|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
อาการที่อาจเกิดขึ้นกับคุณแม่ที่ตั้งท้องจ้า
รู้สึกเปรี้ยวปาก
อยากกินอาหารแปลกๆ รู้สึกพะอืดพะอมอยากจะอาเจียน ส่วนใหญ่มักจะเป็นตอนเช้า หลังตื่นนอน กลิ่นอาหาร น้ำหอมที่เคยชอบ ตอนนี้กลับไม่ชอบ อยากกินของเปรี้ยว อย่างมะม่วง มะดัน มะกอก ยิ่งเปรี้ยวยิ่งอร่อย อาการเหล่านี้เป็นสัญญาณที่บอกว่า คุณกำลังจะได้เป็นแม่คนกับเขาแล้วล่ะ เราเรียกอาการเหล่านี้ว่า “แพ้ท้อง” ค่ะ ส่วนใหญ่อาการแพ้ท้องจะเกิดขึ้น เมื่อประจำเดือนขาดไปประมาณ 2 สัปดาห์ ถ้าจะนับอายุครรภ์ก็ประมาณ 6 สัปดาห์ อาการแพ้ท้องนี้จะเพิ่มขึ้น คือแพ้มากขึ้นเรื่อยๆ และจะแพ้หนักที่สุดในช่วงสัปดาห์ที่ 9 หลังจากนั้นอาการก็จะเริ่มดีขึ้น แม่ท้องส่วนใหญ่จะหายแพ้ในช่วงสัปดาห์ที่ 14 แต่ก็มีแม่ท้องบางคนที่มีอาการแพ้ท้องไปจนถึงคลอด บางคนก็แทบไม่มีอาการแพ้ท้องเลยค่ะ อาการแพ้ท้องจะแสดงออกได้หลายอย่าง แต่ที่เห็นและเป็นกันมาก จนหยิบไปเป็นฉากในละครทีวีบ่อยๆ ก็อาการอาเจียนโอ้กอ้ากนี่ล่ะ ช่วงนี้คุณแม่ท้องจึงอาจกินอาหารได้น้อย ดังนั้นสิ่งที่ควรคำนึงถึงก็คือเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ และหลีกเลี่ยงจากสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ เช่น อาหารบางชนิด กลิ่นน้ำหอม ดอกไม้ ฯลฯ ซึ่งจะแตกต่างกันไป แล้วแต่บุคคลรวมถึงอาการแพ้มากแพ้น้อยที่จะเกิดขึ้นด้วย ส่วนเหตุผลของอาการเหล่านี้แม้แต่ในวงการคุณหมอเอง ก็ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดเลยค่ะ แต่ก็สันนิษฐานกันว่าน่าจะมาจาก 2 ปัจจัยคือ
ฮอร์โมน
ผู้หญิงเราเมื่อตั้งครรภ์ฮอร์โมนหลายชนิดในร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งฮอร์โมนที่สร้างมาจากรกที่เรียกว่า human chorlonic gonadotroin (hCG) ซึ่งจะมีระดับสูงสุดในช่วงเดือนแรกๆ ของการตั้งครรภ์ ส่งผลให้คุณแม่เกิดอาการแพ้ท้องมากขึ้นตามไปด้วย เมื่อระดับฮอร์โมนลดลงอาการแพ้ท้องก็จะลดลงจนหายไปในที่สุด แต่ก็มีคุณแม่บางท่านที่มีอาการแพ้เป็นระยะเวลานาน จนกระทั่งคลอด ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรนะคะ หากมีการดูแลครรภ์ที่ดี นอกจากนี้การตั้งครรภ์ผิดปกติ เช่น ครรภ์แฝด ครรภ์ไข่ปลาอุก ภาวะเหล่านี้ทำให้ฮอร์โมนจากรก เข้ามาอยู่ในกระแสเลือดของแม่มากขึ้น ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนได้มากกว่าปกติ สภาพจิตใจ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อค่ะว่าใจและกายนั้นสามารถส่งต่อถึงกัน หากเรามีจิตใจที่อ่อนแอจากภาวะเครียด วิตกกังวล ไม่ว่าจะจากการตั้งครรภ์ การคลอด หรือแม้กระทั่งการเลี้ยงดูลูกในอนาคต ส่งผลให้ร่างกายคุณแม่แสดงออกด้วยการคลื่นไส้อาเจียนที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นช่วงนี้ควรพยายามทำจิตใจให้สดชื่นไม่คิด ไม่กังวล เพื่อลูกในท้องจะได้คลอดออกมาอย่างสมบูรณ์แข็งแรงค่ะ แม่แพ้ท้องต้องดูแลอย่างไร อย่างที่บอกค่ะ อาการส่วนใหญ่จะแสดงออกด้วยการคลื่นไส้อาเจียน คุณแม่บางคนอาเจียนจนหมดเรี่ยวหมดแรง นับเป็นความรู้สึกที่ทรมานทั้งใจทั้งกาย หลักในการดูแลตัวเองในช่วงแพ้ๆ อย่างนี้ก็คือ เลือกกินและเลือกทำในสิ่งที่จะช่วยให้คุณกินอาหารได้มาก และเลี่ยงสิ่งที่จะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนแบบนี้ค่ะ
เลือกอย่างนี้สิคุณแม่
• กินอาหารอ่อนๆ ย่อยง่าย เพราะระหว่างตั้งครรภ์ ฮอร์โมนที่สูงขึ้นจะมีผลทำให้ลำไส้ทำงานช้าลง อาหารที่ย่อยยากจะผ่านไปได้ยากทำให้มีอาการอืดแน่นท้องได้ง่าย ซึ่งก็ง่ายต่อการคลื่นไส้ อาเจียน • ควรกินอาหารในขณะที่ยังอุ่นๆ อยู่ หรือจิบน้ำอุ่น เมื่อรู้สึกมีอาการคลื่นไส้อยากจะอาเจียน • แบ่งอาหารเป็นมื้อย่อยๆ หลายๆ มื้อ เพราะการกินอาหารครั้งละมากๆ จนอิ่ม ส่วนใหญ่มักอาเจียนออกมาหมดได้เหมือนกัน ควรกินครั้งละน้อยๆ ให้พอรู้สึกอิ่ม ใน 1 วัน อาจจะแบ่งอาหารเป็นมื้อย่อยๆ สักประมาณ 5-6 มื้อ • หลังกินอาหารอิ่มแล้วควรเดินช้าๆ ประมาณ 15-30 นาที เพื่อให้อาหารย่อย และจะช่วยให้คุณแม่รู้สึกผ่อนคลาย หากมีอาการคลื่นไส้อยากจะอาเจียนให้นั่งพัก หลับตาพร้อมกับหายใจยาวๆ ลึกๆ • ดื่มน้ำขิงอุ่นๆ จะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น • ในช่วงเช้าควรหาอาหารที่กินง่ายๆ รองท้องเพื่อไม่ให้ท้องว่าง เช่น ขนมปังกรอบ คุกกี้ • หากคุณรู้สึกแพ้มากชนิดที่เรียกว่ากินอะไรเข้าไปก็อาเจียนออกมาหมด ควรหาลูกอม ขนมหวาน น้ำผลไม้ เพื่อให้ร่างกายรับพลังงานเพียงพอ และป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ • หลังจากอาเจียนใหม่ๆ ควรดื่มน้ำอุ่นๆ กลั้วคอและล้างกลิ่นที่อาจเป็นสาเหตุให้คุณแม่พะอืดพะอมขึ้นมาอีก • หากิจกรรมหรืองานอดิเรกที่ชอบทำให้รู้สึกเพลินๆ เพื่อให้ลืมความรู้สึกที่อยากจะอาเจียน สิ่งที่ต้องเลี่ยง กลิ่นที่ทำให้เกิดอาการแพ้ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นอาหาร น้ำหอม ฯลฯ อย่าลืมบอกให้คนในบ้านรู้ด้วยนะคะว่า คุณแม่แพ้กลิ่นอะไรบ้าง อาหารทอด มันๆ ควรหลีกเลี่ยงนะคะ เพราะความมันในอาหารก็เป็นสาเหตุที่ทำให้อาเจียนได้ ไม่ควรปล่อยให้หิวด้วยเพราะกลัวว่ากินเข้าไปแล้วจะทำให้อาเจียน เพราะในขณะที่ท้องว่าง กระเพาะจะหลั่งน้ำย่อยออกมาตามเวลาปกติ ดังนั้นน้ำย่อยที่ออกมาจะทำให้คุณแม่รู้สึกแสบร้อนในท้อง และอาจมีอาการจุกเสียด คลื่นไส้อาเจียนมากขึ้น จึงควรกินอาหารรองท้องไว้บ้าง ไม่ควรนอนทันทีหลังกินอาหาร เพราะการนอนทันทีจะทำให้อาหารไหลย้อนกลับออกมาได้ง่าย ไม่ควรอดนอน เพราะการพักผ่อนไม่เพียงพอจะเป็นสาเหตุของการเวียนหัว และคลื่นไส้ได้ทั้งวันค่ะ ในช่วงที่แพ้ท้อง ไม่ควรไปไหนมาไหนที่ต้องใช้เวลาเดินทางหรือนั่งอยู่ในรถนานเกินไป จะทำให้คุณแม่รู้สึกอ่อนเพลียได้ หลีกเลี่ยงการไปกินอาหารนอกบ้านที่มีคนพลุกพล่าน หรือร้านที่มีส่วนของครัวกับโต๊ะอาหารอยู่ในบริเวณเดียวกัน เพราะคุณอาจได้กลิ่นอาหารที่ไม่ชอบ ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนได้
อาการแพ้ท้อง
อาการแพ้ท้องมักเกิดในระยะแรกของการตั้งครรภ์พอเข้าสู่ไตรมาสสองอาการแพ้ท้องจะหายไปอาการของอาการแพ้ท้องมีอะไรบ้าง - คลื่นไส้อาเจียนหลังจากดื่มน้ำหรือรับประทานอาหาร - น้ำหนักลด - ขาดน้ำ - ปัสสาวะสีเข้ม - เกลือแร่ในร่างกายอาจผิดปกติ การดูแลตัวกรณีที่อาการไม่มาก - รับประทานอาหารว่างที่มีโปรตีนสูง - งดอาหารที่มีไขมันหรือใยอาหารสูงรับประทานอาหารที่มีแป้งสูง - ให้รับประทานอาหารครั้งละน้อยๆแต่บ่อยๆ - ให้รับประทานอาหารบนเตียงตอนตื่นนอนเนื่องจากการเคลื่อนไหวจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน - เลือกรับประทานอาหารที่มีรสดี - อย่าให้ท้องว่างเพราะท้องว่างจะทำให้เกิดคลื่นไส้อาเจียน - หลีกเลี่ยงกลิ่นฉุนๆ - งดดื่นน้ำผลไม้ กาแฟ แอลกอฮอล์ระหว่างรับประทานอาหาร - ดื่มน้ำขิงอาจจะบรรเทาอาการ ถ้ามีอาการมากน้ำหนักตัวลดมาก - แพทย์จะให้ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน - ให้น้ำเกลือเพื่อแก้คลื่นไส้อาเจียน
การเปลี่ยนแปลงทางเต้านม
ไตรมาสแรก หลังการตั้งครรภ์6-8สัปดาห์จะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเต้านม คุณแม่จะรู้สึกว่าเต้านมใหญ่ขึ้น กดจะเจ็บเนื่องจากมีการเจริญเติบโตของไขมันและต่อมน้ำนม เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงขยายใหญ่ขึ้นจนสังเกตเห็นได้ ควรเลือกขนาดของยกทรงให้เหมาะสม หัวนมและฐานหัวนมจะดำขึ้น
ไตรมาสสอง ขนาดของเต้านมจะใหญ่ขึ้นและมีการเริ่มสร้าง colustrum ซึ่งไม่จำเป็นต้องเกิดกับทุกคนแรกๆจะมีลักษณะเหนียวข้นต่อมาจะมีลักษณะเหลวใส ของเหลวนี้จะหลังเมื่อมีการบีบหรือมีความตื่นเต้นทางเพศ คุณแม่ต้องสังเกตว่าหัวนมโผล่หรือไม่ถ้าไม่โผล่ต้องปรึกษาแพทย์
อาการปวดหลัง
อาการปวดหลังเป็นอาการที่พบได้บ่อยเกิดได้ตั้งแต่เดือนแรกจนใกล้คลอด สาเหตุเกิดจากมดลูกที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและมีน้ำหนักมากขึ้นทำให้หลังต้องแบกน้ำหนักเพิ่มขึ้นซึ่งมีวิธีป้องกันดังนี้ - อย่าใส่รองเท้าส้นสูงให้ใส่รองเท้าส้นเตี้ยๆ - งดยกของหนัก - ห้ามก้มยกของ - อย่ายืนนาน ถ้าหากต้องยืนนานให้ยืนด้วยขาข้างเดียวสลับกันไป - นั่งบนเก้าอี้ที่มีพนักพิงและให้หนุนหมอนใบเล็กๆที่หลัง - จัดสิ่งแวดล้อมที่บ้านและที่ทำงานเพื่อจะได้ไม่ต้องงอหลัง - ที่นอนต้องไม่แข็งเกินไป - ให้นอนตะแคงซ้ายขาขวาก่ายหมอนข้าง - ประคบร้อนบริเวณที่ปวด - ออกกำลังบริหารกล้ามเนื้อ
การบริหารเพื่อป้องกันการปวดหลัง
ปัสสาวะบ่อย ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์คุณแม่คงจะมีความรู้สึกอยากปัสสาวะแม้ว่าจะเพิ่งไปปัสสาวะมาเนื่องจากมดลูกที่โตกดกระเพาะปัสสาวะ อาการปัสสาวะบ่อยจะดีขึ้นเมื่อมดลูกเจริญเข้าในท้องและจะเริ่มมีอาการอีกครั้งเมื่อเด็กใกล้คลอด เมื่อมีปัสสาวะเล็ดเวลาจามหรือไอให้บริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
อาการปวดท้องน้อย
เมื่อมดลูกใหญ่ขึ้นจะทำให้เอ็นทียึดมดลูกตึงตัว คุณแม่จะรู้สึกตึงหน้าท้องบางครั้งข้างเดียวบางครั้งสองข้างลักษณะจะปวดตึงๆมักจะเริ่มขณะอายุครรภ์ 18-24 สัปดาห์ การป้องกัน - อย่าเปลี่ยนท่าอย่างรวดเร็ว - เมื่อปวดท้องให้โน้มตัวมาท่งหน้า - ให้นอนพักหรือเปลี่ยนท่าบ่อยๆจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด
อาการปวดศีรษะ
เป็นอาการที่พบได้บ่อย ความถี่ของการปวดและความรุนแรงจะไม่เท่ากันในแต่ละคนหากท่านรับประทานยาเป็นประจำโปรดปรึกษาแพทย์ โปรดปรึกษาแพทย์หากมีอาการดังต่อไปนี้ - ปวดไม่หาย - ปวดบ่อย - ปวดรุนแรงมาก - ตาพร่ามัวหรือมองเป็นจุด - ปวดศีรษะร่วมกับคลื่นไส้
ริดสีดวงทวาร
เป็นหลอดเลือดที่โป่งพองมักจะพบในคนที่ท้องผูก หลังคลอดอาการท้องผูกจะดีขึ้น การป้องกัน -หลีกเลี่ยงท้องผูก -รับประทานอาหารที่มีใยมาก -ดื่มน้ำมากๆ -ก้นแช่น้ำอุ่น -ใช้ครีมทา
อาการจุกเสียดแน่นท้อง
คุณแม่จะมีอาการจุกเสียดท้องอาการจุกจะเริ่มจากกระเพาะไปสู่หลอดอาหารเกิดเนื่องจากมีกรดมาก อาหารย่อยช้าและมดลูกที่ดันกระเพาะปัจจัยต่างๆเหล่านี้จะทำให้แน่นท้อง วิธีป้องกันอาการแน่นท้อง - รับประทานอาหารบ่อยๆเป็นวันละ 5-6 ครั้ง - หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำระหว่างรับประทานอาหาร - หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดแก๊ส และรสจัด - งดสุราและบุหรี่ - งดอาหารก่อนออกกำลังกาย
นอนไม่หลับ
มดลูกเริ่มโตขึ้นคุณแม่จะหาท่าสบายๆนอนยากเต็มแต่ก็มีเคล็ดในการนอนคือ - ถ้านอนไม่หลับให้อาบน้ำอุ่นก่อนนอน - ดื่มนมอุ่นๆสักแก้วจะช่วยให้หลับดีขึ้น - ให้นอนตะแคงข้างซ้ายมีหมอนหนุนท้องและขา - นอนบนม้าโยก ตะคริว คุณแม่เมื่อใกล้คลอดจะมีอาการตะคริวที่เท้าทั้งสองข้างโดยมากมักจะเป็นขณะนอน มีวิธีป้องกันดังนี้ -ให้เหยียดขาก่อนนอน -ขณะเหยียดห้ามชี้นิ้วเท้าให้ดึงข้อเท้าเข้าหาตัว -ประคบอุ่นที่น่อง -นวดน่อง -ดื่มน้ำมากๆ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์หรือกาแฟ -ให้รับประทานอาหารที่มีแคลเซียม
อาการเหนื่อยหอบ
เมื่ออายุครรภ์ได้31-34 สัปดาห์มดลูกใหญ่ขึ้นจนดันกำบังลมทำให้รู้สึกหายใจไม่อิ่ม คุณแม่ไม่ต้องกังวลกับอาการนี้ว่าลูกจะได้ oxygen เพียงพอหรือไม่เด็กยังคงได้รับ oxygen อย่างเพียงพอ เมื่อใกล้คลอดอายุครรภ์ 36-38 สัปดาห์จะเริ่มหายใจสะดวกขึ้นเนื่องจากเด็กเคลื่อนตัวลงช่องเชิงกรานวิธีป้องกันไม่หายเหนื่อย -ขยับตัวช้าๆเพื่อไม่ให้ปอดและหัวใจทำงานหนัก -นั่งตัวตรงเพื่อเพิ่มเนื้อที่ปอด -ให้นอนหัวสูง การเปลี่ยนผิวหนังในคนท้อง เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังที่พบบ่อยๆคือ -จะเกิดฝ้าขึ้นโดยเฉพาะบริเวณที่เจอแดดดังนั้นควรทาครีมกันแดด -จะเกิดรอยดำเป็นเส้นบริเวณหัวเหน่า หลังคลอดรอยดำจะหายไป -รอยแนวสีชมพูบริเวณหน้าท้องที่เรียกว่าท้องลายเป็นการขยายของหน้าท้องเพื่อการเจริญเติบโตของเด็ก ไม่มีทางป้องกัน รอยนี้จะค่อยๆจางหายไปหลังคลอด -จะเห็นเส้นเลือดบริเวณหน้าอกขยาย ผิวบริเวณผ่ามือจะแดง อาการทั้งสองเป็นผลจากฮอร์โมน -อาจจะเกิดสิวขึ้นให้ล้างหน้าวันละหลายครั้ง ห้ามใช้ tetracyclin และRoaccutane
อาการบวมและเส้นเลือดขอด
ผู้ป่วยที่ใกล้คลอดอาจจะมีอาการบวมหลังเท้าวิธีแก้ให้นั่งหรือนอนยกเท้าสูง ห้ามซื้อยาขับปัสสาวะมารับประทานเด็ดขาด ถ้าหากบวมแขนหรือหน้าต้องแจ้งแพทย์ให้ทราบ เส้นเลือดขอดเกิดจากมดลูกกดทับเส้นเลือดดำอาจจะเกิดบริเวณขา อวัยวะเพศหลังคลอดจะหายไปวิธีป้องกัน -อย่านั่งหรือยืนนานเกินไป -ยกเท้าสูง -นอนยกเท้าสูง -อย่าใส่ถุงเท้าที่รัดแน่น -ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ -อย่านั่งไขว่ห้าง
Create Date : 22 ธันวาคม 2551 |
Last Update : 22 ธันวาคม 2551 16:09:10 น. |
|
1 comments
|
Counter : 38047 Pageviews. |
|
|
|
โดย: malay girl วันที่: 5 มีนาคม 2552 เวลา:12:18:10 น. |
|
|
|
|
|
|
|