Group Blog
 
 
สิงหาคม 2548
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
18 สิงหาคม 2548
 
All Blogs
 
สึนามิ และแรงกำลังใจ

หลังจากที่ผมไปช่วยยกของมาที่พุทธมณฑลก็ได้ยินว่า 7 โมงเช้าของวันรุ่งขึ้น ณ สถานที่เดิม (วันที่ 31 ธันวาคม 2547) จะมีการปล่อยขบวนคาราวานรถลงไปยังภูเก็ต ด้วยใจที่ว่าอยากจะลงไปอยู่แล้ว (แต่มันยังหาหนทางไม่เจอ) มันก็ไปถึงโน่นนานแล้วล่ะ แต่ติดเพียงว่า ที่ไปช่วยงานน่ะไม่ได้เตรียมของอะไรไปด้วยเลย จะมีก็แต่เพียงเสื้อยืดกันเปื้อน (เรียกภาษาชาวบ้านว่า เสื้อขี้ริ้ว) ไป 1 ตัวกับกล้องถ่ายรูปคู่ใจอีก 1 เท่านั้นเอง

แต่แล้วก็ตัดสินใจไปจนได้ โดยคืนนั้นก็ไปนอนค้างบ้าน Aloha007 กับอีก 2 ท่านผู้ใจบุญ คือ ~ น า ย ป ลิ้ น ~ กับ Joker9

ด้วยความที่บางท่านก็ไม่เคยเจอกันมาก่อน หรือบางท่านถึงจะเคยเจอกันมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้หนิทหนมอะไรมากมาย เมื่อต้องมานอนร่วมห้องกัน

มีหรือจะอยู่อย่างเป็นสุข?

เหอๆ อันนี้ผมหมายความว่า ทั้งคืนไม่ได้นอนเลย ก็เพราะว่า มัวแต่นอนคุยเรื่องราวของแต่ละคนกันมากกว่าน่ะ

แถมยังคิดไปได้ด้วนะว่า ช่างมันเหอะ ไว้นอนบนรถตอนลงใต้ก็ได้

เหอะๆๆๆๆ

++++++++++++++++++

แล้วตอนเช้าก็มาถึง คุณแม่ของ Aloha007 ก็ได้มาส่งพวกเราที่สถานีขนส่งพุทธมณฑลสาย 5 ที่เดิม ที่ซึ่งมีผู้คนจำนวนหนึ่งมารวมตัวกันก่อนแล้ว พวกเขาเหล่านั้นบ้างเป็นอาสาสมัคร หรือไม่ก็พนักงานขับรถสิบล้อ ซึ่งในช่วงเช้านี้เราก็เพิ่งได้รู้เนี่ยแหละว่า เค้ามีการถ่ายทอดสดด้วย เพราะจะมีพิธีการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้เสียชีวิตและอวยพรให้กับผู้ที่จะลงไปใต้ให้เดินทางปลอดภัย อะไรแบบนั้นน่ะ

และในที่สุด นักข่าวเจ้าเดิมกับที่ไอทีวีเมื่อสองวันก่อนหน้านั้นก็เดินมา เอ๊ะ เค้าจำพวกเราได้หนิ
"น้องจากพันทิป ใช่ไหมคะ?"
"ใช่ครับ"
"มาช่วยงานอีกวันหรือคะ?"
"เปล่าครับ จะร่วมลงไปเป็นอาสาสมัครที่ภาคต้ด้วยอีกแรงหนึ่งน่ะครับ"
"โอ๊ว พระเจ้าจอร์จ จริงหรือคะ" (อันนี้เราแต่งเองให้ได้อรรถรสน่ะ เหอๆ)

แต่ไม่ช้าไม่นานไม่ทันได้หายใจคุณเธอก็สั่งให้ช่างกล้องแบกกล้องใหญ่ๆ ตัวนั้นขึ้นบ่าทันที และบอกว่าจะสัมภาษณ์พวกเรา ทุกคนต่างชี้มาที่เราเป็นทางเดียว และทันใด พี่นักข่าวก็ยื่นไมค์ใส่หน้าให้เราถือ และตั้งโจทย์แบบกะทันหันมา 1 ช้อ

"น้องๆ เตรียมตัวอย่างไรที่จะลงไปช่วยภาคใต้ในวันนี้ อะคะ?"

ว่าแล้วก็แอ๊คชั่นซะ

-_-" อย่าให้เล่าเลยว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้อ่ะ คนมันไม่เคยอ่ะนะ ไม่รู้ว่าได้ออกอากาศหรือเปล่าด้วย ช่างมันเถอะ

จากนั้นพระภิกษุสงฆ์จำนวน 99 รปก็เดินออกมาจากอาคารหลังใหญ่หลังจากฉันภัตตาหารเสร็จก็มานั่งที่เสื่อ (อาสน์) ที่ปูเตรียมเอาไว้ด้านนอก และพวกผู้ใหญ่จอมเอาหน้า (ที่ไม่ค่อยได้ทำอะไร แต่มานั่งให้ออกทีวีเอาไว้ก่อนน่ะ) ก็ตามออกมาด้วย



ระหว่างที่พระกำลังสวด พวกเราก็ทำจิตใจสงบนิ่ง และต่างก็ขอพรให้ตัวเอง



จากนั้นเค้าก็จัดให้เราแยกย้ายขึ้นรถที่เตรียมจะเดินทางออกจาก ณ ที่นั้น แต่ทว่า ฝันเล็กๆ ที่จะโชคดีได้นั่งรถซีอาร์วีหรูๆ หรือกระบะเสริมแค็ปสักคัน ก็ทลายลง เมื่อที่นั่งที่ว่างอยู่ก็คือ รถสิบล้อ



ไม่เป็นไร ยังไงมันก็ไปถึงเหมือนกันล่ะน่า

ถึงแม้จะช้าหน่อยก็เถอะ -_-"

เมื่อรถเดินทางออกแล้ว เราก็จะได้เห็นกับพรรคการเมืองที่มาร่วมหาเสียงกับเราอยู่เป็นระยะๆ กล้องโทรทัศน์เป็นจุดๆ บ้าง แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก

การเดนิทางเป็นไปด้วยความล่าช้ามาก เพราะว่าขบวนรถสิบล้อที่บรรทุกน้ำหนักขนาดนี้และเยอะขนาดนี้ จะต้องหยุดพักเป็นช่วงๆ ขับรถรอกัน และห้ามขับเร็วอีกด้วย

ทีนี้เราไม่พูดถึงเรื่องการเดินทางดีกว่า แต่อยากจะบอกไว้สักนิดว่า ไอทีวีแพลนการเดินทางไว้ไม่ค่อยเวิร์ดเท่าไหร่ก็น่าจะพอ

ออกเดินทางกัน 9 โมงเช้า



(รูปข้างบนมันมีซองกล้องถ่ายรูปมาบังอ่ะ ไม่น่าเลย ตอนนั้นแดดแรงมาก เลยต้องหยีตาถ่ายอะ)

และแล้วก็ถึงหน้าที่ว่าการอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา เอ่อ....ตีสามของอีกวัน



(ภาพข้างบนคือกลางถนนจังกวัดพังงาในยามค่ำคืน นานๆ ทีจะได้ยืนถ่ายรูปนิ่งๆ กลางถนนใหญ่แบบไม่กลัวรถคันไหนวิ่งมาทับอ่ะ อุอุ สะใจในอำนาจเล็กน้อย)

ระหว่างทางเราได้ผ่านบริเวณที่โดนคลื่นยักษ์ซัดด้วย แต่เนื่องจากเป็นตอนกลางคืนและข้างทางก็ไม่มีไฟเลย ก็เลยมองอะไรไม่ชัดเท่าไหร่

อากาศเย็นมาก...พี่อาสาสมัครท่านหนึ่งบอกให้พวกเรเข้าไปนอนพักในที่ว่าการอำเภอแล้วตอนเช้าจะมาปลุกให้ไปทำหน้าที่ต่อ...แต่ว่าตอนนั้นมันไม่ง่วงแล้วนี่ พร้อมทำงานเต็มที่ (พี่นายปลิ้นกับพี่โจ๊กเกอร์ฟิตฮึดที่สุด ส่วนผมกับอะโลห้ายังงัวเงียๆ อยู่เลย)

แต่ก็ตัดสินใจไม่ร่วมนอนซะงั้น...

ออกไปเดินเล่นข้างนอกหน่อยนึงก็ได้พบพี่ผู้ชายอ้วนๆ คนหนึ่งเค้าเป็นเจ้าของกิจการดำน้ำอะไรพวกนี้ในจังหวัดภูเก็ต เค้าบอวก่า เค้าเป็นคนอยุธยา แต่อยู่ภูเก็ตได้ 20-30 ปีแล้ว และก็รอดพ้นวินาทีวิกฤ๖มาได้ เพราะอยู่บนเขาพอดี แต่มองลงมาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดเลย เค้าได้ไปช่วยเหลือที่ภูเก็ตจนกระทั่งที่นั่นเริ่มโอเคเลยขึ้นมาที่พังงาต่อ เพราะที่พังงาเสียหายหนักที่สุด เค้าก็เลยให้นามบัตรเขามา แล้วก็พาพวกเราขึ้นรถไปยังสถานที่ที่ต้องการให้ช่วยอย่างเร่งด่วนทันที ณ เดี๋ยวนั้นเลยทีเดียว

ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป พวกเราก็ดื้อ หนีออกมาจากทีมไอทีวีซะงั้น...

04.30 น. วัดย่านยาว อ.ตะกั่วป่า จังหวัดพังงา

พี่เค้ามาจอดรถด้านในวัด ผ่านกองโลงศพที่ตั้งกองเอาไว้ด้านหน้า พวกเราลงรถมาโดยคิดว่า ไม่มีอะไรร้ายแรงมากไปกว่านี้แล้ว แต่ก็ต้องผงะ เมื่อลงมาป๊บ กลิ่นที่ลอยโชยมาตามอากาศอย่างแรงกล้าทำให้เราทุกคนต้องอุดจมูกทันที

"กลิ่นฟอร์มาลีนมั้ง" พวกเราคนหนึ่งพูดขึ้น

พี่ผู้ชายรีบแก้ให้ทันควันเสีย
"ฟอร์มาลีนอะไร ไม่ใช่ กลิ่นนั้นน่ะมันคือ ยาฆ่าเชื้อส่วนหนึ่ง แต่ที่ได้กลิ่นกันชัดๆ เนี่ยน่ะ กลิ่นศพเน่าจ้ะ"



พี่ผู้ชายอีกคนที่มาด้วยกัน ภูมิใจนำเสนอมาก เขาพาพวกเราไปสำรวจไซต์งานสำคัญ อันเป็นที่มาของกลิ่น...

และพวกเราก็ตะลึง



บรรยากาศของที่นี่มันเป็นอะไรที่ชีวิตนี้ไม่เค้ยไม่เคย และอยู่ดีๆ ก็มาเจอจังๆ เข้า ยังมีอีกหลายอย่างที่ติดตาสามารถสาธยายได้หมดเปลือก แต่..อย่าดีกว่า

พวกเราเดินสำรวจได้ประมาณ 2-3 รอบพร้อมทั้งพยายามทำตัวให้คุ้นเคยกับสถานที่....



อีกด้านที่เป็นศาลาวัด...ใช้เป็นที่ตั้งของกองอำนวยการ มีโทรศัพท์ มีคอมพิวเตอร์ มีแท่นตั้งทำพิธีศพ



ไม่มีโต๊ะตั้งคอมพ์ ใช้โลงแทนเลยละกัน



ตั้งกระทู้รายงาน



เราอยู่ ณ จุดนั้นจนเริ่มเช้า ก็เริ่มมีคนมาติดต่อหาญาติหาเพื่อนหาคนรู้จักของเขา แต่ละคำถามที่เราตอบไม่ได้ เราก็ไม่รู้จะตอบยังไงอ่ะ คือสีหน้าของคนเหล่านั้นมันยากที่จะคาดเดา เพราะต่างคนต่างก็ดูเหมือนไม่มีอารมณ์อะไรเลย ประมาณว่าร้องไห้จนไม่มีน้ำตาให้ร้องแล้วอะไรแบบนั้น

ป้าคนหนึ่งมาพร้อมกับลูกชาย เอารูปลูกสาวของเค้ามายื่นให้เราดู แล้วบอกว่า ช่วยตามหาหน่อย....

ป้าคนหนึ่งเคยมีครอบครัวที่ดีพร้อม แต่มาวันนี้ต้องเสียไปทั้งหมด ทั้งสามี และลูกๆ อีกสามคน รวมทั้งทรัพย์สินทั้งหมด จนเหลือตัวแกคนเดียว

อีกรายหนึ่งตามหาศพไปทั่วจังหวัด เขามีภาพของศพแต่ตามหาศพไม่เจอ ไม่รู้ไปอยู่ส่วนไหนของจังหวัด แล้วมาขอให้เราตามหาให้หน่อย

ฝรั่งคนหนึ่งเสียภรรยาไปในคลื่นยักษ์ระหว่างมาเที่ยว ในวันนี้เขาก็ไม่ยอมละจากสถานที่กลับบ้านไปไหน แต่ยังคงช่วยเหลือทุกคน เฉกเช่นอาสาสมัครทุกคน

มันลำบากใจนะ

หลังจากนั้นก็ว่าจะไปหากาแฟกินกันข้างนอกเสียหน่อย ก็ได้ผ่านเต๊นท์ที่เอารูปของผู้เสียชีวิตที่ไม่มีผู้ติดต่อมาแปะรวมกันเอาไว้ ... หายอยากกาแฟ หายอยากอาหารไปเลย เพราะนอกจากมันจะเยอะจนเกินคาดเดาแล้ว... สภาพของศพ... ยัง...

นี่แค่ศูนย์เดียวยังเยอะขนาดนี้...



บางรายก็มองภาพด้วยตาที่ตกตะลึง

บางรายก็ออกอาการหดหู่

บางรายร้องไห้ฟูมฟายไปเลย



พอตอนสายๆ เราก็ไม่รู้จะทำอะไรดี คุณหมอพรทิพย์ตื่นแล้วและกำลังปฏิบัติงานอย่างขะมักเขม้นเอาจริงเอาจัง เมื่อครึ่งปีก่อนได้เห็นคุณหมอเดินชอปปิ้งอยู่ที่แผนกเครื่องสำอางค์ที่เดอะมอลล์บางกะปิ แต่ในวันนี้คุณหมอโทรม และผอมลงไปอีกเยอะจนผิดหูผิดตาเลยทีเดียว

พวกเราเดินเข้าไปถามคุณหมอว่าให้ช่วยอะไร? คุณหมอตอบได้ทันใจ ไปช่วยกับทีมงานขุดศพ.....

แล้วพวกเราก็ได้บรรจุเข้าเป็นแรงงานส่วนหนึ่งของทีมขุดศพฝังศพ...นำทีมโดยพี่จอย สาวร่างบางที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ที่เพิ่งรู้ภายหลังว่าเค้าก็เล่นพันทิปเหมือนกัน

การเดนิทางก็ใช่ว่าจะธรรมดา นั่งรถทหารเสียด้วย



มาถึงสถานที่แล้วครับ

09.45 น. สุสานวัดบ้านม่วง อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา

ที่มองเห็นเป็นลานร่มรื่น นั่นละ ที่ฝังศพง่ะ



ลงจากรถก็เข้าไปในศาลา... มองเห็นเมรุเก่าอย่างชัดเจน



หลังจากนี้ไปอีกทั้งวัน พวกเราทั้งหลายก็ได้ลงไปช่วยขุดศพฝังศพกัน....แต่ผมไม่ได้ไปอ่ะ มานน่ากัว.....เลยได้รับหน้าที่ให้เป็นกองสวัสดิการแทน คอยปัดแมลงวันที่จะมาตอมอาหาร อ๊ะ ใครว่าไม่สำคัญ แมลงวันมันไปตอมศพมาแล้วทั้งนั้น ต้องรักษาอาหารการกินให้โอเคจิ เดี่ยวเกิดโรคขึ้นมาจะร้ายแรงเอานะ อุอุ

ในช่วงเวลานั้น ศพที่ว่าน่ากลัวน่าขยะแขยงแค่ไหน ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา ศพที่ห่ออยู่ในผ้าห่อศพก็ไม่ต่างอะไรกับของบริจาคที่แพ็คเอาไว้ เพราะทุกคนถือว่าเป็นหน้าที่ พี่นายปลิ้นบอกว่า ถ้าเราเจอศพตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้นแค่ศพเดียวมันน่ากลัว แต่ถ้าเจอเยอะๆ แล้วพบว่าแต่ละคนมาที่นี่เพื่อทำอย่างเดียวกันกับศพ มันก็ไม่น่ากลัวอ่ะ

ณ สถานที่นี้เค้าเข้มวงดเรื่องสุขอนามัยมาก ทุกครั้งที่เข้าออกศาลาสวัสดิการจะต้องมีการฆ่าเชื้อด้วยน้ำยาทุกครั้ง และกลิ่นมันก็ไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย มีชุดที่ในหนังฝรั่งเค้าใช้เข้าฉากห้องแล็บอะไรเทือกนั้นน่ะ สวมผ้าปิดจมูก หมวกที่เหมือนหมวกอาบน้ำ รองเท้าบู๊ต

ไม่งั้นเชื้อโรคร้ายที่อยู่ในศพบวมน้ำนั่นอาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ถ้ารับเข้าสู่ร่างกายคนเป็นเข้าไปแล้ว



เวลาก็ล่วงเลยผ่านไป ต่างคนก็ต่างทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุด จนกระทั่งประมาณ 6 โมงหรือทุ่มนึงได้ (ตจว.มืดไวมาก 5 โมงก็มืดแล้ว) พวกเราก็ได้ออกมาก่อน แต่สถานที่ด้านในยังเต็มไปด้วยอาสาสมัครที่ทำงานกันอย่างเต็มความสามารถและพร้อมด้วยทหารอีกส่วนหนึ่งที่เข้ามาสมทบเมื่อช่วงเย็น

เดินออกมาตามทางออกสู่ถนนใหญ่ (นี่ถ้าผมมาคนเดียวคงไม่กล้าเดิน) แต่หนทางนั้นช่างยาวไกลหากจะไปให้ถึงวัดย่านยาว... เลยตัดสินใจปักหลักข้างทางเสีย แล้วรอให้รถออกมาจากด้านใน ซึ่งทุกคันจะต้องมุ่งไปถนนใหญ่อยู่แล้ว อ๊ะ นั่นไง พวกเรารีบโบกรีบบอก แล้วก็ขึ้นท้ายกระบะ นั่งตากฝนปรอยๆ ไปยังวัดย่านยาวจนได้...

ทานอาหารมื้อเย็น ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นมื้อแรกของวัน... แล้วเราก็ได้พบกับบุคคลอีกท่านหนึ่ง เค้านั่งเงียบๆ อยู่คนเดียวที่โต๊ะอาหารตัวหนึ่ง... (ให้นึกถึงอารากอร์นปรากฏตัวครั้งแรกที่บาร์แห่งหนึ่งในหมู่บ้านบรี ในลอร์ดออฟเธอะริงส์) แต่แล้วเราไปรู้จักกับเค้าได้ยังไม่รู้ (อ้าว) แล้วเค้าก็เริ่มเล่าเรื่องที่เค้าได้ประสบพบเจอมากับตัว

ขออนุญาตนำเรื่องราวของท่านมาเผยแพร่เอาไว้ ณ ที่นี้

เค้าเป็นช่างคุมคนงานก่อสร้างอาคารแห่งหนึ่งในเขาหลัก (แว่วๆ มาว่าเป็นโรงแรม ถ้าจำไม่ผิด) ณ ตอนที่คลื่นมาเขาก็ไม่รู้อะไรหรอกเพราะไม่ได้อยู่ริมหาด แต่มารู้อีกทีก็ตอนที่ชาวบ้านต่างวิ่งกรูมาจากทางหาดมาทางเขาอย่างวุ่นวาย คนงานคนหนึ่งรีบบอกเขาให้วิ่งหนีไปเพราะมีคลื่นยักษ์มา ในตอนนั้นเขาก็ไม่ได้คิดอะไรว่าเป็นคลื่นยักษืแต่คิดว่าเป็นน้ำท่วมธรรมดามั้ง แต่ด้วยอารามที่เห็นชาวบ้านเขาแตกตื่นเขาก็เลยแตกตื่นไปด้วย เลยวิ่งตามคนกลุ่มใหญ่ไปทางหนึ่ง เขาบอกว่า ทางขึ้นเขาก็อยู่ใกล้ๆ ทางด้านข้างแต่ก็ไม่ได้วิ่งขึ้นไป เพราะเห็นคนกลุ่มใหญ่วิ่งไปทางเดียวกันก็เลยวิ่งไปมั่ง จนในที่สุดก็เจอางตัน เป็นรั้วไม้ไผ่ เขาก็พยายามปีนขึ้นไปกะจะข้ามให้ได้ ณ ช่วงเวลาที่ปีนนั่นแหละอยู่ดีๆ ก็รู้กเย็นวาบไปทั้งหลัง เสื้อก็ดันไปติดกับไม้ไผ่ขยับไม่ได้ จนกระทั่งระดับน้ำสูงขึ้นเขาเลยตกลงมาแล้วตกน้ำจมลงไปด้านล่าง ด้วยกระแสน้ำที่แรงกล้าทำให้เขาพยายามดำน้ำแล้วคว้าอะไรก็ได้ คว้าหญ้าหญ้ายังติดมือตามน้ำไปเลย ใต้น้ำมองอะไรไม่เห็นเรพาะตะกอนขุ่นไปหมดแล้ว ยังโชคดีที่โผล่หัวขึ้นมาเหนือน้ำได้และคว้าไม้เอาไว้ได้ท่อนหนึ่ง เลยเกาะไปเรื่อยๆ มีไม้หรือสิ่งของอะไรมาใกล้ๆ ตัวอีกเขาก็คว้ารวบรวมเอาไว้เรื่อยๆ ในใจก็คิดไว้ตลอดว่า เฮ้ย นี่ตูจะตายแล้วหรือวะเนี่ย? เขาบอวก่าคนจะตายแล้วนึกถึงพ่อแม่นั้นอ่ะไม่จริงหรอก มันได้แต่คิดคำนี้แหละ

พอน้ำพัดไปได้สักระยะ อยู่ดีๆ น้ำก็เปลี่ยนทิศ ย้อนกลับไปทางชายหาดอย่างเดิม เขาบอกว่าเขาจำอะไรไม่ได้แล้วหลังจากนั้น แต่จำได้อีกทีว่า จตื่นขึ้นมาในช่วงที่น้ำลดลงไปเกือบหมดแล้ว โดยตัวเองจมอยู่กับกองไม้โดยที่ขยับตัวไม่ได้เลย ด้วยแรงที่เหลืออยู่เค้าขยับไม้ทีละชิ้นออกจากตัว จนสามารถเดินได้อีก แต่ก็สภาพเหมือนศพเดินได้ แล้วก็สลบอีกครั้งที่กลางถนน...

เมื่อเราขอให้เขาประมาณเวลาที่คลื่นยักษ์เกิด เขาบอกว่า มันประมาณยากนะ มันเกิดขึ้นรวดเร็วมาก ทำอะไรไม่ถูกเลย ในใจก็คิดว่า จะตายๆๆๆ แต่กายก็ยังดิ้นรนหาทางที่ทำให้ "รอดตาย" แต่ถ้าจะให้ประมาณก็คงจะประมาณ 10 นาทีตั้งแต่คลื่นมาและลดลงไปแล้ว แต่เพียงแค่ 10 นาทีนี้เองก็ทำให้เขาไปโผล่อยู่อีก ณ จุดหนึ่งซึ่งห่างจากที่เขาวิ่งหนีได้ถึง 3 กม. เลยทีเดียว คิดดูว่ามันจะแรงขนาดไหน

เขายังบอกมาอีกเป้นครั้งสุดท้ายว่า เหตุการณ์นี้มันไม่มีใครคิดถูกหรือผิดหรอก มันอยู่ที่ดวงมากกว่า คนที่ลอยไปตามน้ำแล้วเจอเสาไฟฟ้าอยู่ตรงหน้า ถ้าโชคดีก็ลอยผ่านมันไปและรอดชีวิต แต่ถ้าโชคร้ายโดนกับเสาเข้าจังๆ ก็ตายได้เหมือนกัน

ชีวิตคนเราช่างเปราะบาง...

คืนวันที่ 1 มกราคม 2548 พวกเราไปนอนพักกันที่ Volunteer Shelter ชั้นสองของห้องอาหรพุทธชาติ สภาพเป็นห้องจัดงานเลี้ยงทั่วไป มีแอร์ด้วย นอนเป็นตายเรย (อ้อ ลืมบอกไป อาบน้ำก่อนนอนแล้วนะ) ก่อนนอนได้พบกับล็อกอิน ป้าแจ๋วแหว๋วแห่งห้องรัชดาฯ โดยบังเอิญ คุยกันได้นิดเดียวก็ได้ความว่า มีสมาชิกจากพันทิปมาเยอะเลย ส่วนมากเป็น blue planet แต่กลับไปแล้ว แต่หลังจากนั้นมันเพลียจัดอ่ะ ขอหลับก่อนละกัน

เช้าวันที่ 2 มกราคม 2548 วันนี้ที่พวกเราวางแผนจะเดินทางกลับเพราะวันที่ 4 ก็มีหน้าที่ที่ต้องทำกันแตกต่างไปของแต่ละคน แล้วทั้งวันล่ะ จะทำอะไรดี?

พวกเราเดินทางไปวัดย่านยาวแต่เช้าอีกครั้ง มาวันนี้เค้ามีกฎเหล็กประกาศ ทุกคนที่อยู่ในบริเวณวัด ต้องสวมผ้าปิดจมูกทุกคน เพราะเชื้อโรคกระจายไปทั่วแล้ว ทางฝั่งพี่นายปลิ้นและพี่โจ๊กเกอร์ก็ไปทำหน้าที่เดิม ส่วนผมก็ไปทำในส่วนของวัตถุพยาน คือทำแล็บเกี่ยวกับชิ้นส่วนของศพที่ใช้เป็นส่วนประกอบในการบ่งบอกตัวตนของศพนั้นๆ ทางด้านกายภาพเคมี (555 ใช้คำถูกมั้ยเนี่ย)



เมื่อเวลาบ่ายโมง ก็ถึงเวลากลับแระ กะว่าจะเดินทางไปขึ้นเครื่องที่ภูเก็ต เพราะได้ข่าวมาว่ามีเครื่องบินของกองทัพอากาศบินฟรีตลอดวัน แต่ว่า ไม่มีรถไปภูเก็ตเลย ทำไงดีอะ ได้การล่ะ ได้กระกาษเอสี่แผ่นนึงมาเขียนตัวโตๆ ว่า "ต้องการโดยสารไปภูเก็ต 4 คน" แล้วก็เอาไปชูข้างถนนซะเลย

ระหว่างที่ใจกล้าหน้าหนาชูป้ายอยู่นั้น ก็มีอาตี๋คนหนึ่งมาทักข้างๆ พูดภาษาไม่ค่อยจะคุ้นแก้วหูนัก จับใจความได้เป็น อ๋อ เป็นภาษาอังกฤษน่ะเอง .... บอกว่า อยากจะโดยสารไปด้วยอ่ะ อืม ก้อด้ะๆ เราคนไทยใจดีอยู่แล้น แต่ก่อนที่จะได้เปลี่ยนป้ายใหม่เป็น 5 คนก็มีรถมาจอดเทียบข้างซะก่อน โหะๆๆ ตี๋อินเตอร์คนนี้นำโชคดีแฮะ

พอได้ขึ้นไปนั่งแล้วรถก็บึ่งด้วยความเร็วสูงไปภูเก็ต ทุกคนต่างให้ความสนใจกับตี๋อินเตอร์คนนี้อยู่เป็นการใหญ่ ไต่สวนได้ความว่าเป็นชาวสิงคโปร์มาทำข่าวเกี่ยวกะสึนามิ แต่ไม่ใช่สถานีโทรทัศน์แต่เป็นสถานีวิทยุ... และมีเป้าหมายเดียวกันคือ ศาลากลางจังหวัดภูเก็ตนั่นเอง

ระหว่างทางเราได้ผ่าน เขาหลัก

คราวนี้เป็นตอนกลางวัน...เลยเห็นได้ชัดหน่อย

แต่ก็ถ่ายรูปยังไม่ชัดอยู่ดี เพราะรถวิ่งเร็ว...



รูปนี้มันไม่ค่อยชัดเท่าไรห่ หมายความว่า ถ้าคุณได้ไปอยู่ ณ ที่นั้นจริงๆ คุณจะได้เห็นภัยพิบัติที่น่ากลัวนี้เต็มๆ ตา ประตูเหล็กของแต่ละหลัง ต่างงอเข้าไปด้านใน บางหลังของหายไปหมดเลย เกลี้ยง... แสดงให้เห็นความแรงของน้ำ...



บางหลังขึ้นป้ายขายบ้าน

แต่คิดว่าคงตั้งเอาไว้ก่อนคลื่นมาอ่ะ



ขอโทษทีคับ ภาพมัวไปหน่อย



ดินเข้าไปข้างในบ้าน ท่วมสูงพ้นธรณีประตู



รีสอร์ตในส่วนที่เสียหายที่สุดแห่งหนึ่ง



จากจุดนี้ เราสามารถมองเห็นทั้งชายหาดของเขาหลัก และภาพที่ปรากฏตรงหน้า มันคาดคะเนความเสียหายไม่ได้เลยจริงๆ ผมพยายามยืนบนกระบะเพื่อถ่ายรูปเอาไว้ แต่ก็ไม่สำเร็จอ่ะ ต้องขอโทษเพื่อนๆ ด้วยจริงๆ คับ



เมือ่เราเดินทางไปถึงภูเก็ต ได้ข้ามสะพานสารสิน เราได้เห็นน้ำทะเลที่สวยสดไม่เปลี่ยนของภูเก็ต...สวยจริงๆ ด้านหลังของเกาะไม่เป็นอะไรเลย ยังมีชาวประมงออกหาปลาอย่างปกติ... แต่ด้านหน้า ผมไม่อาจรู้ได้

เมื่อเจ้าของรถปล่อยพวกเราลงที่ห้างโลตัสภูเก็ต พวกเราก็ขอบคุณด้วยความซาบซึ้งในน้ำใจของพี่ท่าน แล้วก็หาเหมารถสองแถวเพื่อไปยังศาลากลางต่อ เค้าคิดเรา 150 บาท

เมือ่ถึงที่หมาย ตอนแรกกะว่าจะแชร์กันคนละ 30 บาท เรพาะมีอยู่ 5 คน แต่ชาวสิงคโปร์คนนั้นไม่ยอมครับ พี่แกเล่นจ่ายเองหมดทีเดียวเลย 150 บาท อะโห เพิ่งรู้จักเราได้แค่ 2 ชม. ก็เลีย้งค่ารถให้ซะแล้ว นำโชคแล้วยังใจบุญสุนทานอีกพ่อคุณ

เมือ่รเเข้ไปด้านในศาลากลางด้วยความอิ่มเอมใจและมุ่งไปยังเต๊นท์เพื่อลงทะเบียนกลับกรุงเทพฯ เมือ่ไปถึงเราได้แจ้งความจำนงค์ต่อ จนท. แต่สิ่งที่ได้รับ มันทำให้เราเสียความรู้สึกมากๆ เค้าพูดและปฏิบัติกับเราเหมือนเราเป็นชาวบ้านมาขอขึ้นเครื่องบินฟรียังไงยังงั้น

พวกเราทุกคนโกรธมากที่ได้รับการปฏิบัติแบบนั้น เป็นการกระทำไม่สมควรเลยไม่ว่ากับใครที่ไหนก็ตาม ไม่ให้เราไป ก็ได้น่ะ ไม่ง้อหรอก

กลับไปง้อสังกัดเดิมดีกว่า.....

เมื่อตกลงกันได้แล้วก็พากันเนไปยังบูธไอทีวีแถวนั้น แล้วก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พี่ๆ ที่บูธนั้นฟัง ประกอบกับที่เรามีเครดิตกับไอทีวีดีและรู้จักคนใหญ่คนโตเป้นที่เรียบร้อย พวกเขาเลยรับฟังและให้คำแนะนำพวกเราอย่างสุภาพชน+ปัญญาชน โดยหลังจากนั้นพวกเราได้เดินทางไปหาผู้ใหญ่ท่านหนึ่งซึ่งถือได้ว่าเป็นบุคคลที่สำคัญไม่น้อยเลยทีเดียวที่วิทยาลัยเทคนิคภูเก็ต เพื่อขอความช่วยเหลือเรื่องเดินทางกลับ โดยเค้าจะจัดการซื้อตั๋วรถทัวร์ให้เราเอง

ผมกับอะโลห้ากลับกทม.

พี่นายปลิ้นกับโจ๊กเกอร์ไม่กลับ เปลี่ยนใจกะทันหัน กลับพังงาแทน ไปช่วยเหลือต่อ... พี่นายปลิ้นบอกประชดชีวิตซะเลย เหอๆๆๆ

07.00 น. วันจันทร์ที่ 3 มกราคม 2548
สถานีขนส่งสายใต้ใหม่
เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ

ได้รับประสบการณ์ชีวิตและได้รู้จักตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นอีกเยอะเลย และที่สำคัญ รู้สึกดีใจที่ได้ลงไปช่วยเหลือ ยังมีอีกหลายคนที่ทำงานหนักกว่าเรา ทุ่มเทมากกว่าเรา พวกเราก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งเล็กๆ ที่พยายามช่วยเหลือเต็มความสามารถเท่าที่จะทำได้ และภูมิใจเต็มที่ไปพร้อมกับมันเท่านั้นเอง

ขอบคุณทุกท่านที่อ่าน...ขอบคุณทุกท่านที่อวยพร...

ไม่รู้จะเอารูปไรมาลง เพราะหมดแระ เอารูปนี้ไปแทน

เป็นกำลังใจให้พี่น้องชาวใต้นะครับ...



ขอบคุณทุกความเห็นที่มีให้เมื่อครั้งกระทู้นี้ตั้งใหม่ๆ ต้นเดือนมกราคม และคำว่าสวัสดีปีใหม่ของทุกคนจะอยู่ในใจผมเสมอครับ


Create Date : 18 สิงหาคม 2548
Last Update : 18 สิงหาคม 2548 18:54:55 น. 5 comments
Counter : 2265 Pageviews.

 
เช้าวันที่ 26 ธันวาคม 2547 เดินตรวจงาน บริเวณไซด์งาน ริมทะเลของชายฝั่ง จังหวัดกระบี่ มองดูทะเล เอ วันนี้มันแปลกจัง ทะเล ดู ปั่นป่วน
เดินไปดูใกล้ๆ อยู่กับยาม คนนึง

น้ำเริ่มไหล ลงเยอะ.....ยังยืนดู

น้ำไหลกลับมา

สูงขึ้น สูงขึ้น..เอะ ชักยังงัย

ตะโกนบอกยาม เก็บของออกจาก ศาลาด้วยเดี๋ยวน้ำซัด
เริ่มถอย
น้ำทะลักเข้า มา หา วิ่งสิค่ะทีนี้

ดีนะมีเนิน อยู่ใกล้ๆ เลยวิ่งขึ้นเนิน
เคราะห์ดีที่คลื่นทางฝั่งนี้ไม่สูงมาก
ไม่งั้นก็ไม่รอด

และแล้ว ความวุ่นวายก็เกิด ขึ้น ณ อีฟากนึงของ ฝั่งทะเล

ใจ ตอนนั้นอยากช่วย
ไปขนเสื้อผ้าที่มี
เอาไปให้
ที่ทำงานทำกับข้าวไปให้
เข้าเมืองไม่ได้เลยช่วงนั้น กลัว

น้องกล้ามาก เลยที่ไปช่วยถึงที่
นับถือค่ะ



โดย: ไม่ได้ตั้งใจโสด วันที่: 18 สิงหาคม 2548 เวลา:21:09:35 น.  

 
ตอนนั้น ทำไปได้ไงไม่รู้ โคตรขยันโทรเข้าเครื่องพี่เตอร์เลย เป็นห่วงพวกพี่ๆ(เกินเหตุ) ซะงั้น


โดย: rommunee วันที่: 18 สิงหาคม 2548 เวลา:22:08:53 น.  

 
สิ่งที่เสียดายมากที่สุดอย่างนึงก็คือตอนเกิดสึนามิไม่ได้ช่วยอะไรเลยนี่ล่ะ เป็นประสบการณ์ที่มีค่ามากสำหรับคุณเลยเนอะ


โดย: nymphie วันที่: 18 สิงหาคม 2548 เวลา:22:20:19 น.  

 
รูป "ความสูญเสีย" มีเพิ่มเติมอยู่ ที่นี่ ด้วยอ่ะจ้ะ ..

เผื่อใครอยากรำลึกถึงบรรยากาศความสูญเสียในครั้งที่ผ่านมา ..

แปะรูปเอาไว้นานแล้วล่ะ .. T_T



ไว้อาลัยสำหรับทุกท่านที่จากไป ...

เป็นกำลังใจให้กับทุกชีวิตที่ยังต้องดำเนินต่อไป .....


โดย: Think (อยากใช้ชื่อนี้ แต่มันซ้ำ ) วันที่: 26 ธันวาคม 2548 เวลา:8:03:23 น.  

 
ขอบคุณที่แชร์เรื่องราวครับอ่านแล้วสะเทือนใจสุดๆ


โดย: ชนานนท์ คงปาน IP: 171.96.133.155 วันที่: 29 ธันวาคม 2566 เวลา:9:34:45 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

++peter++
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





You Always Give Me Rights
Make Me See the Truths
For This Fascinate Life
I Also Got From You

In This Crazy World
And the Books of Lies
Without You Here With Me
I would Defenitely Die....







ส่งหลังไมค์ถึง ++peter++
Friends' blogs
[Add ++peter++'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.