หมึกสีดำของไผ่สีทอง
ความโศกทั้งหลาย ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้มีจิตมั่นคง ไม่ประมาท เป็นมุนี ศึกษาในทางปฏิบัติถึงมโนปฏิบัติ เป็นผู้คงที่ ระงับแล้ว มีสติทุกเมื่อ,, การไม่ทําบาปทั้งปวงหนึ่ง การยังกุศลให้ถึงพร้อมหนึง การชําระจิตใจของตนให้ผ่องแผ้วหนึ่ง นี่แลเป้นคําสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
Group Blog
 
<<
กันยายน 2554
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
6 กันยายน 2554
 
All Blogs
 
นิมิต



คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน ----> หน้า 19
                                      
                                       นิมิต

          นิมิต แปลว่า เครื่องหมาย คือรูปเป็นเครื่องกำหนดจิต จับเป็นอารมณ์ นิมิต
นี้ส่วนใหญ่เป็นเครื่องหมายของ กสิณ แต่ทว่ากรรมฐานหมวดอื่นๆ ก็มีเหมือนกัน เช่น
อสุภกรรมฐานก็มีรูปอสุภเป็นนิมิต อาหาเรปฏิกูลสัญญา ก็มีรูปอาหารเป็นนิมิต
อย่างนี้เป็นต้น รวมความว่า นิมิตนั้นแยกออกเป็นสองอย่าง คือ นิมิตที่เป็นเครื่อง
หมายกำหนดจิต
เป็นนิมิตจำเป็นที่นักปฏิบัติจำเป็นต้องกำหนดอย่างหนึ่ง นิมิตเลื่อน-
ลอยเป็นนิมิตตัดรอนความดี
ที่นักปฏิบัติควรละประการหนึ่ง จะขออธิบายในนิมิต
ทั้งสองพอเข้าใจไว้ดังต่อไปนี้

นิมิตจำเป็นต้องรักษา

          นิมิตที่จำเป็นต้องรักษาคือ  กรรมฐานหมวดใดที่มีนิมิตเป็นอารมณ์ เช่น กสิณ
เป็นต้น เมื่อเริ่มปฏิบัติในกรรมฐานกองนั้น ท่านให้ถือนิมิตอะไรเป็นสำคัญต้องรักษานิมิต
นั้นให้มั่นคง คือกำหนดจดจำภาพนั้นให้ติดใจ จะกำหนดรู้เมื่อไรให้เห็นได้ชัดเจนแจ่มใส
ตามสภาพเดิมที่กำหนดจดจำไว้อย่างนี้ท่านเรียกว่า "บริกรรมนิมิต" จัดเป็นสมาธิได้ใน
สมาธิเล็กน้อยที่เรียกว่า "ขณิกสมาธิ" 
          นิมิตใดที่ท่านนักปฏิบัติเพ่งกำหนดจดจำไว้ มีความชำนาญมากขึ้น จนภาพ
นิมิตนั้นชัดเจนแจ่มใส สามารถบังคับให้สูง ต่ำ ใหญ่ เล็ก ได้ตามความประสงค์ แล้วต่อไป
นิมิตนั้นค่อยเปลี่ยนสี จากสีเดิมไปทีละน้อย ๆ จนกลายเป็นสีใสสะอาด อย่างนี้ท่านเรียกว่า
" อุคคหนิมิต "
ถ้าเรียกเป็นสมาธิก็เรียกว่า " อุปจารสมาธิ " ถ้าเรียกเป็นฌานก็เรียกว่า
" อุปจารฌาน "
          นิมิตใดที่นักปฏิบัติเพ่งพิจารณากำหนดอยู่จนติดตาติดใจ จนนิมิตนั้นกลาย
จากสีเดิม มีสีขาวใสสวยสดงดงาม มีประกายคล้ายดาวประกายพรึก อารมณ์จิตแนบสนิท
ไม่เคลื่อนไหว ลมหายใจอ่อนระรวย ภาพนิมิตที่สดสวยนั้นหนาทึบเป็นแท่ง อารมณ์จิตไม่
กวัดแกว่งไปตามเสียงที่เข้ามากระทบโสตประสาท แม้เสียงจะดังกังวานเพียงใด จิตใจก็
ไม่หวั่นไหว คงมีอารมณ์สงบเงียบ กำหนดจดจำนิมิตไว้ได้ด้วยดี อาการอย่างนี้เรียกเป็น
นิมิต ท่านเรียกว่า " ปฏิภาคนิมิต " ถ้าเรียกเป็นสมาธิท่านเรียกว่า" อัปปนาสมาธิ "
ถ้าเรียกเป็นฌาน ท่านเรียกว่า " ปฐมฌาน "
          นิมิตตามที่ท่านกำหนดให้ยึดถือตามกฎของปฏิบัติกรรมฐานกองนั้น ๆ อย่างนี้
เป็นนิมิตที่จำเป็นต้องกำหนดจดจำและทำให้ถึงขั้นถึงระดับ

นิมิตที่จำต้องละ

          นิมิตที่จำต้องละก็คือ นิมิตเลื่อนลอย เมื่อจิตมีสมาธิเล็กน้อย เช่น ขณิกสมาธิ
ตอนปลายใกล้จะถึง อุปจารสมาธิก็ดี หรือจิตเข้าสู่สมาธิก็ดี ตอนนี้จิตเริ่มจะเห็นสิ่งที่เป็น
ทิพย์ เพราะอารมณ์นิวรณ์เริ่มสงัดจากจิต จิตก็จะเริ่มเห็นภาพบ้าง แสงสีต่างๆ บ้าง ความ
สว่างไสวบ้าง ซึ่งเป็นของใหม่ของจิต เพราะเป็นของใหม่ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนนั่นเอง
ความปลาบปลื้มลิงโลดจึงปรากฏมีแก่นักปฏิบัติที่ประสบพบเห็น พากันละอารมณ์ภาวนา
หรือการพิจารณาเสีย ปล่อยใจให้เลื่อยลอยไปตามภาพหรือแสงสีที่เห็น จนภาพนั้นเลือน
รางหายไป วันต่อไปถ้าทำไม่เห็น เพราะมีความติดอกติดใจในภาพและแสงสีนั้น นั่งคิด
นอนมอง ใคร่จะได้เห็นภาพและแสงสีอีก เมื่อความใคร่เกิดขึ้นแทนที่จะได้เห็นอีกกลับ
ไม่ได้ประสบพบเห็น บางรายเมื่อไม่ได้เห็นภาพอีก ถึงกับเสียอกเสียใจ ถึงกับกินไม่ได้
นอนไม่หลับกลายเป็นโรคประสาทหลอนไปก็มี จัดว่าเป็นความเสียหายหนักของนักปฏิบัติ
          ทางที่ถูกแล้ว สำหรับภาพนอกองค์กรรมฐานที่กำหนดเดิมนั้น ท่านสอนไม่ให้สนใจ
เพราะถ้ากรรมฐานกองที่ปฏิบัติอยู่นั้น เป็นกรรมฐานที่มีนิมิตอะไรเป็นอารมณ์ก็ต้องยึดถือ
นิมิตเดิมเป็นสำคัญ ถ้ามีนิมิตอื่นแปลกปลอมเข้ามาก็ต้องกำจัดไปเสีย วิธีกำจัดก็ไม่สนใจ
ไยดีในภาพนั้นๆ นั่นเอง เพราะถ้าสนใจเข้า จักให้สมาธิฟั่นเฟือน ควรถือว่าเป็นนิมิตทำลาย
ความดี ไม่ควรคบหาสมาคม ให้ยึดถือนิมิตที่กำหนดเดิมเป็นสำคัญ
          ถ้ากรรมฐานที่กำลังปฏิบัติอยู่  เป็นกรรมฐานไม่มีนิมิตเป็นอารมณ์ ถ้ามีนิมิตเกิด
แทรกขึ้นมาก็จงตัดทิ้งไปเสียอย่าสนใจ เพราะกรรมฐานใดที่ไม่มีนิมิตเป็นอารมณ์ เมื่อ
ปรากฏนิมิตแทรกขึ้นมาต้องถือว่านิมิตนั้นเป็นศัตรูของกรรมฐานที่กำลังปฏิบัติอยู่
          นักปฏิบัติที่เอาดีถึงระดับฌานไม่ได้ ก็เพราะมาติดอกติดใจหลงใหลใฝ่ฝันในนิมิต
เป็นสำคัญความจริงจิตที่จะเห็นนิมิตได้นั้น ก็เป็นจิตที่เริ่มเข้าระดับดีบ้างแล้วคือเริ่มมีสมาธิ
เล็ก ๆ น้อยๆ การเห็นภาพก็เพราะจิตเริ่มมีสมาธิ แต่ที่เห็นนิมิตแล้วทิ้งคาถาภาวนาหรือทิ้ง
การกำหนดลมหายใจเข้าออกปล่อยใจให้เลื่อนลอยไปตามภาพนิมิตนั้น เป็นการบ่อนทำลาย
นิมิตและสมาธิโดยตรง การเห็นจะทรงอยู่ได้นานก็เพราะสมาธิทรงตัวนาน ถ้าเห็นแวบเดียว
หายไปก็แสดงว่าจิตเรามีสมาธินิดเดียว ที่ภาพนั้นหายไป ไม่ใช่ภาพนั้นหนีไป ความจริงภาพ
ไม่ได้หนี สมาธิเราไม่ทรงตัวต่างหาก เมื่อสมาธิหมด การทรงตัว เพราะปล่อยจิตลอยไปตาม
ภาพสมาธิก็สลายตัว เมื่อสมาธิสลายตัวจิตก็มีอารมณ์มืด เพราะไม่มีสมาธิ จิตที่มีอารมณ์
สว่างสามารถเห็นภาพได้ก็เพราะจิตมีสมาธิ  ถ้านักปฏิบัติรู้เท่าทันแล้วเมื่อเห็นภาพแทนที่
จะมั่นใจในภาพ กลับกำหนดอารมณ์ ในสมาธิให้มากขึ้น โดยไม่สนใจในภาพเลยอย่างนี้
ภาพนั้นจะชัดเจนแจ่มใสอยู่ได้นานจนกว่าสมาธิจะเคลื่อน ขอสรุปย่อเข้าเพื่อเข้าใจง่ายว่า
ภาพนิมิตใดที่นอกเหนือไปจากภาพนิมิตที่กรรมฐานนั้นๆ มีกฎให้กำหนดแล้ว ถ้าปรากฏมี
ขึ้นในขณะเจริญสมาธิท่านไม่ให้สนใจกับภาพนั้น ๆ เลย มุ่งหน้ากำหนดภาวนาไปตามปกติ
ภาพนั้นจะทรงอยู่หรือหายไปอย่างไรก็ช่าง อย่างนี้จึงจะถูกต้อง และเข้าถึงฌานได้รวดเร็ว
ตรงตามความประสงค์ในการปฏิบัติสมาธิเพื่อดำรงฌาน

อารมณ์จิตที่ไม่แน่นอน  
          นักปฏิบัติกรรมฐานใหม่ๆ  มักจะปวดเศียรเวียนเกล้าด้วยอารมณ์จิตที่ไม่แน่นอน
บางคราวทำกรรมฐานมีอารมณ์แนบสนิท ลมละเอียด จิตใจเป็นสมาธิแน่วแน่ดี แต่พอเลิก
แล้ว รุ่งขึ้นวันใหม่ หรือคราวต่อไป กลับมีอารมณ์ส่ายออกภายนอกจนบังคับไม่อยู่ สร้างความ
กลัดกลุ้มให้แก่นักปฏิบัติทุกท่านมาแล้ว อาการอย่างนี้ ไม่มีนักปฏิบัติท่านใดจะไม่ประสบต่าง
ก็พบปะกันมาจนเป็นธรรมดาแก่นักปฏิบัติทุกคน วิธีแก้อารมณ์ซ่านไม่ตั้งอยู่ในสมาธิ ๒ อย่าง
คือ
          ๑. นักเจริญกรรมฐาน ควรมีแนวปฏิบัติเป็นสองแนว คือแนวภาวนาและพิจารณา
          ๒. ปล่อยอารมณ์ให้ล่องลอยไปก่อนเมื่อบังคับไม่ไหว แล้วค่อยกำหนดจับเอาเมื่อ
อารมณ์กลับเข้าแนวสมาธิ วิธีแก้อารมณ์ซ่านในสมองแบบนั้น  มีคำอธิบายดังต่อไปนี้

 ก. ภาวนาและพิจารณา
          ภาวนา หมายถึง ภาวนาตามแบบที่ครูบาอาจารย์สอน ภาวนาเพื่อให้อารมณ์
หยุดจากอารมณ์ภายนอกให้จิตจดจ่ออยู่ที่คำภาวนา เพื่อให้จิตเป็นสมาธิ คำว่าจิตเป็นสมาธิ
นั้นหมายถึงจิตตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ใช่จิตหยุดโดยไม่รับอารมณ์ใดเลย
ทั้งสิ้น นักปฏิบัติใหม่ หรือท่านที่ไม่เคยปฏิบัติสมาธิเลย มักเข้าใจอย่างนั้น ความจริงการ
เข้าใจอย่างนั้นเป็นการเข้าใจที่ไม่ตรงต่อความเป็นจริง ธรรมดาของนักปฏิบัติใหม่จิตที่ว่าง
จากอารมณ์โดยไม่รับรู้อารมณ์เลย สำหรับการปฏิบัติเบื้องต้นไม่มีอาการอย่างนั้นเป็นอาการ
ของ สัญญาเวทยิตนิโรธ พระอรหันต์ขั้นปฏิสัมภิทาญาณ หรือ พระอนาคามีระดับ
ปฏิสัมภิทาญาณ
เท่านั้นที่จะเข้าได้ พระอริยะนอกนั้น แม้จะเป็นพระอรหันต์ระดับเตวิชโช
หรือฉฬภิญโญก็ไม่สามารถทำได้ ปกติของจิตเป็นอย่างนี้ เมื่อทราบแล้วว่าจิตไม่ว่างจาก
อารมณ์ เพื่อฝึกฝนจิตให้มีกำลังที่ควรแก่การเจริญวิปัสสนาญาณในขั้นต่อไปท่านจึงสอนให้
ภาวนาเพื่อโยงจิตให้อยู่ในอารมณ์ภาวนาคือ หาทางให้จิตนึกคิด แต่นึกคิดในขอบเขตที่มอบ
หมายให้ ไม่ใช่จะนึกคิดเพ่นพ่านไปการภาวนาคาถาบทใดบทหนึ่งนี้เป็นการระงับการฟุ้งซ่าน
ของจิตแต่ทว่าในกาลบางคราว การภาวนาอยู่อย่างนี้จิตเกิดมีอารมณ์ฟุ้งซ่านเกิดที่จะภาวนา
ได้ ทั้งนี้จะเป็นเพราะเหตุใดก็ตามเมื่ออารมณ์จิตเกิดฟุ้งซ่านห้ามปรามไม่ไหวนักปฏิบัติมัก
จะเกิดความกลัดกลุ้มใจ เพราะบังคับใจไม่อยู่เมื่อเห็นว่าจิตจะบังคับให้อยู่ในวงแคบคือ คิด
เฉพาะคำภาวนาไม่อยู่แล้ว ท่านให้หาทางพิจารณาแทนเพราะการพิจารณาก็เป็นอารมณ์คิด
เหมือนกันแต่ว่าคิดในทางละทางปลง จะพิจารณาตามกรรมฐานกองใดก็ได้ เช่น พิจารณาว่า
เราต้องตายเป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ ต้องป่วยไข้เป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้นความ
ป่วยไข้ไปได้ต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นธรรมดา ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงกฎ
ธรรมดานี้ไปได้ หรือ จะพิจารณาตามอสุภกรรมฐานให้เห็นว่าอะไรๆ ก็ไม่มีความสวยสดงด
งามคงสภาพตามที่กล่าวไว้ในอสุภ๑๐ ประการ หรือจะพิจารณากายตามในกายคตานุสสติก็ได้
กรรมฐานที่ท่านสอนให้พิจารณามีมากมายท่านสนใจก็อ่านต่อไปตอนท้ายเล่มหนังสือนี้จะพบ
แล้วเลือกเอากรรมฐานประเภทพิจารณามาพิจารณาแก้อารมณ์ซ่านกรรมฐานที่เป็นบทภาวนา
มีกำลังเป็นสมาธิ ส่วนใหญ่เป็นฌานกรรมฐานประเภทพิจารณา มีกำลังในขั้นอุปจารฌานได้
ผลเหมือนกัน กรรมฐานภาวนา สร้างจิตให้มีกำลังเข้มแข็ง กรรมฐานพิจารณาทำจิตให้เกิด
ความฉลาดรู้ตามความเป็นจริง เป็นผลให้เกิดนิพพิทาญาณเป็นเหตุให้ได้มรรคผลรวดเร็ว
ต่างฝ่ายก็ดีด้วยกัน เราไม่ได้อย่างโน้นก็ได้อย่างนี้ ดีกว่าปล่อยให้จิตใจกลัดกลุ้ม

ข. ปล่อยอารมณ์

          อารมณ์ของจิตบางคราวมันไม่เอาถ่านจริงๆ จะภาวนาหรือพิจารณามันก็ไม่เอาเรื่อง
ด้วยทั้งนั้นมันคอยจะออกนอกลู่นอกทางไปตามอารมณ์ของมัน ที่เป็นอย่างนี้เพราะ
          ๑. อาจเป็นเพราะเหน็ดเหนื่อยเกินไป
          ๒. ความป่วยไข้เบียดเบียน
          ๓. ตั้งใจเกินไป โดยคิดว่าวันวานนี้ เรามีอารมณ์แช่มชื่นดี วันนี้ทำให้ดีกว่านั้น ถ้าตั้งใจ
เกินไปอย่างนี้ รายไหนก็รายนั้น เป็นเตลิดเปิดเปิงออกนอกลู่นอกทางไปทุกราย
          รวมความว่าจิตไม่อยู่ในเกณฑ์จะบังคับได้ ท่านให้ปฏิบัติอย่างนี้ เมื่อเห็นว่าบังคับไม่ไหว
จริงๆ แล้วท่านให้ปล่อยให้คิดไปตามเรื่อง จะคิดอะไรก็ช่าง แต่คอยเอาสติควบคุมไว้ ไม่นานนัก
อย่างมากก็ไม่เกิน ๒๐ นาที จิตจะหยุดคิด ตอนนี้ท่านสอนว่าให้เริ่มจับอารมณ์ฝึกทันที จิตจะ
หมดพยศ และจะมีอารมณ์เรียบเป็นอารมณ์ฌานแนบสนิทอย่างคาดไม่ถึง และจะทรงอยู่ได้
นานเกินคาด วิธีนี้จดจำไว้ให้ดี เป็นวิธีที่ได้ผลมาก


คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน มีทั้งหมด 72 ตอนนะครับ โปรดติดตามในตอนต่อไปครับ

ที่มา เวปพลังจิต

ทำนองเพลง ลาวม่านแก้ว



Create Date : 06 กันยายน 2554
Last Update : 6 กันยายน 2554 22:03:56 น. 0 comments
Counter : 415 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หมึกสีดำ
Location :
ขอนแก่น Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add หมึกสีดำ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.