้เจอพี่อินที่นาริตะอีก

วันนั้น ฉันนั่งรถของโรงแรมไปศูนย์การค้า ลูกเรือที่ซีแอ๊ตเติ้ลมีสองกลุ่ม คือกลุ่มที่รอจะบินไปดัลลัสกับกลุ่มที่บินมาจากดัลลัส รวมทั้งหมดเกือบห้าสิบคน บางคนพาครอบครัวมาด้วย ทางโรงแรมจัดบริการรถไปตามสถานที่ต่างๆทุกหนึ่งชั่วโมง โดยมีพนักงานขับรถเป็นหญิงชาวอเมริกันเชื้อสายเยอรมัน ชื่อป้าคริส พวกเราไม่มีใครไม่รู้จักคริส เธอจะมารับเราจากสนามบิน ขับรถตู้คันใหญ่แบบที่มีแต่เฉพาะในอเมริกาเท่านั้น

เมื่อถึงโรงแรม คริสจะจัดตารางการเดินรถของเธอไปตามที่ต่างๆ ส่วนมากเป็นแหล่งช้อปปิ้ง เธอจะตะโกนบอกพวกเราด้วภาษษอังกฤษสำเนียงเยอรมันของเธอ

“You guys,listen to me ..first trip today..eleven a.m”

พวกเราจ่ายค่ารถคริสเป็นรายหัว คนละห้าดอลล่าร์ มีคนแอบเม้าท์ว่าคริสรับเละ แถมไม่เสียภาษีอีกวันรุ่งขึ้น พวกเราจะบินไปดัลลัส ค้างที่นั่นหนึ่งคืนแล้วบินกลับมาอยู่ที่ซีแอ๊ตเติ้ลอีกหนึ่งคืน พวกเราไม่ต้องคืนห้องที่ซีแอ๊ตเติ้ล เอาไปเพียงสัมภาระสำหรับค้างคืนเพียงคืนเดียวเท่านั้น ขณะที่ฉันกำลังแต่งตัวเตรียมไปบินอยุ่นั้น โทรศัพท์ดัง

“ฮัลโหล รินพูดค่ะ”

“ริน นี่พี่กล้านะ OB เทเล็กซ์มาให้ริน passive กลับกรุงเทพด่วน รินอย่าเพิ่งตกใจนะ ลูกชายรินป่วย ไม่มากหรอก รินเก็บกระเป๋าใหญ่ทันมั้ย ถ้าไม่ทันเดี๋ยวพี่กลับมาจากดัลลัสจะจัดการให้ ริน ริน อ้าว..ฟังอยู่ป่าวเนี่ย เงียบไปเลย ใจเย็นๆๆอย่าเพิ่งตกใจไป”

พี่กล้าพูดต่ออะไรอีกไม่ทันฟังแล้ว หูได้ยินแต่ “ลูกชายรินป่วย”

นี่ไง กรรมติดจรวด ตามทันทันที ฉันทำไม่ดีไว้ไม่กี่วันก่อน ส่งผลให้ลูกชายของฉันป่วย ลูกก้อนเมฆน้อยๆของแม่เพิ่งสี่เดือนกว่า แล้วลูกเป็นอะไรไปหนอนี่ ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เรียกไปเลขหมายที่บ้าน ไม่ได้คิดเลยว่าเวลานั้นที่กรุงเทพกี่โมงกี่ยามกัน น้องหนอนเป็นคนรับโทรศัพท์ เธอบอกฉันว่าน้องก้อนเมฆท้องเดิน ตัวซีดมากตอนไปโรงพยาบาล ลูกรุ้งตามไปด้วย ส่วนคนที่โทร.บอกบริษัทคือคุณแม่ฉันเอง ฉันถามถึงพี่หนิง น้องหนอนบอกว่าพี่หนิงไปบินหลายวันแล้ว ตอนนั้นฉันเบลอมาก ห่วงลูกจนเกือบทำอะไรไม่ถูก พยายามตั้งสติอย่างยากเย็น
เลยไม่ได้จดได้จำวันน้นเป็นวันหยุดของพี่หนิง และพี่หนิงบินแถบเอเชีย ไม่มีไฟลท์ไปหลายๆวันอย่างที่น้องหนอนบอกเสียหน่อย

ฉันโทร.ไปที่บ้านคุณแม่ น้อยมารับสาย บอกว่าคุณตาคุณยายอยุ่ที่โรงพยาบาลกับนิ่มนวล ซึ่งเป็นคนพาน้องไปโรงพยาบาลตามคำบอกของคุณแม่ฉัน มาทราบภายหลังว่าลูกท้องเสียหนักมาก นวลไปบอกคุณแม่พี่หนิง แต่คุณแม่กำลังอยู่ในวงไพ่ตอง ที่เล่นกันในหมู่คุณหญิงคุณนายแถวนั้น ใช้บ้านคุณแม่ตั้งวง เล่นกันทุกวัน บางวันเล่นข้ามวันข้ามคืน

คุณแม่พี่หนิงบอกให้นวลโทร.ไปแจ้งคุณแม่ฉัน เพราะเธอกำลังยุ่ง (เล่นไพ่ )

ไม่แม้แต่จะเดินมาดูหลานชายคนเดียว...กรรม...

แค้นอีกละเรา.....


(มีต่อเร็วๆนี้ค่ะ)


โดย: birdchicago วันที่: 28 เมษายน 2550 เวลา:19:03:53 น.  

 
ชีวิตรันทด...เรื่องจริงผ่านคอมพ์ ตอนที่สิบสาม
ขอโพสท์ตอนสิบสามก่อนนะคะ เดี๋ยวจะไปตั้งอีกกระทู้หนึ่ง เฉลยรายชื่อผู้ได้รับรางวัลค่ะ

(ตอนนี้รินเริ่มร้ายแล้วค่ะ )


ชีวิตรันทด…เรื่องจริงผ่านคอมพ์ ตอนที่สิบสาม

ฉันรีบเก็บของเสร็จจนได้ด้วยความชำนาญในการจัดกระเป๋า ใจบินไปกรุงเทพแล้ว ลูกเมฆของแม่ อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะลูก ถ้าลูกเป็นอะไร ฉันคงแย่แน่

ฉันนั่งเครื่องกลับโดยเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดธรรมดา นั่งในที่นั่งผู้โดยสาร ลูกเรือที่เดินทางแบบนี้เรียกว่า passive crew

ห่วงลูกเป็นมากมายอย่างไร ฉันได้ประจักษ์แจ้งแก่ใจในวันนั้นเอง

แต่ฟ้ายังเห็นใจฉันอยู่ จึงส่งหนุ่ยมานั่งเป็นเพื่อนฉันอีกครั้ง หนุ่ยเดินทางกลับกรุงเทพวันนั้น พอทราบเรื่อง หนุ่ยรีบย้ายมานั่งข้างๆฉันทันที

“ริน อย่าเพิ่งคิดมาก หลานชายรูปหล่อของลุงหนุ่ยต้องไม่เป็นไรหรอกนะ”

ฉันบีบมือหนุ่ยแน่น หนุ่ยบีบตอบ แล้วทำหน้าที่เพื่อนที่ดีต่อด้วยการชวนฉันทานอาหารที่เพื่อนๆนั่นหละเอามาเสิร์ฟ ต่างคนต่างหยิบอาหารหลายๆอย่างมาให้เราจนผู้โดยสารในที่นั่งถัดไปต้องเดาออกแน่ว่าเราเป็นญาติกับลูกเรือไฟลท์นั้น

ฉันไม่ค่อยมีแก่ใจฟังหนุ่ยคุยเลย แม้หนุ่ยจะพยายามเอ็นเทอร์เทนฉันด้วยการเล่าเรื่อง “เจ้าสาว”ของหนุ่ยให้ฟัง

“ริน ริ้นนน ใจลอยอีกละ จะฟังมั้ยเรื่องคู่หมั้นหนุ่ยน่ะ เค้าสวยนะ” หนุ่ยเขย่าตัวฉัน

“จริงเหรอ หนุ่ยหมั้นเมื่อไหร่ ไม่เห็นรู้เรื่อง ตกข่าวจัง” ฉันเออออไปกับหนุ่ย พร้อมคิดขึ้นมาได้

“ แล้วหนุ่ยเปลี่ยนมาชอบผู้หญิงแล้วเหรอ ไหนเคยบอกรินไงว่า ผู้หญิงน่ะ ไม่ได้แอ้มขาอ่อนหนุ่ยร้อกกก” ฉันแกล้งทำเสียงล้อเลียนหนุ่ย

“ยั้ง ยังไม่ได้หมั้น กำลังจะ going to be หมั้นการเมือง แต่งการเมือง เค้าก็มีแฟนเป็นผู้ชาย หนุ่ยก็มีแฟนเป็นผู้ชาย อือ พูดเองงงเอง คืองี้ เค้าเป็นลูกสาวคนเดียวของ ดร.สนชัย พ่อเค้าอยากได้ลูกเขยเป็นด๊อก เอ๊ยด๊อกเต้อร์เหมือนกัน เลยมาขอหนุ่ยให้ลูกสาวเค้า ดู รินทำหน้า งงเหรอ ...หน้าเอ๋อเชียว รินนี่ มีลูกมีผัวแล้วยังไม่หายคิกขุอะโนเนะอีก ไม่ต้องงง เค้าไม่รู้ว่าหนุ่ยเป็นไง ต่อหน้าเค้าหนุ่ยเก๊กแมนสุดฤทธิ์... ครับ...ท่านครับ...”

ตอนท้ายหนุ่ยทำเสียงแมนมั่กๆ

(มีต่อค่ะ)แล้วหนุ่ยกะแจ๋ม ตกลงกันว่าแต่งกันไป ต่างคนต่างอยุ่ แจ๋มก็มีแฟนของแจ๋ม หนุ่ยก็มีของหนุ่ยไป เป็นว่าตกลงโอเค ลงตัว พ่อแม่เราทั้งคู่ก็หน้าบานไป นโยบาย win-win ไงล่ะริน”

ฉันเองเพิ่งเคยได้ยินคำว่า win-win จากปากหนุ่ยเป็นครั้งแรก และได้เอานโยบายของหนุ่ยมาใช้ในชีวิตฉันต่อมาอีกหลายเรื่อง - ขอบคุณมากนะจ๊ะหนุ่ยเพื่อน love


“แล้วถ้าแจ๋มเค้าเกิดท้องล่ะหนุ่ย รินหมายความว่า ท้องกับแฟนเค้าที่หนุ่ยอนุญาตให้มาเข้าวินน่ะ”

“ยัยริ้นนน”หนุ่ยทำเสียงสูงแบบอ่อนใจในความปัญญาอ่อนของฉัน

“ถ้าแจ๋มเค้าท้อง หนุ่ยคือพ่อเด็กในนามไง แหม เซ่อจังตัวนี่ ดีซะอีก คนจะได้เลิกนินทาว่าหนุ่ยเป็นเกย์
เศร้าเนอะริน ต้องสร้างภาพหลอกลวงชาวบ้าน เพื่อให้หลายๆคนสบายใจ”

“หนุ่ยขอบอกรินไว้วันนี้เลยว่า วันหนึ่ง หนุ่ยจะให้คนยอมรับเพศที่สามให้ได้ ..แต่วันไหน หนุ่ยยังไม่รู้ หนุ่ยรู้แค่ มันเป็นนโยบายนึงในชีวิตหนุ่ยที่ต้องทำให้ได้ จะช้าจะเร็วไม่รู้..”

แต่จนถึงวันนี้ หนุ่ยยังคงต้องเก๊กแมนอยู่อย่างเดิม คงนโยบาย win-win เอาไว้ ไม่ทราบว่าหนุ่ยลืมนโยบายผลักดันให้ผู้คนยอมรับเพศของหนุ่ยไปแล้วหรือเปล่านี่

หนุ่ยชวนฉันพูดคุย สลับดูหนัง (เรื่องเดิม Sleepless in Seattle)

“ดูมาร้อยสามสิบสองรอบแล้ว ดูอีกก็ได้ เอาเหอะๆ ดีกว่าไม่มีรัยดู” หนุ่ยบ่น

หนุ่ยเป็นเพื่อนที่น่ารักที่สุด ถ้าวันนั้นไม่มีหนุ่ยมานั่งด้วย ฉันคงมัวแต่ร้องไห้ห่วงลูกจนไม่มีจิตใจจะทำอะไรเลย ฉันไม่สงสัยเลยว่าทำไมหนุ่ยจึงก้าวหน้าในการงานมากมาย เพราะหนุ่ยเป็นมืออาชีพ และหนุ่ยจริงใจกับคนที่จริงใจกับหนุ่ย หนุ่ยมักจะเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับเสมอ----- ข้อนี้ผู้ชายอกหลายศอกอีกหลายคนแพ้หนุ่ยราบคาบ


เครื่องลงที่นาริตะก่อน ฉันเดินลงไปกับหนุ่ย ลูกเรือที่จะทำงานช่วงนาริตะ-กรุงเทพ มานั่งรอเครื่องอยู่แล้ว
พี่รินขา ทราบข่าวพี่หนิงหรือยัง “
เธอถามฉัน ข่าวอะไรอีกล่ะทีนี้ ..แม่คนนี้ขยันมาบอกฉันเรื่อย นี่หล่อนหวังดีหรือร้ายกันแน่

ฉันยิ้มเย็นให้ลูกไก่ รู้สึกตัวเองเป็นนางร้ายขึ้นมามั่ง

“ลูกไก่มีข่าวอะไรอีกคะ ลูกไก่มาบอกทีไร พี่กลับไปถามพี่หนิง พี่หนิงก็จะบอกว่า อย่าไปฟังมัน พี่ไม่เอามัน มันเลยใส่ไฟให้รินหึง”

ฉันทำเสียงเรื่อยๆ หมั่นไส้ลูกไก่เต็มประดา ไม่มีอะไรทำหรือไง คนกำลังหงุดหงิดห่วงลูกอยู่
หนุ่ยเสริมว่า

“นั่นสิ ลูกไก่นี่น่าไปสมัครเป็นนักข่าวคอลัมน์ซุบซิบมากกว่าเป็นแอร์นะนี่ ไปเหอะริน เดี๋ยวหนุ่ยซื้อกล้องไม่ทัน”
หนุ่ยจูงมือฉันเดิน ทักทายกับเพื่อนบางคน ลูกไก่ไม่ลดละ เธอเดินตามฉันกับหนุ่ยมา

“พี่รินขา คราวนี้ข่าวจริงนะ ลูกไก่รู้ยังโมโหแทนพี่รินเลย พี่หนิงพาเชอร์รี่ไปซูริด ไปไฟลท์เพื่อนลูกไก่เอง เมื่อคืนเพื่อนลูกไก่มานาริตะ แล้วมาเล่าให้ฟัง พี่หนิงนี่เค้าไม่เกรงใจพี่รินเลย ยัยเชอร์รี่ก็หน้าด้าน อยุ่บริษัทเดียวกันแท้ๆทำได้ลง แล้วนี่พี่รินจะทำไงดีคะนี่ ลูกไก่อยากไปตบมันให้พี่จัง ...”


ลูกไก่พูดถึงความประพฤติของเชอร์รี่ ราวกับตัวหล่อนเองไม่เคยทำงั้นแหละ

หนุ่ยรีบลากฉันจ้ำอ้าวไปที่ร้านค้าปลอดภาษี

“ยัยลูกเจี๊ยบนี่ มันสติดีป่ะเนี่ยริน มันด่ายัยผลไม้อย่างกะตัวเองดีซะเต็มประดา เฮ้อออ ..ผู้หญิงแบบนี้ น่าจับไปลงบ่อจรเข้ให้หมด..” หนุ่ยทำหน้าเอาจริงจนฉันขำ

“ช่างเค้าเหอะหนุ่ย พี่หนิงจะพาใครไปไหน รินไม่สนละ รินห่วงแต่ลูก ใจมันจะขาดแล้วนะหนุ่ย”

“โอ๋ๆๆๆๆ รินไม่ต้องห่วง เดี๋ยวเครื่องลงกรุงเทพ หนุ่ยไปส่งรินเลย ไปเยี่ยมหลานด้วย ยังไม่อยากเข้าบ้านเล้ย เบื่อคุณหญิงแม่คอยจะกระตุ้นให้ไปหาน้องแจ๋มอยู่นั่น”
หนุ่ยทำหน้าเข้ากับคำว่า “เบื่อ” ได้เป็นอย่างดี

“รินช่วยหาของฝากแจ๋มให้หนุ่ยหน่อย อยู่เมกาไม่กล้าซื้อรัยเลย กลัวมาร์กเห็นแล้วงอน”สรุปว่าหนุ่ยให้ฉันเลือกสร้อยไข่มุกไปเป็นของฝากว่าที่คู่หมั้น กันคุณหญิงแม่สงสัย

ฉันเลือกได้สร้อยมุกเส้นเดี่ยวสั้นๆ สำหรับสวมติดลำคอ ไข่มุกสีครีมแวววาวเป็นประกายมาก สวยเยี่ยมยอด
จัดได้ว่าไข่มุกของมิกิโมโตะนั้นเป็น

“หนึ่งในเครื่องประดับที่ผู้หญิงรวยๆควรมี”

ขอแอบเล่าเรื่องไข่มุกหน่อยนึง มุกธรรมชาตินับว่าหายากมาก แต่สวยสมกับความหายาก เลยเป็นเครื่องประดับที่แพงที่สุดในโลก แพงกว่าเพชรเสียอีก


โดยทั่วไปที่เราเห็นกันมักจะเป็นไข่มุกเลี้ยง แม้แต่ของมิกิโมโตะ ส่วนมากเป็นมุกเลี้ยง แต่เลี้ยงแบบไหนถึงได้ออกมาเลิศกว่าใครๆต้องไปถามเจ้าของบริษัทเอาเอง

หนุ่ยถามฉันว่า

“รินแน่ใจนะว่าสวย รินแน่ใจนะว่าเค้าจะชอบ รินแน่ใจนะว่าเลือกดีแล้ว”

“แหม หนุ่ย ถึงรินจะกำลังใจคอไม่เป็นที่เป็นทาง แต่รินว่า ของสวยอยู่ตรงไหนเค้าก็แบบ..เปล่งประกายนะหนุ่ย เชื่อรินสิ ผู้หญิงเลิศๆน่ะ เค้าชอบไข่มุก”

“แล้วรินล่ะ ชอบมั้ย”หนุ่ยถาม

“ชอบสิหนุ่ย แต่มันแพงมากเลย รินไม่ซื้อหรอก เก็บตังให้ลูกดีกว่า รินไม่ใช่ไฮโซ ไม่รู้จะใส่ไปไหน”

สุดท้าย หนุ่ยซื้อเส้นที่ฉันเลือก พนักงานขายห่อกล่องไข่มุกอย่างสวยเลย
ก็ญี่ปุ่นเค้าเป็นเจ้าแห่งแพคเกจจิ้งนี่นา


หนุ่ยกับฉันรีบกลับไปขึ้นเครื่องเพื่อเดินทางกลับกรุงเทพ ฉันลืมนึกถึงเรื่องที่ลูกไก่เล่าว่าพี่หนิงพาเชอร์รี่ไปซูริค (เมืองสวยเมืองหนึ่งในสวิสเซอร์แลนด์ที่สายการบินของเราบิน) เสียสนิท จากนาริตะถึงกรุงเทพ ฉันมัวนึกถึงแต่ลูกก้อนเมฆ สวดมนต์ภาวนาขออย่าให้ลูกเป็นอะไร ไป นึกถึงพี่อิน ฉันฝากบิวไปบอกเขาเรื่องฉันต้องกลับกรุงเทพกระทันหัน ฉันตั้งใจในวันนั้นว่าจะไม่ทำอะไรไม่ดีอีกแล้ว ถ้าฉันมีโอกาสพบพี่อินอีก ฉันจะไม่ยอมให้กิเลสมามีอำนาจเหนือหน้าที่ความรับผิดชอบของฉันถึงกรุงเทพ ฉันรีบโทร.ไปบ้านคุณแม่ น้อยบอกเบอร์โรงพยาบาลให้ ฉันโทร.อีก คุณแม่บอกว่าน้องเมฆเป็นนิวมอเนีย (ปอดบวม) แต่ดีขึ้นแล้ว หนุ่ยไปส่งฉันที่โรงพยาบาล แล้วกลับบ้านไปก่อน เพราะคุณแม่ของหนุ่ยให้คนขับรถที่มารับหนุ่ยเร่งให้หนุ่ยรีบกลับบ้าน

ฉันรีบเข้าไปดูลูก น้องเมฆนอนอยู่ในเตียงเล็กสำหรับคนไข้แผนกเด็กอ่อน ใบหน้าเล็กๆที่เคยผ่องใสของลูกซีดขาว ที่เท้าขวามีเข็มเจาะเพื่อเสียบกับสายน้ำเกลือและยา คุณแม่ฉันเล่าว่าตอนที่คุณแม่ไปพาน้องเมฆมาโรงพยาบาลนั้น คุณหมอบอกว่า ถ้ามาช้าไปอีกหน่อย น้องเมฆคงอาการหนักเกินแก้ไขได้


ฉันมองลูกอย่างสงสารที่สุด ยังไม่ทันถามอะไรนวล คุณแม่ฉันก็เอ่ยขึ้นมาว่า

“นวลบอกพี่รินเขาไปสิ ว่าทำไมน้องป่วย”

นวลเล่าว่า พี่หนิม น้องสาวพี่หนิงมาเล่นกับน้องหนอน และพอนวลเผลอ เธอ(คงจะ)เข้าไปในห้องที่น้องเมฆหลับอยู่ เอาน้ำ(เย็นๆ)ราดลงไปบนตัวน้องเมฆและที่นอน พร้อมเร่งแอร์ให้เย็นจัด เพียงครู่เดียวเท่านั้น น้องเมฆที่เพิ่งอายุสี่เดือนกว่าก็เป็นปอดบวม

คนอะไรใจมารแท้ ฉันโกรธแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนว่าในชีวิตคนเรา จะมีความรู้สึกโกรธ โมโห แค้น พลุ่งขึ้นมาได้มากมายขนาดนี้
คุณแม่ปลอบฉันให้ใจเย็น ค่อยๆคิด ทั้งที่คุณแม่เองก็โกรธไม่แพ้ฉัน คุณแม่บอกว่า ต่อไป หากฉันมีไฟลท์บิน ให้เอาหลานทั้งสองไปอยู่กับคุณแม่ คุณแม่ไม่ไว้ใจ “พวกคนบ้านนั้น”

คืนนั้นฉันนอนที่โรงพยาบาล น้องรุ้งมานอนด้วย ฉันให้คุณแม่กลับไปพักผ่อนที่บ้าน ฉันตาค้าง นอนไม่หลับเลย มองลูกสองคนสลับกันไปมา ตอนนั้นฉันทราบแล้วว่าพี่หนิงไม่อยุ่บ้านมาเกินหนึ่งสัปดาห์แล้ว ที่ลูกไก่บอกว่าพี่หนิงพาเชอร์รี่ไปเที่ยวสวิสคงจะจริง

ฉันเศร้าใจ เจ็บปวด เคียดแค้น สาระพันความรู้สึกร้ายๆโถมเข้ามาในหัวใจ ช่วงเวลาที่เป็นสุขกับพี่อิน จบลงด้วยความเจ็บปวดคนละเรื่องกันไปเลย

ฉันปวดศีรษะมาก ทั้งเหนื่อย ทั้งง่วง ทั้งหิว แต่ไม่มีอารมณ์จะทำอะไร นอกจากย้ำคิดแต่เรื่องพี่หนิง และ ..ครอบครัวที่ร้ายกาจของเขา
ฉันไม่ยอมอีกต่อไปแล้ว ทุกคนต้องได้รับการเอาคืนจากฉันอย่างสาสม

น้องเมฆอาการดีขึ้นเรื่อยๆ จนออกจากโรงพยาบาลได้ ฉันพาลูกๆกลับไปอยู่ที่บ้านคุณพ่อคุณแม่ฉัน

ฉันตัดสินใจว่าจะหย่าขาดจากพี่หนิงและขอเลี้ยงลูกเอง แต่พี่หนิงไม่โผล่มาให้เจอเลย เชอร์รี่นี่เธอแน่มากจริงๆเอาพี่หนิงไว้จนอยู่หมัด

( ตอนนั้นมีคนบอกฉันว่าเชอร์รี่ทำเสน่ห์ แต่ฉันไม่ค่อยเชื่อ )

ฉันกลับไปบ้านตัวเอง บ้านว่างเปล่า ไม่มีร่องรอยว่าพี่หนิงมา หมี (แม่บ้านของฉัน) บอกว่าพี่หนิงกลับมาแล้ว รู้เรื่องน้องเมฆแล้วด้วย แต่ทสิ่งที่ทั้งบ้านของเขายังไม่รู้คือ เรื่องน้องสาวตัวร้ายของเขาเจตนาทำร้ายน้องเมฆ

ฉันเดินไปที่บ้านพี่หนิง คุณแม่เขากำลังอยุ่ในวงไพ่ ฉันเดินเข้าไป ไม่ทรุดตัวลงนั่ง แต่ยืนค้ำหัวเลย ดีมานาน ไม่มีใครเห็น เอาสิ ฉันจะร้ายให้ดู

“คุณแม่คะ เลิกเล่นไพ่ก่อน รินจะมาบอกให้รู้ว่าลูกสาวคุณแม่ตั้งใจจะฆ่าน้องเมฆ รู้มั้ยคะว่ามันเอาน้ำไปราดลูกริน เปิดแอร์เร่งซะเย็น กะให้ลูกรินตาย...”
ฉันยังพูดไม่จบ มีสิ่งของบางอย่างปลิวมากระทบศีรษะ แล้วตกลงแตกกระจายบนพื้นหินขัด

มันคือแก้วน้ำหนาๆแบบที่ใช้กันในบ้านนั้น ฉันเจ็บศีรษะมาก วงไพ่แตกกระเจิงอย่างกับตำรวจมา (มานึกภาพตอนนี้แล้วขำกลิ้ง)

“นี่แน่ะ อีนี่ กรูอยากตบมรึงมานานละ “เสียงยัยหนิมดังอยู่ข้างหู พร้อมกับฝ่ามือของหล่อนฟาดลงมา

แต่ฉันไหวตัวทัน ฉันจับข้อมือหล่อนไว้ แล้วเอามืออีกข้างผลักหล่อนอย่างแรง

“ปาแก้วใส่หัวชั้นเหรอ ชั้นไม่กลัวแกหรอก คนใจร้าย ใจร้ายทั้งบ้าน” ฉันแผดเสียงเข้าใส่มัน กระชากผมมันจนหน้าหงาย ฉันตัวใหญ่กว่า สูงกว่ามันเยอะ (ต้องขอใช้สรรพนามเรียกคนคนนี้ว่า “มัน”) เลือดนักสู้ของฉันน่าจะมีอยุ่ในตัวไม่น้อยเลยทีเดียว

“มรึงแหละ อีตัวดี มารยานัก ..ฉอดๆๆๆๆๆๆ (หยาบมาก-เซ็นเซ่อร์)”

ฉันไม่เคยมีเรื่องถึงกับตีกับใครมาก่อนเลย ครั้งนั้นเป็นครั้งแรก ที่ได้ประสบการณ์ว่าคนเราควรเรียนรู้การต่อสู้ป้องกันตัวเองไว้บ้างก็ดี

รู้งี้เรียนมวยไทยไว้ก่อนหน้านั้นคงดี จะได้เตะมันให้ไส้ทะลัก

“หยุดทีริน หนิม..พอได้แล้ว”

เสียงพี่หนิงดังแทรกขึ้นมาท่ามกลางเสียงกรี๊ดกร๊าดวี๊ดว้ายของเหล่าคุณหญิงคุณนายวงไพ่ พี่หนิงมาจับตัวฉันแยกออกจากน้องสาวเขา

ฉันมัวทะเลาะกับคนบ้านพี่หนิงจนไม่ทันสังเกตว่ารถพี่หนิงเข้ามา กว่าจะรู้ตัว เขาก็จับตัวฉันไว้แน่น

มีเชอร์รี่ยืนมองหน้าฉันแบบสะใจอยู่ตรงนั้น


(มีต่อเร็วๆนี้ค่ะ)


โดย: birdchicago วันที่: 28 เมษายน 2550 เวลา:19:04:43 น.  

 
ชีวิตรันทด...เรื่องจริงผ่านคอมพ์ ตอนที่สิบสี่
สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน

ขอบพระคุณมากค่ะ สำหรับกำลังใจอันมากมายที่ส่งมาให้คุณพ่อและตัวดิฉัน

ด้วยแรงใจของทุกท่าน คุณพ่อดิฉันได้ออกจากห้องไอซียูแล้วเมื่อคืนนี้ ด้วยความประหลาดใจของคุณหมอที่รักษาว่าอยู่ๆอาการคนไข้กลับดีขึ้นราวปาฏิหาริย์

ดิฉันเชื่อว่ากำลังใจจากทุกท่านที่ส่งมาเป็นส่วนที่ทำให้คุณพ่ออาการดีขึ้นอย่างนี้

เอาตอนที่สิบสี่มาขอบคุณค่ะ เชิญอ่านกันได้เลยนะคะ
จากคุณ : แอร์กี่ - [ 16 ก.ย. 49 15:10:50 A:202.57.173.177 X: TicketID:117784 ]
ชีวิตรันทด...เรื่องจริงผ่านคอมพ์ ตอนที่สิบสี่


วันนั้นเป็นวันเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงของฉัน จากรินที่สงบเสงี่ยมเรียบร้อย อ่อนหวานอดทน และโง่เง่า กลายเป็นรินที่เริ่มฉลาดขึ้นในเวทีชีวิต เป็นแม่ที่พร้อมจะปกป้องลูกด้วยชีวิต ต้องขอบคุณพี่หนิงและยัยหนิมที่ทั้งสองช่วยให้ฉันแข็งแกร่งขึ้นหรือเปล่านะ

พี่หนิงเข้ามาจับตัวฉันไว้ ดึงออกมาจากระยะประชิดยัยหนิม ขณะที่ฉันจ้องสายตาสะใจของเชอร์รี่ ฉันไม่กลัวอะไรแล้ว เอาไงเอากันสิ ฉันพยายามสะบัดตัวจากพี่หนิง

“อะไรกันเนี่ย รินกับหนิม เป็นบ้าอะไรกัน” พี่หนิงเอาเสียงดังและท่าทีโมโหจัดเข้าข่ม แต่ฉันเลิกกลัวเลิกเกรงแล้ว ฉันสะบัดตัวออกจากพี่หนิงได้ กระโดดไปผลักยัยหนิมล้มลงกระแทกพื้น แล้วก้มลงหยิบรองเท้าของตัวเองที่พลัดหลุดไปจากเท้าตอนดิ้นรนเอาตัวเองออกจากการจับกุมของพี่หนิง ในสมองบอกตัวเองว่าจัดการกับนังหนิมก่อน เพราะมันทำร้ายลูกฉัน ส่วนเชอร์รี่เอาไว้ทีหลัง ฉันเอารองเท้าเฟอร์รากาโม่(ที่เหล่าแอร์ฮิตใช้กันในตอนนั้น)แบบส้นสูงเปิดหัวเปิดส้นตบไปที่หน้ามันด้วยแรงทั้งหมดที่มีตอนนั้น มันหน้ามืดแล้วนี่

“ว้ายตาย อีบ้า มาตบลูกกรู หนิงช่วยน้องหน่อย ตบอีรินให้มันตายไปเลย” คุณนายแม่ของพี่หนิงกรีดร้องดังลั่น ฉันฟังแล้วยิ่งของขึ้น

“เอาสิ มาเลย ใครจะทำอะไรชั้น ชั้นไม่กลัวพวกแกหรอก ยัยแม่ค้า...” ฉันตะโกนมั่ง

พี่หนิงลากตัวฉันออกมาได้อีก เขาย่อมมีแรงมากกว่าฉันอยู่แล้ว ฉันมองหน้ายัยหนิม เลือดกลบหน้ามันเลย โดยไม่ทันรู้ตัวว่าหน้าฉันเองก็เลือดกลบเช่นกันจนกระทั่งเลือดหยดมาถึงปาก ฉันหัวแตกเพราะโดนแก้วที่ยัยหนิมปามา แต่เลือดที่หยาดหยดไปทั่วหน้านั้นยังไม่ทำให้เจ็บเท่าน้ำตาที่หยดหยาดย้อนเข้าไปในหัวใจต่อมาอีกนาน

“ตบมันเลยหนิง” คุณแม่พี่หนิงตะโกนอีก แต่พี่หนิงไม่ทำ เขาพยายามทั้งดึงทั้งลากฉันออกมาจากตรงนั้น ฉันสู้แรงเขาไม่ได้ โดนลากกลับบ้าน เชอร์รี่ยังมีหน้าวิ่งตามมาบอกพี่หนิงว่า

“แล้วรี่จะรอพี่หนิงไปส่งบ้านนะคะ”

โหย โอย โว้ย (ขออภัยไม่สุภาพค่ะ) หน้าเชอร์รี่เธอทำด้วยอะไรกัน น่าส่งข้อมูลให้รัฐบาลเอาวัสดุที่เป็นส่วนประกอบใบนี่คือนิสัยของหล่อน ต่อหน้าพี่หนิง หล่อนจะทำดี พูดเพราะ เอาใจ ลับหลังดำเนินยุทธการกำจัดเมียหลวงได้แสบทรวง พี่หนิงไม่เคยเชื่อเลยว่าเชอร์รี่พูดจาหยาบคายด่าทอฉันทางโทรศัพท์ เชอร์รี่...ฉันขอคารวะในแผนการของหล่อน(อีกแล้ว)

พี่หนิงลากฉันกลับไปถึงบ้านเรา เสียงคุณแม่และน้องสาวเขายังด่าตามมาอย่างหยาบคาย มีเสียงเชอร์รี่สนับสนุน แหมเสียดาย ฉันน่าจะตบมันด้วยรองเท้าทั้งสามคนเลยคงดีไม่น้อย

“ไหนเธอบอกชั้นมาซิว่าเรื่องอะไรกันถึงคลั่งขึ้นมา”พี่หนิงตะคอกใส่ฉันทันทีที่กลับถึงบ้าน

“น้องเธอมันตั้งใจจะฆ่าลูกเรารู้เอาไว้บ้างสิ ชั้นไม่ทนต่อไปอีกแล้ว.....” ฉันกรี๊ดกร๊าด ร้องไห้ เลือดปนน้ำตา(คงจะ)เต็มหน้า (มาส่องกระจกตอนหลังถึงได้เห็นว่าหน้าตัวเองยับเยินซะไม่มี)

ยิ่งพูดยิ่งโมโห ฉันพูดๆๆถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับลูกเรา ฉันตะโกนใส่พี่หนิง พี่หนิงตะโกนใส่ฉัน ฉันโกรธแค้นจนตัวร้อนและสั่นไปหมด อาการคนบ้าคงเริ่มแบบนี้เอง โชคดีที่ฉันไม่บ้าไปเสียก่อนในวันนั้น

“แล้วมันเรื่องอะไรเธอถึงว่าหนิมมันแบบนั้น มีพยานแบบยัยนวลน่ะเหรอ มันนั่นแหละทำลูกป่วย คงเปิดแอร์เย็นเกินไปเอง แล้วมาโทษน้องชั้น” พี่หนิงทำเสียงแบบที่ฉันฟังแล้วทนไม่ได้ ฉันตบหน้าพี่หนิงอย่างแรงทันทีที่เขาพูดเข้าข้างน้องสาวเขาและโทษนวล

พี่หนิงตบฉันสวนกลับ แรงมาก จนฉันเซ เขาจับตัวฉันไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง และตบฉันอีกด้วยมืออีกข้างหนึ่ง

..............................เชื่อมั้ยว่าพี่หนิงตบฉันจนฉันสลบคามือเขา...............................................

(คนบ้านนั้นคงสะใจถ้ามาเห็นฉากนี้)

เรื่องตีกันนี้ เมื่อเริ่มได้ครั้งหนึ่ง ย่อมจะมีครั้งต่อๆไปได้โดยไม่ยากอีกแล้ว


เมื่อฉันรู้ตัว มีแต่หมี แม่บ้านของฉัน กับ ยง น้องสาวของหมีที่เพิ่งมาอยู่กับฉันไม่นาน กำลังเอายาดมจ่อที่จมูกด้วยใบหน้าที่ตื่นตกใจของทั้งคู่ พี่หนิงหายไปแล้ว คนเลว คนใจร้ายใจดำ คน..(เซ็นเซ่อร์).ฉันจะด่าอย่างไรดีนะ

ฉันลุกขึ้นด้วยแรงใจที่ยังเหลือ เพราะลูกแท้ๆฉันจึงยืนหยัดขึ้นฉันล้างหน้า แสบไปหมด คงต้องหายาอะไรมาทาแผล เช็ดหน้าจนแห้ง น้ำตาเริ่มไหลมาอีก ถ้าเปลี่ยนน้ำตาที่ฉันหลั่งออกมาด้วยความเจ็บปวดจากที่พี่หนิงมอบให้เป็นเงิน ฉันคงร่ำรวยพอจะแจกเงินคนได้ทั้งประเทศ

ฉันขับรถกลับบ้านคุณพ่อคุณแม่ ร้องไห้ไปตลอดทาง สิ้นสุดกันที พี่หนิงและครอบครัวเขา ต่อจากนี้คงเป็นเรื่องการเลิกราหย่าขาดจากกัน

นึกถึงลูกทั้งสอง ลูกจะเป็นอย่างไรหากโตขึ้น จะมีปมด้อยไหม จะเป็นเด็กมีปัญหาหรือเปล่า ฉันจะอธิบายให้ลูกฟังแบบไหน พี่หนิงทำร้ายฉันได้ขนาดนั้น ฉันคงอยู่ไม่ได้แล้ว ความคิดที่แอบๆหวังว่าพี่หนิงจะเลิกกับเชอร์รี่และกลับมาเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดีมลายหายไปหมด เหลือแต่ความโกรธแค้น ทำลายสุขภาพทั้งกายใจ ฉันพยายามตั้งสติขับรถจนถึงบ้าน บ้านที่ฉันไม่ต้องกลัวว่าใครจะเอาอะไรมาปาใส่หน้า บ้านที่ไม่มีคนพูดจาด้วยภาษาสละสลวยสมัยพ่อขุนรามคำแหง (ฮ่า ฮ่า ฮ่า) บ้านที่อยู่แล้วร่มเย็นอบอุ่น ลูกฉันต้องเติบโตในบ้านแบบนี้ต่างหาก

เมื่อคุณแม่เห็นหน้าฉันเข้า ท่านตกใจมาก ฉันเล่าความจริงให้ท่านฟังจนหมด คุณแม่มีขำด้วยตอนที่ฉันบอกว่าเอารองเท้าตบหน้ายัยหนิมได้สะใจ แถมเสียดายที่จัดการได้ไม่ครบคน ตัวเองโดนจัดการจนหมดสติเสียก่อน คุณแม่หายามาทาให้ฉัน และแนะนำให้ฉันไปแจ้งความ ท่านบอกว่ากันเอาไว้เผื่อพวกบ้านนั้นทำอะไรฉันอีก จะได้มีหลักฐานว่าฉันแจ้งความไว้แล้ว

พี่หนิงทำตัวหายเงียบตามฟอร์ม (ที่ฉันรู้ทันเสียแล้ว)ของเขา ฉันไม่ติดต่อเขา เขาไม่ติดต่อมาเช่นกัน แต่เมื่อฉันไปบิน ฉันยิ่งได้ยินได้ฟังเรื่องพี่หนิงกับเชอร์รี่มากขึ้นๆ

ฉันพยายามทำใจให้สงบ แต่มันไม่สงบจริงๆสักที เพราะเสียงลือเสียงเล่าอ้างจากผู้หวังดีทั้งหลายล้วนทำให้ฉันแทบกระอัก เชอร์รี่กับหนิมช่วยกันปล่อยข่าวว่าฉันร้ายกาจ ท่าทางอาจบ้าได้ ยิ่งทำให้ลูกเรือทั้งหลายอยากรู้เรื่องต่อ ก็เรื่องของฉันนี่ช่างมันส์เกินใครในยามนั้น

ต่อมามีเรื่องเด็ดๆที่ผู้คนคาดไม่ถึงเกิดขึ้นอีกมากมาย คนที่บินมานานๆล้วนปลงอนิจจังว่าอะไรๆเกิดขึ้นได้เสมอภายในสายการบินแห่งนี้ อยากจะเล่าให้หมด แต่น่าจะกินเวลามาก ไว้มีเวลาเมื่อใด จะเล่าเรื่องคนอื่นที่ชวน(คนฟัง)ปวดเศียรเวียนเกล้าให้ฟัง คงต้องแยกเป็นเรื่องใหม่ (แหะๆ แปะไว้ก่อน)

เวลาผ่านไปเป็นเดือนที่ฉันอยู่บ้านคุณพ่อคุณแม่ ท่านทั้งสองรักหลานมาก เอาใจใส่ดูแลจนพี่เลี้ยงของลูกคือนวลสดใสอ้วนท้วนเราจะได้กลับเป็นครอบครัวกันใหม่ ฉันไม่อยากให้ลูกโตขึ้นมาโดยไม่มีพ่อหรอก ใจหนึ่งอยากจบเรื่องราวของพี่หนิงกับฉันอันเกี่ยวโยงไปถึงเรื่องเลวร้ายต่างๆจากครอบครัวเขารวมทั้งจากเชอร์รี่ไปเสียให้หมด

ยามนั้น ฉันแทบไม่ได้นึกถึงพี่อินเลย ผู้หญิงเองอาจจะไม่ต่างจากผู้ชายก็ได้ ในเมื่อความรักของฉันกับพี่อินมันเป็นไปไม่ได้ กับทั้งไม่มีอะไรจะให้ค้นหาแล้ว ความรู้สึกจึงจางไป ไม่ได้ลืม แต่ไม่ได้คิดถึงมากมาย เอาเป็นว่า ฉันยังคงมีความรู้สึกที่ดีกับพี่อิน หากความกระตือรือร้นอยากพบอยากเจออยากมีกิจกรรมร่วมกันนั้นมันหมดไป

ตั้งแต่ฝากบิวไปบอกพี่อินว่าฉันโดนเรียกตัวกลับกรุงเทพด่วน ฉันได้รับจดหมายจากพี่อินหนึ่งฉบับ ส่งไปที่บ้านคุณแม่ของฉัน พี่อินเขียนเป็นภาษาอังกฤษปนไทย ข้อความที่ฉันจำได้ขึ้นใจคือ...
My dearly beloved,

What does one usually say to the one who is being loved and missed so much? The words “I miss you” are insufficient to tell you how I long to see you and hold you in my arms once more. I really remember the first day I met you. I came on board the aircraft with love so far away from my mind, but then when I saw you, I lost track of everything. As for me , you are the love I’ve been longing for.

No matter whatever will happen, my heart will treasure you until the last day of my life.

รินครับ...พี่หมายความทั้งหมดที่พูดจริงๆ....รักรินที่สุด...แม้เราจะมีหน้าที่ต้องทำ แต่พี่เชื่อว่าเราจะไม่ลืมกัน

พี่อิน (ซึ่งตอนนี้คงเป็นคนเลวในสายตาริน)

จดหมายพี่อินฉบับนั้น ฉันเก็บไว้อย่างดี ตอนนี้กระดาษเหลืองซีด เก่าจางไปตามวันเวลา ความรู้สึกตอนนี้เวลานึกถึงพี่อิน คือ เราจะไม่ลืมกัน ตามคำลงท้ายจดหมายฉบับสุดท้ายของพี่อินที่ฉันได้รับ

หลังจากนั้น ฉันไม่ได้พบพี่อินอีกนานมาก


เรื่องพี่อินกลายเป็นเรื่องที่แสนดีในความทรงจำ ฉันวุ่นวายกับเอาน่า เพื่อให้แน่ใจ ไปซื้ออุปกรณ์ทดสอบการตั้งครรภ์มาเทสต์เองน่าจะดี

ผลออกมาปรากฏว่า......ฉันท้อง...!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!.

เอาหล่ะซี้ ท้องที่สามนี่ต้องออกจากงานเลยนะ (บริษัทอนุญาตให้มีลูกได้แค่สองคนเท่านั้น)ข้อสำคัญ ลูกในท้องนี่เป็นลูกพี่หนิงหรือลูกพี่อินเนี่ย

หลังคลอดน้องเมฆ พี่หนิงมายุ่งกับฉันสองสามครั้งก่อนที่ฉันจะไปมีความสัมพันธ์แอบซ่อนกับพี่อิน เล่ามาถึงตอนนี้แล้วเกลียดตัวเองอย่างแรง สกปรกซะไม่มี ยอมแพ้ต่อกิเลสตัณหา (กรุณาอย่าเอาอย่างเด็ดขาด...ขอร้องนะ)

ฉันกลุ้มใจมาก ไปตรวจกับคุณหมอที่ทำคลอดน้องรุ้งน้องเมฆ คุณหมอ(ผู้ไม่รู้เรื่องราวอะไร)บอกฉันอย่างยินดีว่าฉันท้องได้สิบสี่สัปดาห์แล้ว ฉันบังคับตัวเองให้ทำหน้าเบิกบานเข้าไว้ กล่าวลาคุณหมอพร้อมรับวิตามินและยาบำรุงสำหรับหญิงมีครรภ์กลับบ้าน

ฉันลองคำนวณวันเวลาที่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายทั้งสองคน คิดเข้าข้างตัวเองว่าเป็นลูกพี่หนิง แต่อีกใจหนึ่งมันค้านว่า ถ้าเป็นลูกพี่อิน เธอจะทำอย่างไรยัยตัวดี ตัดสินใจบอกคุณแม่ว่าท้อง คุณแม่ส่ายหัวเลย บอกว่าปล่อยให้ท้องอีกทำไม ถ้ามีลูกอีกคนหนึ่ง ฉันควรคิดกลับไปอยู่บ้าน เพื่อความมั่นคงของชีวิตมากกว่า ตอนนั้นฉันไม่ทราบว่าพี่หนิงแอบโทร.มาประจบคุณแม่ฉันบ่อยๆออกตัวว่าโมโหเกินไป จะไม่ทำอีก ขอให้คุณแม่ช่วยทำหน้าที่สหประชาชาติไกล่เกลี่ยเกลี้ยกล่อมให้ฉันกลับไปอยู่กับเขาด้วย

คุณแม่ฉันเป็นคนใจอ่อน (เหมือนลูกท่านนั่นแหละ) บวกกับความสงสารหลาน เลยรับปากพี่หนิงว่าจะเจรจากับฉันให้

ในที่สุด ฉันตัดสินใจ(ผิดๆอีกครั้ง) หอบลูกกลับไปอยู่บ้านตัวเอง ประตูทางเข้าออกระหว่างสองบ้านถูกปิดตาย ล่ามโซ่ที่กุญแจไว้ด้วย ฉันจะไม่ไปเหยียบบ้านเค้า และหวังว่าพวกนั้นคงไม่มาบ้านฉันเช่นกัน

โง่ตามเคย รั้วแค่นั้นกั้นความเลวในมนุษย์ไม่ได้หรอก

พี่หนิงโทร.มาทันทีที่ฉันและลูกๆกลับถึงบ้าน เขาทำเสียงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่กี่วันหลังจากนั้นเขาแอบมาหาฉันตอนกลางคืน เล้าโลมฉันด้วยความชำนาญของเขา ของมันเคยกันแล้ว ฉันลืมหมดว่าเคยโกรธแค้นขนาดไหน บ่วงสวาททำให้วัฏจักรเดิมๆกลับมาอีกครั้ง อย่าคิดว่าฉันยืดเรื่องนะคะ แต่มันเป็นแบบนี้จริงๆ ฉันใจอ่อนกับพี่หนิงได้ตลอดสิน่า อยากเขกหัวตัวเองจัง บางครั้งเรื่องพรรค์นั้นมันแสนจะไม่เข้าใครออกใคร โดยเฉพาะผู้ชายที่รู้จักจุดอ่อนของผู้หญิงดีแบบพี่หนิง เขาทิ้งความประทับใจให้ผู้หญิงทุกคนที่เขามีความสัมพันธ์ด้วยเสมอ แล้วฉันซึ่งเป็นภรรยา เป็นแม่ของลูกเขาจะไม่ใจอ่อนได้อย่างไร

เอาเถอะ ลองเริ่มใหม่อีกสักครั้ง ยังไงๆเขาก็เป็นพ่อที่ดีของลูก

ฉันคงรู้สึกผิดในใจด้วยที่ไปยุ่งกับพี่อิน แถมท้องครั้งนี้ไม่แน่ใจอีกแน่ะว่าใครหนอเป็นพ่อของลูก ...ดูทำตัวเข้า หากรู้ดีอย่างวันนี้ จะไม่ทำอะไรโง่ๆอย่างที่ผ่านมาเลย คนเราหนอ เวลาอยู่ในเหตุการณ์มักนึกอะไรไม่ออก เหมือนวนเวียนอยู่ในเขาวงกต กว่าจะหาทางออกมาได้และคิดได้ว่าไม่ควรเข้าไป มันมักจะสายไปเสียทู้กที

-------------------------------------------------------------------------------------------------

ขอนอกเรื่องนิดนึงค่ะ...

ไม่นานมานี้ มีแอร์รุ่นพี่ฉันคนหนึ่งติดต่อมา ทั้งที่เธอไม่เคยคุยกับฉันมานาน เรียกว่าไม่ได้สนิทอะไรกันนอกจากเคยบินด้วยกันบ้างเป็นครั้งคราว ฉันแปลกใจมากที่เธอโทร.มา คุยอ้อมไปอ้อมมาแล้วสุดท้ายถามฉันว่า

“รินเป็นคนเขียนเรื่องในเน็ทใช่มั้ย”

“เรื่องอะไรเหรอคะพี่” ฉันแกล้งถามกลับ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเธอถามถึงเรื่องอะไร (ฉันเขียนอยู่เรื่องเดียวนี่นา)

“เรื่องของรินกับหนิงไง”

“แล้วพี่ทราบได้ไงคะว่ารินเขียน รินยังไม่ทราบเลยว่าเรื่องเป็นไง” เรื่องอะไรจะบอกว่าเราเขียน

“หน่อยเค้าบอก เค้าอ่านแล้ว มีคนส่งมาให้อ่าน เค้าบอกว่าต้องเป็นรินเขียนแน่ๆ”

(จำกันได้ไหมว่า หน่อย คือพี่สาวพี่หนิง)

“หน่อยเค้าฝากพี่มาบอกรินว่าอย่าเอาเรื่องในครอบครัวมาเขียน เสียหายหมด” พี่คนนั้นว่า
เรื่องคล้ายๆกันกับเรื่องของฉันมีอีกมาก เรื่องกัปตันมีเมียน้อยเป็นแอร์ วีนแตกเมียหลวง ...เรื่องแย่งๆกันแบบนี้มีอีกเยอะ ทำไมต้องว่าเป็นฉัน...อิอิ ไม่รับซะอย่าง (เห็นยังว่ารินนี่มันร้ายเหมือนกัน)

ฉันมาเขียนเรื่องนี้ ไม่ใช่เพราะเจ็บแค้นครอบครัวของเขา หากอ่านจนจบ จะเข้าใจดีว่าฉันอโหสิกรรมให้ทุกคนไปนานแล้ว แต่..ที่มาเขียนเพราะอยากให้เป็นตัวอย่าง เป็นอุทาหรณ์สอนใจน้องๆลูกๆหลานๆ ทั้งเรื่องการเลือกคู่ครอง ทั้งการดำเนินชีวิต ทั้งแอบให้ความรู้เล็กๆน้อยๆเท่าที่นึกออก ฯลฯ
และที่เขียนมา ไม่เคยบอกว่าตัวเองดีเลย
--------------------------------------------------------------------------------------------------

เข้าเรื่องๆ กำลังสนุก (หรือเปล่าไม่รู้?)


ฉันไปลาท้อง ตามกฎบริษัท ฉันต้องลาออก หัวหน้าแอร์ตอนนั้นคือพี่หญิง (เสียชีวิตไปแล้วด้วยโรคมะเร็ง) ท่านน่ารักมาก พอฉันบอกว่าไม่อยากออกจากงาน อยากทำงานแผนกอื่น ท่านรีบหาให้ทันที ฉันเลยได้ไปทำงานที่แผนกหนึ่งในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดโปรแกรมทัวร์ของบริษัทอันเป็นพื้นฐานความรู้ที่ทำให้ฉันได้เปิดบริษัทเล็กๆของตัวเองต่อมา

พี่หนิงเอาใจฉันมากขึ้น เชอร์รี่เงียบหายไปจนฉันตายใจว่าทั้งคู่เลิกกันแล้ว แต่เปล่าเลย ที่แท้แล้วตอนนั้นเชอร์รี่ประชดพี่หนิงด้วยการไปคบกับผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่ได้อยู่บริษัทเรา เป็นคนที่แต่งงานแล้ว มีลูกแล้วด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนเด็กๆเชอร์รี่คงเล่นเกมส์ลิงชิงบอลมากไปหรือเปล่า เลยชอบแย่งชิงของของคนอื่นนัก พอพี่หนิงรู้เข้า ก็ตามหึงหวงเชอร์รี่ เป็นเรื่องเป็นราว แต่รินผู้ยังแสนโง่ (ซึ่งคิดว่าตัวเองพัฒนาแล้ว) กลับไม่ทราบเรื่องอะไรเพราะไม่ได้ไปบิน งานที่ไปทำนั้นไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกับลูกเรือเลย ตกข่าวตามเคย ...

มารู้เรื่อง จากปากใคร้..ถ้าไม่ใช่เชอร์รี่เอง เจ้าหล่อนโทรศัพท์มาบอกฉันในเย็นอันแสนสงบวันหนึ่ง ฉันกำลังป้อนอาหารให้ลูกเมฆ มีลูกรุ้งอยู่ใกล้ๆ คอยลุ้นให้น้องชายอ้าปาก อ้ำ ..อ้ำ..

หมีมาบอกฉันว่ามีโทรศัพท์ ฉันไปรับสายโดยไม่สังหรณ์ว่าเป็นยัยผลไม้ พอฉันฮัลโหลเท่านั้น หล่อนซัดมาเต็มเหนี่ยว

“e dok e wain e shipหาย ha ลาก....(เซ็นเซ่อร์)โรงผลิตเด็ก ขอให้ลูกมรึงตาย ขอให้ลูกเมริงไม่มีหัว...”ด่าเหมือนตอนฉันท้องน้องเมฆอย่างกับอัดเทปไว้
เมื่อฉันเปรยเรื่องเชอร์รี่โทร.มา พี่หนิงบอกเหมือนอัดเทปไว้เช่นกันว่า
“รินอย่าไปฟังมันก็หมดเรื่อง พี่จะไปไหนรอด ลูกสามแล้วนะ”ว่าแล้วทำประจบฉันอีก

มาคิดตอนนี้ พี่หนิงคงรักฉันไม่น้อย หากแต่น้อยกว่ารักตัวเขาเอง เขาไม่อยากเสียฉันกับลูกไป ติดที่ความต้องการทางเพศอันมากมาย และความไม่อิ่มไม่พอในโลกียรสของเขาทำให้เขาเลิกกับเชอร์รี่ที่มีความต้องการสอดคล้องกันกับเขาอย่างยิ่งไม่ได้

ฉันท้องทีไร เชอร์รี่จะกลายมาเป็นคนที่มีแต้มต่อตลอด เพราะฉันไม่สามารถรองรับอารมณ์เพศของพี่หนิงได้
อีกทั้งพี่หนิงเป็นคนไม่ชอบเที่ยวผู้หญิง เขาจึงต้องเอาใจเชอร์รี่เพื่อการนั้นโดยเฉพาะ แต่คนเราเมื่อมีความสัมพันธ์กันไปนานเข้า มักจะเกิดความผูกพันขึ้น จนแยกจากกันลำบาก เรื่องแบบนี้ทุกคนคงเห็นกันอยู่รอบๆตัวอยู่แล้ว พี่หนิงเป็นคนไม่เด็ดขาดอย่างท่าทางที่แสดงออกมา เขาเป็นไม้หลักปักเลน (อันนี้เขาบอกเองตอนหลัง) เขาไม่สามารถบังคับใครได้เลย เป็นคนกลางที่หนีปัญหา กระหยิ่มยิ้มย่องกับความกล้าวีนของตัวเองดีจัง วันพระไม่ได้มีหนเดียว คนโบราณนี่ท่านช่างเปรียบเอาไว้ดีแท้

ไม่ยอมเผชิญหน้า ไม่มีความเด็ดขาดมั่นคงที่จะตัดสินใจอะไรได้ตามเหตุผลที่ถูกที่ควร

เชอร์รี่จึงเหิมเกริมเพราะรู้ว่าพี่หนิงไม่ทิ้งเธอหรอก ฉันเองก้าวร้าวมากขึ้นด้วยความเจ็บปวดและประสบการณ์มันสอนให้สู้จนหัวชนฝา เมื่อฉันไม่ยอมลงให้บ้านเขาอีก แม้พี่หนิงจะพูดอย่างไรฉันไม่ฟังทั้งนั้น ฉันมั่นใจว่าน้องสาวของเขาคอยหาทางที่จะกัดฉันอีก

พี่หนิงยังคงพยายามพูดกรอกหูฉันว่าน้องสาวของเขาไม่ได้ทำร้ายลูกเมฆ ทุกอย่างเป็นความประมาทของนวล ฉันเชื่อเขาไม่ลง ฉันบอกพี่หนิงว่า ตลอดมาฉันไม่เคยมีอคติใดๆต่อครอบครัวของเขา น้องสาวเขาเกลียดหน้าฉันตั้งแต่แรกเห็น ตั้งแต่ฉันยังไม่คบกับพี่หนิงด้วยซ้ำ หล่อนเกลียดแอร์ทุกคนที่หน้าตาดีกว่าหล่อน (นี่เป็นข้อวินิจฉัยของฉันเอง)หล่อนเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย (สุดๆ) จิตใจแข็งกระด้าง เมื่อหล่อนมีลูกสาวคนแรก ลูกหล่อนเป็นโรคอ้วนและโรคเบาหวานตั้งแต่อายุสองขวบกว่าๆ

เมื่อน้องรุ้งเกิดมา ใครๆชมว่าน้องรุ้งสวยน่ารัก หล่อนยิ่งโกรธเกลียดฉันและลูกเข้าไปใหญ่ ความจงเกลียดจงชังคงสะสมมาจนกระทั่งหล่อนมีลูกสาวอีกคนหนึ่ง ซึ่งหล่อนผิดหวังมาก เพราะอยากได้ลูกชายมากกว่า ลูกสาวคนที่สองของหล่อนคลอดก่อนกำหนด เป็นเด็กตัวเล็กแกรน ไม่แข็งแรง หล่อนจึงลาออกจากการเป็นแอร์ ฉันคิดว่าหล่อนคงไม่รักงานแอร์อยู่แล้ว คนแบบนั้นจะมีใจรักงานบริการได้อย่างไรเล่า

เมื่อฉันคลอดน้องเมฆ เหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นจากความเกลียดผสมความริษยาที่หล่อนสะสมไว้ในใจดำๆของหล่อนมานาน


วันเกิดฉันปีนั้น พี่หนิงเอาใจด้วยการซื้อรถยนต์วอลโว่รุ่นใหม่เอี่ยม (ตอนนั้น)ให้ฉัน ฉันรักรถคันนั้นมาก เป็นรถที่กว้างขวาง นั่งนุ่มสบาย ฉันจะขับรถไปส่งน้องหนอน กับน้องรุ้งที่โรงเรียนก่อน แล้วไปทำงานที่สำนักงานใหญ่ น้องเมฆอยู่บ้านกับนวล หมี และ ยง โดยที่ฉันไม่ต้องกำชับว่าให้ระวังคนข้างบ้าน เพราะทั้งสามคนไม่ยอมให้น้องเมฆคลาดสายตาเลย แถมคุณแม่ฉันยังมาหาหลานเกือบทุกวัน

เช้าวันหนึ่ง ฉันตื่นมาตามปกติ เตรียมตัวไปทำงาน ปลุกน้องรุ้ง น้องหนอน พอลงไปที่รถ ฉันถึงกับนิ่งอั้น

รถคันใหม่ป้ายแดงของฉันโดนกรีดเป็นรอยรอบคัน ไม่เว้นแม้บนหลังคา


(มีต่อเร็วๆนี้ค่ะ)


โดย: birdchicago วันที่: 28 เมษายน 2550 เวลา:19:05:17 น.  

 
ชีวิตรันทด...เรื่องจริงผ่านคอมพ์ ตอนที่สิบห้า
สวัสดีค่ะ..

ขออภัยมากเลยที่มาช้า ไม่อยากจะแก้ตัวแล้ว ..ฮือ..ฮือ..

ขอบคุณทุกท่านที่อ่าน ขอบคุณทุกท่านที่ลงความเห็น

อยากตอบทีละท่านจริงๆ แต่เวลามีน้อยมากๆ เลยได้แต่อ่านอย่างเดียวด้วยความรู้สึกขอบคุณ
ขอบคุณ และขอบคุณจากหัวใจนะคะ

เชิญเพลิดเพลินและรันทดกับตอนที่สิบห้าได้เลยค่ะ

(ใกล้จบแล้วแหละ)
ชีวิตรันทด...เรื่องจริงผ่านคอมพ์ ตอนที่สิบห้า

เอาอีกแล้ว เฮ้อออ มันจะตามล้างตามผลาญกันถึงไหน ตั้งแต่กลับมาอยู่บ้านเพราะท้อง ฉันวางเฉยกับครอบครัวพี่หนิงมาตลอด ไม่ยุ่งเกี่ยว ไม่รับฟังรับรู้อะไร ฉันบอกเด็กในบ้านห้ามเอาเรื่องที่เกี่ยวกับบ้านนั้นมาเล่า ฉันอยากมีอารมณ์แจ่มใส แม้ว่าบางครั้งเห็นหลังคาบ้านนั้นแล้วจะรู้สึกจี๊ดๆปรี๊ดๆขึ้นมาในใจ

เห็นรถโดนกรีดทั้งคัน โมโหนั่นมันแหงมๆแหละ ปนสงสัยว่าใครทำ ตัวการที่เข้าข่ายผู้ต้องสงสัยมีสองคน ..หนิมกับเชอร์รี่

ฉันขับรถไปส่งน้องหนอนกับน้องรุ้งที่โรงเรียนแล้วขับกลับมาบ้าน พยายามคิดว่าผู้คนที่เขามองรถเราด้วยความสนใจนั้นเพราะคนขับสวย 5555 ลองคิดดูสิคะว่าถ้าคุณนั่งรถไปบนท้องถนนแล้วเห็นผู้หญิงคนหนึ่งขับรถป้ายแดง โดนกรีดรอบคัน คุณจะรู้สึกอย่างไร คงต้องรู้สึกมั่งแหละน้า

โชคดีที่กลับบ้านเรียบร้อยปลอดภัย ไม่ลงจากรถไปถามสายตาสงสัยของชาวบ้าน ชีวิตฉันนี่มันมีเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน โทร.ไปลางาน พร้อมกับพยายามโทร.หาพี่หนิงที่โรงแรมที่โอมาน ไม่ทัน ลูกเรือออกจากโรงแรมไปสนามบินเพื่อบินกลับกรุงเทพก่อนฉันโทร.ไปประมาณครึ่งชั่วโมง เครื่องลงตอนสี่โมงเย็น เอาไงดี โทร.ไปถามพี่ที่ซี้กันในแผนกจัดตารางบิน ถามตารางบินสองตัวการต้องสงสัย

หนิมไปบินตั้งแต่เมื่อวานตอนเช้า กลับพรุ่งนี้เย็น

เชอร์รี่ว่างสองวัน ...

คราวนี้พุ่งเป้าไปที่เชอร์รี่ แล้วจะจับหล่อนได้อย่างไร เอาหละ คิดได้ละ ..ไปแจ้งความ อ้อ ต้องแจ้งประกันด้วย ประกันบอกจะไปรอที่สถานีตำรวจเลย

ตำรวจที่โรงพักจำหน้าฉันได้ ก่อนหน้านั้นฉันไปแจ้งความพี่หนิงกับน้องสาวเขาทำร้ายร่างกายฉัน มีแซวด้วยว่า ผู้หญิงมาแจ้งความโดนแฟนตี แล้วท้องมาแบบนี้ทู้กราย อายเค้ามั้ยล่ะ

ตำรวจกับตัวแทนบริษัทประกันมาทำแผนที่บ้าน สรุปว่า สงสัยคู่กรณีฉันคนใดคนหนึ่งทำ ไม่ก็ว่าจ้างมืออาชีพมาทำ

มีด้วยเหรอ อาชีพรับจ้างกรีดรถ ฉันต้องไปจ้างมากรีดหน้าสองคนนั่นมั่ง

โมโหอีกแล้ว ฉันนั่งไม่ติด ไปรับลูกไม่ไหว ไม่อยากขับรถออกไปเป็นเป้าสายตามนุษย์อีก รถของพี่หนิงไม่อยู่เพราะ เวลาไปปวดหัวจนต้องเอายาหม่องมาทา ยาดม ยาหอมรอบตัวไปหมด ไม่กล้าทานยาอื่น เกรงจะอันตรายต่อลูกในท้อง หกเดือนแล้วตอนนั้น เวลาฉันอารมณ์เสีย เด็กในท้องจะดิ้นมาก เขาอาจจะกำลังพยายามสื่อสารกับแม่ของเขาว่าอย่าโมโหนักเลย เดี๋ยวหนูออกมาเป็นเด็กขี้หงุดหงิดนะ ฉันเอาหนังสือสวดมนต์เล่มเล็กที่มีอยู่ในกระเป๋าถือออกมา อ่านบทสวดมนต์ไปเรื่อยๆ ฉันเคยเรียนภาษาบาลีหลายคอร์สมาก สามารถอ่านบทสวดมนต์พอเข้าใจ ท่องจำได้มากมายจนตอนนี้ไม่ต้องใช้หนังสือสวดมนต์แล้ว ขอเตือนท่านสุภาพสตรีที่กำลังท้องทั้งหลายว่า อาการหงุดหงิดขี้โมโห เอาโมหะเป็นที่ตั้งนั้นทำร้ายชีวิตน้อยๆในท้องอย่างมหันต์

นอนพัก ดูนาฬิกา บ่ายสาม เดี๋ยวพี่หนิงคงกลับบ้านแล้ว เครื่องลงสี่โมงเย็น น่าจะถึงบ้านไม่เกินหกโมง ฉันจะคอยดูพี่หนิงว่าจะทำหน้าแบบไหนยามเห็นรถในสภาพนั้น

บอกนวลให้ไปรับน้องๆแทนฉัน ฉันเอาน้องเมฆมาดูแล ลูกหลับ ฉันหลับตามด้วยความอ่อนเพลียยิ่งนัก

ตื่นมาอีกทีเพราะน้องเมฆตื่นและร้องเรียก คงหิว นวลรับน้องสองคนกลับมาแล้ว ฉันฝืนลุกขึ้นมาทำกับข้าว กับข้าวที่ทำ คืออาหารง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ฉันชอบทำอาหารตั้งแต่ยังอยู่กับคุณแม่แล้ว เรียนรู้เทคนิคมาจากคุณแม่
วันไหนนึกอยากทำอะไรที่ไม่แน่ใจว่าทำเป็นก็โทร.ถามคุณแม่

ต่อมาเมื่อฉันหย่ากับพี่หนิงแล้ว พี่หนิงบอกกับใครๆว่า เขาไม่ควรเลิกกับฉันเลย เพราะรินดูแลเขาอย่างดีที่สุด เสื้อผ้าหอมเรียบเนี้ยบ ทำอาหารอร่อย(แต่เสน่ห์ปลายจวัก ไม่ยักผูกใจเขาได้เท่าเสน่ห์บนเตียง) อยู่กับเชอร์รี่ กินแต่กับข้าวถุง ...สมน้ำหน้า

ทานอาหารกันจนเสร็จ ฉันดูเด็กสองคน (ลูกเธอและลูกเรา ..)ทำการบ้าน หนึ่งทุ่มกว่าแล้ว พี่หนิงยังไม่กลับเลย จะว่าเครื่องดีเลย์คงไม่ใช่ เนื่องจากหากเครื่องดีเลย์ ทางบริษัทจะโทร.บอกที่บ้านของลูกเรือทุกคน ยกเว้นกรณีดีเลย์เล็กน้อย จะถือว่าปกติ อ้าว นั่นไง โทรศัพท์ดัง

ฉันรีบรับโทรศัพท์เพราะร้อนใจอยากให้พี่หนิงกลับมาบ้านเร็วๆ จะได้มาดูรถก่อนที่ฉันจะเอาไปซ่อม เสียงที่คุ้นเคยแต่ไม่อยากได้ยินดังมาตามสาย

“นี่ๆ อีรินเอ๊ยยยยย เมริงจะท้องกี่ที ผัวเมริงก็ยังมาหากรูอยู่ดี ไม่เชื่อมาดู ตอนนี้อยุ่ที่...........(บอกชื่อร้านอาหารไม่ไกลจากบ้านฉันนัก)ฉากนี้ตบตีกันอีกแล้ว เหมือนละครเลย ขอบรรยายให้เห็นภาพกันชัดๆ เพราะฉันจำวันนั้นได้แม่นยำมาก

วันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2539

ฉาก......ร้านอาหารแบบเรือนไทยบ้านๆ ไม่หรูหรา เหมือนเป็นศาลาริมน้ำที่เชื่อมต่อกันหลายหลัง

ตัวละคร
1. หนิง ---- ชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาดี เข้าขั้นเพอร์เฟ็ค ประมาณติ๊กเจษ (แต่สูงกว่า)
2. ริน ---- หญิงสาวหน้าตาดี แต่ดูเหนื่อยโทรม สวมชุดคลุมท้องป็นชุดแสคคอกลมแขนกุดตัดด้วยผ้ายีนส์
ชนิดบางสีซีด ปักลายดอกไม้น่ารัก หากหน้าตาเธอน่ากลัวมาก

3. เชอร์รี่ ----หญิงสาวหน้าตาดีอีกคน แต่นัยน์ตามีแววเลว (อิอิ) สวมเสื้อยืดแขนล้ำสีชมพูแปร๋นแจ๋นแจ๋
สอดชายไว้ในกางเกงยีนส์ขาแคบคับติ้ว ดูเป็นนางร้ายมั่กๆ ( ก้อหล่อนมันนางร้ายนี่นา) สวม
รองเท้าส้นตึกสีแดง (คิดได้ไง แดงกะชมพูเนี่ยนะ)

ตัวประกอบ
พนักงานเสิร์ฟสามสี่คน ...ประชาชนทั้งหลายที่นั่งทานอาหารตามโต๊ะต่างๆ
เวลาตัวละครทะเลาะกัน เหล่าบรรดาตัวประกอบจะหันมามองเป็นตาเดียว

เขียนเรื่อยเปื่อยไปให้มันหนุกหนานบนความเศร้าบ้าง เพื่อจะได้ไม่ร้องไห้เองเวลาพิมพ์ตอนนี้ค่ะ

ฉันเดินเข้าไปที่โต๊ะ ตาอันแสนไวของฉันมองเห็นโทรศัพท์มือถือวางอยู่บนโต๊ะอาหารนั่นหนึ่งเครื่องซึ่งไม่ใช่เครื่องของพี่หนิง เป็นเครื่องรุ่นเดียวกับที่ฉันใช้ ตอนนั้นมือถือยังแพงอยู่มาก หนอย...นี่หล่อนซื้อเองหรือพี่หนิงซื้อให้ ชิชะ... นอกจากตาไวแล้ว ฉันยังสมองไวพอๆกับมือที่หยิบโทรศัพท์เครื่องนั้นขึ้นมา ปาลงไปในบึงนั่นแหละ

น้ำแตกกระจาย ฉันตาไวอีกครั้ง เห็นหม้อไฟตั้งอยู่ ยกขึ้นมาไม่กลัวร้อนมือเลย สาดโครมเข้าไปที่หน้าเชอร์รี่ เสียดายหม้อไฟมันกลายเป็นหม้อเย็นไปแล้ว เชอร์รี่เลยไม่ทันเสียโฉม

กว่าหล่อนกับพี่หนิงจะตั้งตัว ฉันก็จิกหัวมัน (จิกจริงๆนะ) ตอนนั้นมันดัดผมหยิก ฟูฟ่องไปทั้งหัว ฉันรวบผมมันขึ้นมา พี่หนิงอีกแหละที่เป็นตัวขัดขวางไม่ให้ฉันจัดการเชอร์รี่ ตอนนั้นเรี่ยวแรงฉันมาจากไหนไม่รู้ รู้ว่ามากกว่าตอนทะเลาะกับน้องสาวพี่หพี่หนิงจับตัวฉันไว้ เลยกลายเป็นเหมือนว่าพี่หนิงดึงรั้งตัวฉันให้เป็นเป้านิ่งเพื่อให้ยัยผลไม้โจมตี หล่อนเริ่มด้วยการจิกหัวฉันบ้าง แล้วดึงแรงๆ แรงพอๆกับที่ฉันจิกหล่อนมั้ง พี่หนิงบอก

“หยุดเถอะริน มาได้ไง” พูดโง่ๆอีกแล้ว
“ก็อีนี่ไง มันโทร.บอกริน พี่หนิงเลว เลวที่สุด .....” ฉันสะบัดตัวจากพี่หนิงได้อีก พอฉันยกมือขึ้นจะตีหล่อน หล่อนกลับจับมือฉันแน่นแล้วกัดๆๆ ตรงหลังมือซ้าย กัดไม่ปล่อย ฉันเจ็บมาก เลยกระทำการที่สมองคิดได้ตอนนั้น คือ..(ขอโทษค่ะ มันเป็นการกระทำที่สุดจะแย่ ..อย่าเอาอย่าง) ถ่มน้ำลายใส่หน้าร้ายๆของหล่อนเต็มที่ ...โหยยยย สะใจมาก ขอบอก

พี่หนิงเป็นฝ่ายจับตัวเชอร์รี่ไว้บ้าง เขาตวาดเสียงดังอย่างโมโหหนัก ว่า
“พอได้แล้ว ทั้งสองคนเลย อายคนเค้ามั่ง”

ทีอย่างนี้มาอาย เชอร์รี่เอามือล้วงไปในกระเป๋ากางเกงพี่หนิง หยิบกุญแจรถพี่หนิงออกมา วิ่งออกไปที่รถพี่หนิงแล้วขับออกไป ฉันวิ่งตาม ไม่ทัน พี่หนิงตามมารั้งตัวฉันไว้

“กลับบ้านเถอะริน”

พี่หนิงเห็นรถที่โดนกรีดพอดี เขาเงียบกริบ ไม่พูดอะไร เอากุญแจรถจากฉันแล้วขับรถพาฉันกลับบ้าน ฉันร้องไห้อย่างรุนแรง ร้องมากมาย อาการปวดหัวตั้งแต่เช้าทวีขึ้นอีก ปวดหัวจนมึนตื้อ ทั้งปวดแสบปวดร้อนในใจ ฉันรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก ต้องค่อยๆสูดลมหายใจลึกๆ อย่าเพิ่งตาย..ฉันบอกตัวเอง หากตายตอนนี้แล้วลูกจะอยู่อย่างไร ลูก...ทำให้ฉันยังตายไม่ได้ คนที่เบื่อความรัก ความห่วงใยของแม่แล้วมัวไขว่คว้าหาความรักจาก “คนอื่น” น่าจะหันไปมองความรักที่ไม่มีอะไรควรสงสัยเคลือบแคลงจากแม่เราบ้างนะ

พี่หนิงเงียบ ไม่ปลอบโยน ไม่พูดอะไรทั้งสิ้น น้ำตาของฉันไม่เคยทำให้ใจอ่อนหรือรู้สึกผิดเลยหรือไร ฉันมองที่หลังมือซ้ายของตัวเอง แผลที่โดนเชอร์รี่กัดเป็นรอยฟันลึกลงไปในผิวจนเลือดออก ฉันส่งมือให้พี่หนิงดู พี่หนิงหน้าหงิก ไม่พูดตามเคย เออสิ ไม่พูดก็อย่าพูด

กลับถึงบ้าน เด็กๆหลับกันหมดแล้ว ไม่ทันไรก็มีเสียงกริ่งดังขึ้นที่ประตูหน้าบ้าน ยัยผลไม้นั่นเอง หล่อนขับรถพี่หนิงมาจอดที่หน้าบ้าน กดกริ่ง พร้อมตะโกนเรียกพี่หนิง

“พี่หนิง ถ้าไม่ไปส่งรี่วันนี้ก็ไม่ต้องเจอกันอีกเลย ไหนบอกว่าไม่รักeรินไง “
อกแตกตายไง อาการของฉันมันเกือบๆขั้นนั้นแล้ว ฉันนอนลง ความเจ็บปวดแผ่ไปทั้งกายใจ เอามือลูบท้องที่กลมป่องนั้น ลูกเงียบไป ไม่ดิ้นเลยมาตั้งแต่ตอนเย็น แต่ฉันเพิ่งระลึกได้ คงไม่มีอะไรหรอก ฉันปลอบตัวเอง แล้วสุดท้ายจึงหลับไป

รู้สึกตัวตื่นตอนตีสามกว่า มันเหมือนมีอะไรเปียกๆที่ส่วนล่างของร่างกาย ฉันนึกไปว่าฉันไม่น่าจะทำเรี่ยราดบนที่นอนเลย ฉันลุกขึ้นจะไปห้องน้ำ น้ำใสๆไหลออกมาตลอดตามทางเดินไม่กี่ก้าวไปยังห้องน้ำ ฉันตกใจมาก ไม่ทราบว่าตัวเองเป็นอะไรไป ตอนนั้นความที่ตกใจ ฉันจึงเรียกนวลให้ไปบอกพี่หนิง

พี่หนิงดูตกใจเหมือนกัน เขารีบพาฉันไปโรงพยาบาล ฉันเปียกไปตลอดทาง ถึงโรงพยาบาล นายแพทย์ที่อยู่เวรตรวจอาการแล้วบอกฉันว่า ฉันมีอาการที่เรียกว่า “ถุงน้ำคร่ำรั่ว”

อาการนี้ต่างจาก “ถุงน้ำคร่ำแตก” ซึ่งเป็นกระบวนการของหญิงมีครรภ์แก่ใกล้คลอดเป็นกัน หรือที่เรียกกันอีกอย่างว่า “น้ำเดิน” ซึ่งเป็นการเตือนว่าเด็กใกล้คลอดแล้ว ผู้เป็นมารดาต้องรีบไปหาหมอโดยด่วน


ลูกสองคนที่ผ่านมา ฉันคลอดแบบผ่าตัด เพราะน้องรุ้งอยู่ในท้องเกินกำหนด ส่วนน้องเมฆ เมื่อเป็นคนที่สอง คุณหมอจึงผ่าตัดซ้ำรอยเดิม เนื่องจากหากคลอดเอง แผลที่เคยผ่าตัดอาจปริออกได้ ฉันจึงไม่เคยรู้จักอาการน้ำเดินมาก่อน

นายแพทย์อธิบายให้ฉันฟังว่า อาการที่ฉันเป็นเกิดน้อยมากในผู้หญิงท้อง การรักษาคือฉันต้องนอนโรงพยาบาล ดื่มน้ำมากๆเพื่อให้ร่างกายสร้างน้ำคร่ำขึ้นมาให้เพียงพอที่เด็กจะอยู่ได้จนโตครบกำหนดคลอด อย่างไรก็ตาม ทางโรงพยาบาลได้ตามตัวคุณหมอที่เคยทำคลอดฉันประจำมาในเช้ามืดวันนั้น

คุณหมอของฉันเป็นผู้หญิง เธอมาดูอาการฉันแล้วปลอบให้ฉันใจเย็นๆ ฉันต้องนอนโรงพยาบาลโดยไม่ทราบอนาคตว่าลูกในท้องจะแข็งแรงพอที่จะเอาตัวรอดในถุงน้ำคร่ำอันเหลือน้อยนิดที่ห่อหุ้มเขาได้หรือไม่ หากน้ำคร่ำน้อยลงไปเรื่อยๆโดยร่างกายแม่สร้างไม่ทัน คุณหมอต้องทำคลอดก่อนกำหนด ซึ่งลูกยังโตไม่พอที่จะออกมาเป็นปกติ เพราะทารกที่คลอดก่อนเจ็ดเดือนมักจะมีอาการต่างๆที่ทำให้แม่สูญเสียลูกไปได้โดยง่าย ฉันจึงต้องพยายามเต็มที่ที่จะนอนนิ่งๆ ไม่ลุกจากเตียงแม้เวลาขับถ่าย ฉันทรมานมาก หากอดทนมากเช่นกัน เพื่อลูกจะได้มีชีวิตรอดปลอดภัย

ทุกวันที่นอนอยู่ที่โรงพยาบาล ฉันจะสวดมนต์ขอให้ลูกในท้องแข็งแรงปลอดภัย มีบางครั้งนึกสงสัยว่า ถ้าเป็นลูกพี่อินจะหน้าคืนที่ลูกคลอดออกมาเป็นคืนมหาโหดอีกหนึ่งคืนในชีวิต....

ตอนเย็น คุณหมอดูอัลตร้าซาวน์ให้ฉัน เพื่อเช็คดูจำนวนน้ำคร่ำและความปกติของลูกในท้อง คุณหมอแจ้งว่าปกติดี แถมชมเชยฉันเสียใหญ่ว่าฉันเก่งมากที่สามารถนั่งๆนอนๆอยู่บนเตียงคนไข้มาได้เกือบสามสัปดาห์แล้ว เหลืออีกเพียงสัปดาห์เดียว เด็กในครรภ์จะมีอายุเจ็ดเดือน อันเป็นระยะปลอดภัยที่จะคลอดก่อนกำหนดได้ เพราะปอดของทารกเจ็ดเดือนจะแข็งแรงพอที่จะเอาตัวรอดอยู่ในตู้อบไปอีกสักระยะ คุณหมอให้กำลังใจฉันมากด้วยการบอกว่าเด็กที่คลอดตอนเจ็ดเดือนมักเป็นเด็กที่มีความฉลาดเฉลียวเป็นพิเศษ

แต่..อนิจจาเอ๋ย..ฉันไม่มีทางได้รู้เลยว่า ลูกฉันฉลาดแค่ไหน

พอคุณหมอออกไปจากห้องแล้ว โทรศัพท์มือถือของฉันก็ดังขึ้น ดูที่เบอร์ เป็นเบอร์ 02-----ไม่แน่ใจว่าเบอร์ใคร แต่ฉันกดรับโทรศัพท์เพราะแน่ใจว่าไม่ใช่เชอร์รี่ ก็ฉันเพิ่งเปลี่ยนเบอร์และแทบไม่บอกใครเลยนอกจากเพื่อนสนิทสองสามคนและครอบครัวฉันเท่านั้น

“ฮัลโหล”

“ว่าไงeตัวร้าย...” เสียงหล่อนมาอีกแล้ว ...เชอร์รี่
“ลูกเมริงตายยัง โถ น่าสงสาร พี่หนิงเค้ามานอนกะกรูทุกวัน วันนี้กรูบอกให้ไปดูเมริงซะหน่อย เดี๋ยวเค้าคงไปถึง วันนี้เค้าใส่เสื้อโปโลสีขาวนะมรึง บลา บลาๆๆๆ”

ฉันไม่ฟังมันจนจบหรอก อารมณ์ร้อนจี๊ดจนตัวสั่น ใจสั่น ยัยคนนี้ มันจะจองเวรกันไปถึงไหน

ประตูห้องเปิดออก พี่หนิงโผล่เข้ามา สวมเสื้อโปโลสีขาว !!!

ฉันหูอื้ออีกแล้ว โกรธๆๆๆๆ ลืมที่คุณหมอบอกว่าห้ามเคลื่อนไหวร่างกายมากๆ ฉันลุกขึ้น ผลักโต๊ะมีล้อแบบที่ใช้สำหรับให้คนไข้รับประทานอาหารออกจากรัศมีการเคลื่อนไหว ลุกขึ้นจากเตียง ถลาไปที่พี่หนิง ดึงคอเสื้อเขากระชากๆๆๆๆ

“พี่หนิง รินกะลูกกำลังจะตาย ยังมีแก่ใจไปสมสู่กะมันอีกเหรอ” ฉันกรี๊ด ตะโกน (จนพยาบาลข้างนอกได้ยิน)

“รินนี่ บ้าอีกละ” พี่หนิงพยายามเอาตัวเองออกจากการถูกฉันดึงเสื้อ แต่ฉันยึดไว้แน่น อีกมือหนึ่งตบหน้าพี่หนิงไปหลายครั้งจนเจ็บมือ

“อีนี่ พูดไม่ฟัง กรูจะทำอะไรมันเรื่องของกรู” พร้อมกับตบหน้าแล้วเขาก็เดินออกไปจากห้อง ปล่อยให้ฉันฟูมฟายอยู่กับพยาบาลที่ดูเหมือนจะเข้าใจสถานะการณ์เป็นอย่างดี

หมี เด็กที่บ้านที่ออกไปซื้ออาหารกลับเข้ามาอีกคน หลังจากวันนั้นหมีบอกฉันว่า เจอเชอร์รี่คอยพี่หนิงอยู่ข้างล่าง หล่อนคงกะจังหวะที่พี่หนิงใกล้จะมาถึงห้องฉันพอดี แล้วโทร.เข้ามายั่วให้ฉันโกรธ หล่อนคงรู้ดีว่าหากฉันโกรธและหาเรื่องพี่หนิง ฉันต้องเจ็บตัวแน่นอน

พยาบาลพยุงฉันลุกขึ้นมา พื้นห้องเปียกไปหมด

น้ำคร่ำที่มีเหลือหล่อเลี้ยงชีวิตลูกน้อยหมดลงเพราะฉันเอง เพราะฉันลุกขึ้นมาจากเตียงด้วยความโมโห ฉันนึกย้อนไปวันนั้นแล้วไม่วายสะเทือนใจ เป็นความเขลาของฉันเองแท้ๆที่เต้นตามเกมส์ของเชอร์รี่ทำให้ฉันต้องเสียใจมาตราบจนวันนี้

ฉันต้องคลอดลูกในวันนั้น คุณหมอปลอบว่าไม่ต้องตกใจ (ราวกับคุณหมอเองทราบดีว่าเกิดอะไรขึ้น) ลูกฉันเกือบเจ็ดเดือนแล้ว รวมทั้งได้เตรียมคุณหมอเด็กไว้ดูแลสุขภาพลูกที่จะคลอดถึงสี่ท่าน พร้อมกับพาคุณหมอเด็กทั้งสี่ท่านมาให้กำลังใจฉันอีกรอบ

คุณหมอจัดการให้ฉันคลอดด้วยตัวเอง เธอบอกว่าเด็กตัวเล็ก คลอดเองได้ ไม่มีปัญหากับแผลที่เคยผ่าตัด

ลูกชายคนเล็กของฉันคลอดออกมาวันนั้น

*****วันที่ 24 สิงหาคม 2539 เวลา 23.20 น*****

ฉันหมดสติไปในทันทีที่ลูกเคลื่อนออกจากตัวฉัน

จากวันนั้น ถึงวันนี้ สิบปีกว่าแล้ว ฉันไม่มีโอกาสได้เห็นแม้แต่หน้าของลูก

เพราะ....
ลูกชายที่น่าสงสารคนนั้นของฉันเสียชีวิตหลังจากออกมาดูโลกได้เพียงสองชั่วโมงเท่านั้นเอง
เนื่องจากขนาดตัวเล็กเกินไป ปอดไม่สามารถทำงานได้ คุณหมอพยายามช่วยทุกทาง หากช่วยชีวิตน้อยๆนั้นไว้ไม่ได้

ฉันหมดสติเพราะฤทธิ์ยานอนหลับที่คุณหมอให้ คุณหมอคงคาดไว้ว่าฉันจะทำใจไม่ได้ เลยให้หลับไปก่อนหนึ่งคืน
ฉันตื่นมาตอนเช้า ลืมตาเจอคุณหมอพอดี ฉันถามเธอด้วยสังหรณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นในใจทันทีที่ลืมตาว่าคุณหมอมองฉันอย่างเห็นใจ จับมือฉันกุมไว้บนสองมือของเธอ พูดเสียงเบานุ่มว่า

“ไม่เป็นไรนะคะคุณริน คุณรินยังแข็งแรง มีใหม่ได้ ทำใจให้สบายนะคะ อย่างน้อยมีลูกอีกสองคนที่คุณรินต้องดูแลนะคะ”

คุณหมอพูดผิด ..ลูกที่ฉันต้องดูแลนั้นสามคนต่างหาก น้องหนอน น้องรุ้ง น้องเมฆ

ฉันนอนน้ำตาไหล น้ำตาไหลรินออกมาสมชื่อรินยิ่งนัก รินไหลออกมาโดยที่ฉันไม่ต้องสะอื้นร่ำไห้อย่างเคย เป็นน้ำตาแห่งความสูญเสียความหวังสุดท้ายที่จะยื้อครอบครัวตัวเองเอาไว้ได้อันหลั่งไหลจากดวงตาและดวงใจแบบเงียบเชียบ

สุดปัญญาแล้วที่ฉันจะใจอ่อนกับพี่หนิงอีก

ฉันนอนเงียบ ไม่พูดกับใครเลยแม้แต่คุณแม่ ตอนนั้นฉันจำได้แค่ว่า ฉันไม่อยากพูด และไม่อยากได้ยินอะไรอีกแล้ว จนถึงวันที่คุณแม่มารับกลับบ้าน ฉันยังคงเงียบอยู่ จิตแพทย์เข้ามาพูดคุยกับฉันแต่ฉันยังคงเฉย

ก็ฉันไม่อยากพูดนี่นา...


(มีต่อตอนที่16 เร็วๆนี้ค่ะ)


โดย: birdchicago วันที่: 28 เมษายน 2550 เวลา:19:05:59 น.  

 
ชีวิตรันทด...เรื่องจริงผ่านคอมพ์ ตอนที่สิบหก (ตอนจบ) 16.1


คุณพ่อคุณแม่เป็นห่วงฉันมากที่ฉันไม่ยอมพูดอะไรกับใครเลย ท่านทั้งสองไปส่งฉันที่บ้าน น้องเมฆโผเข้ามาหา ฉันกอดลูกแนบอก น้ำตาท่วมใจ หอมแก้มลูก นี่ถ้าฉันต้องเสียลูกที่เหลือไป ฉันจะทำอย่างไรดี ยามนั้นฉันนึกอะไรไม่ออก สมองทึบตื้อ มีแต่ความโศกเศร้าสูญเสีย ตั้งตัวไม่ติดกับพายุที่พัดโหมเข้ามาในชีวิต

ฉันยังคงไม่พูด ทำตัวเป็นคนใบ้ พี่หนิงหายไปตามเคย คุณแม่ฉันพยายามโทร.หาเขา หากติดต่อไม่ได้เลย คุณแม่มาอยู่กับฉัน เวลาท่านพูดกับฉัน ฉันรับรู้ รับฟัง แต่ปากไม่เปิด ไม่สามารถพูดจาสื่อสารกับใครได้ ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเป็นอย่างนั้น อาการไม่พูดหรือพูดไม่ออกของฉันได้รับการเยียวยาในเวลาต่อมาจากจิตแพทย์ที่เก่งมากท่านหนึ่ง ซึ่งฉันยังคงรำลึกถึงพระคุณของท่านเสมอมา
ท่านเป็นหัวหน้าแผนกจิตเวชในโรงพยาบาลรัฐบาลชื่อดังมากแห่งหนึ่ง อาจารย์จิตแพทย์ท่านนี้ค่อยๆถามอาการฉันจากคุณแม่ ให้ยาทีละน้อย พร้อมให้คุณแม่สังเกตฉันอย่างใกล้ชิด

หลายคนกลัวว่าฉันจะฆ่าตัวตาย บอกจริงๆว่า ฉันเคยคิดอยากตายเหมือนกัน แต่..ลูก...ทำให้ฉันล้มเลิกความคิดนั้นเสียทุกครั้ง แล้วคุณพ่อคุณแม่ฉันอีกล่ะ ท่านทั้งสองจะเสียใจขนาดไหนหากฉันจากไปก่อนเวลา แค่นั้นท่านก็เสียใจมากพอแล้ว

คุณแม่ฉันพยายามทุกทางที่จะช่วยฉัน ท่านหาเบอร์โทร.บ้านเชอร์รี่มาได้ เมื่อโทร.ไปขอพูดสายกับคุณแม่ของเชอร์รี่ คุณแม่ฉันได้รับคำตอบมาแบบหยาบมาก เช่น

“บอกลูกเมริงให้เอาโซ่ล่ามผัวมันไว้สิ จะได้ไม่ต้องมายุ่งกะลูกกรู”

“ลูกกรูอยู่เฉยๆ ผู้ชายมาหาเอง มาทุกวันแหละ” (เออเนอะ เหอๆๆ)
ฯลฯ

นี่ไงตรงกับภาษิตโบราณที่ว่าไว้เลย “ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่”

คุณแม่ไม่ได้เล่าให้ฉันฟังตอนนั้นหรอก แต่มาเล่าทีหลัง ท่านสืบจนทราบว่าบ้านเชอร์รี่อยู่ในซอย(หรือน่าจะเรียกว่าตรอกเพราะรถเข้าไม่ถึง) เสื่อมโทรมหนึ่งแถวจรัลสนิทวงศ์ พ่อของเชอร์รี่เสียชีวิตด้วยโรคแอลกอฮอลิซึ่ม ส่วนแม่หล่อนนั้นสติไม่ค่อยดี ชอบออกมาโวยวายจนคนแถวนั้นระอา (ต่อมาแม่ของเชอร์รี่ป่วยด้วยโรคพาร์กินสัน เสียชีวิตไปแล้ว)

เชอร์รี่เรียนโรงเรียนรัฐบาลแถวบ้าน จนจบม. ปลาย แล้วสอบเอ็นทรานซ์ติดมหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่ง คนละที่กับที่ฉันเคยเรียน เมื่อเรียนจบ หล่อนมาสมัครเป็นแอร์แล้วเลยอัพเกรดตัวเองจนดูดีได้ในระยะเวลาไม่นาน ถ้าใครมาอ่านเจอฉันแฉเชอร์รี่แบบนี้อาจจะอึ้ง ทึ่ง เพราะเธอวางมาดคุณนายได้ราวกับออกมาจากโรงเรียนราชินีเลยทีเดียว

ต้องขออภัยด้วยที่ฉันเขียนถึงภูมิหลังของเชอร์รี่แบบเหยียดหยามมากไปหน่อย คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกทางชีวิตที่จะเป็นคนดี(มากกว่าเลว)ได้ ใช่หรือไม่

เชอร์รี่เจอพี่หนิงตั้งแต่หล่อนเพิ่งเข้ามาบินใหม่ๆ ความเจนจัดของพี่หนิงหรือจะสู้หล่อนได้ หล่อนทำตัวน่าสงสาร เป็นหญิงกตัญญูสู้ชีวิต เก็บหอมรอมริบ เรียบร้อย วางแผนดักจับพี่หนิงได้แนบเนียนแยบยล ประกอบกับพี่หนิงเองรู้เห็นเป็นใจกับหล่อนด้วยแหละนะ โทษใครฝ่ายเดียวไม่ได้ ต้องด่าทั้งคู่
กิเลสตัณหามันบังตาพี่หนิงจนเห็นผิดเป็นชอบ หญิงร้ายชายเลว หรือผีพอดีกับโลง ประมาณนั้น

ระหว่างที่ฉันอยู่บ้าน มีคุณแม่กับนวล และหมีกับยง ช่วยกันดูแลลูกๆ น้องหนอนยังคงอยู่กับฉัน เธออาละวาดกับคนในบ้านบ่อย ยกเว้นฉัน เพราะฉันไม่พูด

น้องรุ้งโตพอที่จะผิดสังเกตกับอาการของฉัน ฉันสงสารลูกมาก อยากพูดให้มากๆ อยากกลับเป็นคนเดิม แต่ทำไม่ได้ ฉันอึดอัดมากที่อยากพูด อยากปลอบลูก อยากบอกคุณพ่อคุณแม่ว่าฉันรักท่านมากเพียงไร แต่มัน...พูดไม่ออก ฉันไม่กล้าออกจากบ้านไปไหนมาไหน นอกจากไปซื้อของเล็กๆน้อยๆที่ไม่ต้องพูดกับใครมากนัก

ฉันสื่อสารกับคนใกล้ชิดด้วยการเขียน แต่ถ้าฉันเกิดไม่อยากเขียนขึ้นมา ฉันจะเฉยเอาดื้อๆ เอากะฉันสิ อาการนี้มันน่าหนักใจกับคนรอบข้าง ฉันไม่ได้แกล้งเป็น ใครล่ะจะไม่พูดได้เป็นเวลานานหลายเดือนขนาดนั้น


เวลาผ่านไปหลายเดือน อาการของฉันเริ่มดีขึ้น ทานอาหารได้มากขึ้น แต่ฉันยังคงพูดไม่ได้ อาจารย์จิตแพทย์นัดฉันไปพบทุกสัปดาห์ ฉันไปพร้อมคุณแม่ และแล้วกาลเวลาก็เริ่มเยียวยารักษาฉันควบคู่ไปกับอาจารย์จิตแพทย์ท่านนั้น ท่านให้ฉันใช้การเขียนสื่อสารกับท่าน ฉันเขียนความในใจไปมากมายโดยไม่ปิดบัง เพราะฉันทราบดีว่า คุณหมอเป็นความหวังของฉันที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง

ฉันไม่ยอมแพ้ แม้จะล้มลงไปกี่ครั้ง ฉันจะยืนขึ้นมาได้ทุกครา ล้มลุกคลุกคลานจนใครๆงงว่าฉันทนมาได้อย่างไร ฉันจะบอกให้ว่า คนเรามีขีดความอดทนไม่เท่ากัน บางคนไม่ต้องทนอะไรเลย ตัดสินใจทุกอย่างได้อย่างเฉียบขาดโดยไม่ต้องคิดแล้วคิดอีกแบบฉัน เพื่อนคนหนึ่งบอกว่าฉันเจ็บแล้วไม่จำ ...จริงของเพื่อน ฉันใจอ่อนเกินไป ให้โอกาสคนมากไป เพราะฉันมองโลกในแง่ดีกระมัง แม้จนวันนี้ ฉันยังคงมองโลกในแง่ดีอยู่

ฉันเชื่อในความดีของมนุษย์ด้วยกันเสมอ ถึงจะผิดหวัง ผิดพลาด ซ้ำแล้วซ้ำอีก ฉันก็ยังไม่เลิกศรัทธาว่า โลกนี้มีคนดีมากกว่าคนไม่ดี.....

ตลอดเวลาที่ฉันไม่สามารถพูดออกมาได้นั้น มีโทรศัพท์จากเชอร์รี่มาเป็นระยะ แม้แต่คุณแม่ฉันรับโทรศัพท์ยังโดนหล่อนด่าเข้าให้เลย คุณแม่ฉันบอกว่าไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนแบบนี้ในโลก ซึ่งเป็นคำพูดเดียวกับแทบทุกคนที่ได้ฟังเรื่องราวของฉัน เอ่อ..ก็ฉันมันซวยนี่นา

พี่หนิงไม่เคยเชื่อ (หรือไม่ก็ไม่สนใจ) ว่าเชอร์รี่โทร.มาด่าว่าพวกเราทั้งบ้าน บอกแล้วว่าหล่อนจัดจังหวะการโจมตีได้เยี่ยมยอด (จริงๆ)

คุณแม่ฉันไม่ได้พบปะเสวนากับคุณแม่พี่หนิงหรือเฉียดกรายไปทางรั้วด้านที่ติดกับบ้านนั้นเลย ท่านบอกว่าคนบ้านนั้นใจร้ายใจดำ ท่านทนไม่ได้ และไม่น่ายอมให้ฉันแต่งงานกับพี่หนิงเลย

ฉันต้องลางาน ลาป่วยแบบไม่มีกำหนด อยู่บ้านไปวันๆ ทำกิจวัตรประจำวันไปตามปกติ จำได้ว่าเวลานั้นฉันเหมือนอยู่ในโลกสองโลก ฉันมักส่องกระจกนานๆ รินในกระจกพูดจากับฉันอย่างคุ้นเคย ปลอบโยนฉันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเห็นใจ ฉันสร้างภาพรินคนที่ยังมองโลกในแง่ดีมาปลอบใจรินคนที่หัวใจแตกร้าวไปหมด ลึกๆแล้วฉันรู้ตัวนะว่าตัวเองเป็นอะไรอยู่ ฉันนอนร้องไห้บ่อยๆ ตื่นมาตาบวมช้ำ สงสารคุณแม่คุณพ่อ สงสารลูกๆ สงสารตัวเอง อนาคตทั้งหมดดับสูญด้วยน้ำมือคนที่ฉันเคยรักและวางใจ อาการพูดไม่ออกทำให้ฉันอึดอัดมาก ฉันสื่อสารกับใครๆด้วยการเขียน แต่ถ้าฉันเกิดไม่อยากเขียนขึ้นมา ฉันจะเฉยเอาดื้อๆ เอากะฉันสิ อาการนี้มันน่าหนักใจกับคนรอบข้าง ฉันไม่ได้แกล้งเป็น ใครล่ะจะไม่พูดได้เป็นเวลานานหลายเดือนขนาดนั้น

พี่หนิงมาเยี่ยมฉันหลังจากเวลาผ่านไปสองเดือน เมื่อเขาเห็นสภาพฉัน สีหน้าเขาจ๋อยไปเหมือนกัน เขาปลอบฉันว่า
“อย่าคิดมากเลยริน พี่เป็นห่วงรินนะ” เพิ่งจะมาห่วงเหรอ สายไปแล้ว

ฉันคว้ากระดาษกับปากกามาเขียน

....ไปให้พ้น ฉันเกลียดแก เกลียดคนบ้านแก เกลียดๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

เขียนเสร็จ เอากระดาษกับปากกาปาหน้าพี่หนิง เขาหลบทัน ทำท่าโมโหแล้วเดินออกไป

ไปเสียเถอะ ไปให้พ้นจากชีวิตฉันเสียที ฉันหมดใจ หมดเยื่อใยกับเขาโดยแท้จริง
แต่ในเมื่อฉันยังไม่ได้หย่าขาดจากพี่หนิงอย่างเป็นทางการ เชอร์รี่จึงยังคงรุ่มร้อน คอยโทร.มาที่บ้าน เอาจดหมายมาใส่ตู้ไปรษณีย์หน้าบ้าน ขับรถโฉบมาบีบแตรดังๆ ฯลฯ ใช้มุขเดิมๆ จนคนในบ้านเบื่อมากกกกก

วันที่ฉันพูดออกมาได้เป็นวันที่ฉันกำลังแต่งตัวเตรียมไปพบจิตแพทย์ คุณแม่เข้ามาดู ว่าฉันเรียบร้อยหรือยัง

“เสื้อตัวนี้สวยนะลูก แต่แม่ว่าคอมันกว้างไปหน่อย เพราะรินผอมลงมากมั้งลูก หาสร้อยใส่ซักเส้นดีมั้ยลูก”

คุณแม่ออกความเห็น ฉันอยากตามใจท่าน ด้วยสำนึกมาตลอดเวลาที่ป่วยว่าท่านเหน็ดเหนื่อยเพียงไรที่ต้องดูแลทั้งลูกทั้งหลานในไส้และหลานนอกไส้ (น้องหนอนยังคงอยู่กับฉัน)

ตั้งแต่ป่วย หลังจากสูญเสียลูกไป ฉันไม่ได้ใช้เครื่องประดับสิ่งใด นอกจากนาฬิกาข้อมือที่สวมเป็นประจำ ฉันเขียนบอกคุณแม่ว่า

..เดี๋ยวรินหยิบสร้อยมาให้แม่ช่วยเลือกนะคะ..

คุณแม่บอก “อยู่ไหนล่ะลูก แม่หยิบให้เอง”

ฉันจูงมือคุณแม่ไปที่ตู้เสื้อผ้า เปิดลิ้นชักออกมา ลิ้นชักที่ฉันใส่เครื่องประดับเอาไว้

สิ่งที่ฉันเห็นโดดเด่นมาท่ามกลางเครื่องประดับชิ้นอื่นๆคือ...สร้อยทองคำขาวเส้นบาง ห้อยด้วยจี้รูปดอกเหมย

ฉันหยิบสร้อยเส้นนั้นขึ้นมา สวมมันที่คอ แล้วหันมาหาคุณแม่
“สวยมั้ยคะแม่” เสียงแหบๆเปล่งออกมาจากลำคอของฉัน อย่างที่ตัวฉันเองยังตกใจ

“ริน ริน” คุณแม่ละล่ำละลัก กอดฉันไว้แน่น “ลูกพูดได้แล้ว โอย แม่ดีใจที่สุดเลย ไหนพูดอีกซิลูก”

“รินพูดได้แล้วแม่ รินพูดได้แล้ว รินพูดได้” ฉันพูดกลับไปกลับมา ดีใจเหลือเกินที่กลับมาพูดได้อีกครั้ง

สร้อยเส้นนั้นช่วยให้ฉันพูดได้หรือเปล่า ฉันไม่แน่ใจนัก รู้เพียงว่าเมื่อเห็นสร้อยเส้นนั้น ความทรงจำกับวันคืนที่นาริตะสว่างวาบขึ้นมาในใจ ความรัก..น่าจะเป็นแบบนั้น ใช่ป่าวน้อ สร้อยเส้นนั้นพี่อินให้ฉัน เขาเคยบอกเองว่าดอกเหมยหรือดอกบ๊วยเป็นดอกไม้แห่งความหวัง แล้วฉันจะยอมสิ้นหวังอยู่ทำไม เมื่อหัวใจกับสมองเชื่อมโยงกันได้ดี ฉันจึงสามารถพูดได้อีกครั้ง

ฉันตื่นเต้นมากที่กลับมาปกติ ทุกคนในบ้านดีใจกันใหญ่ น้องเมฆเองก็ท่าทางตื่นเต้น เพราะน้องเมฆอาจจะคิดว่าแม่ทำไมไม่พูดเหมือนคนอื่นๆ ตอนนั้นน้องเมฆเดินได้เตาะแตะ พูดได้บ้าง เป็นเด็กน่ารักที่สุด (ในสายตาของฉันเอง) ต่อจากน้องรุ้ง (คนอะไรบ้าลูกตัวเอง...)

ฉันได้พูดคุยกับคุณแม่ (ผู้ทำตัวเป็นโคนัน สืบไปเสียทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเชอร์รี่) มากมาย ได้รู้เรื่องที่คุณแม่ทราบมาอย่างละเอียด เชอร์รี่เที่ยวบอกใครๆว่าพี่หนิงจะให้ของขวัญวันเกิดหล่อนเป็นใบหย่า สาธุ เอาไปเถอะหล่อน ฉันจะได้หมดเวรหมดกรรมเสียที

ฉันติดต่อขอหย่ากับพี่หนิง เขาไม่ยอมคุยด้วย คงไม่อยากแบ่งสมบัติ ผ่านวันเกิดเชอร์รี่ไปแล้ว พี่หนิงยังคงทำไม่รู้ไม่ชี้เรื่องหย่า เราแยกกันอยู่อย่างนั้น ฉันรักษาตัวจนอาการประสาทต่างๆดีขึ้นมาก

ตรงนี้ต้องย้ำเลยว่า เวลาเท่านั้นที่เป็นตัวช่วยให้บาดแผลทั้งหลายในใจฉันดีขึ้นจนกลายเป็นแผลเป็นในที่สุด ดุจดังแผลเป็นที่หลังมือซ้าย อันเกิดจากการตีกับเชอร์รี่ ฉันต้องเห็นมันอยู่บ่อยๆ ตอนเกิดเรื่องใหม่ เห็นแล้วโกรธ โมโห แค้นใจเหลือเกิน แต่ตอนนี้เหรอ เห็นแล้วงั้นๆ

ฉันตัดสินใจลาออกจากงาน หลังจากปรึกษาพ่อแม่พี่น้องผองเพื่อนสนิททั้งหลาย เกือบทุกคนเห็นด้วยว่าฉันควรออกไปจากซีนเดิมๆ เปลี่ยนเส้นทางชีวิตใหม่ หากฉันยังคงทำงานในบริษัทเดียวกับพี่หนิงและเชอร์รี่ ฉันคงไม่มีความสุขแน่ ต้องได้ยินได้ฟังเรื่องราวของสองคนนั้นตลอดเวลา ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากรับฟังอะไรแล้ว
เมื่อลาออกจากงาน ฉันได้เงินมาก้อนหนึ่ง ฉันแบ่งเป็นสองส่วน ซื้อประกันชีวิตเป็นเงินสูงพอควรให้ลูกทั้งสอง เพื่อเป็นหลักประกันว่า หากฉันเป็นอะไรไป ลูกจะมีเงินพอใช้จ่ายไปจนช่วยเหลือตัวเองได้ ส่วนตัวฉันเอง มีเงินเก็บประมาณสามแสนบาทในตอนนั้น หากใช้อย่างระมัดระวังคงพออยู่ไปได้จนกว่าจะหางานใหม่ได้

ฉันพยายามฟื้นฟูสุขภาพของตนเอง ไปหาจิตแพทย์ตามนัด คุณหมอลดยาลงเรื่อยๆจนหยุดไปในที่สุด รวมเวลาที่ฉันเริ่มป่วยตั้งแต่เสียลูกคนเล็กไปจนถึงวันที่ฉันหยุดทานยาเป็นเวลาสิบเก้าเดือน
เกือบสองปีที่ฉันจมอยู่ในความทุกข์ทรมานใจ สุดท้ายมันก็ผ่านพ้นไป

สิบเก้าเดือนที่เชอร์รี่ยังคงรอใบหย่า หล่อนช่างมั่นคงกับความตั้งใจเสียนี่กระไร

สุดท้าย เชอร์รี่ก็ได้ใบหย่าสมใจ หลังจากที่คุยมาหลายปีว่าจะได้ใบหย่าเป็นของขวัญวันเกิด –น่าคุยจังนะเรื่องนี้ หล่อนคิดอะไรของหล่อน ถึงก้าคุยโวกับใครๆแบบนั้น

ได้ใบหย่าไปไว้รอทะเบียนสมรสน่ะหรือ หล่อนลืมไปมั้งว่าฉันผู้มีทั้งทะเบียนสมรสและลูกอีกสองคนยังรั้งพี่หนิงไว้ไม่ได้ แล้วหล่อนคนเดียวจะเอาพี่หนิงไว้อยู่แค่ไหนกันเชียว

ตลอดเวลาเหล่านั้น ฉันไม่ได้พบพี่อิน กับทั้งไม่มีข่าวจากเขาเลย ดีแล้วแหละ ต่างคนมีทางต้องเดิน มีชีวิตที่ต้องรับผิดชอบดูแล พี่อินจะนึกถึงฉันบ้างหรือเปล่าฉันไม่อาจทราบได้เลย

พี่หนิงหลบไปหลบมาจนกระทั่งวันหนึ่งฉันนัดเขามาคุยเรื่องหย่า (ที่ได้พูดมาหลายครั้งมากๆ) เขาตอบเหมือนเดิมว่า เขาไม่หย่า ให้ฉันไปฟ้องเอา

“พี่หนิงจะยื้อรินไว้ทำไม รินไม่อยากอยู่กับพี่หนิง รินเบื่อต้องมาคอยรับโทรศัพท์จากผู้หญิงต่ำๆ ลูกๆหวาดผวาเสียงมันกันหมด มันด่าไม่เว้นเลย พี่หนิงฟังสิ รินอัดเทปเอาไว้”
ฉันเปิดเทปที่บันทึกเสียงด่าตามสายของเชอร์รี่ให้พี่หนิงฟัง เขาทำท่าเบื่อ เดินหนี ฉันตามไปดึงเสื้อเขาไว้ เขาสะบัดหนี

เรื่องดำเนินไปซ้ำซากอีกหลายเดือน พี่หนิงคงรู้แล้วว่าคราวนี้ฉันไม่ใจอ่อนแน่ ในขณะที่ไม่เลิกกับฉัน เขายังคงไปบินกับเชอร์รี่จนรู้กันไปทั่วว่าทั้งคู่.....หน้าด้านค่ะ...หน้าด้าน....

แล้ววันที่พี่หนิงต้องยอมหย่าขาดจากฉันก็มาถึง....แต่ขอเล่าเรืองเชอร์รี่นิดนึง

วันนั้นฉันกลับมาจากขับรถไปรับลูกๆที่โรงเรียน น้องเมฆเข้าโรงเรียนอนุบาลแล้ว ฉันเริ่มมีความสุขกับลูกๆ ไม่ค่อยนึกถึงพี่หนิงมากนัก อยู่ดีๆ เชอร์รี่โทร.มาที่บ้าน ทั้งที่หล่อนเงียบไปนาน

“ฮัลโหล..”ฉันรับสาย ปลายสายเงียบ ฉันฮัลโหลอีก คราวนี้เสียงหล่อนแปร๊ดๆมาตามสาย

“อีริน อีหน้าด้าน เมื่อไหร่เมริงจะยอมหย่าพี่หนิงซักที อีแก่ เค้าเบื่อหน้าเมริงจะตายอยู่แล้ว อีคน ha-ลาก ช้าง.....” (หยาบคายจนฉันตกใจ ทั้งที่คุ้นเคยมาก่อนแล้ว

แต่ฉันไม่ปล่อยให้หล่อนด่าฉันนาน ฉันสวนกลับไปทันที

“โธ๋เอ๋ย คนอะร โดนหลอกเอาฟรี ใครไม่ยอมหย่ากันแน่ ไปบอกเค้าเลยว่าชั้นรออยู่ทุกวัน เธอพาเค้ามาเลยนะ ชั้นยกให้ นึกว่ายกกระดูกให้หมาแทะ..”

“กรี๊ดดดดดดดดดดดด อีริน เมริงกล้าด่ากรูเหรอ” เชอร์รี่มีหน้ามาพูด หล่อนด่าฉันเอา ด่าฉันเอา แล้วจะให้ฉันเป็นแม่พระหรือไง บอกแล้วว่ารินนี่มันร้ายเหมือนกันค่ะ

“อ้าว ทำไมล่ะ ทีเธอยังด่าแม่ชั้นได้เลย อย่ามาให้เจอนะ ชั้นเอาเธอตายแน่ๆ” ว่าแล้วฉันก็วางหู

กริ๊งงงง กริ๊งงงง กริ๊งงง ดังมาอีก มุขเดิมๆอีก โทร.มา พอเรารับก็ด่า พอไม่รับก็กระหน่ำโทร.

ฉันยกหูขึ้นจากแท่น แล้ววางลง พอกริ่งดังอีก ก็ยกหูแล้ววางลงอีก ให้มันเสียค่าโทรศัพท์ไป เสียประสาทไป (เป็นไงคะ รินเจ๋งยัง?)

ถึงเวลานอน ฉันเอาเด็กๆไปนอน ตอนนั้นเด็กทุกคนมานอนรวมในห้องฉันหมดเลย น้องรุ้งกับน้องเมฆนอนบนเตียงกับฉัน น้องหนอนนอนบนที่ยอนที่เอามาปูข้างๆเตียงกับนวล นวลช่วยฉันได้มากทุกเรื่อง

ไม่มีใครได้ของประทานจากพระเจ้าได้ทุกอย่าง ในความโชคร้ายของชีวิตคู่ ฉันยังมีครอบครัวตัวเองที่คอยเอาใจใส่ มีนวลที่เป็นคนอื่นแท้ๆแต่โชคชะตาพาให้เรามาพบกัน จนวันนี้ที่นวลแต่งงานไปแล้ว นวลยังบอกว่าจะกลับมาเลี้ยงลูกให้น้องๆที่นวลเลี้ยงมากับมือทุกคน ฉันยังมีเพื่อนดีๆที่พร้อมจะเห็นใจและเข้าข้าง

พูดถึงเพื่อนดีๆ หลายท่านคงนึกถึงหนุ่ย หลังจากเจอกันที่ซีแอ๊ตเติ้ลและนั่งเครื่องไฟลท์เดียวกันกลับมากรุงเทพ หนุ่ยโทร.มาถามอาการน้องเมฆสองสามครั้งแล้วหายไปนาน หนุ่ยโผล่มาอีกครั้งหลังจากที่ฉันหายป่วยและกำลังเครียดเรื่องพี่หนิงไม่ยอมหย่า กับการถูกยัยผลไม้คอยคุกคามตามราวีไม่ละลด

หนุ่ยนัดเจอฉันที่ร้านอาหารเวียดนามในโรงแรมแห่งหนึ่ง เมื่อเจอกัน หนุ่ยเข้ามากอดฉันแน่นจนคนเหลียวมอง เพราะหนุ่ยเริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในวงสังคมแล้ว หนุ่ยมาในภาพชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ สวมสูทอาร์มานี่อย่างเนี้ยบจนฉันแทบจำไม่ได้ ระหว่างที่กอดฉันแน่น หนุ่ยกระซิบว่า

“ริน มองตรงไปข้างหน้าริน สิบเอ็ดนาฬิกา ..หล่อชิ้พพพพ” ชายหนุ่มคนที่หนุ่ยบอกให้ฉันดูเป็นหนุ่มไทยหน้าตี๋คิ้วเข้มที่ตอนนั้นฉันไม่เห็นว่าหล่อตรงไหน

พูดออกมาค่อยเหมือนหนุ่ยหน่อย ฉันล้อหนุ่ยว่า

“เหนื่อยป่ะหนุ่ย เก๊กแมนโคดๆเลยน้า”

“เออ ชินละ รินน่ะตัวทำไมมีอะไรไม่ส่งข่าวเลย หนุ่ยมัวทำงาน กว่าจะรู้เรื่องริน เนี่ย พอรู้ก็รีบโทร.หารินเลย โอ๊ยยยย...”หนุ่ยเอามือกุมอกข้างซ้ายไว้

“อ้าว..เป็นไรหนุ่ย” ฉันถาม

“เป็นโรคเรอ..เอิ้กๆๆ”

“เรออะไรหนุ่ย เอาถุงมาเป่าสิ เดี๋ยวรินขอพนักงานให้”

“ยัยรินจอมเซ่อ แบบนี้แหละเลยโดนยัยผลไม้แกล้งหยั่งกับอะไร เรอน่ะ...เรอทัก-รักเธอไง”หนุ่ยบุ้ยใบ้ให้ดูชายหนุ่มคนนั้นอีก

“ขำจังหนุ่ย แล้วเอามาร์คไปไว้ไหน เปลี่ยนเทสต์แล้วเหรอ คนนี้ตี๋จะตาย ไม่เห็นหล่อตรงไหน คนอะไรตาเล็กนิ้ดเดียว” ฉันบอก

ดูราวชายหนุ่มคนนั้นจะรู้ตัว เขาหันมามองฉันกับหนุ่ยบ่อยๆ หนุ่ยชวนฉันคุย แต่ตาเหล่ไปที่โต๊ะหนุ่มหน้าตี๋ตลอด

“เลิกไปนานแล้ว มาร์คเค้าไม่ชอบอยู่เมืองไทย ไปไหนกับหนุ่ยไม่ได้ กลัวคนเห็น ต้องแอบๆซ่อนๆ แล้วเค้าเป็นฝรั่ง เป็นอเมริกันที่อิสระเสรีเหนืออื่นด เราเลยบ๊ายบายกันด้วยความเข้าใจนะริน”หนุ่ยทำตาลอย

“เก๊กแมนๆหนุ่ย ท่าแบบนั้นมันต้องไว้ทำที่บ้าน” ฉันปราม หนุ่ยรีบสงบเสงี่ยมทันที

“เผลออีกละ กับพวกเรา หนุ่ยเผลอทู้กที แต่ถ้ากะคนอื่นนะ หนุ่ยกลายร่างได้ทันควันเลย ที่จริงเป็นผู้ชายก็ดีนะ ชะนีมาให้ท่าเย้อะ รู้ๆว่าเราหมั้นกะแจ๋มแล้ว ยังไม่สนใจ กรูจาอาวววซะอย่าง เฮ้ออ สมัยนี้ชะนีมันเยอะมากมาย น่ารำคาญจะตาย” พูดอย่างกับเพื่อนที่นั่งตรงหน้าหนุ่ยไม่ใช่ชะนีงั้นแหละ

“คุณหนุ่ยเจ้าขา สั่งอาหารได้แล้ว น้องเค้ามายืนคอยนานละนะ”

“เอ้า รินอยากทานรัย หนุ่ยเอาเปาะเปี๊ยะทอด กุ้งพันอ้อย เส้นหมี่หมูย่าง แกะย่างพริกไทยดำ...”

“มีแกะด้วยเหรอนุ่ย อาหารญวณเนี่ยนะ” ฉันถาม ไม่เคยทานอาหารญวณที่ไหนมีเนื้อแกะอยู่ในเมนูเลย

“มีสิจ๊ะนู๋ริน อร่อยด้วย ไม่เชื่อเดี๋ยวลอง อ่ะ รินสั่งมั่ง หนุ่ยสั่งเยอะแล้ว”

“โห เอาแค่ที่หนุ่ยสั่งก็พอละ เยอะแยะกินไม่หมด”

“ใครบอกให้กินหมดล่ะริน กินไม่หมดใครว่า..อือ หล่อจัง”

หนุ่ยมองไปที่โต๊ะชายหนุ่มคนนั้นที่ตอนนี้มีหญิงสาวหน้าตาน่ารักมานั่งด้วย

“แฟนไม่เห็นสวยเลย เช้อ เสียดาย หล่อแบบนี้น่าจะมีแฟนสวยๆ”หนุ่ยบ่น

“แหม เค้าอาจจะเป็นเพื่อนกันก็ได้นี่หนุ่ย ดูดิไปนินทาเค้า”

“เออจริงของริน ช่างเค้าเหอะ หนุ่ยก็หาอาหารตาไปงั้น ตอนนี้กระดิกตัวทำอะไรก็เป็นข่าว เบื่อ เนี่ย คอยดูเดี๋ยวต้องมีคนไปเขียนข่าวว่าหนุ่ยหนีคู่หมั้นมาสวีทกะสาวสวย โอย อกจาแตก”

“เอ้า เอาเข้าไป หนุ่ย บ่นอยู่นั้น แล้วนี่ชวนรินมาทำไม จะคุยเรื่องรินใช่ป่าว “

หนุ่ยพยักหน้าหงึกหงัก “เอ้า มีอะไรเล่าไป รินทำให้หนุ่ยใจหายไปหมดตอนรู้ข่าวว่ารินไม่พูดเกือบสองปี ตอนนี้ดูรินไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ สวยขึ้นด้วยซ้ำ ผมทรงนี้ดีกว่าตอนเป็นแอร์ตั้งเยอะ แล้วพอรินแต่งหน้าน้อยๆนี่สวยกว่าโบ๊ะเยอะๆอีก”

ตอนเป็นแอร์ ฉันไว้ผมยาว รวบเป็นมวยตึงเปิดหน้าผาก ต่อมาเมื่อคลอดน้องรุ้งแล้วผมร่วงมาก ฉันจึงตัดบ๊อบสั้น ทรงยอดนิยมของแอร์ แล้วกลับมาไว้ผมยาวอีกหลังจากไม่ได้ทำงานแล้ว

ฉันเล่าเรื่องต่างๆให้หนุ่ยฟังอย่างไม่ปิดบังมากนัก (ปิดแต่เรื่องความสัมพันธ์กับพี่อิน- เพิ่งมาเปิดตอนเขียนเรื่องนี้แหละค่ะ) ลงท้ายว่า

“รินไม่รู้จะทำไง พี่หนิงไม่ยอมหย่า เชอร์รี่มันก็เอาแต่กวนซ่งติง รินรำคาญ อยากยกพี่หนิงให้มันไปซะ เค้าจะได้รู้มั่งว่านรกมีจริง”
“เอางี้มั้ยริน หนุ่ยจะให้ทนายบ้านหนุ่ยทำเรื่องให้ ฟ้องหย่าเลย รับรองพี่หนิงรีบหย่า เค้าต้องไม่อยากมีเรื่องขึ้นศาลหรอก บลาๆๆ”

บอกแล้วว่าหนุ่ยหัวไว หนุ่ยอธิบายเรื่องกฎหมายให้ฉันฟังอย่างละเอียด เพื่อ...

“รินจะได้รู้สิทธิ์ที่รินควรได้ อย่าทำเป็นนางเอกหนังไทย ขอหย่าอย่างเดียว ไม่เอาอะไร ไม่ด๊ายย ไม่ได้เป็นอันขาด ต้องเอาให้มันแสบไปทั้งบ้านเลย”

ปากพูด แต่ตาอยู่ที่โต๊ะหนุ่มคนนั้นตลอด เป็นอันว่าอาหารมื้อนั้นจบลงด้วยความสบายใจของฉัน

นานหลังจากนั้น ฉันเห็นหนุ่มคนนั้นเดินตามหนุ่ยในฐานะ “เลขานุการส่วนตัวของพณฯท่าน” ตลอดมา

ในที่สุด หนุ่ยขี่ม้าขาวมาช่วยฉันอีกครั้งตามเคย จากการแนะนำของหนุ่ย ฉันไปพบกับทนายความที่มีชื่อเสียงมากท่านหนึ่งซึ่งรับฟังเรื่องราวของฉันจากหนุ่ยแล้วและเข้าใจสภาพฉันเป็นอย่างดี
ขอบคุณหนุ่ยเหลือเกินเล่าแทนฉัน เพราะฉันยังอยุ่ในสถานะการณ์นั้น และต้องเจ็บปวดเมื่อพูดถึงมัน

เมื่อพี่หนิงได้รับจดหมายจากทนาย เขาโกรธมาก มาที่บ้านตีหน้าตึงเครียดทีเดียว

“เธอทำแบบนี้ทำไม ชั้นพยายามจะดีกับเธอแล้วนะ แล้วนี่เธอมาฟ้องหย่า มีใครยุอีกหล่ะสิ ฟ้องไปเถอะ บ้านนี้ยังไงก็เป็นที่ของแม่ฉัน เธอไม่มีสิทธิ์เอาไปหรอก อยากไปก็ไปแต่ตัว ฉันเลี้ยงลูกเองได้” พูดจาด๊อกกี้มากเลยนะพี่หนิง

เขาเสียงดังต่อ ดีว่าตอนนั้นลูกๆไปโรงเรียนหมดแล้ว ฉันโต้เถียงกับเขาตามที่น่าจะเถียง
เสียงโทรศัพท์ดังคั่นเวลาขณะที่ฉันกำลังแว้ดๆใส่เขา

“ฮัลโหล” ฉันรับสาย เสียงแม่นั่นดังมาอีกแล้ว

“ e จัน rai ดัดจริตฟ้องหย่า ....บลาๆๆๆ” ฉันยื่นหูโทรศัพท์ไปแนบหูพี่หนิง ให้ได้ยินซะมั่งว่าเชอร์รี่โทร.มารังควาน

พี่หนิงปัดหูโทรศัพท์ออก “ไปฟังทำไม เมื่อเช้าเธอโทร.ไปด่าเค้านี่ เค้าโกรธเค้าเลยโทร.มาด่าเธอมั่ง”

เป็นแบบนี้ทุกที พี่หนิงจะเชื่อเชอร์รี่ตลอดว่าที่หล่อนโทร.มาด่าฉันน่ะเพราะฉันไปด่าหล่อนก่อน โธ่เอ๋ย ฉันน่ะด่าไม่ทันเชอร์รี่เลย ฉันอยู่ของฉันดีๆ เรื่องอะไรจะโทร.ไปให้ได้ยินเสียงหล่อนแล้วไม่สบายใจไปทั้งวี่ทั้งวัน

กว่าพี่หนิงจะรู้ความจริงว่าเชอร์รี่เป็นอย่างไรก็สายไปหมด เชอร์รี่พาพี่หนิงตกนรกทั้งเป็นอยู่ในเวลานี้

ทีใครทีมันนี่มันจริงเลย

เมื่อฉันเอาจริง โดยให้ทนายความเจรจากับพี่หนิง ในที่สุดพี่หนิงยอมต่อรองกับฉันเรื่องการหย่า (โดยผ่านทนาย เพราะเราคุยกันดีๆไม่ได้)

วันที่ฉันหย่าขาดจากพี่หนิง คือวันที่ 24 สิงหาคม 2541 สองปีหลังจากลูกชายคนเล็กตายจากไป(จะได้ทำบุญทีเดียวเลย)

คบกันก่อนแต่งงานสองปี แต่งงานมาสิบสามปี รวมเวลาสิบห้าปีที่ฉันมีความทุกข์มากกว่าสุข



(มีต่อ แต่ตอนนี้ขอโพสท์แค่นี้ก่อนนะคะ จะมาต่ออีกไม่นานมากค่ะ)



โดย: birdchicago วันที่: 28 เมษายน 2550 เวลา:19:07:13 น.  

 
สวัสดีค่ะ

เอาตอนจบมาให้อ่านแล้วนะคะ

วันนี้ยาววววมาก เพราะหายไปนาน

กลับมาจบเรื่องเลยค่ะ

ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านมานาน

แอร์กี่ซาบซึ้งจริงๆค่ะ

อ่านกันเลยดีกว่านะคะ


โดย: birdchicago วันที่: 28 เมษายน 2550 เวลา:19:07:55 น.  

 
ชีวิตรันทด...เรื่องจริงผ่านคอมพ์ ตอนที่16 (ตอนจบ) 16.2

วันนั้นฉันนัดพบกับพี่หนิงที่เขตบางเขนเวลาเก้าโมงเช้า เมื่อเจอกัน เราต่างไม่คุยกันมากนัก นอกจากเวลาที่ไปติดต่อตามช่องต่างๆเพื่อขอยื่นเอกสารในการหย่า และทำสัญญาการหย่า เจ้าหน้าที่สาวๆหลายช่องแอบถามฉันว่า จะหย่ากันทำไม ผู้ชายก็ล้อ-หล่อ ผู้หญิงก็ซ้วย-สวย (เค้าไม่ทราบกันว่าฉันซวยขนาดไหนอ่ะนะ) มีพี่คนหนึ่งท่าทางอาวุโสหน่อยมากระซิบว่า

“เค้าเจ้าชู้ใช่มั้ยล่ะน้อง”
ฉันพยักหน้า พี่คนนั้นพูดต่อว่า

“เรื่องธรรมดานะน้อง จะหย่าไปทำไม ผู้ชายมันก็งี้ทุกคน ดูซิ สวยๆ แบบนี้ยังทำได้ พวกนี้ชอบลองของใหม่ สุดท้ายต้องกลับมาตายรัง น้องก็อยู่ของน้องไป เค้ารวยด้วยนี่ เห็นว่าจะเขียนสัญญาให้เงินน้องเดือนละตั้งเยอะ แถมมีลูกตั้งสองคน เป็นพี่นะ ไม่หย่าหรอก ปล่อยให้ผู้หญิงพวกนั้นมันอกแตกตายไปเอง...”

พี่เค้าพูดอีกเยอะ ฉันอยากบอกว่า กรณีของฉันมันเป็นข้อยกเว้นจากมาตรฐานหลายอย่างของชีวิตคู่ แต่มันไม่ทราบจะอธิบายอย่างไรให้คนนอกเข้าใจ เลยได้แค่ยิ้ม

เมื่อเอกสารไปถึงหัวหน้าเขต ผู้มีหน้าที่ไกล่เกลี่ยเรื่องครอบครัว ท่านถามเราว่าทำไมจะหย่ากัน พี่หนิงชิงตอบว่า

“เพราะอยู่ด้วยกันต่อไปไม่ได้แล้วครับ”


โดย: birdchicago วันที่: 28 เมษายน 2550 เวลา:19:08:21 น.  

 
“ค่ะ” ฉันตอบบ้าง สั้นๆพอ

หัวหน้าเขตพูดแบบที่คงพูดมาหลายร้อยหลายพันครั้งแล้วว่า

“ไม่ลองคิดอีกทีหรือครับ มีลูกด้วยกัน น่าจะลองคิดอีกที...”

“ผมว่าลองคุยกันใหม่อีกสักครั้ง แล้วค่อยตัดสินใจดีมั้ยครับ....”

“ลูกจะมีปัญหานะครับ พ่อแม่ไม่อยู่ด้วยกัน เค้าจะเคว้งคว้าง...”
ฯลฯ

ท่านพยายามทำหน้าที่ของท่าน แต่ฉันกับพี่หนิงคงยืนกรานจะหย่า น้ำตาเริ่มมาเอ่อที่ตาฉัน จนกลั้นไม่ไหว ฉันร้องไห้ออกมาตรงนั้น พร้อมยืนยันว่า ฉันต้องการหย่า

ในขณะที่เจ้าหน้าที่เขียนสัญญาการหย่าตามที่ฉันกับพี่หนิงตกลงกันมา ฉันร้องไห้เงียบๆ ตลอด ไม่อายใครหรอก ร้องสั่งลา ร้องไห้ให้ความกดดันทั้งหมดในชีวิตที่ผ่านมาหลั่งไหลพร้อมน้ำตา ร้องไห้กับวันเวลาดีๆที่เคยมีพี่หนิง

เมื่อเจ้าหน้าที่เขียนสัญญาการหย่าเรียบร้อย ส่งให้ฉันกับพี่หนิงอ่าน ในสัญญานั้นระบุว่า (ขอเล่าคร่าวๆ เพราะรายละเอียดเยอะมาก)

1. บุตรทั้งสองอยู่ในการปกครองของมารดา โดยบิดาจะส่งเสียค่าเลี้ยงดูเป็นจำนวนเงินเดือนละ....(มากพอควรค่ะ) ไม่รวมค่าเล่าเรียนและกิจกรรมพิเศษต่างๆซึ่งผู้เป็นบิดาจะส่งเสียจนกว่าบุตรจะจบการศึกษาสูงเท่าที่ต้องการ
2. บ้านที่เป็นสินสมรส ปลูกอยู่ในที่ดินของมารดาฝ่ายชาย ฝ่ายชายตกลงให้ฝ่ายหญิงอยู่กับบุตรทั้งสอง จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะมีเงินมาให้อีกฝ่ายเป็นจำนวนครึ่งหนึ่งของราคาบ้านและตกลงกันเป็นลายลักษณ์อักษรต่อหน้าพยาน ฝ่ายที่จ่ายเงินให้อีกฝ่ายหนึ่งจะได้กรรมสิทธิ์ครอบครองบ้าน
3. อสังหาริมทรัย์ รวมทั้งสังหาริมทรัพย์อื่นๆ อาทิ ที่ดิน รถยนต์ เงินสด เป็นชื่อของฝ่ายใด ให้ตกเป็นของฝ่ายนั้น
4. ฯลฯ

ฉันกับพี่หนิงต้องลงชื่อในเอกสารหลายฉบับ สุดท้าย ได้ใบหย่ามาคนละ 1 ใบ พร้อมสำเนาเอกสารการหย่าที่ทางเขตแจ้งว่าเป็นเอกสารสัญญาที่ถูกต้องตามกฎหมาย หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ทำตามสัญญา อีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิ์ฟ้องร้องได้

ฉันปวดศีรษะมากจนเดินเซไปที่รถ พี่หนิงตามมา เขาบอกว่า

“รินดูไม่ค่อยสบายเลยนะ พี่ขับรถให้เอาไหม”

เหอๆๆๆๆ ทีแบบนี้มาทำเป็นห่วง ผีเข้าเหรอ เอาเถอะ หย่ากันแล้ว พูดกับเขาซะหน่อย

“รินไม่เป็นไร พี่หนิงไปดูแลคนของพี่หนิงให้ดีเถอะ รินอยู่ได้ ขอบคุณนะที่หย่าให้ริน”

ฉันพูดพร้อมกับยกมือไหว้เขาอย่างสวย พี่หนิงยื่นหน้ามาหอมแก้มฉัน

“โธ่ๆๆๆ รินนี่เครียดจัง พี่ตามใจรินแหละ อยากหย่าก็หย่า เอาไว้รินอารมณ์ดีๆ แล้วค่อยมาจดกันใหม่นะ”

พูดง่ายจัง ผู้ชายคนนี้

ฉันขับรถไปบ้านคุณพ่อคุณแม่ คุณพ่อซึ่งเกษียณแล้วไม่อยู่บ้าน เพราะมีมหาวิทยาลัยเชิญไปเป็นอาจารย์พิเศษ คุณแม่เห็นตาบวมแดงของฉันแน่ๆ แต่จะไปอายอะไรกับท่าน ท่านกอดฉัน

“หมดเคราะห์เสียทีนะลูก แม่อยากให้รินเอาหลานกลับมาอยู่บ้านเรา แม่ห่วงรินกลัวสู้พวกบ้านโน้นไม่ได้ ไหนจะผู้หญิงคนนั้นอีก

คุณแม่ไม่เคยเรียกเชอร์รี่แบบมีคำว่า e นำหน้า ท่านจะเรียกหล่อนว่า “ผู้หญิงคนนั้น” โดยละชื่อหล่อนเอาไว้ ท่านคงไม่อยากเอ่ยชื่อนั้นออกมาจากปากท่านกระมัง

“แม่ขา รินเลิกกะพี่หนิงแล้ว คงสมใจพวกเค้าหล่ะ ไม่น่ามายุ่งกะรินแล้วนะคะ แต่ถ้ามา รินจะสู้”

ตอนที่พูดนั้นฉันไม่รู้หรอกว่าจะมีเรื่องหลังการหย่าต่อมาอีก และมีเรื่องมาเรื่อยๆ มากบ้างน้อยบ้าง จนถึงทุกวันนี้

หากเป็นนิยาย ตอนจบของเรื่องคือการลงเอยของพระเอกนางเอกอย่างมีความสุข ประมาณ and then they live happily ever after….

แต่รินไม่ใช่นางเอก พี่หนิง พี่อิน ไม่ใช่พระเอก เรื่องจึงต้องจบแบบมีการอัพเดทเหตุการณ์ได้จนถึงทุกวันนี้

หลังหย่าได้ไม่กี่วัน คอลัมน์ซุบซิบของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเอาข่าวเรื่องหย่าของฉันไปลง ประมาณว่ากัปตันเจ้าเสน่ห์หย่าขาดจากภรรยาคนสวยเพราะมือที่สามที่เป็นแอร์ชื่อเหมือนผลไม้ ...(ไม่รู้ฝีมือใครส่งข่าว)

จากข่าวในหนังสือพิมพ์ ทำให้ฉันต้องรับโทรศัพท์จากคนรู้จักมากมาย ล้วนแสดงความห่วงใย เสียใจ แกมดีใจด้วย (สำหรับบางคนที่รู้เรื่องดีมากๆ ต่างดีใจที่ฉันออกจากวังวนของชายหญิงสองคนนั่นได้เสียที)

เชอร์รี่ไม่สะทกสะท้านกับการเป็นมือที่สาม พูดให้ตรงจริงๆคือ หล่อนไม่เคยสะทกสะท้านที่จะทำสิ่งที่เลวร้ายในสายตาใครๆ ไม่รู้ว่าหล่อนคิดไม่ได้ หรือไม่ได้คิด

ทุกไฟลท์ที่หล่อนไปบิน หล่อนจะพกสำเนาใบหย่าของพี่หนิงกับฉันไว้ในกระเป๋า พร้อมจะเอาออกมาโชว์ชาวบ้านได้ทุกเมื่อ หารู้ไม่ว่าผู้คนเค้าสมเพชเวทนาการกระทำของหล่อนกันทั่วหน้า

การกระทำต่างๆของเชอร์รี่ที่ฉันเขียนมาทั้งหมด (จริงๆยังไม่หมดน้า) เป็นเรื่องจริงที่ผู้อ่านอาจจะคิดว่า “มีด้วยเหรอคนแบบนี้” ฉันขอบอกว่า “มีจริงแท้แน่นอน” ฉันไม่ได้เขียนเกินไปจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงเลยแม้แต่น้อย

ถ้าเชอร์รี่ได้มาอ่านเรื่องนี้ หล่อนจะเถียงฉันไม่ได้เลยว่า เรื่องที่เล่ามาทั้งหมดนี้...ไม่จริง

แต่คนอย่างหล่อน คงไม่มาอ่านหรอก ในเมื่อหล่อนไม่ยี่หระกับอะไรเลย นอกจากไขว่คว้าสิ่งที่หล่อนอยากได้เอามาไว้ในครอบครองให้ได้จนหมด

คนที่รู้จักทั้งเชอร์รี่หลายๆคนวิเคราะห์ว่าหล่อนเป็นคนแปลก ไม่รู้สึกผิดกับการทำเรื่องเลวร้าย ไม่ย่อท้อกับการทำความเลว ไม่รู้สึกละอายใจกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป กลับกระหยิ่มที่แย่งทุกอย่างไปจากลูกผู้หญิงด้วยกันคนหนึ่งได้

หล่อนเป็นคนใจเหี้ยม


พี่หนิงจึงกลัว ไม่กล้าทำอะไรที่ขัดใจหล่อน เพราะวันร้ายคืนร้ายวันใด หล่อนอาจลุกขึ้นมาฆ่าคนได้

จากการสังเกตของฉัน พี่หนิงไม่ได้มีความสุขเมื่ออยู่กับเชอร์รี่ อาจสุขเฉพาะทางเท่านั้น คือสุขทางเนื้อหนังโลกีย์ อันน่าจะเป็นของชอบของเขาและหล่อน

คนใช้บ้านคุณแม่เขาเล่าว่า กลางวันแสกๆ พี่หนิงกับเชอร์รี่ยังพากันทำอะไรๆ เสียงดัง แถมไม่ล้อคประตูห้อง (บนบ้านคุณแม่เขา)เสียอีก เลยมีคนได้ดูหนังเอ๊กซ์แบบสดๆไม่เสียตังหลายคน เพราะเผลอไปเปิดประตูห้องเข้า

ฉันคิดผิดไปหน่อยตรงที่คาดว่า เชอร์รี่คงเลิกมาราวีฉันเสียทีหลังจากหล่อนได้ใบหย่าสมใจ มันกลับไม่เป็นอย่างนั้น เพราะนอกจากใบหย่าแล้ว หล่อนยังต้องการ “ทะเบียนสมรส” อีกด้วย โลภมั้ยเนี่ย?

วันดีคืนดีที่หล่อนเกิดอาการไซไค (ภาษาหมอ เรียกคนไข้โรคจิต) หล่อนจะโทร.มาที่บ้านฉัน ใครรับโทรศัพท์หล่อนจะส่งเสียงประสาทหลอนของหล่อนมาตามสาย ทำตัวเหมือนตอนที่ฉันยังไม่ได้หย่ากับพี่หนิง

นี่หล่อนเป็นอะไรไป ไม่รู้จะตามก่อสงครามกันไปถึงไหน จนกระทั่งฉันทนรำคาญไม่ได้ ต้องเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ใหม่ทั้งหมด ฉันเปลี่ยนทั้งเบอร์บ้านและมือถือมาหลายรอบแล้ว เพื่อนฝูงคนรู้จักพากันบ่นว่าฉันเปลี่ยนเบอร์บ่อยเกินไป บางคนแซวว่าฉันเปลี่ยนเบอร์หนีเจ้าหนี้หรือไร แหม...เจ้าหนี้น่ะ ยังน่ากลัวน้อยกว่าเชอร์รี่เลยนะ

วันเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ฉันเริ่มทำธุรกิจส่วนตัว มีรายได้พอประมาณ อยู่ได้ไม่เดือดร้อน ฉันยังคงขับรถรับส่งลูกๆ(รวมน้องหนอนที่ไม่ยอมไปอยู่กับพี่หนิงเพราะไม่ชอบเชอร์รี่ น้องหนอนนั้นเมื่อมีเชอร์รี่เข้ามา และเธอเริ่มโตขึ้นพ้นวัยรุ่น เธอจึงเข้าใจฉันมากขึ้น และถือเป็นลูกสาวอีกคนหนึ่งของฉันมาจนถึงเดี๋ยวนี้) ไปโรงเรียน ไปเรียนพิเศษ ไปทำกิจกรรมต่างๆ อันทำให้เวลาหมดไปอย่างรวดเร็ว ฉันเคยคิดจะย้ายกลับไปอยู่กับคุณพ่อคุณแม่แบบถาวรเลย แต่ในที่สุดตัดสินใจอยู่ที่บ้าน ฉันควรจะเป็นหัวหน้าครอบครัวด้วยตัวเอง ไม่ใช่แบกภาระลูกหลานกลับไปให้ท่านทั้งสองอีก

คุณพ่อคุณแม่แก่ตัวลง สุขภาพเริ่มทรุด ฉันพาหลานทั้งสองไปเยี่ยมท่านทุกสุดสัปดาห์ บางครั้งนอนค้างที่บ้านท่าน บางทีไปเที่ยวต่างจังหวัดกัน จิตใจที่บอบช้ำของฉันค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ คุณตาคุณยายรักหลานมาก รวมทั้งน้องสาวน้องชายฉันต่างรักหลานทั้งสองมากเช่นกัน เพราะทั้งสองไม่มีลูก

ตั้งแต่เริ่มแรกที่เขียนเรื่อง ฉันตั้งใจว่าจะไม่เล่าเรื่องส่วนตัวมากนัก แต่แล้วฉันก็ทำได้ไม่เนียน เพราะตอนหนึ่งฉันบอกว่า น้องสาวน้องชายไปเรียน อีกตอนหนึ่งเขียนถึงเรื่องน้องหนอนวีนฉันในวันแต่งงงาน พูดถึงน้องสาวของฉันที่พุ่งตัวไปจับน้องหนอน อีกตอนหนึ่งบอกว่าตัวเองเป็นลูกสาวคนเดียว

ต้องขออภัยด้วยค่ะ ฉันโกหกไม่เก่งเลย แย่จัง




โดย: birdchicago วันที่: 28 เมษายน 2550 เวลา:19:09:48 น.  

 
สรุปคือ ฉันมีน้องสาวหนึ่งคน น้องชายหนึ่งคน ที่ฉันรักมากทั้งคู่

ถ้ามีเวลาและโอกาสในวันหน้า ฉันจะเล่าเรื่องชีวิตวัยเด็กของฉันให้ฟัง วัยเด็กของฉันมีความหมาย เพราะความรักที่หล่อหลอมฉันมามีส่วนมากในการช่วยฉันฟันฝ่ามรสุมลูกแล้วลูกเล่าในชีวิต อืมมม เคยมีใครตั้งชื่อพายุสักลูกว่า “เชอร์รี่”บ้างหรือเปล่าเนี่ย พายุลูกนี้ร้ายกาจมาก ทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้าได้หมดจริงๆ

พี่หนิงยังคงอยู่ที่บ้านคุณแม่ของเขา ไม่เห็นจะย้ายไปไหน เชอร์รี่มาที่บ้านนั้นบ่อยๆ ฉันไม่สนใจหล่อนแล้ว เชิญทำอะไรไปตามสบาย อย่ามายุ่งกับฉันอีกได้เป็นดี

แต่...พี่หนิงยังคงทำตัวราวกับฉันยังเป็นภรรยาเขาอยู่ หากวันไหนฉันออกจากบ้านโดยไม่มีลูกไปด้วย เพื่อซื้อของหรือทำธุระส่วนตัว พี่หนิงจะคอยใช้ให้คนมาดูว่าฉันกลับมาหรือยัง บางครั้งโทร.ตาม บ่นว่าว่าฉันทิ้งลูก ...เอ๊า...อ้าว .....คนอะไร ไม่หันมามองตัวเองเลย

เมื่อพี่หนิงวุ่นวายกับเรื่องส่วนตัวของฉันมากๆเข้า ฉันจะเตือนเขาว่า เราเลิกกันแล้ว อย่ามายุ่งกับฉันเลย...ได้ผลไประยะหนึ่ง แล้วกลับเป็นอย่างเดิมอีก ...วนเวียนมาจนทุกวันนี้ ( พี่หนิงหวงก้างไปทำไม ไม่เข้าใจ ฉันเลยอดมีแฟนใหม่เลย5555)

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนน้องหนอนสอบเอ็นทรานซ์ ฉันเป็นคนไปส่งเธอสอบ และขับรถกลับมาบ้าน กลับไปอาจจะท้องเดินระหว่างสอบได้ เลยเอาอาหารไปส่งทุกวัน

เมื่อประกาศผลสอบ น้องหนอนสอบติดมหาวิทยาลัยเดียวกันกับที่ฉันเคยเรียนแต่คนละคณะ น้องหนอนตื่นเต้นดีใจ ฉันเองก็ดีใจจนน้ำตาไหล กอดน้องหนอนแน่น รู้สึกทันทีนั้นว่าน้องหนอนเริ่มเข้าใจฉันแล้ว หลังจากที่อยู่กันแบบฉันต้องอดทนฝ่ายเดียวมานาน

พี่หนิงทราบว่าน้องหนอนสอบติดช้ากว่าใครเพราะเขาไปบินและติดต่อไม่ได้ ตามสไตล์เขาแหละ

เมื่อพี่หนิงทราบว่าน้องหนอนสอบติด เขาให้ของขวัญลูกสาวเป็นรถยนต์ BMW ซีรี่ส์สาม ใหม่เอี่ยม น้องหนอนดีใจมาก แม้ยังไม่มีใบขับขี่ เพราะอายุยังไม่เต็มสิบแปด แต่พี่หนิงบอกว่าไม่เป็นไร ส่งนามบัตรเพื่อนตนเองที่เป็นนายตำรวจใหญ่ไว้ให้น้องหนอน ไว้ใช้เบ่งกับตำรวจชั้นผู้น้อยที่มักจะทำหน้าที่อยู่บนท้องถนนทั่วๆไป ทำอะไรแต่ละอย่าง เข้าท่ามั้ยนั่นที่สนามสอบอีกตอนกลางวันเพื่อนำอาหารกลางวันไปให้น้องหนอนทาน ฉันกลัวว่าหากทานอาหารที่ขายๆกัน น้องหนอน

ก่อนเปิดเทอมใหม่ มีกิจกรรมรับน้องที่มหาวิทยาลัย น้องหนอนขับรถใหม่ และขอยืมนาฬิกา ROLEX เรือนทองฝังเพชรของฉันไปสวม ฉันให้ไปโดยไม่เฉลียวใจสักนิดว่าจะไม่ได้คืน ฉันซื้อนาฬิกาเรือนนั้นที่เวียนนา ประเทศออสเตรีย ตั้งแต่สมัยเป็นแอร์ ราคาคิดเป็นเงินไทยประมาณหนึ่งแสนแปดหมื่นบาท ตอนนี้ไม่ทราบว่ากี่แสนแล้ว


ลูกเรือสายการบินนี้มีโรเล็กซ์กันเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของยูนิฟอร์ม เคยมีผู้โดยสารอายุมากแล้วชาวอเมริกันเอานาฬิกาที่เธอซื้อจากบ้านเราขึ้นมาอวดแอร์ บอกเล่าประมาณว่า ดูสิ ของก๊อปเมืองไทย สวยมาก โรเล็กซ์ คาร์เทียร์
ปาเต๊ก..รวมกันไม่กี่พันบาท แล้วหันมาชี้ที่โรเล็กซ์ของแอร์ ถามว่า
“แล้วของเธอเท่าไหร่ ซื้อได้ถูกกว่าฉันหรือเปล่า”

แอร์งงกว่าจะเก๊ทว่าผู้โดยสารนึกว่าพวกเราใส่ของก๊อป แต่ด้วยความหัวไวเลยตอบถนอมน้ำใจคุณป้าไปทำนองว่า ซื้อมาราคาพอๆกับที่คุณป้าซื้อนั่นแหละค่า คุณป้ายิ้มไม่หุบ ไม่รู้ป่านนี้รู้หรือยังว่าแอร์ สจ๊วต นักบิน สายการบินนี้เค้าสวมของจริงกันทั้งนั้น ยิ่งมีเงินเยอะ หรือบ้านรวย ใส่เรือนละล้านยังมี

น้องหนอนเอานาฬิกาของฉันไปหลายวัน วันหนึ่งเธอกลับมาบอกว่า

“อารินขา หนอนมีอะไรจะบอก อารินอย่าเพิ่งโมโหนะ...

น้องหนอนทำหน้าแบบที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต คือหน้าตาเสียใจและรู้สึกผิด ฉันมองหน้าจ๋อยๆของเธอแล้วตกใจ รีบถามว่า

“มีอะไรเหรอคะหนอน”

“อารินขา หนอนทำโรเล็กซ์อารินหาย...หนอนไม่รู้ว่ามันหายตอนไหน หนอนขอโทษ”

ใจฉันหายไปพร้อมกับประโยคของเธอที่ฉันรับทราบว่าโรเล็กซ์ของฉันหาย นาฬิกาที่ฉันเก็บเงินนาน...มากกกกและคิดแล้วคิดอีกว่าควรซื้อหรือเปล่า ใครๆบอกว่าซื้อโรเล็กซ์เหมือนเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง ฉันขาดทุนอีกแล้วสิ

แต่เมื่อเห็นหน้าของน้องหนอน ฉันเลยใจอ่อนตามประสาที่เป็นฉัน ฉันบอกเธอไปว่า

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แล้วมันหายยังไง หนอนคิดออกมั้ย อยู่ในห้องหรือเปล่า เดี๋ยวอารินไปช่วยหา”

ฉันไปที่ห้องน้องหนอน หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ จนในที่สุดต้องปลงว่า ฉันคงไม่ได้นาฬิกาคืนอีกแล้ว

ตรงนี้ขอย้อนเล่าถึงวันที่ฉันซื้อนาฬิกาเรือนนั้นนิดนึงนะคะ

จำได้ว่าวันที่ไปซื้อนาฬิกาเรือนนี้ มีลูกเรือหลายคนไปด้วยกัน ร้านนาฬิการ้านนี้อยู่แถวถนนช้อปปิ้งในเวียนนา เมืองแสนสวยที่ใช้ถ่ายภาพยนตร์เรื่อง The Sound of Music นั่นไง พวกเรามักจะแวะเวียนไปที่ร้านนี้ทุกครั้งเพราะขายถูก (แบบอาศัยขายเยอะ ) บริการเลิศ แถมมีบริการผ่อนด้วยบัตรเครดิตได้อีก

หลายคนไปร้านนั้นเพื่อเอาโรเล็กซ์ของตนเองที่ซื้อจากไหนก็ได้ไปให้ทางร้านทำความสะอาด ทิ้งนาฬิกาไว้ ไปเดินช้อปปิ้ง ไม่กี่ชั่วโมงก็กลับไปรับนาฬิกาที่ได้รับการทำความสะอาดจนเอี่ยมแวววาวคืนข้อมือได้ ฟรีด้วยอีกต่างหาก ใครไม่ชอบบ้าง


ฉันลองนาฬิกาหลายเรือน มีกองเชียร์เป็นเพื่อนร่วมงาน ที่ร่วมกันลอง ร่วมกันเชียร์ ซื้อไม่ซื้อไม่เป็นไร เจ้าของร้านจิตวิทยาดี พนักงานบริการด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม จนบางครั้งไม่ตั้งใจไปซื้อยังซื้อเลย

แล้วฉันที่แสนจะตั้งใจไปซื้อจะทนไหวได้อย่างไร ฉันลองสวมหลายเรือน และเมื่อถึงเรือนนั้น ...เหมือนรักแรกพบ ช่างสวยจับใจ หน้าปัทม์มุกสีนวล มีเพชรประดับแทนตัวเลข ดูคลาสสิคเอามากๆ กองเชียร์ส่งเสียงเชียร์กันราวกับเชียร์บอลวันแดงเดือด

คืนนั้นฉันสวมนาฬิกาเรือนนั้นนอนเลยเชียว แล้วจะอดใจไม่เสียดายได้อย่างไร

ป่านนี้ไม่รู้ว่านาฬิกาของฉันอยู่บนข้อมือใคร เมื่อฉันซื้อนาฬิกาอีกในเวลาต่อมา ฉันไม่ซื้อเรือนแบบของฉันอีกเลย เพราะฉันคิดว่า ไม่มีทางที่ฉันจะรู้สึกเหมือนวันนั้นที่เวียนนาได้อีก ข้อสำคัญคือราคาแพงขึ้นอีกเยอะเกินกำลัง

ผู้หญิงคนอื่นอาจชอบซื้อทอง ซื้อเพชร แต่ฉันชอบซื้อนาฬิกา จะถูกจะแพง(แพงเท่าที่พอรับได้)จะก๊อปจะจริง ถ้าถูกใจและมีเงินพอ..ก็ซื้อค่ะ

ดังนั้นตอนนี้จะมีคำถามประจำตอน และมีรางวัลเป็นนาฬิกา ..ของฉันเอง (อิอิ ไม่ค่อยลงทุนเท่าไหร่เนอะ) อ่านจนจบตอนแล้วตอบคำถามด้วยนะคะ...

ต่อๆ
เล่าเลยเรื่อยเปื่อยไปอีกแล้ว กลับมาเรื่องน้องหนอนกับโรเล็กซ์ของฉันก่อน จากการสอบถามน้องหนอน เธอบอกว่า เมื่อวานพาเพื่อนสามคนขึ้นไปบนห้อง เพื่อนมาหาที่บ้านตอนฉันไม่อยู่บ้าน หลังจากเพื่อนกลับไปแล้ว น้องหนอนยังไม่ได้นึกถึงนาฬิกา มาตอนเช้าจะสวมแต่หาไม่เจอ เธอบอกว่าวางไว้บนโต๊ะเครื่องแป้งตั้งแต่วันวาน เมื่อสอบถามหมีกับยง (ซึ่งฉันคิดว่าคงไม่เอานาฬิกาฉันไปแน่ เพราะพวกเธอไม่ทราบราคา และฉันเคยวางของทิ้งไว้ก็ไม่เคยหาย) สองคนนั้นบอกว่าไม่เห็นเลยเพราะตอนเข้าไปทำความสะอาดห้องน้องหนอนนั้น น้องหนอนยังอยู่ในห้อง พอตอนสายๆ เพื่อนน้องหนอนมาแล้วเข้าไปคุยกันในห้องนอน เป็นไปได้ไหมว่าเพื่อนน้องหนอนคนใดคนหนึ่งจิ๊กนาฬิกาไป

สรุปว่า...จับผู้ร้ายไม่ได้ ฮือ ฮือ เสียดายเหลือเกิน....แต่ต้องทำใจ...ชีวิตรินนี่มันต้องทำใจไปซะทุกเรื่องเลยหรือไร

เมื่อพี่หนิงรู้เรื่องนาฬิกา เขากลับว่าฉันอีกว่าให้เด็กยืมไปทำไม ต่อจากนั้นไม่นาน เขาซื้อโรเล็กซ์เรือนหนึ่งให้น้องหนอนเป็นของขวัญอีกชิ้น แต่เป็นเรือนแบบ combination คือสายสองกษัตริย์ ราคาไม่สูงเท่าเรือนทองของฉัน แล้วพี่หนิงยังบอกฉันอีกว่า “ไว้มีตังค์แล้วจะซื้อเรือนทองคืนให้รินนะ”


พี่หนิงพูดอะไรไม่เคยทำตามคำพูดซักเรื่อง ฉันเรียนรู้แล้วว่าฉันคงไม่ได้นาฬิกาใหม่จากพี่หนิงหรอก (ต้องทำใจอีก)


หลังจากหย่ากัน เขาส่งเงินให้ฉันตามข้อตกลง เดินไปเดินมาดูลูกๆ คอยสปายชีวิตฉันตามที่เล่าแล้ว ฉันพูดจากับเขาตามปกติ บางครั้งเลี่ยงได้ก็เลี่ยง บอกตรงๆว่าอึดอัดที่ต้องอยู่บ้านใกล้ๆกันกับเขาและครอบครัวเขาที่มีเชอร์รี่มาป้วนเปี้ยนให้เห็นตลอด ไม่ยอมไปผุดไปเกิดเสียที

บางวันที่อารมณ์ไม่ค่อยดี ตื่นมาเห็นหลังคาบ้านนั้นก็พลันหงุดหงิดแล้ว ฉันยังคงไปรับส่งลูกและทำงานส่วนตัวตามปกติ จนวันหนึ่งน้องรุ้งชี้ให้ฉันดูคอนโดมิเนียมใกล้ๆโรงเรียนน้องเมฆแล้วบอกฉันว่า

“แม่ขา หนูว่าแม่ซื้อคอนโดนี้ดีมั้ย เราจะได้มาอยู่กัน ใกล้โรงเรียนน้องด้วย ใกล้โรงเรียนหนูด้วย หนูนั่งรถไฟฟ้าไปเองได้ แม่จะได้ไม่ต้องเหนื่อยขับรถ หนูกับน้องก็จะได้ตื่นสายๆได้ ดีมั้ยคะแม่”

น้องรุ้งจะแทนตัวเองเวลาพูดกับฉันว่า “หนู” จนกระทั่งทุกวันนี้ ใครๆ ชมว่าน้องรุ้งพูดเพราะ มีคะ ขา ตลอดกับทุกคน ฉันมีเคล็ดลับที่ลูกพูดเพราะ ตอนเด็กๆเวลาน้องรุ้งพูดอะไรออกมา ฉันจะสอนให้ลูกลงท้ายด้วยคำว่า คะ..ขา หากลูกไม่พูด ฉันจะบอกให้ลูกพูดใหม่ จนน้องรุ้งชินที่จะพูดจามีคำลงท้ายเพราะๆและใช้เสียงอ่อนๆ

น้องเมฆเองก็ถูกสอนมาแบบเดียวกัน แต่ให้พูด..ครับ..แทน มาตอนนี้น้องเมฆชอบพูด “ครับผม” สุภาพมากลูกแม่ สงสัยซ้อมพูดไว้เผื่อมีแฟน


เมื่อน้องรุ้งชี้ทางเรื่องคอนโดมิเนียมให้ ฉันเริ่มคิดว่า ถ้าซื้อคอนโดน่าจะดีไม่น้อย ฉันจะสามารถประหยัดค่าน้ำมันรถ ค่าทางด่วน ค่าโทลเวย์ที่ต้องจ่ายไปทุกๆวันได้เยอะ เอาเงินนั่นมาผ่อนคอนโดได้ด้วย เรื่องซื้อคอนโดนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่ฉันตัดสินใจถูก...แบบถูกกกกกต้องงงงงงนะคร้าบบบบบบ (ขอล้อเลียนคุณปัญญาหน่อยนะคะ)

เมื่อย้ายมาอยู่คอนโด แรกๆฉันยังไม่คุ้นเคยกับชีวิตที่อยู๋ในตึกใหญ่รวมกับครอบครัวอื่นๆ ฉันใช้เวลาปรับตัวพอควร เมื่อคุ้นแล้วกลับชอบอยู่ในเมือง และเข้าใจแล้วว่าทำไมคอนโดถึงสร้างขึ้นมาขายมากมาย แถมขายหมดทุกที่ด้วย

(น้องหนอนไม่ยอมมาอยู่คอนโดด้วย เธอตัดสินใจไปอยู่ที่บ้านคุณแม่พี่หนิง เธอบอกฉันว่า เธอจะคอยเป็นก้างขวางคอเชอร์รี่เอง น้องหนอนเกลียดเชอร์รี่สุดๆ)

เรื่องราวชีวิตในคอนโดของฉันเป็นไปอย่างราบรื่น ฉันสุขกายสบายใจขึ้นอีกมากแสนมาก จากที่เคยตื่นตีสี่ครึ่งกลายเป็นหกโมงครึ่ง ตื่นมาไม่ต้องเจอวิสัยทัศน์ที่บาดจิตบาดใจ น้องรุ้งน้องเมฆต่างพากันแฮ้ปปี้

พี่หนิงทราบทีหลังว่าพวกเราย้ายมาอยู่คอนโด เขาไม่ชอบใจอย่างมาก แต่ใครจะสนความคิดของเขา ในเมื่อเขาเป็นคนอื่นไปแล้ว เหลือความผูกพันกันคือเลือดเนื้อของเรา ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันไม่อาจตัดพี่หนิงออกไปจากชีวิตได้อย่างสิ้นเชิง พี่หนิงเป็นพ่อที่รักลูกมากๆ –นี่คือข้อดีที่สุดของเขา เขาคอยโทร.หาลูกๆ พาลูกไปเที่ยวเมืองนอกทุกปิดเทอม หากเขาหยุดบินตรงกับวันเสาร์อาทิตย์ เขาจะมารับลูกไปทานข้าวตามร้านที่ลูกชอบ พี่หนิงจะคอยให้ลูกๆ (บางครั้งมีฉันรวมด้วย) สั่งอาหารก่อน เขาจะสั่งเป็นคนสุดท้าย และเลือกเมนูที่รู้ว่าเราแม่ลูกชอบทาน

..แหม..มีโหมดน่ารักเหมือนกันนะพี่หนิง





โดย: birdchicago วันที่: 28 เมษายน 2550 เวลา:19:11:14 น.  

 
พี่หนิงยังคงไปๆมาๆอยู่กับเชอร์รี่แบบเดิม ไม่ย้ายไปอยู่ด้วยกัน ไม่แต่งงาน ไม่จดทะเบียนสมรส ทำให้เชอร์รี่ไม่หายบ้าเสียที เวลาไปบิน เชอร์รี่จะมีท่าทีที่เราเรียกกันว่า “ให้ท่า” ผู้ชายอยู่เสมอ ใครๆเขารู้กันทั้งนั้น แต่พี่หนิงไม่ยอมฟังเวลาใครเตือน เชอร์รี่นี่เธอแรงจริงๆ

ฉันไม่ต้องคอยสอดแนมเรื่องพี่หนิงเลย มีคนคอยส่งข่าวตลอด จนบางครั้งเมื่อมีใครสักคนเริ่มเอ่ยปากกับฉันถึงพี่หนิงกับเชอร์รี่ ฉันจะยกมือห้าม พร้อมกับบอกว่า

“อย่า อย่า ห้ามพูดเรื่องไม่สร้างสรรค์ เรื่องเก่าๆ ไม่หนุก” แล้วเลยเปลี่ยนเรื่องไปเม้าท์ดาราดีกว่า

เหตุการณ์ดำเนินไปแบบนี้เรื่อยๆ ผ่านวันเกิดเชอร์รี่มาหลายปี หล่อนก็ไม่ได้ทะเบียนสมรสซักที

บางครั้งฉัน(ที่ชอบใจอ่อน) สงสารเชอร์รี่อยู่เหมือนกัน หล่อนคงรักพี่หนิงน่าดู ยอมทนอยู่แบบนั้นมานาน แต่บางคนบอกฉันว่าหล่อนกลัวเสียหน้าต่างหาก แถมอายุมากขึ้นทุกวัน หาใครใหม่ไม่ได้ แล้ว มีพี่หนิงอยู่ หล่อนยังคุยโม้ไปได้เรื่อย ลูกเรือใหม่ๆที่ไม่เคยรู้จักฉันต่างคิดว่าหล่อนเป็นเบอร์หนึ่งของพี่หนิงทั้งนั้น เอาเถอะๆ ฉันไม่เกี่ยวแล้ว ฉันว่าฉันทำใจได้แล้วนะ แต่มีเรื่องเกิดขึ้นเรื่องหนึ่งที่ทำให้ฉันรู้ว่า ฉันตัดพี่หนิงขาดไม่หมด หรือว่าอาจจะเป็นแค่ความห่วงใยฉันเพื่อนร่วมโลกก็ได้

เรืองมีอยู่ว่า...เช้าวันหนึ่ง พี่หนิงโทร.มาปลุกฉัน เขาบอกฉันว่า

“ริน พี่เป็นอะไรไม่รู้ เมื่อคืนบินกลับมาจากแฟรงค์เฟิร์ต ตอนพัก นอนไม่ได้เลย หายใจไม่ออก ต้องนั่งมาตลอด หอบๆด้วย เหนื่อยมากเลยริน”

“แล้วนี่พี่หนิงอยู่ไหน รีบไปหาหมอสิคะ รินว่าแล้วว่าพี่หนิงต้องไม่สบาย คราวที่แล้วที่พี่หนิงมาหาลูกน่ะ พี่หนิงผอมลงไปตั้งเยอะ ..” ฉันบอก

“งั้นเดี๋ยวพี่ขับรถไปหาหมออาณัติเลยดีกว่า”

หมออาณัติเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของพี่หนิงตั้งแต่ชั้นประถมจนจบมัธยม พี่หนิงเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร ส่วนหมออาณัติเรียนม.ปลายต่อที่โรงเรียนและเลือกเรียนแพทย์ ตอนนั้นคุณหมอเป็นหัวหน้าแผนกศัลยกรรมอยู่ที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งกลางกรุงเทพ

ฉันคุยกับพี่หนิงแล้วนอนต่อ เพิ่งตีห้ากว่าเอง
ไฟลท์ที่กลับจากยุโรปมักจะลงแต่เช้า บางครั้งเช้ามืด ตอนนั้นพี่หนิงย้ายไปบินเครื่องจัมโบ้ 747-400 แล้ว เครื่องแบบนี้ใช้บินแต่ไฟลท์ยาวๆ เพราะเป็นเครื่องใหญ่ จุน้ำมันได้มาก จุผู้โดยสารสี่ร้อยกว่าคน สามรถบินตรงไปยุโรปได้เลย โดยไม่ต้องแวะเติมน้ำมันที่ไหน ฉันเองชอบทำงานบนเครื่องจัมโบ้มากๆ พูดแล้วคิดถึง อยากกลับไปเป็นแอร์แต่ตอนนี้เป็นได้แค่แอร์กี่ อิอิ


นอนต่อไปสักพัก พี่หนิงโทร.มาอีกแล้ว
“ริน พี่มาถึงโรงพยาบาลแล้ว โชคดีหมอณัติมันมาแต่เช้า มันบอกว่าสงสัยหัวใจพี่คงไม่ค่อยดี เดี๋ยวผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจมา มันจะให้ตรวจพี่ รินมาได้มั้ย”

ฉันรับคำ ห่วงเขาขึ้นมา อย่าเพิ่งว่านะว่าฉันเจ็บแล้วไม่จำ ฉันเป็นห่วงพี่หนิงในสถานะพ่อของลูก ไม่ใช่สถานะสามีของฉัน ฉันทำใจมานานเนิ่นแล้วว่าฉันพลาดไปในการแต่งงานกับพี่หนิง เรื่องมันจบไปแล้ว ถึงจะคาราคาซังบ้างก็ไม่ใช่เรื่องน่าใส่ใจ ชีวิตฉันต้องก้าวไปอีก จะมัวเหลียวมองข้างหลัง นึกถึงแต่เรื่องที่ทำให้เจ็บใจไปทำไม

แปลกที่พี่หนิงโทร.หาฉันก่อนใคร เพราะเมื่อฉันไปถึงโรงพยาบาลแล้วถามพี่หนิงว่าบอกคุณแม่เขาหรือยัง เขาตอบว่าบอกฉันคนเดียว ยังไม่ได้บอกใครอีก ฉันเดาเอาว่าเชอร์รี่คงไม่อยู่ ไม่งั้นพี่หนิงคงบอกหล่อนก่อนมากกว่ามาบอกฉัน

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจตรวจพี่หนิงอยู่นาน ผลสรุปคือ สั่งให้พี่หนิงนอนโรงพยาบาลทันที เพราะหัวใจพี่หนิงทำงานเพียงแค่ยี่สิบกว่าเปอร์เซ็นต์ เนื่องจากลิ้นหัวใจรั่ว ต้องผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจด่วน

พี่หนิงได้รับการผ่าตัดในวันรุ่งขึ้น เขาโทร.ไปบอกคุณแม่ของเขาซึ่งรีบมาพร้อมพี่หน่อย และเมื่อฉันได้รับทราบว่า น้องสาวของเขากำลังตามมาอีกคน ฉันจึงกลับคอนโด ปล่อยให้คนบ้านเขาดูแลกันเอง

การผ่าตัดผ่านไปเรียบร้อย พี่หนิงโทร.มาบอกฉันว่า ถ้าจะไปเยี่ยมเขาให้โทร.บอกก่อน เขาจะบอกเองว่าฉันจะไปได้หรือไม่ได้ตอนไหน ฟังแล้วเซ็ง ที่นึกจะพาลูกๆไปเยี่ยมพ่อเลยล้มความคิด

พี่หนิงคงกลัวฉันไปมีเรื่องกับเชอร์รี่กระมัง

พี่หนิงหยุดบินนานเก้าเดือนกว่า บริษัทต้องพิจารณาการเจ็บป่วยของพี่หนิงว่าจะสามารถกลับไปบินได้ไหม พี่หนิงต้องไปทดสอบความฟิตของร่างกาย ตรวจร่างกาย ตรวจสภาพการทำงานของหัวใจ ฯลฯ สรุปคือ บริษัทให้พี่หนิงกลับไปบินได้ ในตำแหน่งเดิม

เวลาผ่านไปอีก สถานการณ์ต่างๆเหมือนเดิม มีเรื่องน่ารำคาญใจจากเชอร์รี่บ้าง แต่ไม่มากพอที่จะทำให้ฉันสะเทือนใจได้อีก

ฉันเฉยชา และชินแล้ว





โดย: birdchicago วันที่: 28 เมษายน 2550 เวลา:19:12:06 น.  

 
ชีวิตรันทด...เรื่องจริงผ่านคอมพ์ ตอนที่สิบหก (ตอนจบ) 16.3

ถึงตอนนี้ ฉันยังไม่ได้เล่าถึงพี่อินเลย
ที่เดากันว่า รินคงได้กลับไปคบกับพี่อินอีก เป็นอันว่า ไม่ถูกนะค้า

ฉันไม่ได้พบพี่อินอีกเลย หลังจากได้จดหมายของเขาที่ฝากบิวมาจากนาริตะ นานกี่ปีแล้วก็ขี้เกียจนับ พี่อินไม่ได้กลับมาทำงานที่สายการบินแห่งอดีตของเรา พี่อินเป็นภาพเลือนรางในหัวใจฉัน แม้เรื่องราวต่างๆจะชัดเจนอยู่กับความทรงจำ แต่ความรู้สึกที่ฉันมีตอนนี้คือ เฉยๆค่ะ ...เฉยมากกก ให้เจอกันอีกก็คงไม่รู้สึกอะไร...ละมั้งคะ...)

ระยะหลังๆฉันคุยกับพี่หนิงไม่ค่อยได้ เขาดูหงุดหงิดอยุ่ตลอดเวลา พูดจาแต่ละครั้ง ...ไม่น่าฟังเอาซะเลย ฉันเบื่อที่จะคุยกับพี่หนิง เบื่อที่เขาคอยสั่งให้ฉันดูลูกแบบนั้นแบบนี้ บางครั้งฉันถึงกับเหลืออด ด่าไปเลยว่า เลิกยุ่งกะฉันเสียที เขาก็จะหายๆไป แล้วมาใหม่ วนเวียนเป็นวิญญาณหลอนอยู่จนถึงวันนี้



เมื่อแรกเขียนเรื่องนี้ ฉันคิดพล้อตไว้แล้วหมดทุกตอน ทั้งหมด 18 ตอน รวมทั้งคิดไว้ว่าตอนจบจะเขียนเป็น 18.1,18.2,18.3
แต่ละตอนจะต่างกัน ให้ท่านผู้อ่านเลือกเอาเองว่าอยากให้เรื่องจบแบบไหน

แต่แล้ว เมื่อสักเดือนกว่ามานี่เอง ที่ฉันได้รับทราบเรื่องที่ทำให้เปลี่ยนใจ ต้องเปลี่ยนพล้อต และตัดสินใจว่าควรบอกเล่าเรื่องที่ “เกิดขึ้นจริงๆ” ให้ผู้อ่านที่น่ารักของฉันทราบ

เมื่อไม่กี่เดือนมานี้ พี่หนิงจัดงานแต่งงานกับเชอร์รี่ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง โดยที่ฉันไม่ทราบเลย เพราะยุ่งอยู่กับการดูแลคุณพ่อที่ป่วยหนัก คนที่มาเล่าแจ้งแถลงไขเรื่องทั้งหมดให้ฉันฟังไม่ใช่ใครที่ไหน ...น้องหนอนไง

เธอโทร.มาเล่าๆๆๆๆ และระบายความในใจมากมาย

ฉันจะสรุปให้ฟังสั้นๆ เพราะเรื่องนี้ยาวเกินไปเสียแล้วในความรู้สึกฉัน

ที่คิดว่ามันจบนั้นมันไม่จบ มันกลับกลายเป็นตอนใหม่ได้อีกด้วยซ้ำ (5555------------เยาะเย้ยตัวเอง)


ในงานแต่งงานพี่หนิง คุณแม่ พี่สาว น้องสาวเขาไปกันครบ เพื่อนๆไปไม่มาก น้องหนอนไม่ไป แต่ฟังจากคนที่ไปงานมาเล่าให้เธอฟังว่า ในงานนั้น มีการฉายสไลด์มัลติวิชั่น บอกเล่าความเป็นมาของพี่หนิงกับเชอร์รี่ตั้งแต่เด็กจนโต รวมทั้งการที่สองคนนั้นมาพบกันและรักกันตอนเชอร์รี่เรียนมหาวิทยาลัย (ฮาค่ะฮา)

ผู้คนที่ไปในงานพากันกระอักกระอ่วนงวยงงกันไปหมด เพราะต่างคนต่างรู้กันดีว่าเชอร์รี่แย่งพี่หนิงไปจากฉันต่างหาก

สมกับที่ฉันเคยว่ามั้ยว่า เชอร์รี่นี่หล่อนไม่มีความคิด หรือไม่ได้คิด

เรื่องการแต่งงานของพี่หนิงมาพร้อมข่าวการใช้บ้านที่ฉันมีสิทธ์อยู่ตามกฎหมายเป็นที่อยู่ของเขาทั้งคู่



เชอร์รี่ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านที่ยังเป็นกรรมสิทธิ์ของฉัน หล่อนเอาเสื้อผ้าของหล่อนไปแขวนไว้ในตู้เสื้อผ้าทุกห้อง กับทั้งวางของใช้ส่วนตัวจองที่ไว้หมด

หล่อนรื้อถอนศาลพระภูมิที่บ้านฉันหมดเลย ฉันเคยตั้งไว้สองศาลตอนสร้างบ้าน เลือกซื้อศาลที่สวยงามและมีราคามา เพื่อความเป็นสิริมงคลของบ้าน ฉันจึงตั้งทั้งศาลพระภูมิและศาลเจ้าที่

น้องหนอนเล่าว่า หล่อนมาเรียกคนสวนผู้ชายชาวพม่าที่บ้านคุณแม่พี่หนิงไปรื้อถอนศาล มีสองศาลที่ฉันเคยตั้งไว้ คือศาลพระภูมิและศาลเจ้าที่ คนสวนคนนั้นกลับไปนอนจับไข้อยู่สามวัน

หล่อนให้ผู้ชายสวมชุดขาวมาเอาศาลที่รื้อถอนแล้วออกไปจากบ้าน และจ้างคนมาขุดน้ำตกแทน ไม่รู้เป็นเคล็ดอะไรของหล่อน

ฉันทราบมานานแล้วว่าเชอร์รี่ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ หล่อนนับถือลัทธิหนึ่งที่ฉันถามผู้รู้ได้ความมาว่า เป็นลัทธิเทียมเท็จลัทธิหนึ่งที่ไม่เป็นที่ยอมรับในศาสนาใดๆ เป็นลัทธิบูชาพระเจ้าองค์ใดไม่ทราบ จะชุมนุมกันตามบ้าน ไม่มีการประกอบพิธีทางศาสนาที่ใดๆทั้งสิ้น

หล่อนจึงต้องทำลายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอื่นๆให้หมด

ฉันมีห้องพระเล็กๆในบ้าน มีโต๊ะหมู่บูชาเป็นไม้ฝังมุกงดงามมาจากเวียดนาม พี่หนิงซื้อมาตั้งแต่สมัยที่เราสร้างบ้านใหม่ๆ
ฉันตั้งพระพุทธชินราชองค์ใหญ่ที่ได้มาจากพิษณุโลกไว้เป็นพระประธาน มีพระพุทธรูปองค์อื่นๆอีกมากพอควรที่ฉันบูชาไว้ เป็นห้องพระที่สวยงามทีเดียวในความรู้สึกฉัน ตอนอยู่บ้าน ฉันเข้าไปไหว้พระทุกวันก่อนนอน บ่อยครั้งที่นั่งร้องไห้รำพึงรำพันให้คุณพระคุณเจ้าปกป้องฉันและลูกๆจากสิ่งเลวร้ายที่เข้ามาครอบคลุมชีวิต


เชอร์รี่จัดการเคลียร์ห้องพระ เอาทุกอย่างออกจากห้อง พระพุทธรูปต่างๆ ที่ฉันเคยกราบไหว้บูชา หล่อนเอาไปทิ้งไว้ในตู้เสื้อผ้าที่ห้องพี่หนิงในบ้านคุณแม่เขา ส่วนห้องที่เคยเป็นห้องพระ หล่อนเอาข้าวของรกๆของหล่อนไปสุมไว้เต็ม

เรื่องศาลพระภูมิและเรื่องห้องพระ ยังไม่พอสำหรับหล่อนหรอก

หล่อนเอาโกศทองเหลืองที่ใส่อัฐิคุณพ่อพี่หนิงไปทิ้งขยะ (ลืมเล่าไปว่าคุณพ่อพี่หนิงเสียชีวิตตั้งแต่น้องเมฆอายุเพียงเดือนกว่า)
เด็กที่บ้านคุณแม่เขาเป็นคนมาเจอ และเอาโกศนั้นไปให้คุณแม่ดู ด้วยเหตุนี้ทำให้คุณแม่พี่หนิงเลิกพูดกับเชอร์รี่และเริ่มปรารภกับคนรอบด้านว่า รินนั้นไม่ควรทิ้งบ้านไปเลย

โถ..คุณแม่...กว่าจะมาเห็นรินดี ก็สายไปหมดแล้ว

เชอร์รี่เอาโซ่พร้อมกุญแจดอกใหญ่ไปล่ามคล้องประตูรั้วที่เป็นทางเข้าออกระหว่างสองบ้าน

หล่อนทะเลาะกับน้องหนอนทุกครั้งที่เจอหน้า ชี้หน้าด่ากัน ตีกันเป็นกิจวัตร
ล่าสุด หล่อนโยนกระถางต้นไม้ใส่น้องหนอน แต่ไม่โดน ส่วนน้องหนอนเขวี้ยงรองเท้าพี่หนิง (เบอร์ 11) โดนหัวหล่อนเต็มเป้า

พี่หนิงได้แต่ตะโกนห้าม ...เชอร์รี่หยุด...หนอนหยุดดด...ไม่ได้ผลเลย

ตอนนี้คู่กรณีของเชอร์รี่กลายเป็นน้องหนอนไปเสียแล้ว

เชอร์รี่จะไม่กล้าอยุ่ที่บ้านคนเดียวเลย หากพี่หนิงไม่อยู่ หล่อนจะกลับไปอยู่บ้านของหล่อน ซึ่งเป็นทาวน์เฮ้าส์อยู่แถวซอยวัชรพล (บอกไม่ได้ว่าตรงไหนแน่ เพราะฉันเองไม่เคยไป)

ที่เชอร์รี่ไม่กล้าอยู่คนเดียว ไม่ใช่หล่อนกลัวเกรงน้องหนอนหรอก แต่หล่อนกำลังอ่อนแอ หากสู้กัน หล่อนคงแพ้แน่ๆ

.......เพราะเชอร์รี่ท้อง ใกล้คลอดแล้ว........

นวลโทร.มาบอกฉันแบบเจ็บแค้นแทนว่าพี่หนิงโทร.ไปหานวลที่ต่างจังหวัด ชวนนวลมาเลี้ยงเด็กลูกใหม่ชองเขากับเชอร์รี่
นวลปฏิเสธ บอกว่าเธอมาไม่ได้
แม้แต่คนเลี้ยงลูก เจ้าหล่อนยังจะเอาคนเลี้ยงลูกของฉันอีก

คิดได้ไงทั้งพี่หนิงทั้งเชอร์รี่


ทั้งหมดนั้นไม่ใช่ปัญหาของฉัน ปัญหาของฉัน ณ.เวลานี้ คือ...

ฉันจะทำอย่างไรดีเรื่องบ้านของฉันซึ่งตอนนี้เชอร์รี่เข้าไปครอบครองและเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่างโดยถือสิทธิ์ที่ทึกทักเอาเอง

ตามสัญญาการหย่า บ้านนั้นยังคงเป็นสิทธิ์ของฉันอย่างสมบูรณ์ บ้านที่ฉันเคยอยู่ เคยดูแล ของทุกชิ้นในบ้านฉันเป็นคนจัดวาง เป็นคนหาซื้อมา

กระดิ่งอันเป็นของสะสมของฉัน ป่านนี้โดนปาทิ้งไปหรือยัง

คริสตัลชวารอฟสกี้ที่ฉันค่อยๆซื้อ ค่อยๆสะสม จะแหลกคามือเชอร์รี่ไปยังน้อ

ตุ๊กตาพอร์ซเลนสวยสง่าจากสเปน ตุ๊กตาเกาหลีหน้าตาจิ้มลิ้มเหมือนแดจังกึมอีกหลายตัว

บาร์บี้นับร้อยของน้องรุ้งที่ฉันซื้อแทบทุกไฟลท์ที่ไปบิน

หุ่นยนต์ของน้องเมฆ รถบังคับ อัลตร้าแมนทั้งชุด ไอ้มดแดงอีก

หนังสืออีกมากมาย วีดีโอเทป แผ่นเลเซอร์ดิสก์ ยิ่งคิดยิ่งปวดหัวใจ

ไหนจะเครื่องแก้ว เครื่องกระเบื้อง เครื่องครัวอีก ล้วนแต่เงินฉันซื้อมาทั้งนั้น

ของแต่งบ้านแต่ละชิ้น ซื้อมาจากประเทศต่างๆ ถึงสร้างบ้านใหม่ ฉันคงไม่มีปัญญาบินไปซื้อมาอีก

คิดแล้วจาเป็นลมด้วยความเสียดาย

หรือว่าทุกอย่างนั้นมันแค่ของนอกกาย ไม่ควรเอามายึดถือ

ไม่ควรเอามาเป็นเรื่องกลุ้ม น่าเอามาเป็นเรื่องขำมากกว่า ว่าคนแบบนี้ก็มีในโลก

หล่อนเป็นคนละโมบ อยากได้ทุกอย่างที่เป็นของฉัน เอาไปเถิด หล่อนเอาไปได้เพียงพี่หนิงและสมบัตินอกกาย

สิ่งที่เป็นของฉันจริงๆคือตัวฉัน ลูกทั้งสองที่รักของฉัน และศักดิ์ศรีของฉันที่ไม่มีใครเอาไปได้

น่าขอบคุณที่มีคนแบบเชอร์รี่กับพี่หนิงเสียด้วยซ้ำ ...ที่ทำให้ฝันอยากเป็นนักเขียนของฉันเป็นจริงขึ้นมา

จบแล้วค่ะ

9 พฤศจิกายน 2549



โดย: birdchicago วันที่: 28 เมษายน 2550 เวลา:19:14:21 น.  

 
บทส่งท้าย

เมื่อเริ่มเขียนเรื่องนี้ ฉันตั้งใจว่าต้องสานฝันตนเองให้สำเร็จเสียที ............ฉันอยากเป็นนักเขียนค่ะ...............

อยากเป็นมาตั้งแต่เด็กๆ ทำให้ฉันเลือกเรียนอักษรศาสตร์ และเรียนวิชาการประพันธ์มาหลายคอร์ส

แต่ชีวิตที่หันเหไปเป็นแอร์ ได้เห็นโลกกว้าง ได้พบเจอเรื่องอื่นๆได้เพลินเพลิดไปกับกิเลสตัณหาของตนเอง ทำให้ฉันไม่ได้ตั้งใจเขียนให้ใครอ่านสักที แค่เขียนให้ตัวเองอ่านเล่นๆ เป็นบันทึกที่ไม่มีการต่อเนื่อง

คือนึกอยากเขียนก็เขียน ไม่อยากก็ไม่เขียน

จนคืนหนึ่ง นั่งอยู่ในห้องคนไข้หมายเลข 1418 ตึก ภปร. โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เฝ้ามองคุณพ่อที่นอนหลับด้วยความอ่อนเพลียจากการเจ็บป่วย
มองท่านไปมา เลยหยิบสมุดมาเขียนพล้อตเรื่องคร่าวๆ จัดตัวละครที่อิงมาจากตัวจริงทั้งหมด

เขียนเรื่องตัวเองนี่แหละ ไม่ต้องยอกย้อนคิดมาก


ต่อจากนั้น เรื่องราวต่างๆไหลหลั่งมาจากความทรงจำของฉันเองล้วนๆ

หลายท่านสงสัยว่า นี่มันเรื่องจริงหรือ ...จริงค่ะ

คนแบบเชอร์รี่มีจริงหรือ..........................จริงค่ะ

พี่หนิงทำแบบนี้กับรินจริงหรือ.................จริงค่ะ

รินไม่อายหรือที่เอาเรื่องตัวเองมาเขียน......มีบ้างค่ะ

รินมีแฟนใหม่มั้ย.......................................ไม่มีค่ะ มีแต่พี่น้องทั้งนั้น (ตอบแบบดารา)

พี่อินเป็นอย่างไรบ้าง.................................ไม่ทราบจริงๆค่ะ

แล้วหนุ่ยเป็นใคร.......................................ขอไม่ตอบนะคะ

รินคิดว่าตัวเองเป็นคนดีหรือเปล่า..............ไม่ค่ะ เหมือนปุถุชนทั่วไปที่มีดีมีไม่ดี (..แต่ดีกว่าเชอร์รี่แน่นอน)

น้องรุ้งสวยมั้ย.............................................สวยค่ะ

น้องเมฆหล่อมั้ย..........................................หล่อค่ะ
(แหม แม่ก็ต้องเข้าข้างลูกสิคะ ดูแม่พี่หนิงสิ)

น้องรุ้งมีแฟนยัง...........................................ยังค่ะ

น้องเมฆมีแฟนยัง.........................................ยังค่ะ

น้องเมฆเป็นเกย์ป่าว.....................................(คิดว่า)ไม่ค่ะ

มีอะไรอยากบอกท่านผู้อ่านมั้ย....................ขอบคุณ ขอบคุณ และขอบคุณที่สุดค่ะ

มีอะไรอยากแนะนำกันอีก...........................วันนี้คุณดูแลคนที่คุณรักหรือเปล่า ถ้าวันนี้ลืม พรุ่งนี้เอาใหม่นะ


อ้าวววว... ตายละ ลืมคำถามประจำตอนจบไปจนได้

คำถามคือ...


*****คุณได้ข้อคิดอะไรจากการอ่านเรื่องนี้?*****


อยากตอบแบบไหนได้ทั้งนั้นค่ะ หมดเขตการตอบสิ้นเดือนนี้นะคะ

ประกาศผลวันศุกร์ที่ 1 ธันวาคม

รางวัลทั้งหมดมี 5 รางวัลตามเคย เป็นนาฬิกา ของแอร์กี่เองค่ะ (บอกแล้วว่าไม่ค่อยลงทุนเลย)

ส่วนรางวัลบัตรของขวัญห้างเซ็นทรัล ได้จัดส่งให้ทุกท่านไปนานแล้วค่ะ ยกเว้นคุณแม่น้องโปรแกรม ที่เมลมาบอกว่าอยากให้พี่รินซื้อเป็นของให้น้อง พี่รินมัวเฝ้าคุณพ่อ เพิ่งซื้อของเมื่อวาน แล้วจะรีบส่งให้พรุ่งนี้นะคะ

ขอบพระคุณท่านผู้อ่านทุกท่านอีกครั้งสำหรับกำลังใจและความจริงใจที่มีให้แอร์กี่ผ่านมาทางตัวอักษรในทุกกระทู้


บ๊าย บาย นะคะ พบกันใหม่เรื่องหน้า...........

ด้วยรักจาก แอร์กี่



โดย: birdchicago วันที่: 28 เมษายน 2550 เวลา:19:15:11 น.  

 
The airkyfanclub.com doesn't work ka

or i need to regist or esle?


โดย: phannluck วันที่: 15 มกราคม 2551 เวลา:9:21:54 น.  

 
อ่านแล้ว รู้เศร้ามาก ๆ เลยค่ะ ขอเป็นกำลังใจให้นะค่ะ


โดย: yod IP: 61.19.52.58 วันที่: 16 มกราคม 2551 เวลา:8:44:13 น.  

 
ชอบอ่านมากกกกกกกกๆ
แล้วก้อชอบดูละครด้วย
จะติดตามผลงานคุณแอร์กี่นะคะ


โดย: may IP: 58.64.93.193 วันที่: 23 มกราคม 2551 เวลา:1:16:20 น.  

 
เป็นกำลังใจให้นะคับผม


โดย: Lista IP: 202.91.19.204 วันที่: 30 มกราคม 2551 เวลา:1:31:03 น.  

 
ขอบคุณพี่ริน ที่เป็นตัวอย่างดีๆ ๆ ให้นะค่ะ


โดย: ต้นข้าว IP: 117.47.82.207 วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:17:55:07 น.  

 
ขอบคุณพี่ริน ที่เป็นตัวอย่างดีๆ ๆ ให้นะค่ะ


โดย: ต้นข้าว IP: 117.47.82.207 วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:17:55:10 น.  

 
เรื่องนี้สนุกมากค่ะ

น่าสงสารพี่รินจัง

ชีวิตรันทดจิงๆเลย

จาติตามละครน๊ะค๊ะ


โดย: อ้วน IP: 210.4.128.7 วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:18:40:38 น.  

 
ชีวิตรันทดมาก แต่การอดทนเป็นสิ่งที่ดี แต่บางครั้ง ไม่รู้จะต้องอดทนมากมายไปทำไม เพราะเราทนได้ แต่คนรอบข้างเรา เราคิดถึงจิตใจเค้าหรือเปล่า รักใคร รักได้ แต่ต้องรักตัวเองให้มากกว่า


โดย: ปู IP: 58.136.169.187 วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:10:19:10 น.  

 
อ่านแล้วได้รู้เลยว่ายังมีคนที่เขาแย่กว่าเราอีกหรือนี่...ขอบคุณ...พี่แอร์กี่มากๆเลยคะที่ได้นำเรื่องราวมาให้ทุกคนได้อ่านเป็นตัวอย่างของชีวิต


โดย: น้ำอิน (น้ำอิน ) วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:16:34:38 น.  

 
ดิฉันเป็นอีกคนหนึ่งที่จะได้ทำการบินกับสายการบินนี้เร็วๆนี้
อ่านแล้วรู้สึกว่ายังมีอะไรอีกหลายอย่างที่เราจะต้องเรียนรู้ ยอมรับและทำใจ แต่เห็นคุณแอร์กี่เป็นคนมองโลกในแง่ดีมากๆ น้องจะเอาเป็นตัวอย่างในด้านนี้นะคะ น้องเองมีแฟนอยู่แล้ว และจะบอกเค้าเสมอว่า น้องรักเค้าที่สุดและเราจะรักกันตลอดไป ถึงจะดูเน่าแต่ถ้าได้รักใครแล้วอะไรก็เกิดขึ้นได้ใช่มั้ยคะ ขอบคุณที่ให้ประสบการณ์ดีๆแก่เพื่อนร่วมโลกทุกคน ขอบคุณมากค่ะ


โดย: มิตรภาพ IP: 124.120.180.132 วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:1:19:42 น.  

 
นี่สินะชีวิตมีดีมีชั่วปะปนกันไป
อ่านแล้วก็ได้ข้อคิดแก่ตัวเอง
ซึ่งก็มีบางส่วนของชีวิตที่ไม่ได้ดีกว่า.......


โดย: 111 IP: 61.19.149.202 วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:13:41:27 น.  

 
โดยปกติแล้วจะเป็นคนที่ไม่ชอบอ่านอะไรที่ยาวมากๆ
ถ้าไม่น่าสนใจจะเลิกอ่านเลย
แต่เรื่องราวของคุณรินดีมากๆ เลยค่ะ
อ่านแล้วหยุดไม่ได้...อ่านรวดเดียวจนจบ...
(ไม่เคยดูละครเรื่องสงครามนางฟ้าเลยนะคะ...เพิ่งเคยเข้ามาอ่านวันนี้เป็นวันแรก...ยอดเยี่ยมมากค่ะ)

ต้องขอขอบคุณคุณรินมากๆ นะคะที่นำเรื่องราวดีอย่างนี้มาบอกเล่าเพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนใจ ขอบคุณจากใจจริงค่ะ


ปล.แหม..แต่ตอนอ่าน จะค่อนข้างขัดใจนิดนึง
ทำไมตัวร้าย นิสัยแย่ๆ ถึงชื่อเหมือนเราได้หว่า
ไม่เป็นไร ชื่อเหมือน แต่นิสัยต่างกันลิบลับเลยค่ะ...ขอยืนยัน...

ขอส่งกำลังใจไปให้คุณรินนะคะ...ขอให้มีความสุขมากๆ
พระคุ้มครองคนดีๆ และครอบครัวดีๆ ของคุณรินนะคะ...


โดย: เชอร์รี่ IP: 58.136.57.174 วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:17:51:09 น.  

 
I feel sorry with you but you are very strong women
you have done very very well
wishes you and your famaly all the best


โดย: saran IP: 121.72.224.167 วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:6:50:45 น.  

 
รู้สึกว่าฟ้ามีตาค่ะ แล้วแต่กรรมใคร กรรมมันทุกอย่างบันทึกด้วยตัวมันเองความดีดวามชั่ว เอาใจช่วยค่ะคนดี


โดย: ซูชิ IP: 58.9.46.144 วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:13:22:29 น.  

 
เป็นเรื่องที่ดีมากๆๆๆๆๆเป็นผู้หญิงที่เก่งแว่นะเชอรี่เป็นเลวแย่งผัวชาวบ้านเค้า



โดย: arm--jew IP: 118.174.181.53 วันที่: 3 มีนาคม 2551 เวลา:10:06:44 น.  

 
Source: FW - เพื่อนหนิง(สงครามนางฟ้า)

ผมเพิ่งเข้ามาอ่านเพราะหนิงเพื่อนผมไม่เคยเข้าเวบ วันไหนไม่บินก็หยุดพักเหนื่อย ใครไม่เคยเป็นนักบินจะไม่รู้หรอกว่าเป็นนักบินเหนื่อยแค่ไหน หนิงบอกให้ผมลองเข้ามาอ่าน เพราะเชอร์รี่ก็เข้าเวบไม่เป็น แต่มีคนมาบอกหนิงให้เข้ามาอ่าน ผมเลยต้องทำหน้าที่เพื่อนที่ดี บอกตรงๆ ถ้าไม่รักเพื่อนสงสารเพื่อนคงไม่ทนอ่านจนจบ ใช้เวลานานเป็นชั่วโมงๆ

ผมรู้จักหนิงมายาวนาน รู้เรื่องภายในครอบครัวของหนิงเป็นอย่างดี หนิงเป็นคนหน้าตาดีมาก แต่ความหน้าตาดีของหนิงทำให้หนิงต้องเดือดร้อนไม่สิ้นสุด ทุกวันนี้หนิงเองก็เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น หากย้อนเวลากลับไปหนิงคงรู้แล้วว่าต้องทำอะไร แต่ตอนนี้มันสายเกินไปแล้วสำหรับหนิง

หนิงมีภรรยาคนแรกคือคุณอร ไม่ได้ถูกคลุมถุงชน แต่รักกันตั้งแต่อรเรียนเตรียมอุดม ส่วนหนิงอยู่เตรียมทหาร ตอนแต่งงานผมยังไปงานเขา อรเป็นผู้หญิงสวยอ่อนหวานแบบไทยๆ ทราบว่าคุณพ่อคุณแม่เป็นคนมีชื่อเสียงมาก อรจบจุฬาลงกรณ์คณะทันตแพทย์ แต่ไม่ได้เรียนต่ออีก เพราะอรเลือกที่จะแต่งงานแล้วไปเป็นแอร์ เดินทางเคียงข้างสามี จำได้ว่าคู่นี้ดังมากในยุคนั้น หนุ่มหล่อสาวสวยจนใครๆ อิจฉา จนวันหนึงอรก็ท้องและคลอดได้ลูกสาว ก็คือน้องหนอน อรต้องถูกถอดออกจากการเป็นแอร์ เพราะกฏในสมัยนั้นห้ามแอร์มีลูก อรอยู่บ้านเลี้ยงลูกและทำงานเป็นหมอฟันไปด้วย ทั้งสองคงครองรักกันยืนยาว ถ้าไม่มีบุคคลที่สามเกิดขึ้นในชีวิตของทั้งสอง

หนิงเป็นคนหน้าตาดีมาก ได้รับความสนใจจากแอร์สวยๆ รุ่นน้องอยู่เสมอ หนิงเองก็พยายามไม่ยุ่งเกี่ยวแต่ก็พลาดท่าเสียทีจนได้ ซึ่งหนิงเองก็เสียใจและยอมรับว่าตัวเองยังอายุน้อย และไม่ค่อยรู้ทันมารยาหญิง แต่ผมว่าโทษฝ่ายหญิงคนเดียวก็ไม่ได้ หนิงเองก็มีบุคคลิกที่อ่อนแอ และอ่อนปวกเปียกทุกครั้งที่เจอผู้หญิงมาออดอ้อน หนิงเป็นลูกชายคนเดียวที่แม่รักมาก ตามใจมากมาแต่เด็ก ประกอบกับฐานะทางบ้านดีมาก จึงทำให้หนิงรักตัวเองมาก และมักทำอะไรโดยไม่ค่อยคิดก่อน แล้วต้องมาเสียใจทีหลัง แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นว่าเป็นความดีของหนิงก็คือ หนิงเป็นคนรักลูกมากและรับผิดชอบลูกๆ ทุกคนให้กินดีอยู่ดี หนิงเลยต้องทำงานหนักเปิดบริษัทส่วนตัวเพื่อหาเงินจุนเจือครอบครัวและลูกๆ ทุกคน

คุณรินก้าวเข้ามาในชีวิตของหนิงอย่างแบบค่อยเป็นค่อยไป แรกๆ ขอเป็นเพื่อน จนสนิทกันถึงขนาดหนิงยอมพาเข้าบ้านไปรู้จักกับอร อรเป็นคนจิตใจดี มองคนในแง่ดี เห็นเป็นแอร์รุ่นน้อง เธอก็ยอมรับมาเป็นเพื่อนสนิทอีกคนหนึ่ง แต่เพื่อนๆ หนิงทุกคนรู้ก็รู้ว่าสองคนแอบไปมีอะไรๆ ด้วยกันลับหลังอร เมื่อบินด้วยกัน แต่ไม่มีเพื่อนคนไหนกล้าบอกอร จนกระทั่งเพื่อนแอร์ของอรแอบมากระซิบ ขนาดนั้นก็ยังไม่เชื่อเพราะเธอเชื่อใจสามี เพราะเขายังปฏิบัติต่ออรและลูกดีมาก อรคิดว่าเรื่องนักบินกับแอร์มักมีอะไรกุ๊กกิ๊กกันบ่อยๆ แต่มักไม่มีอะไรผูกพันกัน

แต่ในที่สุดวันหนึ่งหนิงก็มาบอกเพื่อนๆ ว่าอรขอหย่า หนิงบอกว่าเขาไม่อยากหย่า เพราะไม่อยากทิ้งลูกทิ้งเมีย หนิงเสียใจที่ได้ก่อความผิดต่ออรในครั้งนั้น แต่อรเองเป็นฝ่ายทนไม่ได้ในที่สุด เพราะรินตามระรานอรหลายครั้ง ทั้งโทรศัพท์มาบอกว่านอนกับหนิงและทั้งมาหาอรถึงบ้านด่าว่าเสียๆ หายๆ ว่าสามีไม่รักแล้วหน้าด้านทนอยู่ทำไม ผมเข้าใจอรนะ และไม่คิดว่าอรเป็นคนไม่อดทน

ตอนนั้นหนิงเศร้ามาก อรเพิ่งคลอดลูกคนที่สองเป็นลูกสาวน่ารักมาก อายุยังไม่ทันเดินเลย อรไม่ยอมให้ลูกคนเล็กอยู่กับย่า แต่ยินยอมให้น้องหนอนซึ่งติดพ่อมากในตอนนั้น รู้สึกจะเพิ่ง 3 ขวบ พ่อตามใจเสียจนติดพ่อ หนิงก็ติดลูกเหมือนกัน เพราะเพิ่งมีคนแรก ส่วนลูกคนน้องหนิงไม่ได้เลี้ยง เพราะเกิดเรื่องขึ้นมาก่อน คุณอรไม่ยอมให้ และถ้าไม่ยอมให้หนิงเอาลูกคนโตไป หนิงก็ไม่ยอมหย่าให้อีก ตอนนั้นสองคนเขาปลูกเรือนหอสวยงามมากอยู่ในซอยเดียวกับบ้านพ่อแม่ของหนิง เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงกัน อรเลยคิดว่าคงไม่เป็นไรถ้าน้องหนอนไปอยู่กับพ่อ อย่างน้อยน้องหนอนคงเดินไปเดินมาระหว่างสองบ้านได้ คงไม่ห่างจากแม่

ตอนหลังผมเคยเจออร อรบ่นให้ฟังว่าบ้านหนิงเลี้ยงน้องหนอนแบบตามใจมาก จนน้องหนอนไม่ยอมเข้าใกล้เธอ เพราะมาหาทีไรแม่ก็จะคอยอบรมบ่มนิสัย หนอนไม่ชอบให้ใครบ่นว่าเธอ อรยังบอกให้ผมคอยเตือนหนิงให้อย่าตามใจลูกมากเกินไป

หลังหย่าหนิงย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านพ่อแม่กับน้องหนอน โดยมีย่าเลี้ยง ตอนใหม่ๆ ยังไม่ยอมให้รินเข้าบ้าน ไม่ยอมแต่งงานหรือจดทะเบียนกับริน เพราะหนิงแอบมาสารภาพว่าไม่ได้รัก แต่บังเอิญพลาดไปแล้ว ต่อมาได้ข่าวว่ารินท้อง หนิงจึงต้องเอารินเข้าบ้าน และแต่งงานด้วย แต่ไม่ได้มีงานจัดเลี้ยงใดๆ สองคนนี้ทะเลาะกันบ่อยมาก และรินเองก็หอบข้าวของกลับไปอยู่ที่บ้านพ่อแม่ตัวเองหลายครั้ง หนิงก็ไม่ค่อยได้ตามง้อสักเท่าไหร่ พวกเพื่อนๆ ยังสงสารคุณริน เพราะไหนๆ ก็เป็นแม่ของลูกคนหนึ่งของหนิง แต่หนิงบอกว่าทนอารมณ์ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้

ตอนนั้นหนิงไม่มีความสุขเลย และเริ่มสนุกกับการติดพันสาวๆ คนใหม่ ส่วนอรก็โชคดีไปเจอฝรั่งใจดีมาชอบจากการแนะนำของเพื่อนแอร์ และแต่งงานในที่สุด อรกับลูกสาวคนเล็กจึงย้ายไปอยู่ประเทศสวิสนับจากนั้น อรยังมีแก่ใจชวนเพื่อนๆลูกเรือไปพักบ้านเธอฟรีทุกครั้งที่แวะไปสวิส และอรกับสามีจะช่วยพาเที่ยวพาเลี้ยงอย่างเต็มที่ ลูกสาวคนน้องหน้าตาเหมือนแม่มาก สวยหวานๆ แบบไทยๆ สามีคุณอรรับเป็นลูกสาวบุญธรรม เพราะยังไม่มีลูกนับจากภรรยาคนเก่าเสียชีวิตไป

หนิงเองตอนแรกก็เป็นทุกข์ที่อรแต่งงาน ยังหึงหวงอยู่มาก แต่ต่อมาหนิงก็ทำใจได้และทั้งสองก็เป็นมิตรที่ดีต่อกันจนกระทั่งวันนี้ พอลูกสาวของอรเริ่มโตขึ้น อรก็จะขอให้หนิงส่งหนอนมาอยู่กับเธอที่สวิสบ่อยๆ เช่นตอนปิดเทอม ทำให้หนอนเริ่มสนิทกับแม่ใหม่ หนิงไม่เคยคิดทำร้ายคุณริน แต่ทำไงได้ ผมเข้าใจหนิง หนิงไม่มีความสุขเมื่ออยู่กับริน รินเป็นคนอารมณ์ร้าย

มีอยู่วันหนึ่งรินเอาปืนยิงหนิงเฉียดหัวไปหน่อยเดียว หนิงก็เลยตัดสินใจขอหย่า เพราะไม่รู้ว่าวันไหนรินจะเกิดอารมณ์ชั่วแล่นอีก รินหย่าแล้วหนิงก็ให้ค่าเลี้ยงดูถึงเดือนละไม่ต่ำกว่าแสน ไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของลูกทั้งสอง แถมยังซื้อคอนโดให้อยู่อีกหลังหนึ่งแถวๆ สุรศักดิ์ เพราะใกล้โรงเรียนของลูก หลังหย่ารินก็ยังไปอาละวาดเอากับบรรดาผู้หญิงของหนิงอีกหลายครั้ง เช่นมีอยู่ครั้งหนึ่งลูกเรือของเที่ยวบินที่หนิงและเชอร์รี่ บิน กับเที่ยวบินของคุณริน บังเอิญพักโรงแรมเดียวกัน พอคุณรินรู้ก็ใช้เวลาช่วงที่เชอร์รี่ออกไปข้างนอกกับหนิง คุณรินแอบสวมรอยเป็นเชอร์รี่ไปขอกุญแจห้องพักของริน พนักงานโรงแรมคงจำไม่ได้ เลยให้กุญแจไปด้วย คุณรินแอบค้นห้องของเชอร์รี่จนกระจุย พอเชอร์รี่กลับมาเห็นก็ตกใจคิดว่ามีขโมยเข้า จึงไปแจ้งความกับทางโรงแรมก่อน เรื่องนี้ลูกเรือไฟล์ทนั้นโจษขานไปนานทีเดียว

อย่างที่ผมว่าหนิงเป็นคนอ่อนแอเกินไป พออยู่ใกล้เชอร์รี่ก็หลงอีก ผมว่าหนิงเขารักเชอร์รี่นะ เขาบอกว่าชีวิตนี้เขาทำตัวแย่มาตลอด เขาอยากแก้ตัวใหม่ และเชอร์รี่ก็รักหนิงอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่าริน ก็ต้องยอมรับว่าเชอร์รี่ฉลาดกว่าคุณรินหลายเท่า

ตอนนี้หนิงก็เริ่มมีความสุขกับครอบครัวใหม่ เชอร์รี่เพิ่งมีลูกเล็กๆ อายุประมาณ 2 ขวบ เป็นลูกชาย หนิงจัดงานแต่งงานจดทะเบียนกับเชอร์รี่ ทำให้คุณรินโกรธมาก เพราะเธอไม่เคยมีงานแต่งงาน หนิงพาเชอร์รี่มาอยู่ที่บ้าน ทำให้รินโกรธมากขึ้นไปอีก เพราะบ้านนั้นเธอช่วยกันกับหนิงออกแบบตกแต่งอยู่ในบริเวณบ้านของพ่อแม่หนิง แต่หนิงบอกว่าเงินที่ปลูกบ้านเป็นเงินของเขาเอง คุณรินเพียงซื้อของมาตกแต่งบ้านบางอย่างเท่านั้น

รินเริ่มอาละวาดเชอร์รี่หนักขึ้น และพยายามหาแนวร่วม เช่นโทรไปหาคุณอร เพราะรู้ว่าคุณอรพูดอะไรหนิงจะเชื่อ แต่คุณอรไม่เล่นด้วย เธอจึงหันมาฟ้องน้องหนอนว่าเชอร์รี่คิดจะแย่งสมบัติทุกชิ้นของหนิงไป ทำให้น้องหนอนซึ่งถูกลูกยุบ่อยๆ ต้องมีปากเสียงกับเชอร์รี่บ่อยๆ จนหนิงเป็นทุกข์มาก และต่อว่าต่อขานน้องหนอนไปหลายครั้ง หลังๆ น้องหนอนน้อยใจพ่อขอแยกบ้านอยู่ พอคุณอรรู้ก็เลยยกบ้านที่เคยเป็นเรือนหอเก่าของเธอ แต่ให้คนอื่นเช่าอยู่ต่อมา ให้เป็นสิทธิ์ขาดของน้องหนอน และยังให้เงินอีกก้อนใหญ่ให้น้องหนอนซ่อมแซมจนสวยหรู หนิงเองยังเอามาคุยให้เพื่อนฟังว่าลูกสาวคนนี้เก่งทุกอย่าง แต่กลุ้มใจว่าไม่รู้เมื่อไหร่จะยอมญาติดีกับเชอร์รี่ เขาแก่แล้วอยากจะมีครอบครัวที่สงบได้ฝากผีฝากไข้กับลูกๆ และภรรยาเสียที

ในที่สุดหลังจากคุณอรกลับมาเมืองไทย เพราะพ่อแม่เริ่มชรา และได้รับรู้เรื่องนี้จากปากน้องหนอนเอง คุณอรก็ได้ปรามลูกสาวตลอดว่าให้อภัยผู้เป็นพ่อ เพราะอย่างน้อยพ่อก็เลี้ยงดูมาตลอด และให้ทำดีกับเชอร์รี่ไว้ เพราะอย่างน้อยก็เป็นแม่ของน้องชายคนเล็กของน้องหนอน ซึ่งน้องหนอนก็อ่อนลงมาก และรับปากแม่ว่าจะไม่เชื่อที่คุณรินมายุยงอีก

ผมสงสารหนิงมาก ดูๆ ไปแล้วไม่รู้ว่าซื่อหรือโง่กันแน่ วันที่คุณรินเปิดตัวหนังสือเล่มนี้ หนิงไม่เคยอ่านและไม่ชอบอ่านและไม่ชอบดูละครทีวี และไม่เคยเข้าเน็ต ยังพูดชี้ชวนให้เพื่อนๆ นักบินและลูกเรือซื้อหนังสืออดีตเมียตัวเอง โดยไม่เคยรู้เลยว่าถูกอดีตเมียให้ร้ายตนทั้งตระกูล เพิ่งมารู้ตอนหลังเพราะเพื่อนๆ ทนไม่ไหว หนิงเอ๋ยหนิง กรรมของนาย



โดย: birdchicago วันที่: 23 มีนาคม 2551 เวลา:12:26:48 น.  

 
Source: FW เรื่องคั่นเวลา จากคุณแอร์กี่‏

สวัสดีค่ะ มิตรรักนักอ่านทุกท่าน

ตามประสาแอร์กี่คือมาทีไรต้องขออภัยทีนั้น
ขอโทษจริงๆค่ะที่ยังโพสท์ 16.2 ไม่ได้ เพราะเขียนไม่เสร็จเสียที

มีเรื่องมาเล่าถึงสาเหตุแห่งความล่าช้าน่าตีของยัยแอร์กี่

.... คุณพ่อของแอร์กี่จากไปแล้ว หลับตาหนีลูกไปเฉยๆ เมื่อตอนเช้ามืดของวันที่ 24 ตุลาที่ผ่านมาค่ะ....

ไม่อาจบรรยายได้ดังใจถึงความรู้สึกโศกเศร้าสูญเสีย
ใครที่เคยคงทราบว่ามันโหวงเหวงแปลกๆในใจ...เฮ้ออออ

ระหว่างนั้นได้แจ้งข่าวให้ป้าปูเป้และเพื่อนๆพี่ๆน้องๆในนี้ที่รู้จักกันเป็นการส่วนตัวทราบ

กราบขอโทษท่านผู้อ่านด้วยนะคะที่ไม่ได้แจ้งให้ทราบถึงสาเหตุที่หายไปตั้งแต่แรก

วันนี้เริ่มว่างแล้ว เลยมาตั้งกระทู้ถึงท่านผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน ที่ส่งกำลังใจมาทุกกระทู้

ขอเรียนตามตรงเลยว่า ถ้าไม่มีกำลังใจจากท่านผู้อ่าน แอร์กี่คงวางมือจากเรื่องนี้ไปเสียแล้ว

แต่ด้วยเคยสัญญาไว้ว่าจะเขียนให้จบ ให้ชาวพันทิบอ่านก่อนใครๆ

........สัญญาต้องเป็นสัญญาค่ะ.........

สัญญาว่ามาต้องมา...อ้าววว ยืมเพลงพี่เบิร์ดมาซะเลย

ไม่ต้องห่วงว่าแอร์กี่จะเศร้าจนหมดแรงนะคะ คุณพ่อแค่ย้ายบ้านไปรอพวกเรา ณ.ที่ใหม่เท่านั้นเอง อีกไม่นานเราก็จะได้พบท่านอีกค่ะ


ในเวลาจำกัดของการจัดงานคุณพ่อ แอร์กี่ได้เขียนเรื่อง MY WONDERFUL DAD ลงในหนังสือเล็กๆที่แจกพร้อมหนังสือธรรมะที่มาในงาน

เลยขอเอามาให้ท่านผู้อ่านอ่านคั่นเวลาเล่นๆระหว่างตอนที่ 16.2 กำลังเดินทางมานะคะ...
จากคุณ : แอร์กี่ - [ 6 พ.ย. 49 00:45:37 A:202.133.157.68 X: TicketID:090026 ]




My wonderful Dad.....

ฮัลโหลลลล ...
พ่อมักทักทายพวกเราลูกๆแบบนี้ทุกครั้งที่เจอหน้า เวลาพ่อป่วย ลูกไปเยี่ยมพ่อที่โรงพยาบาล ลูกจะส่งเสียง พ่อขา..ฮัลโหลลล.. หากหลับตาอยู่ พ่อจะลืมตาทันทีด้วยเสียงดังๆของลูก พ่อยิ้มตาใส พ่อหล่อเสมอจนวันสุดท้ายของชีวิต

ตั้งแต่เล็กๆ พวกเราจำได้ว่าในความรู้สึกของลูกๆนั้น พ่อเราหล่อมาก และแม่เราสวยมาก จนแก่ตัวลง พอยังหล่อ แม่ยังสวย ข้อสำคัญคือ เป็นพ่อและแม่ที่ลูกหาที่ไหนไม่ได้แล้ว (อันนี้ไม่ได้เว่อร์ แต่ลูกรู้สึกแบบนี้นี่นาคะ)

พ่อเป็นคนขับรถพาลูกๆไปส่งที่โรงเรียนตั้งแต่เช้ามาก พวกเราจะไปโรงเรียนเป็นคนแรกๆเสมอ รวมทั้งพ่อจะไปถึงที่กายวิภาค จุฬาฯแต่เช้าก่อนใคร ไปคุยกับอาจารย์ใหญ่หรือเปล่าคะพ่อขา

สมัยพ่อเป็นอาจารย์สอน anatomy เทคโนโลยียังไม่ก้าวหน้าเหมือนปัจจุบัน พ่อต้องดูแลอาจารย์ใหญ่เอง เวลามีร่างกายที่ผู้ตายบริจาคให้เพื่อการศึกษาของนิสิตแพทย์มาถึง พ่อจะดองศพ (ที่เรียกกันว่าอาจารย์ใหญ่) เอง บางครั้งพ่อจะโดนน้ำยาสีเหลืองๆกัดมือจนเป็นรูๆ พ่อบอกพวกเราว่า ที่จริงมีถุงมือให้ใส่ป้องกัน แต่พ่อชอบใช้มือเปล่าสัมผัสร่างกายอาจารย์ใหญ่ ยอมเจ็บกับมือที่เป็นแผล พ่อบอกว่า มันให้อารมณ์พิเศษมากกว่า เวลาสอนนิสิตแพทย์ พ่อจะทุ่มเทเต็มที่ไม่มีกั๊ก ใครได้คะแนนน้อยวิชาอื่นไม่ต้องกลัว มาหาอาจารย์เดวิดได้ พ่อจะไม่ให้คะแนนใครต่ำกว่า 98%เพราะเหตุผลของพ่อคือ ไม่รู้จะกดคะแนนไปทำไม ใครสอบเข้ามาเรียนหมอได้แสดงว่าต้องเรียนได้ คนที่บอกว่าเรียนไม่ได้น่ะเพราะไม่อยากเรียนต่างหาก ไม่ใช่เพราะไม่เข้าใจ (อันนี้ก็จริงของพ่ออีก เพราะรู้ๆกันว่าสอบเข้าหมอจุฬาฯเนี่ยมันยากขนาดไหน)

เวลาที่แม่หรือพวกเราคนใดคนหนึ่งไปหาหมอ หมอมักจะตั้งคำถามทำนองเดียวกันว่า นามสกุล เคนนี่ เป็นอะไรกับอาจารย์เดวิดพอตอบว่าเป็นภรรยา หรือ ลูก เราก็รักษาฟรี เพราะลูกศิษย์พ่อเต็มเมือง และทุกคนรักพ่อ ...ปลื้มจัง

พ่อเป็นหมอ หมอที่ถือใบประกอบโรคศิลป์ ความหมายบอกอยู่ในตัวแล้วว่า การเป็นหมอเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ พ่อจึงมีความเป็นศิลปินในตัวสูงมาก

พ่อชอบร้องเพลง พ่อเคยร้องเพลงหน้าพระที่นั่งถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์พระบรมราชินีนาถ ก่อนจะขึ้นเวที พ่อจะซ้อม ซ้อม และซ้อม ร้องเพลงเสียงก้องกังวานน่าฟัง ชมพู (ชมพู-ฟรุตตี้)หลานชายของพ่อซึ่งโตขึ้นมากับพวกเราเพิ่งมาบอกในงานศพพ่อวันแรกนี่เองว่า ครูสอนร้องเพลงคนเดียวของพู คืออาหมอ อาหมอสอนพูว่า เวลาร้องเพลงให้เกร็งท้อง ให้เสียงออกมาจากท้อง ชมพูน่าจะบอกพวกพี่มาตั้งนานแล้วนะ เพราะพี่ร้องเพลงกันไม่เป็นเลย

( ถ้าพ่อเป็นหนุ่มสมัยนี้ ต้องได้ออกเทป เป็นคุณหมอที่เป็น ยอดนักร้อง มีแฟนคลับคอยตามกรี๊ดไปแล้วแหละ )

พ่อยังไม่เจ้าชู้อีก โหย จะหาได้ที่ไหนผู้ชายแบบนี้ พ่อรักแม่มากกกกก(ต้องลากเสียงคำว่ามาก ให้ซึ้งว่ามากจริง) พ่อเล่าว่า (ตรงนี้ลูกขอขายแม่หน่อยนะเจ้าคะ)...ตอนแม่เป็นพยาบาล แม่สวย หุ่นดี พ่อเห็นแล้วปิ๊ง แถมแม่มาป่วยเป็นคนไข้ให้พ่อดูแล เลยเข้าทางพ่อซะเลย แม่เป็นลูกสาวคนเดียวของคุณตา ป. อินทรปาลิต ซึ่งเป็นนักเขียนดังสมัยโน้น (ไม่มีใครไม่รู้จัก พล นิกร กิมหงวน และ ดร.ดิเรก เลย –จริงๆนะ) แม่เลยเป็นคุณหนู ทำงานบ้านไม่เป็น พอแม่แต่งงานกับพ่อ พ่อเป็นคนสอนเทคนิคในการทำกับข้าวให้แม่ ตอนหลังแม่ทำอร่อยมากถึงมากที่สุด พ่อเลยวางมือ ให้แม่รับหน้าที่แทน แต่อย่างอื่น พ่อยังคงเป็น HANDY MAN ของบ้านเรา พ่อชอบทำงานบ้าน เช็ดทุกอย่างจนสะอาดเอี่ยม พ่อถอดหน้าต่างมุ้งลวดออกมาล้างเองบ่อยๆ พ่อบอกว่ามุ้งลวดต้องโปร่งๆไม่ให้ฝุ่นจับเขรอะ บางทีพ่อนั่งเขียนหนังสือ เขียนเรื่องราวต่างๆลงในหนังสือของคณะแพทย์ หนังสือฌาปนกิจอาจารย์ใหญ่ พ่อลายมือไม่สวยเอามากๆ พวกเราจะล้อพ่อเรื่อยว่า ลายมือพ่อนี่คนเค้าอ่านออกได้ไงกัน พ่อจะตอบยิ้มๆว่า ลายมือหมอก็แบบนี้(จริงของพ่ออีกค่ะ)

เห็นมั้ย พ่อเป็นครู เป็นหมอ เป็นศิลปิน เป็นนักเขียน เป็นพ่อครัว เป็นช่างไม้ เป็นช่างไฟ เป็นคนขับรถ เป็นทุกๆอย่างของเรา บอกแล้วค่ะว่าไม่ได้เขียนเว่อร์ พ่อคืออัจฉริยะ เหนือสิ่งอื่นใด...พ่อเป็นคนดี

ตอนอยู่เชียงใหม่ พ่อเริ่มต้นงานศิลปะการรักษาโรคภัยที่อำเภอฝาง ในสถานีอนามัยเล็กๆ ชาวบ้านทั้งที่ฝางและต่างอำเภอพากันมาหาพ่อ เพราะกิตติศัพท์เลื่องลือว่ารักษาเก่ง ใจดีแถมหล่อมากๆ (ตอนนั้นหล่อแบบลูกครึ่งไม่ได้มีเยอะแยะเหมือนเดี๋ยวนี้) คนไข้ไม่มีเงินเหรอ..ไม่เป็นไร หมอแถมค่ารถกลับบ้านให้ด้วย ยอดมั้ยพ่อเรา

จริงๆแล้วพ่อไม่มีเงินหรอก พ่อให้แม่หมด และรับเงินค่าขนมจากแม่ทุกวัน พ่อบอกขี้เกียจเก็บเงิน แต่พวกลูกรู้ว่าพ่อรักแม่มาก ให้แม่ได้ทุกอย่าง ซึ่งความรักนั้นได้เชื่อมโยงจากพ่อแม่มาสู่พวกเราลูกๆ ทุกคน
พ่อเราไม่ได้ร่ำรวย แต่เมื่อเราอยากได้อะไร พ่อมักจะหามาให้เสมอ บ้านเรามีทีวีสีก่อนคนรวยๆ ลูกๆมีกล้องถ่ายรูปที่เท่ห์มากในยุคนั้น มีเอ็นไซโคลปีเดียครบชุด มีเสื้อผ้าดีๆ ฯลฯ ทั้งพ่อและแม่ยึดคติให้ลูกก่อนตัวเองทั้งนั้น

พ่อไม่เคยใช้เงินฟุ่มเฟือย ไม่ไปเที่ยวไหน นอกจากไปทำงานแล้ว พ่อจะอยู่บ้าน ช่วยแม่ทำโน่นทำนี่ วันหยุดพ่อจะพาแม่และลูกๆไปเที่ยว ส่วนมากไปหัวหิน เพราะอานิภาคนสวยของเรามีบ้านพักอยู่ริมทะเล พ่อไม่มีเงินพาเราไปเมืองนอก แค่ต่างจังหวัด เราก็เป็นสุขสนุกสนานยิ่งกว่าได้ไปดิสนี่ย์แลนด์เสียอีก

ช่วงเวลาแห่งความสุขสมัยเด็กของพวกเราผ่านพ้นไปแล้ว แต่ทุกความทรงจำเกี่ยวกับพ่อคือรอยยิ้มที่กระจ่างในใจลูกทุกครั้งที่นึกถึงพ่อ พ่อเป็นตัวอย่างในการดำรงชีวิตอย่างเสียสละ อย่างสมถะ อย่างน่านับถือ น่าเอาเป็นตัวอย่างยิ่งนัก

(ตรงนี้แม่ฝากให้บอกพ่อว่า แม่รักพ่อมาก พ่อเป็นคนดีที่สุดของแม่)

ลูกร้องไห้แล้วค่ะพ่อ นึกถึงตอนพ่อนอนป่วยหลายเดือนอยู่โรงพยาบาล ต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บอย่างอดทนจนคุณหมอและพยาบาลทุกท่านชมว่าอาจารย์เป็นคนไข้ที่เก่งมาก อดทนเหลือเชื่อ

ที่พ่อพยายามยื้อลมหายใจไว้จนวาระสุดท้ายเพราะพ่อไม่อยากจากแม่และพวกเราไป แต่ไม่มีใครฝืนกฎธรรมดาของธรรมชาติได้ พ่อจึงหลับตาไปเฉยๆ โดยไม่ตื่นขึ้นมาอีก ตอนเช้ามืดของวันที่ 24 ตุลาคม 2549

น้ำตาที่หลั่งมาจากดวงตาและดวงใจของแม่และลูกๆ ไม่อาจเปรียบได้กับความสูญเสียเสาหลักของครอบครัวพวกเรา ไม่มีถ้อยคำใดบรรยายถึงความอาลัยของพวกเราได้ทั้งหมด ไม่มีผู้ชายคนใดในชีวิตที่พวกเรารักที่สุดเท่าพ่อของเราอีกแล้ว...

พ่อขา.. ตอนนี้พ่อคงเป็น HANDY MAN คนเดิม ที่กำลังจัดบ้านใหม่ของพ่อเตรียมรับพวกเราในวันใดวันหนึ่งข้างหน้า พ่อคงยุ่งจัดบ้าน อย่าเพิ่งเหงานะคะพ่อ อีกไม่นานเราจะพบกันใหม่ที่บ้านใหม่ของพวกเรา ณ.ที่ที่เราไม่ต้องเจ็บต้องป่วย ไม่ต้องลาจากกันอีก...ตลอดกาล

แล้วพบกันนะคะพ่อ... พ่อขา...ฮัลโหลลลลลล


ด้วยรักและอาลัยยิ่ง

...หนึ่งในสามลูกรักของพ่อ

23.49 น
25 ตุลาคม 2549

# 6 ลืมเปลี่ยนสีค่ะ

ขอเล่าเพิ่มอีกนิดว่า คุณพ่อของแอร์กี่เป็นหมอค่ะ ตอนจบใหม่ๆท่านไปรับราชการที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่

ต่อจากนั้นได้รับทุนยูนิเซฟไปเรียนต่อบอร์ดที่ประเทศอังกฤษและกลับมารับราชการเป็นอาจารย์ที่ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

คุณพ่อเป็นคนที่ใครๆรัก

.....แอร์กี่ภูมิใจมากที่เป็นลูกของท่านค่ะ.....

อีกนิดส์...

16.2 ขอเวลาไม่เกินสามวันนะคะ ตอนนี้เขียนไปหกเจ็ดหน้าเอง

มากำหนดระยะเวลาเพื่อกดดันตัวเองให้รีบเขียนค่ะ (อิอิ)

แถมๆๆ...

" ตอนหน้าอ่านดีๆมีรางวัลด้วยน้า "


โดย: birdchicago วันที่: 23 มีนาคม 2551 เวลา:12:33:42 น.  

 
รองเท้ามณีศิลป์ ของจริงเลย เค้าเป็นโรงงานผลิตของจรองส่งให้ Jaspal ถ้าจะซื้อก็ไปซื้อที่ผู้ผลิตเลยดีกว่าไม่เสียเวลา แถมประหยัดกว่ากันเยอะเลย แบบของเค้าก็เหมือนกัน แถมยังดัดแปลง หรือ สั่งตัดได้อีกด้วยหละตัวเอง


โดย: ของจริง IP: 58.8.173.43 วันที่: 18 ตุลาคม 2552 เวลา:0:54:31 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

birdchicago
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เราเชื่ออยู่ 5 ข้อ:

1. คนเรา...ทำงานไม่เกินอายุ 60 ปี (จงทำทุกอย่างที่อยากทำ)
2. คนเรา...ไม่ได้มีชีวิตอยู่เกิน 100 ปี (จงอย่ายึดติด ปล่อยวางบ้างก็ได้)
3. คนเรา...ฟ้าลิขิตมาแล้วจะให้เป็นอะไร จึงดลใจให้เรากำหนดตัวเองอย่างนั้น (อย่าดิ้นรนเกินตัว)
4. อะไร...ที่เป็นของของเรา ยังไงมันก็เป็นของเราอยู่วันยังคำ (อย่าทรมานตัวเองเพราะคำว่า "ไม่มี ไม่ได้")
5. ชีวิตยังมีอีกหลายด้าน (มามัวจมกับด้านเดียวซำๆทำไม)



เข้า Blog ครั้งสุดท้ายเมื่อ 21 มีนาคม 2552






Freedom Fog:



1.เปลี่ยนมุมมองดูบ้าง

2. ลองทำอะไรแปลกๆ

3. ลองทำสิ่งที่ไม่ถนัดบ้าง

4. สร้างสรรค์

5. อยากรู้อยากเห็นอยู่เสมอ

6. กล้าคิดออกจากกรอบ

7. อย่าให้อุปสรรคใหญ่เกินตัวเรา

8. อย่าปล่อยเวลาให้เสียเปล่า









http://phenixx.bloggang.com


Yahhh!! Yahhh!! Yahhh!!








~!@#$%^&*(+~?......-/#฿@6.....YoO!...YoO! BC’s Live Radio 24 hrs
RIT Online
1 min of my favorite Russian piece
Joe (วง Pause): เติมใจให้กัน
. . . . . . . . . . . .












Hi, Wazzz uppp??... BC’s Hits!

<img src="http://i122.photobucket.com/albums/o269/birdchicago/OOO/Like.jpg">
Wow!....WoW!
Friends' blogs
[Add birdchicago's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.