พบพระชำนาญเวทย์เดินบนน้ำได้
ต่อจากนั้น อาตมภาพจึงเดินขึ้นเขาไป เพื่อหาถ้ำที่สำหรับจำวัด เพราะเดือนมืดจะเดินกลางคืนก็เห็นจะลำบาก พอขึ้นไปบนหลังเขา ไปพบพระองค์หนึ่งชื่อ สาธุวันดี ท่านบอกว่าท่านอยู่เมืองหลวงพระบาง ขณะนั้นอายุของท่านองค์นั้นกำลัง ๒๕ ปี ท่านถามอาตมภาพว่าเณรเที่ยวมานานแล้วได้คุณวุฒิอะไรบ้าง อาตมาก็เล่าเรื่องที่เป็นมาของตนให้กับท่านฟัง ท่านจึงแนะนำว่า
"บุคคลซึ่งบำเพ็ญเพียรอันเป็นบุพเพของตนเป็นมาแล้วอย่างไร คนนั้นจะมีความเพียรก้าวหน้าไม่ท้อถอย เพราะว่าชาติที่เป็นมาแล้ว สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ดีบ้าง ชั่วบ้าง เป็นสัตว์บ้าง เป็นมนุษย์บ้าง เมื่อเห็นเช่นนี้ว่า ความเกิดเป็นมนุษย์และสัตว์ในโลกมีภพอันไปปรกติ ผู้นั้นจึงกล้าต่อความเพียรนั้นอีกในโลกนี้ เหตุนั้นผู้เห็นบุพเพนิวาสานุสสติ แล้วจึงมีความเพียรก้าวหน้าไม่หยุด ผู้บำเพ็ญทั้งหลาย เมื่อชำนาญการดักจิตแล้ว ควรบำเพ็ญปัญญาจักษุอันนี้ให้เจริญขึ้น จึงจะไม่ท้อถอยต่อการบำเพ็ญ" ดังนี้
ต่อไปนั้นอาตมภาพจึงถามท่านว่า ปฏิบัติแค่ผมควรบำเพ็ญแล้วหรือยัง
ท่านตอบว่า การดักจิตของเณรก็ชำนาญบ้างแล้ว แต่ขาดปัญญาจักษุ เหตุนั้น ควรอบรมปัญญาจักษุให้กล้าก่อนจึงควรต่อไป
จากนั้น ท่านก็แนะนำทางปัญญาจักษุพอสมควร แล้วท่านจึงแสดงฤทธิ์ของท่านบางสิ่งบางอย่าง เช่น หายตัว คือขณะนั้นไปเที่ยวบิณฑบาตด้วยกันกับอาตมภาพ ๆ เดินตามหลังท่านเดินก่อน ทายกเขาไม่เห็น ข้าวบิณฑบาตก็ไม่ได้ ได้เฉพาะแต่อาตมภาพผู้เดินหลัง ที่ถ้ำนั้นมีบ้านอาศัยบิณฑบาต หลังคาเรือน ทำไร่ข้าวเป็นอาชีพของคนชาติพวน
ต่อนั้นไป อาตมภาพพักศึกษากรรมฐานกับท่านองค์นั้นอยู่ ๑๖ วัน จากนั้นท่านออกเดินตามครองน้ำ ชายฝั่งเป็นถนน คือ ท่านเดินไต่หลังน้ำไป เป็นของสุดวิสัยของอาตมภาพที่จะตามได้ จึงเป็นอันว่าหมดหนทางจะตามไปด้วยท่าน
ต่อนั้นไป อาตมภาพก็เดินตามเขาอีก ๒ วันไปถึงเมืองวัง ไปพักอยู่ถ้ำเต่างอย ไปเที่ยวบิณฑบาตบ้านแดง ทางประมาณ ๑๐๐ เส้น ที่นั้นมีบ่อน้ำอาศัยเป็นที่สบายแก่การบำเพ็ญสมณธรรม อาตมภาพพักทำความเพียรเพ่งกสิณอาโปธาตุบ้าง เพ่งอากาศธาตุบ้าง บำเพ็ญอยู่ที่นั้น ๒ พรรษา เกิดเรื่องอธิกรณ์ ๔ ครั้ง
เจ้าคณะแขวงเรียกตัวไปสอบถาม
คือไปอยู่ทีแรก เจ้าคณะแขวงเรียกเข้าไปในเมืองตรวจดูใบสุทธิ อาตมภาพบอกว่า ไม่มีอุปัชฌายะ
เจ้าคณะแขวงบอกว่า
เณรต้องเข้ามาอยู่วัดด้วยหมู่คณะ อย่าไปอยู่ถ้ำอยู่เขาคนเดียวไม่สมควร
อาตมภาพบอกว่า
ผมบำเพ็ญกรรมฐาน ขอใต้เท้าจงให้โอกาสแก่ผมบ้าง
ท่านตอบว่า บำเพ็ญอะไรข้าไม่รู้ ถ้าเป็นพระเป็นเณรแล้วควรเข้าไปอยู่ในวัดทั้งนั้น
อาตมภาพได้ยินคำนี้นึกขึ้นได้ว่า ที่นี้จะเป็นอุปสรรคแก่การบำเพ็ญสมณธรรม แต่เราทนอยู่ได้ เราก็จะได้บำเพ็ญขันติบารมี เมื่อนึกขึ้นมาเช่นนี้ อาตมภาพจึงกราบลาท่านเพื่อจะออกไปอยู่ถ้ำตามเดิม ท่านบอกว่า พรุ่งนี้ต้องเข้าอยู่วัดนะ อย่าไปอยู่ป่าอยู่เถื่อนตามลำพังของตน เพราะเป็นเณรต้องอยู่บังคับของพระ อาตมภาพก็นิ่งไม่พูด ออกจากวัดของท่านก็กลับเข้าไปอยู่ถ้ำตามเดิม อธิษฐานไม่พูด จะบำเพ็ญแต่สมณธรรมอย่างเดียว ใครจะว่าอะไรไม่พูดด้วย ต่อนั้นก็ตั้งหน้าบำเพ็ญความเพียรส่วนเดียวอีก ๑๐ กว่าวัน เจ้าคณะแขวงใช้พระให้ไปบอกให้เข้ามาอยู่วัด อาตมภาพก็นั่งเข้าที่ทำสมาธิเรื่อยไป ไม่พูดด้วย พระที่ไปถ้ำมาบอกแก่เจ้าคณะแขวงว่า เณรเป็นแต่นั่งสมาธิหลับตาอยู่ไม่พูดด้วย
นายอำเภอนำตัวไปสอบสวน
วันหลังต่อมา เจ้าคณะแขวงให้นายตำบลไปบอกให้หนี ถ้าไม่หนีต้องเข้าไปหาเจ้าคณะแขวงในวันนี้ อาตมภาพก็เข้าไปหาเจ้าคณะแขวงในเมือง แต่ไม่พูด ท่านถามว่า จะหนีหรือ ก็ไม่พูด จะเข้ามาอยู่ในอาวาสด้วยไหม ก็ไม่พูด ท่านถามอะไร ๆ ก็ไม่พูด ท่านดุด้วยคำหยาบหลายอย่างหลายประการ หนักเข้า นั่งสมาธิอยู่ที่นั้น วันตลอดค่ำคืนตลอดรุ่ง ดักจิตอยู่ไม่ให้จิตตามเอาอารมณ์อะไรทั้งหมดเข้ามาสิงอยู่ภายในใจ รู้สึกสบาย และทำความเข้าใจว่า
คำพูดอะไรทั้งหมดเป็นสักเพียงแต่เสียง เป็นธาตุอันหนึ่ง ไม่ใช่สัตว์ บุคคลตัวตน เราเขา เป็นแต่ว่าเสียงนั้นเป็นที่พอใจของตนก็ว่าเสียงนั้นดี เสียงอันใดไม่เป็นที่พอใจของตน ก็ว่าเสียงนั้นชั่ว ที่จริงเสียงนั้นจะให้เป็นรูป เป็นกายเป็นหญิง เป็นชาย ก็หามิได้
ตกลงทั้งโลกนี้จะสงัดจากเสียงไม่มี เพราะหูเรายังมีอยู่ เข้าบ้านก็เสียงคน ออกป่าดงก็เสียงสัตว์ เช่นอยู่ป่า สัตว์บางชนิดร้องเสียงเพราะเป็นที่พอใจเราก็ว่าเสียงดี บางทีเสียงสัตว์บางตัวร้องขึ้น ไม่เป็นที่พอใจเรา ก็ว่าเสียงนั้นชั่วร้าย ผลที่สุดลมพัดต้นไม้เสียงออดแอดซะนิดหน่อยเป็นที่พอใจน่าฟัง ก็ว่าเสียงนั้นดี หากพายุมันพัดมาแรง เสียงอืดอาดครึกครื้น เรากลัว ก็ว่าเสียงนั้นร้ายหรือชั่ว ที่จริงเสียงหรือหูเท่านั้นเป็นไปตามธรรมดาของโลก เช่นหู ถ้าเสียงดังขึ้น ไม่ฟังก็ได้ยิน เช่น เสียงไม่ดี หูไม่ได้ต้องการฟัง มันก็ดังขึ้นเอง เหตุนั้น มิเป็นการควรละหรือที่เราทำโทษหูที่ได้ยินและเสียงที่ดังนั้น อันเป็นไปตามธรรมดาวิสัยของโลก
เมื่ออาตมภาพได้พิจารณาเช่นนี้ ยังมีความอิ่มอกอิ่มใจ มิได้โศกเศร้าเสียใจ ในกิริยาอันที่ท่านขู่เข็ญดุดันต่าง ๆ
ไม่ช้าอาตมภาพก็ไปพักจำวัดอยู่ที่โบสถ์ หลับไปฝันเห็นเทวดาเหาะมาทางอากาศ มาบอกอาตมภาพว่า ดูกรเจ้าสามเณร จะมีผู้มาขัดขวางต่อปฏิปทาของท่านอย่างน่าพิศวงใจดังนี้
อาตมภาพก็ตื่นนอนขึ้นมา แล้วพิจารณาว่า อะไรจะขัดขวางข้อปฏิปทาของข้าพเจ้ายิ่งกว่าความตายไม่มี แม้แต่เสือทำท่าจะกัดอยู่เดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้าสละชีวิตมาหลายหนแล้ว มิได้ทอดธุระเลยว่าไม่ปฏิบัติศีลธรรมต่อไปอีก นี้มนุษย์เหมือนกัน ที่สุดท่านก็คงฆ่าให้ตายเท่านั้น ชีวิตนี้ถึงไม่มีคนฆ่ามันก็จะตายเองอยู่แล้ว ส่วนความดีคือศีลธรรม เราไม่ปฏิบัติเอาก็ไม่ได้ ตกลงเราจะหวงชีวิตอันจะตายอยู่เองเปล่า ๆ มาละศีลธรรมอันเป็นที่พึ่ง ทั้งในภพนี้และภพหน้า มิเป็นการควรเลย
เมื่ออาตมภาพตกลงเช่นนี้แล้วก็ออกจากโบสถ์ เข้าสู่ถ้ำที่อยู่ตามเดิม เพ็ญเพียรพิจารณาอนัตตาธรรมเป็นลำดับไป มิได้เพ่งกสินอย่างเดิม โดยเหตุที่ว่าปัญญาเกิดขึ้น ทั้งนี้ก็เนื่องจากอุปสรรคเช่นนั้น จะเป็นอันตรายแก่ข้อปฏิบัติ บำเพ็ญอยู่ที่นั้นตลอดจนฤดูแล้ง
ต่อมา ฤดูฝนจวนเข้าพรรษา ญาหลวงเมืองวัง (ไทยเรียกนายอำเภอ) ต้องการอยากพบสามเณรกรรมฐาน ไม่พูด อยู่ถ้ำเต่างอย จึงใช้ปุริด (ไทยเรียกตำรวจ) ไปนำตัวของอาตมภาพไปที่ว่าการอำเภอ แล้วซักไล่ไต่ถาม ด้วยอรรถ ด้วยธรรม เป็นต้นว่า ศีล ๑๐ กรรมบถ ๑๐ เหล่านี้ เป็นต้น และกรรมฐาน ๔๐ คืออะไรบ้าง ดังนี้ อาตมภาพก็นั่งพิจารณาว่า คนเช่นนี้มิใช่ผู้ถามเพื่อปฏิบัติ มาถามเพื่อทดลองเล่นเท่านั้น เมื่อจะกล่าวแก้หรือ ก็ไม่เห็นประโยชน์แก่ผู้มาถามด้วยความประมาทเช่นนี้ ทั้งเราก็เปล่าทั้งนั้น ก็คงเป็นสักเพียงแต่จะพูดให้เขาเห็นดีตนเท่านั้น ตกลงดีหรือชั่วก็เราปฏิบัติเอาเท่านั้น จะได้มาจากคำพูดให้ผู้อื่นเห็นดีให้ก่อนจึงจะดีก็หามิได้เมื่อพิจารณาเช่นนี้อาตมภาพก็นั่งนิ่งไม่พูด
นายอำเภอแกก็ว่า คนเช่นนี่จะเป็นพระเป็นเณรอย่างไรได้ ทั้งดื้อทั้งหนวกทั้งบ้า ดังนี้
อาตมภาพก็พิจารณาขึ้นทันที ทักท้วงภายในจิตของตนว่า นี้เขาว่ากับใคร จิตรับว่าให้ธาตุ ๔ คือรูป เมื่อไม่มีธาตุ ๔ คือรูปนี้ เราก็ไม่เห็น เขาก็ไม่ว่า เพราะข้าพเจ้าคือจิตไม่มี ตัวเขาก็ไม่เห็น เมื่อไม่เห็นเขาจะว่าใคร หูเท่านั้นเป็นผู้ได้ยิน เขาดูถูกก้อนธาตุ เขาไม่ได้ดูถูกใจ เพราะใจไม่มีตัว เขามองไม่เห็น เขาจะเอาถูกได้อย่าง ตกลงผู้ว่าเขาก็คงมองเห็นก้อนธาตุคือหน้าตานี้เป็นเรานั้นละเขาจึงว่า ตกลงเขามองเห็นก้อนธาตุ ๔ เขาก็ว่าไปตามพอใจของเขา จะยุ่งอะไรนัก
ต่อนั้นอาตมภาพก็หลับตาลง นั่งขัดสมาธิขึ้นในทันใด อยู่ที่นั้นวันตลอดรุ่งจนคืนตลอดรุ่งสว่างพอดี ก็ออกไปนั่งอยู่ที่วัด มีคนเขาหาข้าวมาให้ฉัน อาตมภาพฉันแล้วก็กลับไปสู่ถ้ำตามเคย ต่อนั้นก็บำเพ็ญเพียรพิจารณาวิปัสสนาภูมิตั้งแต่ขันธ์ ๕ เป็นต้นไป อยู่ต่อไปจวนวันเข้าพรรษา
เข้าพรรษาแล้ว ๒ วัน ญาหลวง คือนายอำเภอเมืองวังจึงใช้ปุริด คือตำรวจ ไปเรียกอาตมภาพไปยังที่ว่าการอำเภออีกพอไปถึงแกสั่งว่า เณรจงเข้าจำพรรษาที่วัดเดิมด้วยพระทั้งหลายได้เป็นการดี ได้ยินไหม อาตมภาพก็เป็นแต่ยิ้มเท่านั้น ไม่พูดด้วย แกก็หัวเราะด้วยว่า คนพูดได้ยินกันอยู่ ไม่ตอบกันให้ได้ ก็สุดเรื่องเท่านั้น
ที่มา : เวป dharma-gateway
โปรดติตามตอนต่อไปครับผม
ทำนองเพลง ลาวม่านแก้ว
Create Date : 30 กันยายน 2553 |
Last Update : 24 พฤศจิกายน 2553 9:46:27 น. |
|
76 comments
|
Counter : 936 Pageviews. |
|
อนุโมทนาค่ะ ขอให้พี่ไผ่ได้บุญเยอะๆน๊า