บล๊อกของลุง กับป้า ที่ชอบการท่องเที่ยว
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2558
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
16 กรกฏาคม 2558
 
All Blogs
 
เปรู 4 - จากมาชู ปิกชู สู่นครกุสโก ต่อไปนาซก้า


Inka Rail พานักท่องเที่ยวจากมาชู ปิกชู กลับ Ollantaytambo คราวนี้ไม่มีใครนั่งหลับ ส่วนใหญ่คุยกันด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น  คงเล่าขานถึงสิ่งที่ได้เห็น.. เรื่องราวที่ได้ฟังมา.. ความประทับใจ.. หรือการผจญภัยอีกครั้งในชีวิต......บางคนก็ซึบซับกับบรรยากาศของ Sacred Valley ระหว่างที่รถไฟแล่นไปเรื่อย ๆ พยายามจดจำทุกสิ่งให้ได้มากที่สุด..... ครั้งหนึ่งก็ได้มาเห็นแล้ว 


รถไฟแล่นผ่านแม่น้ำอูรูแบมบา  เห็นเทือกเขาแอนดิสไม่ไกล





หลายคนเพิ่งมาถึง มุ่งมั่นไปตามรอยอินคา (Inca Trail) อยากสัมผัส Sacred Valley ให้ลึกซึ้ง และไม่ระย่อต่อความลำบากเพื่อให้ถึง มาชู ปิกชู





ที่ Ollantaytambo มีรถแท๊กซี่รวม คนละ S./10 พาผู้โดยสารกลับนครกุสโก

ช่วงเวลาที่เหลืออยู่ก็สำรวจนครกุสโกเวลากลางวัน  แต่แวะที่ตลาดเทศบาล San Pedro กันก่อน



ตลาดนี้มีทั้งอาหาร เครื่องดื่ม ของสด ของแห้ง และของที่ระลึก แยกเป็นส่วน ๆ ไม่ได้ผสมปนเปเหมือนรูปค่ะ







ชามนี้ก็คือ มักกะโรนีน้ำไก่นั่นเอง เหมือนก๋วยเตี๋ยวไก่บ้านเรา   อยู่ ๆ ไป เริ่มรู้คำศัพท์มากขึ้น โดยเฉพาะคำว่า "polo" คือไก่ เป็นชื่อที่สั่งง่ายที่สุด  


ขนมปังก้อนใหญ่มากกก




คนที่นี่รู้สึกจะชอบกินเยลลี่มาก มีขายทุกที่ สีสันสดุดตา



งานหัตถกรรมที่ระลึกหน้าตาเหมือนที่เชียงใหม่มาก ๆ 






เดินไปเรื่อย ๆ ไม่นานก็ถึง Plaza de Armas








มหาวิหาร (The Cathedral) โครงสร้างทั้งหมดดูงดงาม และกล่าวได้ว่า เป็นสถานที่สำคัญและสวยที่สุดแห่งหนึ่งของอเมริกาใต้ 



กิจกรรมที่ลานจตุรัส หน้ามหาวิหาร

ทางด้านขวาของมหาวิหาร (The Cathedral) คือ โบสถ์ลากอมปาเญีย (Iglesia la Compania de Jesus)




โบสถ์ในนครกุสโกที่ได้รับการยกย่องว่า "สวยที่สุด" คือ โบสถ์ลากอมปาเญีย (Iglesia de la Compania de Jesus)  ที่สร้างขึ้นบนฐานของพระราชวังของ จักรพรรดิอินคาอวยนากาปัก ตรงจตุรัสกลางสมัยก่อน    เริ่มก่อสร้างปี 1571  คณะสงฆ์เยซูอิตตั้งใจจะให้เป็นโบสถ์ที่งดงามที่สุดในนครกุสโก  แต่ทางสังฆราชเห็นว่าจะกลายเป็นคู่แข่งของมหาวิหาร (The Cathedral)  ที่เป็นที่ตั้งของเขตปกครองของคณะ   ความขัดแย้งเพิ่มมากขึ้น  จนต้องสอบถามไปทางวาติกัน  แต่ด้วยหนทางที่ไกล กว่าคำตอบจากวาติกันมาถึง  โบสถ์นี้ก็ได้สร้างเกือบแล้วเสร็จ 



คณะสงฆ์จึงสามารถรักษาโครงสร้างตัวโบสถ์ ส่วนหน้าที่ตกแต่งหรูหรา เครื่องตกแต่งภายในที่งามวิจิตร รวมถึงมุขระเบียงแกะสลัก กับแท่นบูชาปิดทองไว้ได้


โบสถ์เอลตริอุนโฟ (Iglesia del Triunfo) ตามภาษาอังกฤษก็คือ โบสถ์แห่งชัยชนะ  อยู่ทางด้านขวาของมหาวิหาร ... สร้างในปี 1536  สามปี หลังจากที่ Conquistadores (ผู้บุกเบิก) ได้ตั้งหลักแหล่งที่นครกุสโก และสร้างบน Suntur Wasi ซึ่งเป็นอาคารที่ชาวอินคาประกอบพิธีกรรม เพราะอยู่ติดกับพระราชวังของจักรพรรดิบีราโกชา (Viracocha) ..
 โบสถ์ El Triunfo สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงชัยชนะ ในช่วงการรบพุ่งกัน ประมาณว่าระหว่าง ปี 1533 - 1536  ชาวสเปนเหลือที่มั่นสุดท้าย คือ Suntur Wasi และใกล้จะแพ้ .... แต่สุดท้ายกลับมาชนะและขับไล่ชาวอินคาที่นำโดย Manko Inka ออกไปได้


ถนนด้านข้างของโบสถ์ลากอมปาเญีย ทอดไปสู่วิหารประกอบพิธีบวงสรวงบูชาที่สำคัญที่สุดของจักรวรรดิอินคา เรียกว่า โกริกันชา (Koricancha) แปลว่าวิหารสุริยเทพ .ปัจจุบันกลายเป็นโบสถ์ Santo Domingo  จัดเป็นอาคารที่โอ่อ่าสง่างามที่สุดในนครกุสโก



สมัยก่อนผนังกำแพงหุ้มด้วยทองคำทั้งหมด หน้าต่างก็สร้างให้แสงอาทิตย์ลอดลงมาส่องต้องผนังด้านใน สะท้อนสีทองบาดตา

2 ภาพนี้ จาก internet ค่ะ ภาพบนเป็นบริเวณรอบ ๆ โบสถ์ และภาพล่างเป็นส่วนหนึ่งของอาคารภายในบริเวณโบสถ์



มีบันทึกของชาวสเปนเล่าว่า  ชาวยุโรปต่างตะลึง  เมื่อได้เห็นลานวิหารโกริกันชา ที่เต็มไปด้วยรูปปั้นเงินและทองคำแท้ เป็นรูปตัวยามะ  ต้นไม้  ผลไม้ และดอกไม้มีผีเสื้อเกาะติด ซึ่งล้วนแล้วแต่มีขนาดเท่าของจริงทั้งสิ้น..... เสียดายที่ไม่อยู่ถึงปัจจุบัน.....


บรรยากาศ อาคาร บ้านเรือน เวลากลางวัน ณ ลานจตุรัส Plaza de Armas นครกุสโก

พักที่นครกุสโกอีก 1 คืน.... Bamboo Hostal  ห่างจากแหล่งท่องเที่ยวหน่อย แต่ใกล้สถานีรถกว่า  เพราะรุ่งขึ้นต้องออกแต่เช้า เพื่อเดินทางต่อไปเมืองนาซก้า (Nasca หรือ Nazca เห็นเขียนกันทั้ง 2 แบบ) เลย




ไม่ไกลจากที่พัก มีศูนย์หัตถกรรม  (Centro Artesanal Cusco) ค่อนข้างเงียบเหงา หลายร้านปิดแล้ว แต่ปรากฏว่าของที่ระลึกที่นี่ ราคาถูกที่สุด ไปลิมาไม่ได้ราคานี้แน่นอน





รอบ ๆ อาคาร มีภาพเขียนเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชนพื้นเมือง ไม่ได้ซื้อของ ไปถ่ายรูปก็ได้




จากนครกุสโก สู่นาซก้า (Cusco to Nasca)

เดิมถ้าจะเดินทางจากนครกุสโกไปนาซก้า รถจะใช้เส้นทางที่ผ่าน Arequipa ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเปรู ใกล้ Puno แล้วถึงจะย้อนขึ้นไปนาซก้า ทางตะวันตก .....ต่อมามีการปรับปรุงเส้นทางที่ผ่าน Abancay ไม่ต้องต่อรถที่ Abancay แต่สามารถเดินทางรวดเดียวได้เลย ระยะทางประมาณ 656 กม. ทำให้ย่นระยะเวลาเดินทางได้มาก 





เส้นสีเหลืองเป็นถนนยังไม่เสร็จ  เส้นทางนี้มีความสูงโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 4,000 กว่าเมตร  สูงกว่านครกุสโก สูงกว่ามาชู ปิกชู สูงกว่าลาปาซ  ถ้าอยู่นอกรถคงมีปัญหาเรื่อง attitude sickness กันบ้างล่ะ  (ภาพจาก internet ค่ะ)

เดินทางกันกลางวันค่ะ  มีข้อมูลว่ากลางคืนอาจไม่ค่อยปลอดภัย เพราะมีการจี้ปล้นระหว่างทางบ่อย ๆ  ...รถบัสก็เหมือนบ้านเรา คือ จากต้นทางแวะรับอาหาร เติมน้ำมัน  แล้วก็เกือบไม่ได้จอดที่ไหนเลย จนถึงปลายทางที่นาซก้า ค่ารถชั้นล่างแพงกว่าชั้นบน 

เส้นทางนี้มีรถหลายบริษัท ส่วนใหญ่แนะนำบริษัท Cruz del Sur เพราะเป็นที่น่าเชื่อถือ แล้วให้จองล่วงหน้า  แต่ 2 สว. ไปซื้อตั๋วที่สถานีรถบัสเลย หาที่มีที่นั่งแถวหน้า เพราะติดใจวิวพาโนรามา  ได้ของบริษัท Molina ค่ะ



รถบัสที่นี่คันใหญ่ มีถึง 11 แถว ทำให้รถยาวกว่าที่บ้านเรา เบาะนั่งกว้างกว่า นั่งสบาย พนักงานขับรถไม่หวือหวา ภายในรถจะมีตัววิ่งแสดงความเร็วรถขณะนั้น ๆ ....รู้สึกไม่เคยเกิน 75 กม. เลย ถ้าเกินไปก็รีบลดลงมาทันที  มีตัวเลขแสดงอุณหภูมิภายในรถด้วย 

รถออกเกือบ 9 โมงเช้า จะถึงนาซก้าประมาณ 3 ทุ่ม (12 ชม.กว่า) ผู้โดยสารโหรงเหรง มีพนักงานประจำรถเป็นผู้หญิง .....แล้วก็ได้เห็นวิวพาโนรามาสมใจ





เมื่อแรกออกจากนครกุสโกก็เห็นบ้านเรือนใกล้ ๆ อยู่บ้าง เห็นเทือกเขาแอนดิสไกล ๆ 




นานไปก็เห็นบ้านเรือนไกล ๆ เห็นเทือกเขาแอนดิสอยู่ใกล้ ๆ ....อยู่บนเทือกเขาแอนดิสอีกแล้วแล้วหรือนี่ ....ตื่นเต้นมาก ๆ ค่ะ 



นาน ๆ ก็เห็นผู้คนเสียที ดูอ้างว้าง




บางครั้งก็อยู่ถนนเส้นบน เห็นถนนที่ผ่านแล้วอยู่ด้านล่าง ไม่มีรถคันอื่นเลย



ผ่านบ้านเรือน และไร่ข้าวโพดบ้าง


ตอนที่รถออกอุณหภมิอยู่ที่ 15 องศา C แต่ความที่ปิดประตู หน้าต่างก็เปิดไม่ได้ อุณภูมิก็เริ่มสูงขึ้น ๆ 20 กว่าแล้ว  คุยกับลุงว่า "รู้แล้วว่าอากาศหนาวมาก แต่ไม่ต้องเปิดฮีทเตอร์ซะขนาดนี้ก็ได้"  ผู้โดยสารต่างคนก็ถอดเสื้อหนาวออกกันทีละตัว 
จนขึ้นไปถึง 30 กว่าแล้ว สูงสุดวันนั้นคือ 37 องศา C  ผู้โดยสารชาวเปรูที่นั่งแถวเดียวกัน แต่คนละฝั่งถอดเสื้อหนาว เสื้อเชิร์ตออก ตอนนี้เหลือแต่เสื้อกล้ามแล้ว ....ไม่เป็นไร เราคนเมืองร้อน พอไหวอยู่ แต่ก็เหมือนจะหายใจไม่ออก


มีช่วงหนึ่งที่รถเข้าเขตชุมชน แวะสถานีรับอาหาร  ก็รีบลงไปชั้นล่างเลย น้องพนักงานยืนกั้นอยู่ที่ประตู  (ข้างนอกอากาศเย็นมากเลย) บอกว่าบาโนส (banos - ห้องน้ำ)  ก็ยังไม่ให้ออกไปข้างนอก แล้วก็พูดยาวเหยียด ๆๆ...เลยต้องกลับขึ้นไปชั้นบนประจำที่เดิม  
ลุงถามว่าไง... 

"เขาบอกว่าตอนนี้ลงไปไม่ได้ เพราะรถจะออกแล้ว อีกไม่นานจะไปจอด  ที่ Chalhuanca ค่อยไปลงที่นั่น"
"เขาพูดภาษาอังกฤษหรือ"
"ไม่หรอก ภาษาสเปน แต่แปลได้แบบนี้แหละ"

ที่บอกว่าเดี๋ยวน่ะ นานมากเลย  แจกข้าวกลางวันแล้ว ก็ยังไม่ถึงเลย  อุณหภูมิก็เริ่มลดลงมาบ้าง เหลือประมาณ 30 องศา ก็ค่อยยังชั่ว สุดท้ายบ่ายแก่ ๆ ก็ถึง Chalhuanca 

..มีคนขยับลงรถเหมือนกัน ถามน้องพนักงานว่ารถจอดกี่นาที เธอบอกเตรส (tres) ... 3 นาที ได้ไง แค่ลงรถ ขึ้นรถ ก็จะ 3 นาทีแล้ว ไม่แน่ใจ ก็เลยยกมือขึ้น 10 นิ้ว ชู 3 ครั้ง แปลว่า 30 นาที เหรอ เธอสั่นหัว เตรส - 3 นาที (3 นิ้วจ๊ะ)  ได้ฟังเท่านั้นก็วิ่งจู๊ดไปเข้าห้องน้ำ ซื้อน้ำเย็นมา 1 ขวด พอขึ้นรถ รถก็ออกเลย อะไรจะ 3 นาทีซะขนาดนั้น




ออกจาก Chalhuanca ไม่นาน ก็มาถึงช่วงที่ถนนยังไม่ได้ปรับปรุง ที่เห็นตามรูป เป็นถนนแคบ ๆ ค่ะ  กลางคืนคงน่ากลัวเหมือนกัน



เห็นรถบัสที่กำลังวนขึ้นเขาอยู่ข้างหน้า







พ้นช่วงที่ถนนไม่ดี ก็ขึ้นเขากันต่อ



เห็นถนนที่เพิ่งผ่านมาไกลลิบ ๆ ทางคดโค้งแล้วก็ขึ้นเขาด้วย







หลายครั้งจุดหมายปลายทางอาจไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด แต่ประสบการณ์ สิ่งที่ได้เห็น ได้พบเจอ ระหว่างทาง อาจมีความหมายมากกว่า







ต้องขอบคุณใครก็ตามที่มีส่วนในสิ่งก่อสร้างที่น่าอัศจรรย์นี้











ฝูงปศุสัตว์ข้างทาง ตัวลามะ และอัลปากา แยกไม่ออกค่ะ





เมฆตั้งเค้ามามืด แล้วฝนเริ่มลงเม็ด อากาศเย็นลง แต่ละคนก็เอาเสื้อมาใส่กลับเหมือนเดิม







น้ำแข็งที่ยังไม่ละลาย รถลดความเร็วเหลือ 30 - 40 กว่ากม. จะถึงสักกี่โมงนะนี่....  ให้ทางโรงแรมมารับ 3 ทุ่ม





สุดขอบฟ้าคือเทือกเขาแอนดิส



ฟ้าแจ่มหลังฝน





สุดท้ายก็เริ่มมืดจนถ่ายรูปไม่เห็น  ไม่เห็นวิวพาโนรามาแล้ว  มืดมาก ๆ  เห็นแต่ถนนข้างหน้าไม่ไกลจากแสงไฟหน้ารถ   รถเลี้ยวโค้งทีไรเป็นได้ใจหายใจคว่ำ  จะพ้นโค้งนี้ไหมนะ??!!  แล้วจริง ๆ ก็โค้งได้โค้งดี ทุก 100 เมตร  .... 2 ทุ่มแล้วก็ยังโค้งไปโค้งมาอยู่เลย  ... 2 ทุ่มกว่า โค้งเริ่มลดลง แล้วก็ตรงตลอดผ่านทะเลทราย จนถึงนาซก้า  เวลา 4 ทุ่ม รวม 13 ชม.กว่า  คนที่มารับก็แสนดียังรอรับไปส่งที่พัก

วันนี้เป็นวันที่น่าจดจำอีกวันหนึ่งค่ะ ..ตลอด 13 ชม. บนเทือกเขาแอนดิสผ่านทั้งอากาศหนาว อากาศร้อน ฝนตก หิมะที่กลายเป็นน้ำแข็ง และทะเลทราย





Create Date : 16 กรกฎาคม 2558
Last Update : 24 กรกฎาคม 2558 6:16:30 น. 1 comments
Counter : 1734 Pageviews.

 
เป็นการผจญภัย เอ้ย เที่ยว แบบสมบุกสมบันจริงๆ นะ
อากาศก็แปรปรวน แถมถนนหนทางยังทำให้ใจหายใจคว่ำอีกด้วย
นี่ยิ่งกว่า แม่ฮ่องสอนรึป่าวเนี่ยะ


โดย: พูดไม่เก่ง แต่เจ๋งทุกคำ วันที่: 27 กรกฎาคม 2558 เวลา:17:42:30 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 1920579
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add สมาชิกหมายเลข 1920579's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.