:::กำจัดรอยย่นบนใบหน้า:::
"ลบรอยย่นบนใบหน้า"เมื่ออายุมากขึ้น ประมาณสัก 40 ปีขึ้นไป จะมีการเสื่อมของใยคลอลาเจน ใยอีลาสติน ทำให้การพยุงตัวของหนังกำพร้าเริ่มเสียดุล จึงเกิดรอยเหี่ยวย่น เริ่มแรกที่หน้าผากมีรอยเหี่ยวย่นตามแนวขวาง ระหว่างคิ้วมีรอยย่นเป็นแนวดิ่ง ตีนกาเริ่มปรากฏ หนังตาล่างเริ่มห้อยย้อย แก้มเริ่มตอบ อาการเริ่มเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับต่อมไขมันเริ่มทำงานน้อยลง ผิวพรรณจึงเริ่มแห้งเป็นการซ้ำเติมรอยเหี่ยวย่นให้ชัดเจนยิ่งขึ้นพบว่ามีคำถามเกี่ยวกับการแก้ไขรอยย่นบนใบหน้ามาบ่อยมาก ซึ่งการตอบคำถามนี้ต้องให้รายละเอียดมาก แต่ควรเริ่มด้วยการป้องกัน ซึ่งน่าจะดีกว่าการแก้ไข สิ่งแวดล้อมที่ทำให้ผิวหน้าเหี่ยวย่นได้มากๆ น่าจะเป็นแสงแดด ทุกคนจึงควรหลบแดดเท่าที่จะทำได้ เริ่มด้วยการสวมหมวก กางร่วมบังแสงแดด สวมเสื้อผ้าที่มีคุณสมบัติกันแสงแดดมิให้ถูกผิวพรรณได้ การทายากันแดดก็เป็นวิธีป้องกันแสงแดดที่ดีอีกวิธีหนึ่ง แต่ยากันแดดออกฤิทธิ์เพียง 4-6 ชั่วโมง จึงต้องทาซ้ำอยู่เสมอ อันดับต่อมาคือ สภาพจิตใจที่เคร่งเครียด มีผลให้ใบหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ตลอดเวลา ทำให้หน้าผากมีรอยย่นตามแนวนอนและระหว่างคิ้วมีรอยย่นเป็นแนวดิ่ง ถ้าสภาพจิตใจเครียดอยู่ตลอด รอยย่นก็จะเกิดติดต่อกันเป็นเวลานาน มีผลทำให้กล้ามเนื้อหดตัวอยู่เสมอ ก็จะเกิดรอยย่นบนหน้าผาก ตีนกา ระหว่างคิ้วเป็นรอยลึกและคลายตัวได้ยาก การรับประทานอาหารและการทาครีมหรือโลชั่นที่มีคุณสมบัติชะลอความแก่ ได้แก่ บรรดาวิตามินอี วิตามินเอ วิตามินซี Q10 เอสโตรเจน คอลลาเจน ก็จะช่วยได้บ้าง ปัจจุบันมีหลักฐานแน่ชัดว่า การสูบบุหรี่ทำให้เกิดอาการแก่เร็ว มีรอยย่นบนใบหน้าได้เร็วกว่าปกติ ทั้งนี้เพราะสารนิโคตินมีฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดหดด้วย ทำให้อาหารต่างๆ ในกระแสเลือดที่ไปเลี้ยงผิวพรรณลดลงมาก จึงอยู่ในสภาพคล้ายขาดสารอาหารทำให้ผิวพรรณซีดเหี่ยว ย่นมากกว่าเดิม การงดสูบบุหรี่จึงเป็นการชะลอความแก่ได้ดีอีกวิธีหนึ่ง เมื่อเราทำการป้องกันรอยเหี่ยวย่นดังกล่าวแล้ว ก็ยังไม่วายที่จะเกิดอาการผิวเxxx่ยวย่น คงต้องใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยเหลือแก้ไข ซึ่งใครจะเลือกวิธีใด ขึ้นกับความเหมาะสมตามฐานะทางการเงิน ความปลอดภัยต่ออัตราเสี่ยงของการเกิดผลแทรกซ้อนในแต่ละวิธีการ แต่อย่าลืมว่า ไม่ว่าจะทา ฉีด หรือกินสารใดๆ ต่อร่างกาย จะมีทั้งผลเสียและผลดีเสมอ และเป็นไปไม่ได้ที่จะมีผลดีเพียงอย่างเดียว เมื่อเลือกวิธีใดแล้วเกิดผลเสียต่อร่างกาย ก็จะต้องยอมรับ เพราะเราสมัครใจทำเองตั้งแต่แรกเรื่องการฟ้องร้องจะได้ลดลง เวชสำอางลบรอยเหี่ยวย่นมีมากมายที่วางขายในท้องตลาด มีการโฆษณามาก ส่วนความปลอดภัยและสรรพคุณยังไม่ใคร่ปรากฏแน่ชัดแต่ก็ใช้แพร่หลาย เริ่มตั้งแต่ AHA (Alpha Hydroxy Acid) เป็นที่นิยมมากทั้งจากผู้ประกอบการ จากการประชาสัมพันธ์ในสื่อต่างๆ ทำให้เกือบทุกคนจะรู้จักและถามหมอถึงคุณสมบัติของ AHA ว่าลบจริงหรือไม่ แพทย์หลายคนกำลังทำวิจัยอยู่ ผลลัพธ์คงจะออกมาในไม่ช้า ถ้าสนใจจะใช้ ไม่ควรเลือกเครื่องสำอางที่มี AHA เกินร้อยละ 7-10 และความเป็นกรดไม่เกิน 3.0-3.5 เพราะถ้าเข้มข้นกว่านี้ คุณสมบัติในการลอกผิวพรรณจะรุนแรง ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ผิวหนัง AHA ได้จากกรดผลไม้ เช่น มะขาม มะนาว ส้ม องุ่น แอปเปิ้ล คนพื้นบ้านที่ใช้ส้มมะขามผสมน้ำผึ้งทาหน้าก็เป็นการใช้ AHA อย่างอ่อนนั่นเอง AHA มีคุณสมบัติในการทำให้ผิวส่วนหนังกำพร้าลอกออกมีละน้อย จึงได้ผิวใหม่ปรากฏให้เห็นแทนที่ ถ้าถามว่าไม่ใช้ AHA ผิวจะลอกเองหรือไม่ คำตอบคือ ลอกโดยธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ลอกออกมาเป็นชั้นขี้ไคลอย่างช้าๆ เมื่อมีฤทธิ์ในการลอกผิวทำให้รอยย่นจื้นขึ้น ในทางการแพทย์ใช้ AHA 50-70 เปอร์เซ็นต์ ในการลอกหน้าโดยทำทุก 2-4 สัปดาห์ สักระยะหนึ่งจนสวยตามที่ชอบ ส่วนผู้ที่ไม่ควรทำการลอกหน้าด้วยวิธีนี้ ไม่ว่าจะโดยแพทย์หรือเวชสำอาง ได้แก่ ผู้ที่แพ้สารเคมีง่ายๆ ผิวขาวๆ บางๆ ผู้สูงอายุ เมื่อใช้จะเกิดอาการผิวลอก คัน และแดงเป็นจ้ำ ผิวไวต่อแสงแดด เป็นฝ้าและกระในเวลาต่อมา