ตอน 5 - อาบู ซิมเบล (Abu Simbel) และหมู่วิหารฟิเล (Philae), Aswan
หลังจากอยู่ที่อ้สวานมา 3 วัน วันที่ 4 ก็ได้ฤกษ์ไปอาบูซิมเบลแล้ว ค่ะ.. จองทริปที่โรงแรมที่พักนั่นแหละ แถมถูกกว่าที่อื่นอีกด้วย
ตี 3 กว่า ๆ ก็ลงมารอรถที่ชั้นล่างเหมือน 2 เช้าที่ผ่านมา คนอยู่เคาเตอร์กลางคืนชักสงสัย ก็ถามว่า "ทำไม you ตื่นเช้าทุกวันเลย" หารู้ไม่ว่าเราโดนทัวร์เบี้ยวมา 2 วันแล้ว จะมีสักกี่คนที่ตื่นไปเที่ยวตลาดเช้าตั้งแต่ตี 4 ตึ 5 .... ตี 3 กว่า ๆ ก็มีรถตู้มารับ แล้วก็ตระเวนรับลูกทัวร์อื่น ๆ อีก 2-3 ราย (ไม่เห็นมีใครขอดูใบเสร็จรับเงินเลย) .. สักพักก็ถึงบริเวณที่จอดรถบัสนำเที่ยวที่จอดเป็นแถว ได้เปลี่ยนรถเป็นรถขนาดกลาง พอตี 4 รถทั้งหมดก็เริ่มออกเดินทางพร้อม ๆ กันไปเป็นขบวนคอนวอยเลยค่ะ (เข้าใจว่าที่ออกเดินทางไปเป็นขบวนเพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว เพราะออกตั้งแต่มืด และจุดหมายปลายทางก็อยู่ใกล้ชายแดนประเทศซูดานด้วย)
พระอาทิตย์ที่เส้นขอบฟ้าระหว่างทางจากอัสวานไปอาบูซิมเบล
ราว 290 กม. จากอัสวานถึงอาบูซิมเบล รถใช้เวลาประมาณ 3 1/2 ชม. มาถึงก็สว่างแล้ว จากนั้นก็ไปซื้อตั๋วเข้าชมมหาวิหารอาบูซิมเบล แล้วก็เดินตามกันไป ให้เวลา 2 1/2 ชม. แล้วกลับมาที่เดิม
ตื่นเต้นสุด ๆ แล้วเราก็มาเห็นอาบูซิมเบลแล้ว
มหาวิหารอาบูซิมเบล (Abu Simbel Temple) .. เป็นมหาวิหารที่ประกอบขึ้นจากหินขนาดใหญ่สองก้อน สร้างระหว่างปี 1264-1244 หรือ 1244-1224 ก่อนคริสตกาลในสมัยอาณาจักรใหม่ (New Kingdom) แห่งอียิปต์ โดยฟาโรห์รามเสสที่ 2 ในราชวงค์ที่ 19 และเสร็จสมบูรณ์ในอีก 20 ปีต่อมา รู้จักกันในนาม "วิหารแห่งรามเสสอันเป็นที่รักของเทพเจ้าอามุน" ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรมจากองค์การยูเนสโก
ปัจจุบันตั้งอยู่ในแคว้นนูเบีย ในการปกครองของรัฐอัสวาน ใกล้ชายแดนประเทศซูดาน มหาวิหารตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของทะเลสาบนัสเซอร์ กลุ่มมหาวิหารนี้เป็นส่วนหนึ่งของมหาวิหารที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม จากองค์การยูเนสโก มีชื่อเป็นทางการว่า "Nubian Monuments from Abu Simbel to Philae" (อนุสรณ์สถานแห่งนูเบีย จากอาบูซิมเบล ถึงฟิเลห์)
มหาวิหารอาบูซิมเบล สร้างโดยฟาโรห์รามเสสที่ 2 (Ramses II) ... การก่อสร้างทั้งหมดเริ่มต้นในช่วงศต.ที่ 13 ก่อนคริสตกาล โดยสกัดเจาะภูเขาทั้งลูก ด้านหน้าหันไปทางตะวันออก ประกอบด้วย 2 วิหาร คือ วิหารใหญ่และวิหารเล็ก วิหารใหญ่สร้างขึ้นสำหรับพระองค์เอง มีรูปหินแกะสลักของฟาโรห์ราเสส ที่ 2 นั่งบนบังลังก์ 4 องค์ หันหน้าไปทางแม่น้ำ เพื่อแสดงถึงพลังและอำนาจของฟาโรห์ ที่คอยดูแลปกป้องเหล่าเรือใบที่แล่นในแม่น้ำไนล์ และเฉลิมฉลองชัยชนะจากสงครามที่อียิปต์มีต่อชาวนูเบีย ที่สมรภูมิแห่งคาเดส ... รูปพระองค์สร้างไว้สูงถึง 20 เมตร เพราะต้องการแสดงอำนาจเหนืออาณาจักรคูซ (Kush) ซึ่งมีอิทธิพลมากทางอียิปต์ตอนบน
อีกทั้งต้องการให้ผู้คนได้เห็นว่า พระองค์มีบารมีเพราะได้รับการปกป้องจากสุริยเทพที่ผู้คนกราบไหว้
วิหารแห่งนี้จึงสร้างถวายแด่เทพเจ้ารา-ฮอรัคตี้ (Ra-Horakhty) ดังรูปแกะสลักของเทพเจ้ารา-ฮอรัคตี้ ที่ลอยเด่นเหนือเหนือทางเข้าวิหารแห่งรามเสสนี้
ด้านหน้าของวิหารหลังใหญ่ มีขนาด 38 x 31 เมตร ที่เด่นสุดเป็นรูปแกะสลักขนาดยักษ์ 4 รูป ของรามเสสที่ 2 นั่งอยู่บนบัลลังก์ มือทั้งสองวางบนตัก รูปแกะสลักแต่ละรูปสูง 20 เมตร ตรงกลางเจาะเป็นประตูทางเข้า
เฉพาะปากที่มีรอยยิ้มกว้างกว่า 1 เมตรเล็กน้อย ที่พระบาทแกะสลักเป็นรูปพระมารดา พระราชินีและโอรสธิดาอีก 8 องค์
ด้านล่างมีภาพแกะสลักแสดงถึงชัยชนะของพระองค์ต่อศัตรู เช่น นูเบีย ลิเบีย และฮิตไทต์ รวมถึงภาพเทพเจ้าผู้คุ้มครอง และพลังอำนาจ
ด้านข้างของประตูทางเข้า The Great Hypostyle Hall ตามผนังเขียนประวัติด้วยภาษา Hierolyphics ถึงพระราชกรณียกิจของพระองค์ (ช่วงเวลาที่ไปนั้น ภายในกำลังซ่อมแซม ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปค่ะ เลยไม่มีภาพในโถงสักรูป) แต่มีข้อมูลว่าห้องชั้นในสุด มีรูปหินแกะสลัก 4 องค์ ประดิษฐานอยู่ คือ เทพเจ้า Amon, Ramses II, Hamakis และ Ptah ในแต่ปีจะมีอยู่ 2 วัน คือ วันที่ 21 มีค. และ 21 กย. เวลา 5.58 น. แสงอาทิตย์จะส่องผ่านประตูทางเข้า ส่องแสงไปที่ Amon และ Ramses II แล้วค่อย ๆ เลื่อนไปที่ Hamakis จะส่องสว่างอยู่ประมาณ 20 นาที โดยจะไม่มีแสงส่องไปที่เทพเจ้า Ptah เลย เพราะพระองค์ คือ เทพเจ้าแห่งความมืด และมีภาพแกะสลักรามเสสที่ 2 และพระนางเนเฟอร์ทาริ กำลังสักการะเทพเจ้า
เมื่อเวลาผ่านไป ราวศต.ที่ 6 ก่อนคริสตกาล มหาวิหารก็ถูกทิ้งร้าง ตกอยู่ในสภาพที่ทรุดโทรม และถูกหลงลืมอย่างยาวนาน กระแสน้ำพัดโคลนตมและทรายกลบวิหารจนมิด รูปแกะสลักขนาดยักษ์ขององค์ฟาโรห์ทั้งสี่ ถูกกลืนกินโดยทรายจากทะเลทรายซาฮาร่า จนกระทั่งปี ค.ศ. 1813 เมื่อนักประวัติศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับวัฒนธรรมตะวันออกชาวสวิสเซอร์แลนด์ โจฮัน ลุควิก เบิร์คฮารด์ต์ หรือ (เจแอล เบิร์คฮารดต์) ค้นพบส่วนบนของฟรีส (ลวดลายสลักใต้ชายคาของสิ่งก่อสร้าง)
โจฮันได้เล่าถึงการค้นพบของเขาให้แก่ จิโอวานนี่ บาติสต้า เบลโซนี่ นักสำรวจชาวอิตาลีผู้ที่เดินทางไปยังจุดค้นพบ แต่ก็ไม่สามารถขุดไปยังทางเข้าของมหาวิหารได้ เขาได้กลับไปอีกครั้งในปี ค.ศ. 1817 ... และประสบความสำเร็จและในการเข้าไปยังมหาวิหาร .. กลับออกมาพร้อมกับสมบัติล้ำค่า หรือสมบัติที่สามารถแบกติดตัวได้ ออกมาด้วย
ส่วนชื่อ "อะบูซิมเบล" มาจากชื่อของเด็กท้องถิ่นที่เคยนำชมมหาวิหารในช่วงที่มีการสำรวจอีกครั้ง และเป็นผู้ค้นพบส่วนที่ถูกฝังของมหาวิหาร จากการที่ทรายได้เคลื่อนตัวเผยให้เห็นส่วนที่เหลือ กระทั่งท้ายที่สุดได้มีการเรียกชื่อตามชื่อเด็กคนนั้น
ส่วนวิหารหลังเล็กที่อยู่ติดกันสร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่พระนาง Nefertari พระราชินีที่พระองค์ทรงรักและโปรดมากที่สุด และเป็นการบวงสรวงเทพีฮาธอร์ อันเป็นเทพีแห่งดนตรีและความรัก เปรียบเสมือนความรักระหว่างทั้ง 2 พระองค์ และยังเป็นอนุสรณ์สถานแห่งสุดท้ายของพระองค์และพระมเหสีอีกด้วย
ด้านหน้าทำเป็นช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้า ลึกลงไป 6 ช่อง เป็นรูปแกะสลักรามเสสที่ 2 ในในท่ายืนสี่รูป สลับกับรูปสลักของพระนางเนเฟอร์ตาริราชินีในท่ายืนสองรูป ตรงตำแหน่งเท้า มีรูปสลักของพระโอรสและธิดา วิหารหลังเล็กนี้มีความสูง 12 เมตร และยาง 28 เมตร
ปี ค.ศ. 1960 องค์การยูเนสโก ได้ป่าวประกาศขอความช่วยเหลือจากนานาประเทศ เพื่อกู้เทวสถานและโบราณวัตถุใกล้ทะเลสาบนัสเซอร์ หนีน้ำจากจากการสร้างเขื่อนอัสวานแห่งใหม่ (High Dam) ซึ่งหากสร้างเสร็จ น้ำในทะเลสาบจะต้องสูงขึ้น และท่วมโบราณสถานทั้งหมดบริเวณนี้ เท่ากับเป็นการสูญเสียโบราณสถานอันสำคัญยิ่งของโลกไปทันที
ด้วยเหตุนี้ จึงมีเสียงตอบรับความช่วยเหลือด้านการเงินจาก 51 ประเทศ องค์การยูเนสโกและทีมงานนักโบราณคดีจากประเทศต่าง ๆ คือ อียิปต์ อิตาลี สวีเดน เยอรมัน และฝรั่งเศส จึงดำเนินการกู้เทวสถานอาบูซิมเบลทันที ในปี 1964 โดยออกแบบตัดวิหารออกเป็น 1,050 ส่วน แต่ละส่วนหนักเป็นสิบ ๆ ตัน แล้วยกขึ่นไปประกอบใหม่ สูงจากระดับเดิม 215 ฟุต โดยสร้างภูเขาเทียมรูปโดม (เป็นโพรงด้านใน) ด้วยคอนกรีตเสริมใยเหล็กให้เหมือนเดิมทุกประการ แล้วเอาชิ้นส่วนที่ตัดนี้มาประกอบเข้ากันใหม่ ทั้งภายในและภายนอก เทวสถานทั้งหมดถูกเคลื่อนย้ายเสร็จสมบูรณ์ในวันที่ 22 กย. ค.ศ. 1968
ใกล้กำหนดเวลานัดหมาย นักท่องเที่ยวเริ่มทะยอยเดินกลับกัน
จากการดำเนินการครั้งนั้นของยูเนสโก ทำให้สามารถย้ายเทวสถานได้ถึง 14 แห่ง ใช้เวลากว่า 4 ปี มีค่าใช้จ่ายกว่า 40 ล้านดอลลาร์
ทำให้ใครต่อใคร รวมทั้ง 2 สว. ว่าครั้งหนึ่งในชีวิต เราได้มา-ได้เห็น-ได้ชมความมหัศจรรย์และความงามของเทวสถานอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้แล้ว
ตรงข้ามกับวิหารทั้งสอง คือทะเลสาบนัสเซอร์ ยาว 500 กม. จุดลึกสุดอยู่ที่ 32 กม. อยู่ในอียิปต์ราว 2/3 ที่เหลืออยู่ในซูดาน
ที่รถจอดรอนักท่องเที่ยว พนักงานแยกผู้ซื่้อ long - short trip ... short trip แยกไปขึ้นรถอีกคันกลับอัสวาน อีกกลุ่มไปแวะที่เขื่อนอัสวาน ต่อไปหมู่วิหารฟิเลและอีกจุดคือ ไปชมเสาโอบิลิกซ์ที่ยังขุดไม่เสร็จ
เขื่อนอัสวานใหม่ หรือ Aswan High Dam ยาว 980 เมตร ที่ฐานกว้าง 40 เมตร สูง 111 เมตร
จากเขื่อนอัสวานใหม่ ต่อไปคือหมู่วิหารแห่งฟิเล ไปถึงก็เพิ่งรู้ว่าต้องนั่งเรือไปอึก กลุ่มของเรามีทั้งหมด 10 คนพอดี ... 9 คนเป็นชาวเอเซึย คนไทย 2, ญี่ปุ่น 3, จีน 4 (2 คู่) มีคุณป้าชาวฝรั่งเศสตัวเล็กอีก 1 คน
นั่งเรือไปเกาะอากิลเกีย (Agilkia) อันเป็นที่ตั้งของหมู่วิหารฟิเล
ภาพที่เห็นตื่นตาตื่นใจ
หมู่วิหารฟิเล (Temple Complex of Philae) ตั้งอยู่บนเกาะศักดิ์สิทธิ์ ลักษณะเด่นที่สุดของหมู่เกาะทั้งสอง คือ ความมั่งคั่งทางสถาปัตยกรรม มีการต่อเติมสถาปัตยกรรมไปเรื่อย ๆ โดยฟาโรห์จนถึงซีซาร์ จนครอบครองพื้นที่เกือบทั้งหมดของเกาะ อย่างไรก็ตามสถาปัตยกรรมหลัก กลับตั้งอยู่ใต้สุดของเกาะเล็ก ๆ
สถาปัตยกรรมเก่าสุดในหมูวิหารฟิเลห์ คือ Portico of Nectanebo เริ่มก่อสร้างในรัชสมัยของ Nectanebo I ราว 380 - 362 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งสามารถล่องเรือมาถึงได้ทางแม่น้ำผ่านโดยผ่านแนวต้นไม้มา
Portico of Nectanebo อยู่ทางใต้ของเกาะ มีเสาสูงหลายต้นที่มีการจารึกอยู่เต็ม ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นห้องด้านหน้าของวิหาร ทางเดินกว้างใหญ่ระหว่างเสาสูงทั้ง 2 ข้าง มีตลอดทางจาก Portico ไปจนถึงวิหารแห่งเทพีไอซิส (เดิมประตูนี้เคยเป็นทางเข้าของวิหาร แต่เรือมาส่งทางด้านเหนือที่เป็นวิหารแห่งเทพีไอซิส เวลาเข้าชมเหมือนเราเดินย้อนกลับค่ะ)
First Pylon (เสาแรก) สูง 18 เมตร ตั้งอยู่ทั้ง 2 ด้านของทางเข้าหลักของวิหาร
จากทางเข้านี้ก็จะผ่านไปยังโถงกลาง
ขึ้นไปทางเหนือเป็น Second Pylon ซึ่งนำไปสู่วิหารในสุด
วิหารเทพีไอซิส (Temple of Isis) ตั้งอยู่ทางด้านเหนือสุด วิหารนี้มีความสำคัญและงดงามมาก เปรียบเสมือนปราการสุดท้ายของศาสนาสมัยอียิปต์โบราณ
เทพีไอซิสเป็นธิดาแห่งธรรมชาติ เป็นผู้ป้องมนุษย์ และยังเป็นเทพีของความบริสุทธิ์ และทางด้านเพศ ณ เกาะฟิเลนี้เองที่ดูเหมือนว่าเธอได้พบหัวใจของสวามีของเธอ หลังจากถูกตัดขาดจากราชวงค์ นี่เองที่ทำให้เกาะนี้เป็นบ้านที่ศักดิ์สิทธิ์ของเทพีไอซิส
ภาพแกะสลักตามฝาผนังของหมู่วิหารนี้ ยังไม่เสร็จสมบูรณ์นัก ทำให้ทราบขั้นตอนการแกะสลัก คือ ต้องขัดหินหยาบให้เรียบเสียก่อน ที่จะวาดลวดลายลงไป
นอกจากวิหารเทพีไอซิส (Temple of Isis) แล้ว สถาปัตยกรรมอื่น ๆ เริ่มก่อสร้าง และปฏิสังขรณ์จากกษัตริย์อีกหลายพระองค์ โดยเฉพาะสมัยฟาโรห์ในราชวงค์ปโตเลมีที่ 2 ปโตเลมีที่ 5 และ 6 (282-145 ปีก่อนคริสตกาล) จนกระทั่งสิ้นสุดอียิปต์ยุคโบราณ
บริเวณวิหารประกอบด้วยเสาระเบียง ซึ่งสลักลวดลายเกี่ยวกับพิธีบูชาเทพเจ้า บางลวดลายที่ปรับเปลี่ยนนั้น มีร่องรอยสถาปัตยกรรมโรมันในหมู่วิหารฟิเล แสดงถึงอิทธิพลจากกลุ่มคริสต์ที่ได้เข้ามาในอียิปต์
สถาปัตยกรรมอื่น ๆ เช่น Trajan's Kiosk มีเสาสูงที่สวยงาม กล่าวว่าเป็นที่จอดราชพาหนะของเทพเมื่อมาเยี่ยมเทพีไอซิส
เดิมหมู่วิหารตั้งอยู่บนเกาะฟิเลกลางแม่น้ำไนล์ .. ต่อมาได้ถูกเคลื่อนย้าย เพราะเป็นหนึ่งในโบราณสถานที่จะจมน้ำ จากการสร้างเขื่อนอัสวานใหม่ โดยค่อย ๆ ย้ายหินทีละก้อน และมาสร้างหมู่วิหารแห่งใหม่ ที่เกาะอากิลเกีย (Agilkia Island) ห่างจากที่เดิมราว 500 เมตร แต่ยังใช้ชื่อหมู่วิหารแห่งฟิเลเหมือนเดิม
จากนั้นหมู่วิหารแห่งฟิเล รถก็พาคณะไปดู Unfinished Obilisk -เสาโอบิลิกซ์ ที่ยังตัดไม่เสร็จ ๆ .. ใกล้ ๆ อัสวาน ดูเหมือนจะมีคนลงไปดูไม่กี่คน ส่วนใหญ่หมดสภาพกับอากาศทีี่เริ่มร้อนขึ้น ... คุ้มค่าจริง ๆ สำหรับการรอคอย
พรุ่งนี่้จะขึ้นรถไฟชั้น 3 จากอัสวานไปลุกซอร์ค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย หนังสือ เที่ยวรอบโลก ปีที19 ฉบับที่ 225 เดือนพฤษภาคม 2544 https://westernartandculturedpu01peeranoot.blogspot.com/2010/09/blog-post.html https://oknation.nationtv.tv/blog/iyakoop/2013/10/05/entry-1 https://www.oceansmile.com/Egypt/Abusimbel.htm https://www.ancient.eu/Abu_Simbel/ https://iam.hunsa.com/yhh6142/article/14958
Create Date : 06 ตุลาคม 2560 |
Last Update : 25 ตุลาคม 2560 5:51:12 น. |
|
2 comments
|
Counter : 3158 Pageviews. |
|
|
ขอบคุณที่พาชมค่ะ