Group Blog
 
 
ธันวาคม 2551
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
10 ธันวาคม 2551
 
All Blogs
 
ผมเห็นผีที่หัวหินครับ

ผีที่หัวหิน Smiley
ผมจะพาคุณไปเจอผีระดับท้องถิ่นก่อนจะโกอินเตอร์กันเพื่อเป็นการเรียกน้ำย่อยซะหน่อย
เริ่มต้นก็เอาประสบการณ์ตอนผมเริ่มทำงานเป็นสจ๊วตใหม่ ซิงๆ ดีมั๊ย ? เริ่มกันที่ไหนดีล่ะ? อึมม์... เอาที่หัวหินดีกว่า...

เมื่อตอนอายุประมาณ 20 ปี ผมได้มีโอกาสสอบคัดเลือก และบังเอิญโชคดีได้รับการคัดเลือกเข้าเป็น “สจ๊วต” หรือเรียกแบบสุภาพชนว่า “พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินโดยสาร” ของสายการบินที่เด่นเท่ เก๋ เริด ที่สุดในประเทศ โดยพวกที่ได้รับการคัดเลือกในรุ่นเดียวกับผมประกอบไปด้วยพนักงานชาย หรือ สจ๊วต 20 คน และ พนักงานหญิง หรือ แอร์โฮสเตส อีก 20 คน รวมเป็น 40 ชีวิต

พวกเราเข้ารับการอบรมเกี่ยวกับระเบียบบริษัท วิธีการและมารยาทในการต้อนรับผู้โดยสาร มาตรการรักษาความปลอดภัย (คนละอันกับมาตรการฯของพวกพี่ๆ ร.ป.ภ. ตามตึกต่างๆนะครับ) และอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย รวมระยะเวลาในการอบรมทั้งสิ้นก็ประมาณ 3 เดือนเลยทีเดียว และเป็นเพราะการอบรมที่ยาวนานอย่างนี้ ทำให้พวกเราเหล่า สจ๊วตและแอร์หนุ่มๆสาวๆ มีความสนิทสนม กันมากๆ ขนาดที่ว่าเมื่อเรียนจบหลักสูตรแล้ว เราก็จัดแจงนัดไปเที่ยวที่หัวหินกันทั้งรุ่น เพื่อฉลองความสำเร็จก่อนการขึ้นบินจริงๆในทันที

เราตกลงกันว่า พวกที่มีรถจะทำหน้าที่เป็นสารถีขับไปยังที่พัก ส่วนพวกที่อาศัยนั่งรถก็ต้องออกค่าน้ำมัน ซึ่งขอบอกว่าตอนนั้นยังถูกมากเลยครับ ลิตรละไม่กี่บาทเอง

ตัวผมเองมีรถญี่ปุ่นคันเล็กๆอยู่คันหนึ่ง เลยอาสาขับไปให้ แต่ผมไม่ได้บอกเพื่อนๆหรอกครับว่าเพิ่งหัดขับรถมาได้เพียงปีกว่าๆ เอง คงเป็นเพราะความเป็นหนุ่มคะนอง ก็เลยมั่นใจซะมากมาย

และด้วยท่าทีที่มั่นใจของผม บวกกับรูปร่างหน้าตาที่เท่ สมาร์ท ราวกับ อนันดา เอฟเวอริ่งแฮม เลยทำให้เพื่อนสาว 3 คน คือ แตงโม นาเดีย และ พอลล่า (แหม...ชื่อยังกะดาราวัยรุ่นสมัยนี้เชียวนะจ๊ะ) ติดกับหลงมานั่งรถผมเข้าให้

ส่วนบ้านที่เราไปพักกันนั้นเป็นวังเก่าของท่านพ่อของเพื่อนในรุ่น ชื่อ หม่อมราชวงศ์ แคทลียา หรือเรียกสั้นๆว่า หม่อมแคท
บ้านนี้มีอายุประมาณ 100 ปี หรือกว่านั้น มันเป็นบ้านทรงฝรั่งโบราณ ทำด้วยไม้สักทั้งหลัง ตั้งอยู่ริมทะเล ซึ่งเป็นหาดส่วนตัว ผมคิดว่าตัวบ้านคงโดนลมทะเลพัดกัดกร่อนลงไปตามกาลเวลา ทำให้มีสภาพเก่าแก่และทรุดโทรมมากทีเดียว แต่พวกเราก็ไม่สนใจหรอกครับ เพราะได้พักฟรี แถมมีหาดส่วนตัว อะไรจะทำให้พวกเราแฮปปี้กระดี๊กระด๊าไปมากกว่านี้ล่ะ

บรรดา เทพบุตรและนางฟ้า เอ๊าะๆ มีโปรแกรมพักอยู่ที่บ้านหม่อมแคท ประมาณ 2 - 3 วัน เขาและเธอ ต่างก็สนุกสนานกันอย่างเต็มที่ ตอนเช้าตื่นขึ้นมานั่งเล่นกีตาร์รับลมทะเลสักพัก เสร็จแล้วก็ขับรถไปทาน เบร๊กฟัสต์ (ก็ไอ้อาหารเช้านั่นแหละ ต้องฝึกภาษาปะกิตเอาไว้ เดี๋ยวผู้โดยสารไม่เข้าใจ) ที่ตลาดหัวหิน เที่ยวทัศนาจรที่นั่นที่นี่ ต่อด้วยข้าวเที่ยงริมทะเล เสร็จแล้วกลับมาร้องรำทำเพลง ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกกันอย่างเพลิดเพลิน แล้วก็ลงเล่นน้ำทะเล อาบแดดกันบ้างจะได้ตัวดำๆ เอาไว้อ่อยฝรั่งสลับกับเล่นไพ่ป๊อกเด้ง และผสมสิบกันบ้าง บางส่วนก็เมาเหล้ากลิ้งอยู่กลางบ้าน เอะอะเฮฮากันจนกระทั่งดึกดื่น เกือบเช้านั่นแหละครับ ถึงจะเข้านอนกัน สาเหตุที่เราเอะอะกันได้ ก็เพราะมันเป็นหาดส่วนตัวน่ะครับ เราเลยไม่กลัวว่าจะไปรบกวนใคร

เหล่าหนุ่มสาวต่างก็เอ็นจอย หาดทราย สายลม กับแสงแดดกันอย่างเต็มที่ จนกระทั่งคืนนั้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พวกเราจะอยู่สังสรรค์กันเป็นคืนสุดท้ายก่อนจะกลับไปทำงานที่ได้รับการอบรมมา...

ความอาลัยอาวรณ์ทำให้พวกเราตั้งใจจะอยู่กันจนดึกเป็นพิเศษ แต่ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม ซึ่งมีอาการง่วงนอน งุนงงอย่างมาก แบบว่าตาจะปิดเสียให้ได้ ทั้งๆที่ไม่ได้ดื่มเหล้า เมากัญชา หรือฟาดโดมิคุ่มเข้าไปแต่อย่างใด

ผมแอบเหลือบมองดูนาฬิกาก็เพิ่งจะเที่ยงคืนกว่าๆเอง แต่มันง่วงมากจริงๆ ง่วงจนทนไม่ไหว จึงแอบเลี่ยงออกจากกลุ่มเพื่อนๆ เพื่อไปอาบน้ำเตรียมตัวเข้านอน ไม่ให้พวกมันรู้ เดี๋ยวพวกมันจะไม่ยอมให้ไป

ผมเช็คอุปกรณ์สำหรับใช้อาบน้ำ อาทิ สบู่ ยาสีฟัน ผ้าเช็ดตัว ชุดนอน ฯลฯ เรียบร้อยก็เดินเข้าห้องน้ำ ซึ่งมีห้องหนึ่ง อยู่บนชั้นสองของตัวบ้าน มันเป็นห้องน้ำแบบโบราณ ไม่มีฝ้าเพดาน เมื่อมองขึ้นไปจะเห็นคานไม้วางพาดไปพาดมา เพื่อรองรับหลังคาบ้าน โคมไฟก็เป็นแบบโบราณ ห้อยลงมาจากคาน มีแสงไฟสลัวๆ เป็นที่สยองขวัญยิ่งนัก แต่ผมก็ชอบห้องนี้เพราะมันก็เป็นห้องน้ำที่ใหญ่โต และสะดวกสบายกว่าห้องน้ำข้างล่างที่เล็กแต่ทันสมัยกว่า

ขณะที่เพื่อนทั้งหมดรวมตัวกันร้องเพลงอยู่ข้างล่าง และผมกำลังล่อนจ้อน อาบน้ำอย่างสบายอารมณ์อยู่คนเดียว (โธ่...ก็อาบคนเดียวน่ะสิครับ จะให้ไปอาบกะใคร? – เอ...คิดอีกที ถ้าได้อาบกับน้อง มาช่า คงจะดีเนอะ!!) พลันก็เกิดความรู้สึกเหมือนกับมีใครแอบดูผมอยู่ จากข้างบน ขนลุกซู่ขึ้นมาเฉยๆ พร้อมความรู้สึกเย็นวาบมาจากสันหลัง และลามชาไปทั่วทั้งตัวอย่างรวดเร็ว วินาทีนั้น ตัวผมเริ่มสั่นอย่างไม่มีเหตุผลและบังคับไม่ได้...อะไรกันนี่

ผมไม่กล้าสุ่มสี่สุ่มห้ามองขึ้นไปตรงๆหรอก เพราะสังหรณ์ใจว่ามันต้องเป็นผีแหงๆเลย (ก็เคยดูหนังเรื่อง The Sixth Sense มันเป็นอย่างนี้เปี๊ยบเลย) เลยใช้แค่หางตามองไปที่กระจกในห้องน้ำ ซึ่งสามารถสะท้อนขึ้นไปเห็นคานบ้านได้

โอ้โฮ คุณครับ...ขนาดผมเตรียมทำใจมาบ้างแล้วนะเนี่ย ภาพที่เห็นมันยังสยดสยองกว่าที่คิดเยอะ เพราะมันเป็นภาพของผู้หญิงแก่ๆ ผมกระเซิงราวกับไม่ได้สระเซ็ทมาเป็นเวลาแรมปี แกใส่เสื้อคอกระเช้าและผ้าถุงเก่าๆ นั่งยองๆอยู่บนคานบ้าน เอียงคอไปมา พลางส่งยิ้มโชว์ฟันที่ทั้งหลอทั้งดำให้ผม (นี่แกคงคิดว่าทำท่านี้แล้วจะน่ารักน่าเอ็นดูเหมือนน้องแอน ทองประสม ละมั๊ง หรือจะ อะหยิวกิ๋ว ที่เห็นผมยืนโชว์เดี่ยวไมโครโฟนอยู่ก็ไม่รู้แฮะ??)

เพียงชั่วอึดใจที่ผมยืนตะลึงทำให้แกรู้ว่าผมเห็นแกแล้ว จึงเริ่มทิ้งตัวลงมาเอาขาเกี่ยวคานเอาหัวห้อยลงกับพื้น อย่างชำนิชำนาญราวกับว่าตอนมีชีวิตอยู่แกจบเอก พลศึกษา สาขา กายกรรมศาสตร์ เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง มายังงั้นแหละ...เสื้อคอกระเช้าที่ใส่ตกลงมาคลุมหน้า เผยให้เห็นถุงกาแฟสองถุงบนหน้าอก ที่เหวี่ยงโทงเทงลงมาฟาดหน้าแกดัง ผั่วะ ผะ เป็นสภาพที่สุดแสนจะน่าสังเวช...อา...มันช่างแตกต่างจากลูกฟักของน้องตั๊ก บงกช หรือ น้องพลอย เฌอมาลย์ ราวฟ้ากับเหว (ดีนะผ้าถุงที่แกใส่อยู่ไม่ถลกลงมาด้วย ไม่งั้นมีหวังวิ่งกันป่าราบ) ผมยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ มือเท้าเย็นเฉียบราวน้ำแข็ง ทำอะไรไม่ถูก พลางนึกว่า...“ทำไมยายป้านี่แกต้องมาโชว์เดี่ยวยิมนาสติกสยองขวัญแถวนี้ด้วยวะ น่ากลัวฉิบหาย...ไม่ได้การแล้ว ท่องนะโม ตัสสะดีกว่า”

ว่าแล้วผมก็ยกมือขึ้นพนม หลับตาลง เริ่มสวดมนต์แผ่ส่วนกุศลไปให้คุณป้าแกทันทีในสภาพเป็นหัวไชโป๊ว์ยังงั้นล่ะครับ

“ผมขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลที่ได้สั่งสมมาในอดีตชาติ จวบจนกระทั่งปัจจุบันให้แก่สัมภเวสีข้างหน้าผมนี้ ขอให้ผลบุญจงนำส่งให้ไปผุดไปเกิดในที่ที่ดีด้วยเถิด”

ได้ผลครับ เมื่อแผ่ส่วนกุศลจบและลืมตาขึ้น ผีคุณป้านักยิมนาสติกคนนั้นก็หายไปแล้ว ด้วยความดีใจที่ไม่ต้องดูแกแสดงกายกรรมอีกต่อไป ผมจึงรีบอาบน้ำต่อจนเสร็จ (ดูมัน!! ยังมีแก่ใจอาบน้ำต่ออีก)

เมื่อแต่งตัวเสร็จแล้วก็รีบลงไปเข้ากลุ่มกับเพื่อนๆซึ่งยังคงแหกปากร้องเพลงกันอยู่อย่างเมามัน เพื่อความอุ่นใจ ความง่วงหายเป็นปลิดทิ้งเลยครับ แต่ผมก็ไม่ได้เล่าอะไรให้เพื่อนๆฟังหรอกนะ กลัวพวกมันจะขวัญเสีย และที่สำคัญ กลัวหม่อม แคท จะกังวลว่าบ้านพักตากอากาศอันแสนคลาสสิคของเธอกลายเป็นบ้านผีสิงไปแล้ว

คืนนั้นเราเข้านอนกันประมาณ ตี 3 กว่าๆ ผมนอนกระสับกระส่ายอยู่พักใหญ่ เนื่องจากภาพของคุณป้าคนนั้นยังติดตาตรึงใจอยู่ จนเกือบเช้าผมจึงผล็อยหลับลงไปด้วยความเพลีย แล้วฝัน.....

ผมฝันเห็นผู้หญิงสูงวัยใส่ชุดขาวคนหนึ่ง หน้าตานั้น ประมาณว่าป้าขายกล้วยแขกกลางตลาดสด เดินดุ่ย ตรงมาหาผมจากไหนก็ไม่ทราบ แกยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตร พร้อมกับพูดว่า

“ขอบใจพ่อหนุ่มมากนะจ๊ะที่อุทิศส่วนกุศลให้ป้า...ป้าจะได้หลุดพ้นจากบ่วงกรรมนี่เสียที...”

ในฝันผมไม่คิดจะถามคุณป้าหรอก (ทั้งๆที่เป็นลูกอีช่างถามออกจะตาย) ว่า บ่วงกรรมอะไรของแก ถึงต้องมาห้อยหัวโตงเตงโชว์ถุงกาแฟเหี่ยวๆอยู่อย่างนี้ แต่ผมกลับพูดตอบคุณป้าไปว่า

“ไม่เป็นไรครับคุณป้า ขอให้คุณป้าได้ไปเกิดในที่ๆต้องการนะครับ”

คุณป้าอมยิ้มมุมปาก เอียงคอเล็กน้อย พยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้ดูเหมือนกับ แคทเธอรีน ซีต้า โจนส์พลางเอ่ยปาก

“ก่อนไป ป้าอยากขอเตือนพ่อหนุ่มว่า พรุ่งนี้ขอให้ขับรถด้วยความระมัดระวังนะจ๊ะ อย่าประมาท….ป้าไปก่อนนะจ๊ะ”

“อ้าว!! เดี๋ยวก่อนสิป้า จะเกิดอุบัติเหตุอะไรกับผมหรือไงล่ะเนี่ย ยังไม่ทันบอกกันให้เข้าใจแจ่มแจ้งเลย จะไปซะละ” ผมกวักมือเรียกแกให้กลับมาตอบคำถามผมก่อน

แต่ไม่ทันแล้ว ร่างของคุณป้าค่อยๆเลือนหายไปต่อหน้าต่อตา ผมเลยรีบตะโกนไล่หลังแกไปว่า
“ไปเกิดใหม่แล้วซื้อยังวาโก้ใส่ซะหน่อยนะครับ จะได้ไม่ต้องโทงเทงอีก” ...อิ อิ สะใจ อยากมาแกล้งหลอกตูดีนัก

เช้าวันรุ่งขึ้นผมถูกปลุกด้วยเสียงเจี๊ยวจ๊าวของพวกผู้หญิง ซึ่งต่างก็กำลังสาละวนกับการเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าเดินทางเพื่อเตรียมตัวกลับกรุงเทพฯ ผมอิดออดอยู่บนเตียงสักพักก็ลุกขึ้นมาจัดการล้างหน้าล้างตา เก็บของเพื่อเตรียมตัวกลับบ้านเช่นเดียวกัน หลังจากอาบน้ำแปรงฟันและทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว แตงโม นาเดีย และ พอลล่า ก็มารวมกันที่รถผม นั่งประจำที่เหมือนตอนขามา โดยมี พอลล่าซึ่งสวย น่ารักสุดๆ นั่งข้างหน้าเป็นตุ๊กตาหน้ารถ

ขบวนของพวกเรา ออกเดินทางกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย โดยตกลงกันว่าใครใคร่แวะที่ไหนก็แวะ ตามสบายไม่ต้องรอกัน สำหรับคันของผมนั้น เรากะว่าจะดิ่งเข้ากรุงเทพฯเลย ไม่ต้องแวะเที่ยวแวะซื้อของที่ไหน เนื่องจากวันรุ่งขึ้น แตงโม นาเดีย และ ผม มีไฟลท์บินไฟลท์แรกในชีวิตกัน เลยอยากพักผ่อนมากๆหน่อย

ระหว่างทางขากลับ พวกเราพูดคุยเกี่ยวกับการพักผ่อนที่ผ่านมากันอย่างสนุกสนานร่าเริง เปิดเพลงของ พี่แช่ เอ๊ย พี่แจ้ ดังสนั่นหวั่นไหว (เอ่อ... คุณครับ เรื่องที่ผมเล่าเนี่ยมันอยู่ในปลายยุค 80 นะครับ นักร้องสุดฮ็อตในสมัยนั้นก็ต้อง พี่แจ้ หรือ รอแย็ลสไปรท์ เท่านั้น ส่วน น้องฟิล์ม รัฐภูมิ คงยังเป็นวุ้นอยู่เลยมั๊ง)

ผมลืมเรื่องคุณป้าเมื่อคืนไปเสียสนิท ก็จะไม่ให้ลืมได้ยังไงล่ะครับในเมื่อรถผมมีสาวๆ น่ารักน่าชัง นั่งอยู่ตั้ง 3 คน จะมัวคิดถึงป้าแก่ถุงกาแฟเหี่ยวอยู่ทำไม ป่านนี้คงไปเกิดแล้วมั้ง

และด้วยความเพลิดเพลิน ทำให้ผมลืมดูเกย์วัดความเร็วของรถ ว่าตอนนี้มันได้ไต่ขึ้นไปที่ระดับสูงมากแล้ว สองข้างถนนว่างเปล่าราวกับว่ามีเพียงรถของผมเท่านั้นที่แล่นอยู่ นี่ยิ่งทำให้ผมเหยียบคันเร่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่รู้ตัว เสาไฟฟ้าข้างทางวิ่งสวนกับรถของผมไปอย่างรวดเร็ว ติดต่อกันเป็นพืดจนดูเหมือนเป็นกำแพงยักษ์ที่ทอดยาวออกไปข้างหน้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

แล้วจู่ จู่ ก็มีรถมอเตอร์ไซค์โผล่ออกมาจากข้างทางอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยในระยะเผาขน ดูเหมือนว่าคนขับมอเตอร์ไซค์คันนั้นจะไม่ทันเห็นรถของผมที่วิ่งตรงมาด้วยความเร็วสูง ผมตกใจสุดขีด แต่ยังมีสติอยู่ เหลือบมองดูเกย์วัดความเร็ว เห็นว่ารถคันนี้กำลังเคลื่อนที่อยู่ที่ระดับสูงถึง 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเร็วเกินกว่าที่จะเหยียบเบรคกระทันหันอย่างนั้น เพราะจะทำให้รถหมุนและเสียหลักตกลงข้างทางได้

ผมชั่งใจอย่างหนักว่าจะแลกชีวิตของผมและ เพื่อนสาวสวยในรถด้วยการเสียสละตกลงไปข้างทาง อันอาจทำให้เราบาดเจ็บล้มตาย หรือเดินหน้าชน
+++มันไปเลย แล้วผมก็เลือกทางเลือกหลังอย่างไม่ลังเล เพราะโอกาสรอดมีมากกว่า...


ผมบีบแตรยาวให้สัญญาณเตือนอย่างสิ้นหวัง รู้ดีว่าด้วยระยะกระชั้นชิดอย่างนี้ ต่อให้เทวดาก็หลบไม่ทัน...

“เจ้าป่าเจ้าเขาครับ ช่วยผมด้วย!!!” ผมคิด... ขณะที่หูได้ยินเสียง 3 สาวหวีดร้องลั่นรถด้วยความตกใจจนแก้วหูแทบแตก

“โครม!!!” ภายในเสี้ยววินาทีเดียว รถผมก็ปะทะกับมอเตอร์ไซค์คันนั้นอย่างจัง ได้ยินเสียงรถคันนั้นกลิ้งขลุก ขลุก ผ่านทางซ้ายของรถไป ผมรีบมองกระจกส่องหลัง เห็นคนขับถูกเหวี่ยงกระเด็นไปคนละทิศคนละทางกับมอเตอร์ไซค์ของแก ส่วนรถของผมนั้นยังคงแล่นต่อไปอีกราว 100 เมตร กว่าจะหยุดลงได้

ผมรีบเปิดประตูลงไปดูจุดเกิดเหตุ ทิ้งให้ 3 สาวนั่งตะลึงอยู่ในรถ ใจนึกกังวลว่าไอ้คนขับมอเตอร์ไซค์มันจะรอดมั้ยวะ เหลียวกลับไปดูรถของผมนิดนึง เพื่อประเมินความรุนแรงของอุบัติเหตุ เห็นไฟหน้ารถแตก กระจกมองข้างหลุดหายทั้งบาน ประตูข้างนาเดียและพอลล่าบุบไปทั้งแถบ...โอ้ว์ พระเจ้าช่วย กล้วยทอด...เยินขนาดนี้อีตานั่นถ้าจะแย่แน่ๆ

ในขณะนั้น ชาวบ้านก็เริ่มเข้ามาทำหน้าที่ ไทยมุงอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหาผม ยื่นเศษซากกระจกมองข้างมาให้พร้อมรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร ผมกล่าวขอบคุณเค้าไปจากใจจริง และรีบสาวเท้าไปยังจุดที่มอเตอร์ไซค์คันนั้นล้มอยู่ ล้อหน้าของมันยังคงหมุนติ้วด้วยแรงเฉื่อยจากการปะทะเมื่อสักครู่ โชคดีที่ไม่ค่อยมีรถวิ่งผ่านไปมาสักเท่าไหร่ เนื่องจากตอนนั้นเป็นเวลาเช้า

ที่จุดเกิดเหตุ ร่างชายแก่นอนแผ่หลาไม่ไหวติง ผมใจหายวาบ เมื่อมองไปรอบๆ เห็นรอยเลือดเกรอะกรังเต็มท้องถนนส่งกลิ่นคาวคละคลุ้ง...แล้วนั่นอะไร??? มันดูเหมือนว่าจะเป็นเป็นชิ้นส่วนอวัยวะอะไรซักอย่าง ขนาดเส้นรอบวงเท่าข้อมือเด็ก มีรอบหยักอยู่รอบๆ ยาวประมาณ 2 – 3 เมตร ขดงอไปมาอยู่ตามพื้น

ขณะที่กำลังยืนงงอยู่นั้น พอลล่าก็เดินตามลงมาเพื่อเป็นเพื่อนผม เมื่อเห็นสิ่งนั้น เธอถึงกับหน้าเสียทันที ร้องอุทานขึ้นมาว่า

“ไส้...นั่นมันไส้นี่....ไส้คน!!!”

คุณพระช่วย!! มันคือลำไส้ของอีตาลุงเจ้าของมอเตอร์ไซค์จริงๆเหรอนี่ ผมถึงกับหน้าซีด ขาสั่น มีความรู้สึกคล้ายจะเป็นลมเสียให้ได้ คิดในใจว่า คราวนี้ตูถ้าทางจะต้องไปบินในคุกแหงๆ...ขับรถชนคนจนไส้แตกตาย

เหมือนหนังน้ำเน่ายังไงยังงั้น...ตอนนั้นพอดีมีรถตำรวจทางหลวงคันหนึ่งขับผ่านมา เมื่อเห็นว่ามีอุบัติเหตุ คุณตำรวจก็รีบลงมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น

แกคงเดาได้แหละว่าผมเป็นเจ้าของรถ ส่วนอีตาลุงที่นอนแอ้งแม้งอยู่กลางถนน น่าจะเป็นเจ้าของมอเตอร์ไซค์ ผู้กองแกจึงเดินเข้ามาที่ผมแล้วถามว่า

“เกิดอะไรขึ้นครับ รถชนกันเหรอครับ”

ก่อนที่ผมจะตอบ ผู้กองคนนั้นก็มองเห็นขดไส้กรังเลือดของคุณลุง แกทำหน้าสะอิดสะเอียนนิดนึงแล้วเปรยว่า

“แล้วนั่นไส้ใครล่ะเนี่ย???”

จะให้ผมตอบยังไงดีล่ะครับ!!! หันไปมองพอลล่า เธอเองก็ใบ้รับประทานเหมือนกัน และก่อนที่เราจะพูดอะไรต่อไป ก็ได้ยินเสียงๆหนึ่งดังแทรกขึ้นมา มันเป็นเสียงแหบๆแผ่วเบาของผู้ชายแก่ๆ

“ไส้ของผมเองครับ” ...เวลาอ่านช่วยทำเสียงแก่ๆ ยานคางๆหน่อยนะครับ จะได้เข้ากับบรรยากาศ...

เอาละเว๊ยกู!!! ผีหลอกกลางวันแสกๆ เพิ่งตายไปหยกๆ เฮี้ยนขนาดนี้เลยเหรอวะ คุณลุ๊ง

ผม ผู้กอง และ พอลล่า หันขวับไปที่ต้นเสียง เห็นคุณลุงเจ้าของมอเตอร์ไซค์กำลังยงโย่ยงหยกพยายามลุกขึ้นจากจุดที่แกนอนแอ้งแม้งอยู่เมื่อสักครู่....
“อ้าว แล้วนั่นยังไม่ตายหรอกเหรอ คุณลุง” ผู้กองแกปากเสียต่อทันทีที่สบตากับคุณลุง นี่ผมว่าผมปากหมาแล้วนะเนี่ย เจออีตาผู้กองคนนี้ ผมต้องรีบเก็บกระเป๋ากลับบ้านไปเลย

“ยังครับ...นั่นไส้ของผมเองครับ......ผมเพิ่งซื้อมาจากตลาดเมื่อกี้ กะว่าจะเอามาทำตือฮวนกินซะหน่อย ก็มาโดนรถของคุณคนนี้สอยเสียก่อน” คุณลุงตอบ ไม่เห็นมีทีท่าว่าจะเป็นอะไรเลย สงสัยจะมีพระดี พูดไปพลางคุณลุงก็เดินไปสำรวจความเสียหายของรถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งไม่เป็นอะไรมาก แค่ล้อบิดนิดๆ

เมื่อเห็นว่าไม่มีความเสียหาย(กับมอเตอร์ไซค์) มากนักก็หันกลับไปโกยไส้ (หมู) ของแก ใส่ถุงพลาสติค ที่หล่นอยู่แถวๆนั้นอย่างอารมณ์ดี (สงสัยดีใจที่ไส้หมูยังอยู่ครบ...ฮ่วย) ไม่ได้สนใจเลยว่าแกก่อความเสียหายให้กับรถผมซะขนาดไหน

ตอนนี้เองชาวไทยมุงก็เริ่มสลายตัว ส่ายหัวกลับไปด้วยความผิดหวัง (ที่คุณลุงแกโคตรหนังเหนียว) ส่วนผมน่ะเหรอครับ แฮปปี้ซะยิ่งกว่าอะไร นึกขอบคุณ โชะตาอยู่ในใจ ที่ช่วยให้ผมรอดจากคุก

“แล้วนี่คุณจะเอายังไง จะเอาเรื่องคุณลุงเค้าหรือเปล่า” ผู้กองพูดหลังจากคุณลุงยอมรับว่า แกขับมอเตอร์ไซค์ตัดหน้าผมในระยะเผาขน

แน่นอน ผมไม่เอาเรื่องหรอกครับ จริงๆแล้วผมต้องขอบคุณคุณลุงคนนั้นอย่างมากเสียอีกที่สอนบทเรียนอันมีค่า ไม่ให้ผมขับรถอย่างคึกคะนองอีกต่อไป เพราะคราวหน้า เหยื่อของอุบัติเหตุอาจจะต้องมีธุระไปคุยกับยมบาลแทนที่จะลุกขึ้นมาเดินโกยไส้ของตัวเองอย่างนี้ และผมก็อาจต้องเข้าซังเต เพราะขับรถโดยประมาท

ก็เป็นอันว่า วันรุ่งขึ้นผมก็ขึ้นบิน ไฟลท์แรกด้วยความแฮปปี้ หารู้ไม่ว่า เพื่อนผีนานาชาติของผมกำลังเข้าคิวรอพบผมอยู่ในประเทศต่างๆ อย่างใจจดใจจ่อ .......





Free TextEditor


Create Date : 10 ธันวาคม 2551
Last Update : 11 ธันวาคม 2551 22:12:51 น. 2 comments
Counter : 431 Pageviews.

 
เปลี่ยนสีอื่นดิอ่านไม่ถนัดอะ



โดย: คนเห็นผี IP: 125.27.225.130 วันที่: 15 กันยายน 2553 เวลา:16:54:32 น.  

 
ตกแต่งฉากได้ดีนะบรรยากาศวังเวงดีอะ


โดย: คนเห็นผี รีวิว IP: 125.27.225.130 วันที่: 15 กันยายน 2553 เวลา:16:56:34 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ปีกทองแท้
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สวัสดีครับ
เพิ่งมาใหม่ครับ
ชื่อ แมน ครับ บางทีเพื่อนๆก็เรียกว่า "แอนดี้"
แต่ชอบเรียกตัวเองว่า "ปีกทองแท้"
....
แปลกนะ ปีกทองแท้ไม่ชอบเที่ยวเลยครับทั้งๆที่เคยเป็นสจ๊วตอยู่ตั้ง 5 ปี แต่กลับชอบอยู่บ้านนอนกลิ้งเกลือกไปมา ไม่อย่างนั้นก็ไปเดินเล่นตามร้านขายของเก่า เพราะปีกทองแท้ชอบสะสมของเก่า(ที่มี จุด จุด จุด สิงสถิตย์อยู่)มากครับ...นี่อาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ถูกผีมาเยี่ยมเยียนบ่อยๆ...

ยังไงๆ ปีกทองแท้ก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ

Loves
Friends' blogs
[Add ปีกทองแท้'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.