มิถุนายน 2555

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
8
10
12
13
14
15
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
เหรียญสองด้าน ตอน 2

ฟาร์มนี้เขาช่วยพ่อทำมาตั้งแต่ยังเป็นคอกดินที่เลอะเทอะสกปรกและเหม็นสาบขี้หมู เขาทุ่มเทอย่างมาก จนกระทั่งมันกลายเป็นฟาร์มที่ทันสมัยไฮเทคฟาร์มหนึ่งในย่านนี้ และทำให้ฐานะของครอบครัวดีขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่วันๆที่เขาขลุกอยู่ที่นี่ทำงานรับผิดชอบทุกอย่าง มุนีกลับไม่เคยย่างกรายเข้ามาช่วยงานเลย เขาใช้ชีวิตเหมือนชายเจ้าสำราญ เอาแต่เที่ยวเตร่สนุกสาน ใช้แต่เงินฟุ่มเฟือย หนีเรียน คบเพื่อนเกเร จนในที่สุดติดยาเสพติดงอมแงม

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา บ้านของเขาเหมือนนรก วันๆมุนีเอาแต่เอะอะอาละวาดเพื่อขอเงินเอาไปเสพยา เมื่อไม่ได้เงินจากพ่อแม่เขาก็ขโมยของในบ้านไปขาย บางทีก็พาเพื่อนมาขโมยลูกหมูบ้างอาหารหมูบ้างไปขาย หรือไม่ก็ไปขโมยของๆเพื่อนบ้าน หลายครั้งพ่อต้องตามไปไถ่คืนมาให้ชาวบ้าน

เขาเห็นแม่ทุกข์ระทมใจที่สุด ไม่ยอมกินยอมนอนจนร่างกายผอมซูบ วันๆเอาแต่นั่งสาวสายประคำไปร้องไห้ไปและโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองที่ตามใจมุนีมากเกินไป .......

พ่อพยายามพามุนีไปบำบัด แต่ไม่ว่าจะเป็นสถานบำบัดที่ไหนมุนีก็หนีกลับมาบ้านได้ทุกครั้ง มุนีขโมยเงินเป็นค่ารถกลับมา บางทีก็ขโมยรถยนต์ ขโมยรถมอเตอร์ไซด์ขับกลับมา ในที่สุดพ่อต้องแจ้งให้ตำรวจมาจับมุนีไปเข้าคุกเพื่อรับการบำบัดอย่างจริงจัง และลงทุนไปเช่าบ้านอยู่ใกล้สถานบำบัด เฝ้าดูแลให้กำลังใจเพื่อให้มุนีกลับตัวเสียที............. ตลอดเวลาเหล่านั้น ภาระในฟาร์มทั้งหมดตกเป็นของเขาแต่ผู้เดียว

แล้วจู่ๆเหมือนเกิดอัศจรรย์ มุนีเปลี่ยนไป เขายอมรับการบำบัดแต่โดยดีจนกระทั่งเลิกยาได้ เขาออกจากสถานบำบัดพร้อมกับพานวลแข ผู้หญิงที่รู้จักกันในนั้นและขอให้พ่อจัดงานแต่งงานให้ พ่อแม่เออออคล้อยตามทันที ไม่เพียงแต่จัดงานอย่างเอิกเกริกให้เท่านั้น ยังปลูกบ้านหลังใหม่ให้มุนีอีกด้วย

..... ประตูห้องเปิดออกอีกครั้ง คราวนี้เป็นพ่อและแม่ของเขาที่เดินเข้ามาด้วยกัน ทั้งสองอยู่ในชุดสวยหรู ซึ่งคงเป็นชุดที่สั่งตัดเป็นพิเศษสำหรับงานนี้ สีหน้าของพ่อแม่เต็มไปด้วยความไม่สบายใจ

มาโนชมองผู้บังเกิดเกล้าทั้งสองและเมินไปอีกทางหนึ่ง

ทั้งสองยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินเข้ามาใกล้ๆ

“ เกิดอะไรขึ้นกับลูก ทำไมมาอยู่ที่นี่ ” เสียงแม่ราบเรียบ

“ ไม่มีอะไรนี่ครับแม่ ” เขาตอบเสียงราบเรียบเช่นกันและหลบสายตาลงต่ำ

“ วันนี้เป็นวันสำคัญของครอบครัวเรา ทำไมลูกถึงมาหลบอยู่ที่นี่ ” พ่อพูดบ้าง

“ ผมมาดูหมูแม่ลูกอ่อน เมื่อวานมันไม่ยอมให้ลูกกินนม ”

“ ไม่เห็นต้องมาเองเลย ให้นายเม่นกับบุญธรรมเขาดูให้ก็ได้นี่ มีอะไรหรือเปล่า ” พ่อคาดคั้น

มาโนชเงียบตามนิสัยของเขา

“ ไป.. กลับบ้านไปกับแม่ ทุกคนรอลูกอยู่ ลูกต้องไปเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้มุนีมัน งานที่นี่ให้คนงานเขาจัดการเอง ” น้ำเสียงแม่อ่อนโยน

“ แม่พ่อกลับไปก่อนเถอะครับ เดี๋ยวเสื้อสวยๆจะมีกลิ่นขี้หมู อายเขาแย่ แล้วผมจะตามไปทีหลัง”

“ ไม่...โนชต้องกลับไปด้วย ” แม่ยืนยันเสียงเข้ม

มาโนชส่ายหน้า “ งานนี้ขาดผมสักคนก็ไม่เป็นไรหรอกครับ ”

“ โนชพูดผิดแล้ว หากขาดลูก งานนี้ก็คงไม่มีวันเกิดขึ้นเป็นแน่ๆ ” แม่พูดและเดินเข้ามาใกล้

“ ผมไม่มีความหมายขนาดนั้นหรอกครับ ” มาโนชตอบและขยับตัวหนี

“ ทำไมคิดอย่างนั้น ”

มาโนชกล้ำกลืนความรู้สึกไว้อย่างเต็มที่ ทั้งพ่อและแม่เงียบนิ่งรอคำตอบ จนเขาทนอึดอัดใจไม่ไหวถึงกับระเบิดเสียงออกมา

“ ......ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อแม่ต้องจัดงานใหญ่โตอย่างนี้ให้มุนี ทั้งๆที่มันเคยก่อแต่เรื่องวุ่นวาย ทำให้ครอบครัวของเราแทบวายวอด ” เขาขบกรามไปมา แล้วเงียบลง พ่อแม่มองเขานิ่งอยู่ สักครู่แม่เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นเบาๆ

“ ลูกไม่พอใจหรือ ที่พ่อแม่ทำอย่างนี้ ”

“ ผมเชื่อฟังคำสั่งของพ่อแม่มาตลอดชีวิต ไม่มีสักครั้งที่ทำให้พ่อแม่เสียใจ แต่ทำไมผมไม่เคยได้รับอะไรจากพ่อเลย วันๆผมทำแต่งาน หมกอยู่กับขี้หมู หาเงินให้มุนีมันเอาไปผลาญ งานแต่งงานของผมเลี้ยงคนไม่ถึงครึ่งของงานนี้ แต่ทีมุนีที่ทำให้พ่อแม่เสียใจมาตลอดเวลา งานแต่งของเขาพ่อเชิญคนมาเกือบทั้งตำบล ” เขาระบายความน้อยใจ

พ่อแม่ยังคงเงียบอยู่

“ แม้แต่บ้านผมก็ยังต้องอาศัยพ่อแม่อยู่ มุนีมันช่างมีบุญจริงๆนะ ที่เกิดมาอย่างกับเจ้าชาย ไม่ต้องทำอะไรเลย มันมาที่นี่ก็ด้วยเหตุผลอย่างเดียวคือมาขโมย ถ้าไม่ได้หมูก็เอาอาหารหมูไปขาย มันทำกับพ่อแม่ขนาดนี้ ทำไมพ่อแม่จึงให้อภัยกับมันง่ายๆ ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดแล้วรึไง ลืมแล้วหรือว่าแม่ต้องหมดน้ำตาไปกี่หยด สาวสายประคำไปกี่ร้อยกี่พันสาย กี่ปีที่บ้านเราร้อนอย่างกับนรกเพราะมันคนเดียว แล้วแม่จะให้ผมไปนั่งชื่นชมกับมันง่ายๆอย่างนี้หรือครับ ผมทำไม่ได้หรอก ”

มาโนช ก้มหน้าลงพยายามระงับใจไว้ พ่อแม่ยังเงียบอยู่อย่างเดิม

แต่เพียงครู่เดียว แม่ก็เดินเข้ามายืนข้างๆและวางมือบนไหล่ของเขา พร้อมลูบเบาๆ

“ ลูกรัก สิ่งที่ลูกพูดมาทั้งหมดนั้นถูกทีเดียว มุนีไม่เคยทำอะไรให้พ่อแม่ชื่นชมเลยสักครั้งเดียว เขาก่อแต่เรื่องทุกข์ร้อน ก่อแต่ปัญหาจนแม่สุดจะทน ทั้งอับอายทั้งเสียใจ แค้นใจจนอยากให้เขาตายไปซะจะได้สิ้นเรื่อง แต่ลูกรู้ไหม ทำไมแม่จึงกลับมาคิดใหม่และมีกำลังใจที่จะทำให้มุนีมันกลับตัวกลับใจได้ ”

มาโนชส่ายหน้าช้าๆ “ ผมไม่รู้ ”

“ ลูกไงล่ะ ลูกเป็นกำลังใจที่แข็งแกร่งของแม่ ”

มาโนชเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นแววตาที่อ่อนโยนส่งกลับมาที่เขา

“ ตลอดเวลาที่เราทุกข์กันเพราะลูกคนหนึ่ง เราก็เห็นลูกอีกคนหนึ่งที่เป็นเหมือนเทวดา ตั้งแต่เขาเกิดมา เขาทำให้พ่อแม่สบายใจ เขาไว้ใจได้ ทำหน้าที่ของตนเองอย่างเข้มแข็ง เป็นลูกที่ดี เรา..พ่อแม่ไม่ต้องห่วงเขา ไม่ต้องห่วงงาน เรามีเวลาเต็มที่ที่จะช่วยลูกอีกคนหนึ่งที่อ่อนแอ และเจ็บป่วย เราจึงมีกำลังใจ ไม่ท้อแท้ ลูกคือกำลังใจที่สำคัญของพ่อแม่รู้ไหม ?” มาโนชอึ้งพูดไม่ออกกับสิ่งที่ได้ยิน

พ่อเดินเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าเขา แล้วส่งบางอย่างให้เขา

มาโนชก้มลงมองที่มือของพ่อ เขาเห็นเหรียญสิบบาทเหรียญหนึ่ง ด้านหนึ่งแวววาวดูเหมือนใหม่ แต่อีกด้านมีร่อยรอยของการขัดถูแต่ยังมีคราบบางๆของสนิมติดอยู่ มันผิดกับอีกด้านราวกับเป็นคนละเหรียญ ในขณะที่ เขาพลิกกลับไปกลับมาอย่างสงสัย พ่อก็เอ่ยขึ้น

“ พ่อพบเหรียญนี้ที่ก้นลิ้นชักแต่เมื่อเห็นสภาพของมันแล้ว พ่อคิดว่าหากพ่อเอาเหรียญนี้ไปซื้อของหรือไปให้ใคร คงไม่มีใครต้องการ พ่อจึงเอามันไปล้างและขัดคราบสนิมออกเพื่อให้เหรียญนั้นมีค่าดังเดิม แล้วพ่อก็คิดถึงลูกทั้งสองคนที่เป็นเหมือนสองด้านของเหรียญที่แตกต่างกัน เหมือนอย่างที่แม่พูดนั่นแหละ ลูกโชคดีเป็นเหรียญด้านที่สมบูรณ์แบบ เป็นเด็กดี เข้มแข็ง แต่ลูกอีกคนเป็นเหรียญอีกด้านที่เป็นสนิม ..อ่อนแอและเจ็บป่วย ” พ่อหยุดครู่หนึ่ง มาโนชเริ่มเข้าใจสิ่งที่พ่อต้องการจะบอกเขา “ ถึงอย่างไรเหรียญนั้นก็ยังมีค่า มุนีก็เช่นกันถึงเขาจะเลวแค่ไหนเขาก็ยังมีค่าตรงที่เป็นลูกของพ่อ พ่อจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะช่วยเขาให้กลับมาดีเหมือนเดิม.... พ่อขอโทษที่ไม่มีเวลาพูดคุยกับลูกในช่วงที่กำลังยุ่งๆกับมุนีและไม่มีเวลามาช่วยงานในฟาร์มนี้เหมือนเมื่อก่อน พ่อได้แต่นึกขอบใจลูกที่ทำงานอย่างตั้งใจและไม่เคยบ่นว่า ทำให้พ่อวางใจและใช้เวลากับมุนีเต็มที่ ......ขอบใจนะลูก ขอบใจจริงๆที่ช่วยรับภาระทุกอย่างแทนพ่อ ทรัพย์สมบัติที่ครอบครัวของเรามีก็ได้มาจากการทำงานหนักของลูกเท่านั้น ที่จริงมันเป็นของลูกทั้งหมดอยู่แล้ว พ่อจะเอาสิ่งที่ลูกทำด้วยความเหนื่อยยากมาผลาญให้หมดไปกับงานแต่งงานใหญ่โตทำไม บ้านที่พ่อแม่ปลูกไว้ก็กว้างใหญ่อยู่สบายไปทั้งชีวิต เวลานี้พ่อแม่เป็นเพียงผู้อาศัยเท่านั้น เมื่อพ่อแม่ตายไปบ้านหลังนี้ก็ต้องเป็นของลูก แล้วดูบ้านที่พ่อปลูกให้มุนีซิ มันเป็นเพียงบ้านหลังเล็กๆที่เทียบไม่ได้เลยกับบ้านของลูก .. แล้ววันนี้.. ไม่ใช่เป็นวันที่น่ายินดีสำหรับการเฉลิมฉลองหรอกรึ ลูกก็รู้และเห็นกับตาว่ามุนีเป็นอย่างไร เขาก็ทุกข์มาเหมือนกันเพราะรักสนุก คึกคะนอง ชอบลอง หลงผิดไปตามเพื่อนๆ ลูกก็เห็นเขาแทบไม่เป็นผู้เป็นคน พูดไม่รู้เรื่อง เตลิดเปิดเปิงไป กว่าเขาจะเป็นปกติได้ ลูกก็รู้ว่าเป็นอย่างไร วันนี้เขากลายเป็นคนปกติอีกหนซ้ำยังได้พบคนที่รักเขาจริงยอมมาใช้ชีวิตอยู่เคียงข้างเขา มาดูแลเขา เป็นกำลังใจให้กันและกัน ทำไมพ่อแม่จะไม่ดีใจ ไม่จัดงานฉลอง เหมือนได้ลูกที่ตายไปแล้วกลับคืนมาและยังได้ลูกสาวเพิ่มมาอีกคนด้วย มันเป็นสิ่งที่สมควรแก่การป่าวร้อง สมควรแก่การฉลองอย่างยิ่งใหญ่หรือไม่ ......” พ่อหยุดพูดเล็กน้อย “ พ่อเองก็ทุกข์ใจมาไม่น้อยคราวที่ต้องแจ้งความจับลูกตัวเองไปเข้าคุก แต่วันนี้ความทุกข์ใจของพ่อหมดไป ครอบครัวของเราเป็นปกติสุขได้อีกครั้ง ทั้งหมดก็เป็นเพราะลูกนี่แหละที่เป็นเสาหลักให้ครอบครัว งานนี้จึงไม่ใช่เป็นเพียงงานแต่งงานของมุนีเท่านั้น แต่เป็นงานฉลองของครอบครัว......ตอนนี้ลูกเข้าใจหรือยังว่า ลูกสำคัญแค่ไหนกับงานฉลองในวันนี้ ”

มาโนชถึงกับน้ำตาซึม ในขณะที่เขาทำตัวเป็นศัตรูกับน้องชาย ด้วยการเหินห่างไม่ยินดียินร้ายกับทุกข์สุขของมุนีโดยมาขลุกอยู่กับงานที่ฟาร์ม กลับทำให้พ่อแม่มองเห็นเขาเป็นคนดี เขารู้สึกละอายใจ เป็นเขาเองหรือนี่.....ที่คิดร้ายมาตลอดเวลา เขาทรุดตัวลงหมายจะกราบแทบเท้าแม่

“ ผมขอโทษครับแม่ ที่คิดไม่ดีมาตลอด ผมเกือบทำลายความสุขของทุกๆคนไปแล้ว โอ้... ผมช่างเป็นคนที่เห็นแก่ตัวจริงๆ ”

แม่ประคองให้เขาลุกขึ้นและกอดเขาไว้ “ ลูกเป็นของขวัญที่ประเสริฐของพระเจ้าที่มอบให้กับครอบครัวของเราจริงๆ แม่รักลูกจ๊ะ ”

พ่อเข้ามาขนาบอีกข้างแล้วโอบบ่าของเขาไว้ แล้วก็พาเขาเดินกลับบ้าน........

*************************************************




Create Date : 16 มิถุนายน 2555
Last Update : 23 มิถุนายน 2555 10:06:21 น.
Counter : 696 Pageviews.

0 comments

peka
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



คนซื่อๆ มองโลกตามความจริง ใช้ชีวิตไปตามสภาพดินฟ้าอากาศ วันไหนฟ้าใส จิตใจสดชื่น อาจหัวเราะเริงร่า พูดคุยสนุก วันไหนฟ้ามืด จิตใจซึมเศร้า อาจนั่งเงียบเหงาเขียนบทกวี วันไหนโลกแล้งยุติธรรม จิตใจหดหู่ อาจกินๆนอนๆดูทีวีทั้งวัน