Bloggang.com : weblog for you and your gang
Group Blog
ผีตะเกียบระริกระรี้
ช้อนชาฯ จอมคร่ำครวญ
ώЂą‡ς ĝØīŋĢ ǿŅ
ผีตะเกียบ sing a song
ผีตะเกียบขี้บ่น
ผีตะเกียบตากผ้าอ้อม
ช้อนชาฯ Drama
<<
พฤศจิกายน 2548
>>
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
23 พฤศจิกายน 2548
มูลค่าของชีวิต (ซึ้งกินใจเลยล่ะ)
All Blogs
ว่าด้วยเรื่อง ของเด็กผู้ชาย กี๊ดๆๆๆ
อย่ารอรักแท้ แต่ จงรัก และ ไขว่คว้า
*_* กลอนจากใจนิสิต -*-
คลิปเหมียวๆ น่ารักค่ะ
ดวงประจำปี 2550 ปีกุน
ผลไม้ล้างพิษ
9 เหตุผล ทำไมคุณไม่มีความรัก
อ่านแล้ว ก๊ากกกกกก
สิว...พยากรณ์ อวัยวะผิดปกติ
เค้าบอกว่า ความรักก็เหมือนตด จริงอะ
วันนี้...คุณหายใจแล้วรึยัง
ยิ่งกว่าน้ำใจ
บุฟเฟ่ guru
อัศจรรย์แห่งความฝัน
Sub Hall อ่านอีกก็ฮาอีก
แด่เพื่อนทุกคนค่ะ
แง่คิดดีๆ จากชายชราผู้จากไป
ถ้าวันนึง ของข้างกายคุณ มันเกิดพูดได้ล่ะ ..จะว่าไง
ตำราโหร แก้เคล็ด ปีหมาไฟ
จดหมายจากลูกรัก และจดหมายตอบกลับของพ่อที่เคารพ
สูตรล้างของเสียและไขมันในลำไส้โดยไม่ต้องทำดีท๊อกซ์
วิธีอยู่เหนือดวงชะตา
คำทำนายสไตล์หนูน้อยหมวกแดง
ชื่อของคุณบอกอะไรได้บ้าง มาดูกัน...
ชีวิตจริงของคน 2 คน
วิธีทดสอบการถูกแอบถ่าย
[เรื่องเก่าเล่าใหม่] กระทู้ใส่ไข่ก๊า
DAG JUNG MUENG จอมแดกข้างวังหลวง
เรื่องของ การตัดเล็บ
ด้วยรัก และ ฟัน
มูลค่าของชีวิต (ซึ้งกินใจเลยล่ะ)
ถ้าเธอเป็นโต๊ะ ...แล้วฉันเป็นเก้าอี้
<(^O^)> How 2 be HuGer
*+* Soul mate *+*
เรื่องขำๆ ของฉันเอง
...ขอหอมหัวใจแม่...เป็นครั้งสุดท้าย......
บันทึกจากดวงใจถึงดวงดาว
เรื่องเฮี้ยนๆ กับ 13 บ้านผีสิง
ความรัก กับ อากาศ
สวนสนุกในฝันกับวันเวลาที่ผ่านเลย
ตัวอิจฉาในละคร
มูลค่าของชีวิต (ซึ้งกินใจเลยล่ะ)
ได้รับ fwd mail มา อ่านแล้ว ซึ้งดีจัง
ก็เลย แวะ มาแปะ ค่ะ
อ่านกันนะ
"อย่าหนีนะ ไอ้เด็กขี้ขโมย"
เสียงผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งตะโกนลั่น
พร้อมกับมีเด็กคนหนึ่งกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งวิ่งผ่านฉันกับแม่
ที่กำลังซื้อเนื้อหมูในตลาดไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งแม่และฉันหันไปดูทันเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นแค่แวบเดียว
แม่ถามฉันว่า
"อ้าว นั่นป้าร้านขายของไม่ใช่เหรอ"
"ใช่จ้ะแม่ แกวิ่งไล่ใครกันละ"
ป้าคนนั้นชื่อว่า 'ป้าหนอม'
เป็นแม่ค้าขายของชำสารพัดอย่างในตัวตลาดในอำเภอที่ฉันอยู่
มีฐานะจัดว่าดี กว่าแม่ค้าคนอื่นๆ ในละแวกเดียวกัน
และเป็นที่รู้จักกันว่าแกเป็นคนที่ขี้เหนียวอย่างร้ายกาจ
แถมปากจัดที่สุดในตลาดอีกด้วย
ใครต่อราคาของมากเกินไป
หรือถามราคาแล้วไม่ซื้อ
ป้าแกจะโวยวายชนิดต้องรีบเผ่นออกจากร้านแทบไม่ทันทีเดียว
เสียงเอะอะดังมากขึ้น
ฉันหันไปมองป้าหนอมจับข้อมือเด็กผู้ชายคนหนึ่ง
อายุประมาณ 12-13 ขวบ ไล่เลี่ยกับฉันซึ่งกำลังดิ้นรนอยู่
และป้าแกกำลังจะลงไม้ลงมือ
แม่จึงเดินเข้าไปถาม "พี่หนอม มีไรหรอคะ"
"ก็ไอ้เด็กเวรนี่นะสิ มันมา ทำทีขอซื้อยาแก้ปวดกับยาธาตุ
พอฉันหยิบส่งให้มันก็วิ่งหนีมาเลย เงินก็ไม่จ่าย"
พูดจบป้าหนอมก็ตบหัวเด็กคนนั้นอย่างแรงหนึ่งที
และคงจะมีตามมาอีกหลายทีแน่ถ้าแม่ฉันไม่ห้ามไว้
"ตายแล้วพี่หนอม อย่าถึงกับลงไม้ลงมือกันเลยนะ แล้วนี่จะทำไงต่อ"
แม่รีบตัดบทเพราะเห็นว่าเรื่องราวชักจะไปกันใหญ่
"เรียกตำรวจมาเอามันไปเข้าคุกนะสิ เสียนิสัย
พ่อแม่ไม่สั่งสอน ยังเด็กตัวแค่นี้ก็ริจะเป็นขโมยซะแล้ว
ต่อไปก็คงต้องปล้นเขากินหละ"
ฉันสะกิดแม่ทันทีพร้อมกับมองพลางส่ายหัวน้อยๆ ทำนองว่าอย่าไปยุ่งดีกว่า
แม่มองฉันแล้วมองเด็กคนนั้น ซึ่งท่าทางเหมือนกำลังจะร้องไห้
แม่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปพูดกับป้าหนอมว่า
"อย่าให้ถึงอย่างนั้นเลยนะพี่หนอม เด็กมันคงอยากซื้อยาแต่ไม่มีเงินนะ เอาเป็นว่าฉันจ่ายให้ละกันนะ กี่บาทกันละ"
ในที่สุดเรื่องก็จบลง โดยการที่แม่ยอมจ่ายเงินค่ายาแก้ปวดกับยาธาตุ
แล้วแม่ก็จูงเด็กคนนั้นออกมาจากตลาด แต่ป้าหนอมยังไม่วายเตือนแม่
"ใจดีกับเด็กขี้โขมยแบบนี้ ระวังจะเสียใจทีหลังนะเธอ"
แม่ไม่ได้ตอบอะไร แต่พอเดินห่าง จากร้านพอสมควรแล้วก็ถามว่า
"ทำไมหนูขโมยของป้าเขาละ"
เด็กคนนั้นเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมองแม่ แล้วตอบสะอึกสะอื้นว่า
"แม่ผมปวดท้องมากเลยครับ แล้วแม่ก็ไม่มีเงินไปหาหมอ ผมก็เลยต้อง..."
แม่มองหน้าเด็กคนนั้นอยู่ครู่หนึ่ง
แล้วยื่นผลไม้ที่ซื้อมาให้เด็กคนนั้นถุงหนึ่ง แล้วบอกว่า
"ทีหลังอย่าโขมยของใครนะ ถ้าไม่มีเงินมาขอเงินน้าไปซื้อก็ได้นะ น้าชื่อสมพรเปิดร้านเย็บผ้าอยู่ใกล้ๆ นี่เอง ถามคนแถวนี้ก็ได้ รู้จักน้าแทบทุกคนเลยแหละ เอ้า...เอา ส้มไป ฝากคุณแม่ซิ คนป่วยนะต้องกินผลไม้มากๆ จะได้หายไวๆ รู้มั้ย"
แม่เสริมพร้อมกับยิ้ม เด็กคนนั้นอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนที่จะรับส้มพร้อมกับพูดขอบคุณแม่แล้วเดินจากไป
หลังจากนั้นพอกลับมาถึงบ้าน ฉันก็ถามแม่ทันที
"ทำไมแม่ต้องช่วยเด็กคนนันด้วยละ รู้จักกันหรอจ้ะ"
แม่ยิ้ม แล้วตอบฉันว่า
"ไม่รู้จักหรอก แต่แม่เห็นเด็กคนนั้นรับจ้างหาบขนมขายอยู่แถวบ้านเราน่ะลูก แต่แกคงจำแม่ไม่ได้หรอก แม่ซื้อขนมแกอยู่ไม่กี่ครั้งเอง"
"แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องช่วยเหลือเขาถ้าเขาเป็นขโมยนี่แม่"
ฉันถามต่อ แม่มองหน้าฉันแล้วพูดว่า
"แม่เชื่อว่าเด็กที่เคยหาเงินด้วยตัวเองมาก่อนตั้งแต่อายุเท่าๆ กับลูก จะต้องเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบ รู้คุณค่าของเงินทุกบาททุกสตางค์ว่ากว่าจะได้มามันเหนื่อยยากขนาดไหน และคนที่มีความรับผิดชอบนะ จะไม่มีทางขโมยของใครนอกจากจะจำเป็นจริงๆ เมื่อเขาไม่มีทางอื่นให้เลือกแล้วเท่านั้น"
ฉันฟังแล้วก็ถามแม่ต่อว่า
"แล้วต่อไปถ้าเขามาขอเงินแม่ไปซื้อยาอีก แม่จะให้เขารึเปล่า"
"ให้สิลูกถ้ามันไม่มากไม่มายอะไร"
"แล้วแม่ไม่เสียดายเงินหรอ บ้านเราก็ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนบ้านป้าหนอมเขานะแม่"
"ถึงแม่จะไม่มีเงินทองมากนัก แต่การที่ได้ช่วยเหลือคนที่กำลังลำบากน่ะ มันทำให้แม่มีความสุข แล้วยังได้บุญอีกด้วยนะ แค่นี้แม่ก็พอใจแล้ว ไม่อยากได้อะไรตอบแทนหรอก"
แล้วแม่ก็พูดต่ออีกว่า
"จำไว้นะลูก คนเรานะ ต้องรู้จักให้อภัยและให้โอกาสคนอื่นแก้ตัวเสมอ อย่างเด็กคนนั้น..แม่มั่นใจว่าแกทำไปเพราะรักคุณแม่ของแกจริงๆ แม่ถึงช่วยแกเอาไว้"
"ลูกอาจจะบอกว่าขโมยเป็นสิ่งที่ผิด ใช่...แม่ไม่เถียง
แต่บางครั้งคนเราก็ต้องมองด้านอื่นๆ บ้าง อย่าคิดแต่เรื่องทรัพย์สินเงินทอง ตอนนี้ลูกอาจจะยังฟังไม่เข้าใจ แต่แม่เชื่อว่าสักวันลูกจะเข้าใจเองแหละ"
หลังจากนั้น ฉันกับแม่ก็หันไปคุยเรื่องอื่นๆ กันต่อ
ฉันเองไม่เคยคิดเรื่องนี้อีกเลย จนเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น
ทำให้ฉันต้องย้อนกลับมาคิดถึงเรื่องนี้อีกครั้งทั้งน้ำตาว่า
คำพูดของแม่ในครั้งนี้ถูกต้องที่สุดจริงๆ
หลังจากฉันเรียนจบระดับปริญญาตรีจากสถาบันราชภัฏแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด
แล้วฉันก็ได้งานทำในโรงงานแห่งหนึ่งในตัวจังหวัดนั้นเอง เงินเดือนก็พอประมาณ
สามารถเลี้ยงดูแม่ได้โดยไม่ขัดสนนัก
ฉันก็เลยขอร้องให้แม่หยุดรับจ้างเย็บผ้า
เพราะอยากให้แม่พักผ่อนบ้างหลังจากทำงานหนักมาเกือบ 20 ปีเพื่อส่งฉันเรียน
แม่ยอมปิดร้าน แต่ก็ยังรับงานเล็กๆ น้อยๆ
ของเพื่อนบ้านมาทำบ้างโดยไม่คิดเงิน
แม่บอกว่าถ้าไม่ได้ทำอะไรเลยจะรู้สึกเบื่อ
ฉันก็เลยต้องยอมตามใจแม่
ฉันทำงานอยู่ประมาณ 2-3 ปี
แม่ก็เริ่มรู้สึกไม่สบาย เริ่มจากปวดหัวบ่อยขึ้น
ช่วงแรกๆ ไม่กี่วันก็หาย
หลังจากนั้นก็เริ่มเป็นนานขึ้นเรื่อยๆ
ฉันบอกให้แม่ไปหาหมอ
แล้วฉันก็พาแม่ไปหาหมอในเมือง
หมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก
แค่ทำงานหนักมากเกินไป
หมอให้ยามาชุดหนึ่งพร้อมกำชับให้พักผ่อนมากๆ
จะได้หายเร็วๆ
หลังจากกินยาตามที่หมอสั่ง
อาการปวดหัวของแม่ก็หายไป ฉันเริ่มสบายใจขึ้น
แต่หลังจากไปหาหมอได้ประมาณหนึ่งเดือน
แม่ก็เริ่มกลับมาปวดหัวอีก
คราวนี้เป็นหนักมากกว่าครั้งที่แล้ว
ยาที่เคยกินแล้วได้ผลมาก่อนก็ไม่ได้ผลเลย
ฉันกังวลใจมาก
พอถามหมอ หมอก็บอกว่าต้องไปตรวจ
ที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ
เพราะว่าเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมกว่าโรงพยาบาลต่างจังหวัด
หลังจากนั้นฉันรีบพาแม่ไปกรุงเทพฯ ทันที
ไปยังโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง
หลังจากหมอตรวจแล้วบอกว่ามีเนื้องอกในสมอง
ต้องผ่าตัดโดยด่วน
หากปล่อยทิ้งไว้อาจไปทับเส้นประสาท
ทำให้เป็นอัมพาตได้
หรือถ้าผ่าตัดไม่ทันก็อาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต
ฉันตกใจมากขอให้หมอผ่าตัดให้ทันที
แต่หมอบอกว่าโรงพยาบาลที่มีหมอผ่าตัดสมองที่มีความพร้อม
ที่จะผ่าตัดเนื้องอกในสมองเป็นอีกโรงพยาบาลหนึ่ง
ซึ่งมีชื่อเสียงมากกว่า
ดังนั้นหมอจึงต้องส่งตัวคนไข้ไปยังโรงพยาบาลนั้น
ฉันก็ตกลง
หลังจากถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาลดังกล่าวแล้ว
แม่ก็ถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดทันที
ขณะที่ฉันรออย่างกังวลใจอยู่ด้านนอก
ทั้งเรื่องอาการป่วยของแม่
และจากคำพูดของหมอที่ทิ้งท้ายไว้
ก่อนส่งตัวแม่มาที่โรงพยาบาลแห่งนี้
หมอบอกให้ทำใจไว้บ้าง
เพราะการผ่าตัดสมองเป็นการผ่าตัดที่เสี่ยงมาก
โอกาสที่คนไข้จะเสียชีวิตมีมาก
แม้การผ่าตัดจะประสบความสำเร็จก็ตาม
อีกเรื่องก็คือค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดสมองค่อนข้างสูง
เป็นหลักแสนบาท
เมื่อรวมกับค่ายาระหว่างพักฟื้น
คิดแล้วน่าจะต้องใช้เงินราวๆ ห้าแสนบาท
ฉันได้ยินแล้วแทบลมจับ
ฉันจะไปหาเงินห้าแสนบาทมาจากไหน
ลำพังเงินเก็บของฉันกับแม่ยังมีไม่ถึงห้าหมื่นบาทเลย
แต่ยังไงฉันก็ต้องรักษาแม่ให้หาย
ส่วนเรื่องเงินไว้คิดทีหลัง
หลังการผ่าตัดเสร็จสิ้นลง
เป็นโชคดีของแม่ที่การผ่าตัดประสบผลสำเร็จ
และไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆ
ทางโรงพยาบาลบอกให้พักฟื้นประมาณหนึ่งเดือน
ก็สามารถไปพักฟื้นที่บ้านได้
เมื่อโรงพยาบาลแจ้งรายการค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาให้ฉัน
ปรากฎว่าเป็นเงินจำนวนไม่ถึงหนึ่งพันบาท
เป็นค่าติดต่อประสานงานเท่านั้น
ฉันแปลกใจมาก จึงสอบถามกับนางพยาบาล
นางพยาบาลบอกว่า
คุณหมอที่เป็นคนผ่าตัดและเป็นเจ้าของไข้
บอกไม่ให้คิดเงินกับฉันและแม่
โดยที่ทางโรงพยาบาลก็ไม่ทราบสาเหตุ
ฉันจึงขอพบคุณหมอคนนั้นเพื่อขอบคุณ
นางพยาบาลบอกว่าหลังจากเสร็จ
คุณหมอก็ถูกส่งตัวไปต่างประเทศทันที
เพื่อศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการผ่าตัดสมองที่อเมริกา
แต่คุณหมอได้ฝากจดหมายไว้ให้ฉันกับแม่
โดยกำชับกับทางโรงพยาบาลให้ฝากให้ฉัน
พร้อมกับใบเสร็จค่าใช้จ่ายอื่นๆ
ของทางโรงพยาบาลในวันที่แม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้
เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันกับแม่ก็เปิดอ่านจดหมายของคุณหมอคนนั้น
เมื่ออ่านจบทั้งฉันและแม่ก็ร้องไห้ออกมาพร้อมกัน
เนื้อความในจดหมายมีดังนี้
ข้าพเจ้านายแพทย์เดชา ทองวิจิตร แพทย์ผู้ผ่าตัด นางสมพร ภู่จันทร์
ขอสรุปค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดทั้งหมดดังนี้
ค่าผ่าตัด 0 บาท
ค่ายาทั้งหมด 0 บาท
ค่าใช้จ่ายอื่นที่เหลือ 0 บาท
รวมเป็นเงินทั้งหมด 0 บาท
ป.ล. ค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้รับแล้ว เมื่อยี่สิบปีก่อนด้วย
ยาแก้ปวด
ยาธาตุ
ส้มหนึ่งถุง
ขอให้สุขภาพแข็งแรงไปอีกนานๆ นะครับคุณน้า
นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร
ซึ้งกันบ้างมั้ย
อ่านแล้วทำให้คิดได้อย่างนึง
ความดีของคนเรา
แม้ว่าจะนานแค่ไหน
ก็ยังพอมีคนจดจำได้ เหมือนกัน
Create Date : 23 พฤศจิกายน 2548
Last Update : 23 พฤศจิกายน 2548 18:59:03 น.
9 comments
Counter : 403 Pageviews.
Share
Tweet
กระแทกต่อมน้ำตาจัง
จริงครับ
ความดีอาจไม่มาหาเราวันนี้ แต่วันนึงมันจะย้อนกลับมาแน่นอนครับ
โดย:
VinKaBees
วันที่: 23 พฤศจิกายน 2548 เวลา:19:30:40 น.
ซึ้งมากค่ะ อ่านแล้วน้ำตาคลอเลย
โดย:
Batgirl 2001
วันที่: 23 พฤศจิกายน 2548 เวลา:20:05:06 น.
ใช่ครับ ถ้าสังคมรู้จักให้โอกาสคนที่ทำผิดกลับตัวกลับใจ
แต่ใช้ได้สำหรับบางกรณีนะครับ เดี๋ยวนี้มิจฉาชีพใช้เด็กทำผิดกันเยอะครับ
โดย:
noom_no1
วันที่: 23 พฤศจิกายน 2548 เวลา:21:19:51 น.
ชอบบทความนี้ อ่านแล้วได้ข้อคิดดีมาก
ความดีเป็นสิ่งที่ไม่ตาย หรือต่อให้คนอื่นๆลืม แต่เราก็ยังรู้ตัวว่าได้ทำดี
โดย:
Carlziess Lens
วันที่: 23 พฤศจิกายน 2548 เวลา:21:53:06 น.
ช้อน...
พี่เคยอ่านแล้วทีนึง จากfw mail นี่แหล่ะ...คราวนั้น..น้ำตาไหล
พอมาอ่านคราวนี้
...
..
.
มัย...มันยังไหลอยู่วะ...
โดย:
ตี๋สีชมพู
วันที่: 23 พฤศจิกายน 2548 เวลา:21:53:11 น.
โดย:
Christian Chang
วันที่: 23 พฤศจิกายน 2548 เวลา:23:25:39 น.
นั่งอ่านสองรอบแล้วก็เซฟเก็บไว้ด้วยค่ะ เรื่องดีๆ อย่างนี้อ่านเมื่อไหร่ก็กินใจ แล้วก็พลอยทำเอาเราซาบซึ้งอีกด้วย
โดย:
JewNid
วันที่: 23 พฤศจิกายน 2548 เวลา:23:59:32 น.
เคยอ่านมาครั้งนึงแล้วนะ อ่านอีกที่ก็ยังน้ำตาคลอ
โดย: cilladevi (
cilladevi
) วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:12:44:24 น.
น้ำตาคลอเบ้าเลยอ่ะ ซึ่งมาก
โดย: 904 IP: 203.146.63.185 วันที่: 21 สิงหาคม 2550 เวลา:16:20:24 น.
ชื่อ :
Comment :
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
ช้อนชาสีน้ำเงิน
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [
?
]
อยากหาเหตุผลดีๆ ซักข้อ
มาคอยซึมซับความต้องการของตัวเอง
ว่าแท้ที่จริงแล้ว
ชั้นเองก็ไม่ต่างอะไรกับ
นางมารร้าย
--------- -----
Friends' blogs
Hermione Granger
monkeygig
แมวซ่า
nang
NUTS
jetboat
กึ่งยิงกึ่งผ่าน
Dek[N]a[R]o[K]
ชื่อเดี้ยนสำคัญ ฉันใด
หมาร่าหมาหรอด
ทองมา วโรช ฤทธิ์ดล
ดาราวิปลาส
Nessa
Gross Anatomy
* * แสนสวย * *
Nokazar
เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม
d4b
นรกขุมสุดท้ายของชายเจ้าชู้
dont wanna no
รำเพย
ซาโตชิ และ ปิกาจู
panumas05
ladydunce
อุ๊บอิ๊บน้อย
พูจัง
Big Rabbit
itimcu
ตี๋สีชมพู
คุณจูน
luk_wa
กลัวที่หนาย
...ณ มิตร...
paninee
Jekyll
Godlike genius of Sebastian
vivian
คนอย่างว่า
ลาบไก่ใส่ตับหมู
JewNid
หากผมรักคุณจะผิดมากไหม
นู๋เองง่ะ
YaiJomZon
nuno4
Starting Power Staying Power
N4
Webmaster - BlogGang
[Add ช้อนชาสีน้ำเงิน's blog to your web]
Links
BlogGang.com
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.
จริงครับ
ความดีอาจไม่มาหาเราวันนี้ แต่วันนึงมันจะย้อนกลับมาแน่นอนครับ